ผาถนารัก
ตัวข้าพรหมธาดา ขออธิษฐานต่อหน้าเทวดาฟ้าดิน หากข้ายังพอมีวาสนาได้ครองคู่กับอ้ายไจยยา ก็ขอให้ข้าได้เจอเขาอีกสักครั้ง ขอให้ความรักของข้าและคนอื่น ๆ ที่เป็นเช่นข้าได้รับการยอมรับในสักวันหนึ่ง
ผู้เข้าชมรวม
109
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
#ผาถนารัก
อาณาจักรล้านนา พุทธศักราช 2418
แสงแรกของยามอุษา ปลุกให้สิ่งมีชีวิตในกระท่อมหลังน้อยได้ตื่นจากนิทราอันแสนหอมหวาน เมื่อชายร่างเล็กกำลังจะยันตัวเพื่อลุกจากที่นอนก็ต้องกลับลงไปฟุบแนบทับกับร่างกายกำยำของชายที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น “คนรัก” ของตน คนถูกดึงเข้าไปกอดทำหน้างุ้มอย่างไม่พอใจและดิ้นขัดขืน แต่ก็สู้พละกำลังของอีกฝ่ายไม่ได้
“เช้าแล้ว น้องต้องลุกไปนึ่งข้าวยะกับข้าวหื้ออ้ายกับลูก” เมื่อการขัดขืนไม่เป็นผล ผู้เป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ใช้ไม้อ่อนกับอีกฝ่ายด้วยการให้เหตุผลว่าตนต้องไปหุงหาอาหารให้เขากับลูก ชายผู้มีร่างกายใหญ่โตกว่าไม่ยอมปล่อยวงแขนจากคนรักของตัว เขายื่นหน้าไปหอมแก้มเมียเสียฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว พร้อมกับพูดทั้ง ๆ ที่เปลือกตาทั้งสองข้างยังไม่ลืมขึ้น
“ยังมืดอยู่เลย ขออ้ายได้นอนกอดนอนหอมเมียของอ้ายเมิน ๆ บ่ได้กา” (ยังมืดอยู่เลย ขอพี่นอนกอดนอนหอมเมียของพี่นาน ๆ ไม่ได้หรือ) ชายผู้นี้พูดตามที่ตนรู้สึก ยิ่งตอนเช้าที่อากาศเย็นสบายเช่นนี้ เขาอยากจะนอนกอดเมียไปนาน ๆ
ด้วยความหมั่นไส้ ชายร่างเล็กจึกยื่นมือไปหยิกแผ่นอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยสักอักขระล้านนาและรูปของสิงห์สาราสัตว์นั่นอย่างอดไม่ได้
“โอ๊ย อ้ายเจ็บเน้อ” เขาร้องโอดโอยแสดงท่าทางเจ็บปวดที่เกินจริง ทว่าไม่ได้ทำให้เมียของตนรู้สึกสงสารเลยสักนิด หยิกแค่นี้คงไม่ระคายผิวหรอกกระมัง
“เช้าบ่เช้าก็มืนต๋าผ่อเอาเต๊อะ ละปล่อยน้องได้แล้ว บ่อั้นจะบ่ได้กิ๋นข้าวกันหมดนี่ล่ะ” (เช้าไม่เช้าก็ลืมตาดูเอาเองเถอะ แล้วก็ปล่อยน้องได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกินข้าวกันทั้งหมดนี่แหละ) ชายร่างเล็กถือเอาจังหวะที่คนรักกำลังสะลึมสือลุกขึ้นจากวงแขนแกร่งนั้นได้สำเร็จ หันไปมองลูกสาวตัวน้อยที่ยังหลับปุ๋ยอยู่บนสะลี…ฟูกนอนข้าง ๆ อย่างเกรงว่าเจ้าตัวน้อยจะตกใจตื่นเพราะพ่อทั้งสอง
นี่เป็นสิ่งที่ เจ้าน้อย หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ น้อยคำเขิน เริ่มจะชินเสียแล้ว เพราะตั้งแต่ตัดสินใจอยู่กินกันอย่างคู่ผัวตัวเมีย อ้ายไจยยา ก็เป็นเช่นนี้เสมอ ท่าทีที่น่าเกรงขามเมื่อต้องบังคับบัญชาทหารใต้การปกครองกับท่าทีตอนที่อยู่กับเขานั้นช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน เมื่อนึกไปถึงตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้…
ไจยยารีบตามคำเขินมาที่ครัวไฟของบ้าน เห็นว่าคนรักกำลังหอบเอาฟืนมาจากหลังบ้านเตรียมจะผ่า ก็รีบไปขวาง “เจ้าไปผ่อข้าวเต๊อะ เดี๋ยวอ้ายจะโบะหลัวกับดังไฟหื้อ” ชายหนุ่มรีบคว้าเอามีดพร้าก่อนที่เมียเขาจะหยิบ และอาสาจะผ่าฟืนและจุดไฟให้เสร็จสรรพ น้อยคำเขินจึงมีหน้าที่ในการหุงข้าว และทำกับข้าวเท่านั้น
ไจยยานั่งเอามือเท้าคางมองน้อยคำเขินอย่างหลงไหล ทุกท่วงท่าลีลาของคนรักช่างหน้ามองไปหมด ทั้งนวลหน้าขาวผ่องรูปไข่รับกับคิ้วคมสองข้าง ดวงตาที่สุกใสราวตาเนื้อตาฟาน ไหนจะริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อนั่นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อนำมารวมกันทำให้ใจยยามองน้อยคำเขินอย่างละสายตาไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าละอายต่อผีสางนางไม้ เขาคงจะได้แสดงความรักต่อเมียในห้องครัวเป็นแน่
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ไจยยาเฝ้ามองน้อยคำอยู่อย่างนั้น จนได้ยินเสียงลูกสาวของพวกเขาร้องไห้เพราะตื่นมาแล้วไม่เจอใคร น้อยคำเขินที่กำลังปรุงแกงหันมาสะกิดไจยยา “อ้ายไปผ่อลูกก่อนเต๊อะ พาไปล้างหน้าล้างต๋า ถ้ากับข้าวเสร็จแล้วน้องจะไปเรียก”
ไจยยารับคำ รีบขึ้นไปดูลูก เด็กหญิงวัยสามขวบนั่งเบะปากเตรียมจะแผดเสียงร้อง แต่ก็หยุดไว้ก่อน เพราะ ‘พ่อ’ เข้ามาหาแล้ว “หาป้อน้อย หาป้อน้อย” เด็กหญิงพูดซ้ำ ๆ พ่อน้อยที่เธอพูดถึง ก็คือ น้อยคำเขิน ตั้งแต่รับเด็กคนนี้มาเลี้ยงเป็นลูก ยายหนูก็ดูจะติด พ่อน้อย มากกว่าเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะทั้งน้อยคำเชินและเด็กหญิงตรงหน้า คือคนที่เขารักมากที่สุด เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็ไม่ปาน
“ไหน ไผขี้ให้ระวังแมวโพงมันมาหลอกจกตับเน้อ” ผู้เป็นพ่อพยายามหาสิ่งอื่นมาหลอกล่อเพื่อเบนความสนใจของเด็กหญิงจากพ่อน้อยก่อนที่เธอจะร้องไห้จนเขาไม่มีปัญญาจะปลอบ
“ข้าเจ้าบ่กลัวผี” เด็กหญิงตอบอย่างแข็งขันจนพ่อยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู “ถ้าจะอั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างต๋ากับป้อ ตอนนี้ป้อน้อยรอเฮาอยู่หนา” เมื่อได้ยินชื่อของพ่ออีกคน เด็กหญิงก็ฉีกยิ้มอย่างเริงร่า ลุกวิ่งนำพ่อไจยยาไปที่ธารน้ำหลังบ้าน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วทุกคนก็มาล้อมวงกินข้าวกัน แม้จะเป็นกับข้าวง่าย ๆ อย่างแกงหน่อไม้ กับน้ำพริกไม่ได้เป็นอาหารเลิศรส อย่างเนื้อฟาน เนื้อหมูป่า ที่เคยกินที่บ้านเก่า แต่ก็ทำให้น้อยคำเขินรู้สึกสุขใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสองพ่อก็พาลูกสาวไปฝากไว้กับ คำหล้า เพื่อนบ้านคนสนิทที่มีลูกสาววัยไล่เลี่ยกันช่วยดูแล เพราะเขาทั้งสองต้องออกไปทำงานทั้งวัน จึงไม่มีเวลาได้ดูแลลูก
ไจยยากับน้อยคำเขินมาเอามือกับนายมิ่งลงดำนา (การเอามือ คือการช่วยงานของคนเมืองเหนือ การช่วยงานในลักษณะนี้จะไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่จะได้รับการช่วยเหลือตอบเมื่องานของอีกฝ่ายมาถึง เรียกว่า การตอบมือ เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน)
เมื่อทั้งคู่มาถึง ยังไม่ทันที่จะลงนา ก็มีเสียงโห่ร้องจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มาช่วยนายมิ่งดำนาเช่นกัน “ฮานี้บ่าเห้ย เกิดมาบ่เกยปะบ่เกยพบ ป้อจายนี่ไหนมันจะมาเอากับป้อจายตวยกั๋น” (ฮานี้บ่าเห้ย เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ผู้ชายที่ไหนมันจะมาเอากับผู้ชายด้วยกัน) ชายอีกคนร้องตอบ “น่าก่ะ ฮาก็ใคร่ฮู้ ว่าไอ้สองคนนี้ไผเป็นผัว ไผเป็นเมีย” (นั่นน่ะซี กูก็อยากรู้ ว่าไอ้สองคนนี้ คนไหนเป็นผัว คนไหนเป็นเมีย) น้อยคำเขินทำหูทวนลมเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหูจากคนพวกนั้น ต่างจากไจยยาที่พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้เอาพร้าไปจาหน้าพวกนั้น
“ใจเย็น ๆ เน้ออ้าย บ่ดีไปสนใจ๋เลย ยะก๋านของเฮากันเต๊อะ” (ใจเย็น ๆ นะพี่ อย่าไปสนใจเลย ทำงานของเรากันเถอะ) น้อยคำเขินพยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง และทำงานของตัวเองต่อ ไม่ต้องไปใส่ใจกับคำพูดของคนอื่น ชายหนุ่มรับคำ และก้มหน้าก้มตาปักข้าวลงพื้นนาต่อไป
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง คนที่มาร่วมลงแขกดำนาก็มานั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกัน นายมิ่งผู้เป็นเจ้าของนาได้เตรียมกับข้าวมาเลี้ยงผู้ที่มาช่วย บางคนก็เตรียมกับข้าวมาเอง ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ บ้างก็นั่งนินทาผู้ที่ไม่ได้ร่วมวง จนวนมาถึงเรื่องของไจยยาและน้อยคำเขิน พวกเขาพูดกันอย่างสนุกปากจนลืมนึกไปว่าทั้งไจยยาและน้อยคำเขินก็นั่งอยู่ตรงนั้น
“ไอ้คำเขิน ฮาถามหน่อยเต๊อะ แม่หญิงมีตั้งเยอะ ทำไมคิงถึงบ่ชอบ ไปเอาป้อจายอย่างไอ้ไจยยามาแป๋งเป็นผัวจะอี้ บ่กลัวฟ้าผ่าตายกาหา” (ไอ้คำเขิน กูถามหน่อยเถอะ ผู้หญิงมีตั้งมาก ทำไมมึงถึงไม่ชอบ ไปเอาผู้ชายอย่างไอ้ไจยยามาทำผัวแบบนี้ ไม่กลัวฟ้าผ่าตายหรอวะ) น้อยคำเขินทำได้เพียงนั่งเงียบไม่ตอบโต้ และก้มหน้ากินข้าวต่อไป แต่ชายปากมากผู้นั้นไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าทางยั่วโมโหผ่านคำพูดไร้ผล เขาก็เริ่มที่จะลามปามน้อยคำเขินด้วยการทำกิริยาอันน่ารังเกียจใส่ ทำให้อารมณ์ครุกกรุ่นจากตอนเช้าของไจยยากลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
“มึงบ่ดีมายุ่งกับคนของกู” ไจยยาเค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็น บัดนี้ฟางเส้นสุดท้ายของเขาได้ขาดสะบั้น จะมาว่าร้ายหรือทำอะไรไม่ดีกับเขา เขาทนได้ แต่ถ้าหากมาล้ำเส้นกับเมียของเขา ก็อย่าหวังว่าจะรอดจากตีนของเขาไปได้ ชายหนุ่มกระโดดถีบปากของชายคนนั้นจนหน้าคว่ำลงไปกับแกงแคไก่ที่นายมิ่งเตรียมมา หลังจากนั้นไม่นานความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เกิดการต่อยตีของชายสองคน คนที่มาช่วยเอามือต่างก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเพราะกลัวว่าตนจะถูกลูกหลง
น้อยคำเขินพยายามเข้ามาห้ามแต่ก็ถูกชายคนนั้นผลักจนล้มไป ไจยยารีบเข้ามาดูคนรักของตน เลยพลาดโดนขายคนนั้นหยิบท่อนไม้มาฟาดหัวไปหนึ่งที นายมิ่งผู้เป็นเจ้าของนาที่เพิ่งกลับจากการไปตักน้ำในห้วยเห็นเหตุการณ์ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะห้ามอย่างไร เลยเอาน้ำที่ตนถืออยู่สาดใส่คนทั้งสอง เหตุการณ์ชุลมุนจึงหยุดอยู่แค่นั้น
“ตั๋วพาไจยยาปิ๊กบ้านก่อนเต๊อะ เดี๋ยวเรื่องตอบมือเฮาค่อยว่ากัน” (พาไจยยากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเรื่องตอบมือเราค่อยว่ากัน) นายมิ่งบอกให้น้อยคำเขินพาไจยยากลับบ้านไปก่อนเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นอีก ชายร่างเล็กรับคำและพยุงไจยยากลับบ้าน เมื่อพ้นจากกลุ่มคนพวกนั้น ชายร่างเล็กก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิคนรักที่ใจร้อนจนเกิดเรื่อง
“อ้ายบ่น่าใจ๋ฮ้อนไปตี๋เขาจะอั้นเลย” (พี่ไม่น่าใจร้อนไปตีเขาอย่างนั้นเลย)
“ก็มันยะบ่ดีกับเจ้า ถ้ามันยะกับอ้าย อ้ายบ่ว่า แต่นี่เป็นเจ้า อ้ายทนบ่ได้ตี้มีคนมาหมิ่นเกียรติของเจ้า” (ก็มันทำไม่ดีกับเจ้า ถ้ามันทำกับพี่ พี่ไม่ว่า แต่นี่เป็นเจ้า พี่ทนไม่ได้ที่มีคนมาหมิ่นเกียรติของเจ้า) น้อยคำเขินรู้ความจริงในข้อนี้ดี เลยไม่ต่อว่าอะไรคนรักอีก
ก่อนที่จะถึงบ้านพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะไปรับลูกน้อยที่บ้านของคำหล้า เมื่อเด็กหญิงเห็นพ่อทั้งสองมาหา เจ้าหล่อนก็วิ่งดุกดิกมาหาพ่ออย่างน่าเอ็นดู ความน่ารักของลูกทำให้อารมณ์ของไจยยาอ่อนลง เขาย่อตัวลงอ้าแขนรอรับลูกขึ้นมาอุ้มพร้อมกับหอมแก้มกลมๆของลูกไปฟอดใหญ่ เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเพราะความจั๊กจี้ที่ตอหนวดแข็งของพ่อทิ่มหน้า
“ยินดีเน้อคำหล้า ที่มาช่วยผ่อลูกหื้อเฮา” (ขอบใจมากนะคำหล้า ที่ช่วยดูแลลูกให้) ไจยยาขอบคุณคำหล้าที่ช่วยดูแลลูกเขาให้ “บ่เป็นหยังเลยไจยยา คนบ้านใกล้กั๋น มีอะหยังก็ช่วย ๆ กั๋นเนาะ” (ไม่เป็นไรเลยไจยยา คนบ้านใกล้กัน มีอะไรก็ช่วย ๆ กันเนาะ) นางคำหล้าที่กำลังจะถามว่าทำไมวันนี้ถึงมารับลูกเร็วกว่าทุกวันก็ปิดปากของตัวเองลงเมื่อเห็นว่าหน้าของชายหนุ่มมีรอยแดงนางก็พอจะเดาได้ว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้านไจยยาก็แยกตัวออกไปอาบน้ำก่อนเพราะเนื้อตัวของเขาในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรจากควายที่กลิ้งอยู่ในตม ที่ทั้งมอมแมมและเปรอะเปื้อน ชายหนุ่มกระโจนตัวลงลำธารหลังบ้าน หวังจะให้น้ำมาช่วยทำให้จิตใจสงบจากสิ่งต่าง ๆ เขาหลับตาลงพลางคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาและเจ้าน้อย…ชายหนุ่มรู้ได้ด้วยสัญชาตญานว่า เรื่องร้าย ๆ คงไม่จบลงเพียงเท่านี้ เขากลัว กลัวเหลือเกิน…
คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย แม้ว่าจะอยู่ในรัตติกาล แต่ก็มีแสงสว่างจากดวงจันทร์สาดส่องลงมาให้ความสว่างแก่พื้นพิภพ น้อยคำเขินสะดุ้งตื่นมากลางดึก มือของเขาปัดป่ายไปหาอ้อมกอดจากชายที่อยู่เคียงข้าง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ด้วยความร้อนใจเขาจึงหยิบตะเกียงบนหัวนอนมาออกไปตามหา เมื่อออกมานอกชานเรือนก็เห็นว่าไจยยานั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาของเขาดูเหม่อลอย น้อยคำเขินเดินออกมาเงียบ ๆ ก่อนจะเรียกคนรัก
“อ้ายยังบ่นอนกา” (พี่ยังไม่นอนหรอ) เสียงจากคนรักทำไจยยาสะดุ้ง เขายังคงนั่งนิ่งไม่ได้ตอบกลับ มีเพียงสีหน้าและแววตาที่ดูจะไม่เป็นสุขก็เท่านั้น
“อ้ายมีเรื่องทุกข์ใจอะหยังก็บอกเฮามาเถอะ หรือว่าจะเป็นย้อนเรื่องเมื่องาย” (พี่มีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็ว่ามาเถอะ หรือจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้า) น้อยคำเขินยอบตัวลงนั่งข้างกับคนรัก สองมือของเขาสอดประสานเข้าไปกุมกับฝ่ามือหนาพร้อมกับโน้มตัวลงไปซบกับไหล่กว้าง อันเป็นที่พักพิงที่คำเขินรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้แนบอิง
“อ้ายกำลังกึ๊ดอยู่ว่า อ้ายพาเจ้ามาลำบากเมินไปแล้ว บางทีเจ้าน่าจะปิ๊กไปอยู่ในตี้ในตางของเจ้า” (พี่กำลังคิดอยู่ว่า พี่พาเจ้ามาลำบากนานเกินไปแล้ว บางทีเจ้าน่าจะกลับไปอยู่ในที่ในนางของเจ้า) ว่าพลางหันไปจุมพิตหน้าผากมนของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่
“ยะหยังอ้ายอู้จะอั้น ทุกวันนี้น้องก็เป็นสุขดี ได้อยู่กับคนที่ฮัก มีลูกน้อยมาช่วยหื้อหายง่อมหายเหงา” (ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น ทุกวันนี้น้องก็มีความสุขดี ได้อยู่กับคนที่รักแถมยังมีลูกมาช่วยคลายเหงาอีก) ยังไม่ทันที่น้อยคำพูดจนจบประโยค อ้ายไจยยาก็ประกบริมฝีปากของตนกับอีกฝ่ายเป็นการปิดปากไม่ให้พูดต่อ จูบนั้นเนิ่นนาน…ราวกับต้องการจะให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้
ความเงียบได้เข้ามาปกคลุมคนทั้งคู่ไปพักใหญ่ ไจยยาถอนจูบจากน้อยคำเขิน เปลี่ยนมากุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ เขามองรอยแตกและความหยาบกร้านอันเป็นผลมาจากการทำงานหนักในช่วงหลายปีมานี้ก็นึกโทษตัวเอง “อ้ายขอสุมาเต๊อะเน้อ ผ่อลอ มือนุ่ม ๆ ของเจ้า ต้องมาสากมาด้านเพราะอ้ายแต้ ๆ” (พี่ขอโทษนะ ดูสิ่ มือนุ่ม ๆ ของเจ้าต้องมาสากมาด้านเพราะพี่แท้ ๆ) ชายหนุ่มจับมือทั้งสองข้างของคนรักมาบีบ ๆ คลึง ๆ อย่างทะนุถนอม สัมผัสหยาบกร้านจากมือของน้อยคำเขินเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ชายร่างใหญ่รู้สึกผิดต่อคนตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้
“เฮาบ่อู้เรื่องนี้กันละเน้อ อ้ายฮู้ก่อว่าเฮามีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่อยากจะให้อ้ายได้ฮู้” (เราไม่พูดเรื่องนี้กันแล้วนะ พี่รู้ไหมว่าฉันมีเรื่องที่อยากให้พี่รู้อยู่เรื่องหนึ่ง) คนตรงหน้าเลิกคิ้วให้กับคนพูดอย่างใคร่รู้ น้อยคำเขินไม่ปล่อยให้ไจยยาสงสัยนาน รีบพูดในสิ่งที่ตนคิดต่อ
“บ่ว่าจะได จะตุ๊กยาก ลำบากยากเข็ญจะได ขอแค่มีอ้ายอยู่เคียงข้าง เฮาก็บ่กลัวอะหยังทั้งนั้น อ้ายฮู้ก่อ การได้มาใช้ชีวิตกับอ้าย มันยะหื้อน้องมีความสุขขนาดเลย สุขกว่าตอนที่อยู่บ้านเก่าแหม” (ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากสักแค่ไหน ขอแค่มีพี่อยู่ข้าง ๆ ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น พี่รู้ไหมว่าการได้มาใช้ชีวิตกับพี่ มันทำให้น้องมีความสุขขนาดไหน สุขกว่าตอนที่อยู่บ้านเก่าเสียอีก )
“ทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่บ้านเก่า เจ้ามีชีวิตที่สุขสบาย มีคนคอยฮับใจ้ มีทุกอย่างที่ใจผาทะนานี่หนา” (ทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่บ้านเก่า เจ้ามีชีวิตทีสุขสบาย มีข้าทาสบริวาร มีทุกอย่างที่ใจปรารถนาเนี่ยนะ) น้อยคำเขินยิ้มให้กับคำถามของคนรัก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาเคยตั้งคำถามกับตัวเองเมื่อครั้งที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ แต่แล้วเขาก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้
“ตอนอยู่บ้านเก่า น้องก็ยอมรับว่ามันสบายกว่าที่นี่หลาย แต่ที่นี่ก็หื้อในสิ่งที่บ้านเก่าหื้อน้องบ่ได้ นั่นคือการได้ฮักกับอ้าย ถ้ายังอยู่ที่บ้านเก่า ป้อของน้องต้องบ่เปิงใจ๋แน่ ๆ ที่เฮาฮักกั๋น” (ตอนอยู่บ้านเก่า น้องก็ยอมว่ามันสบายกว่าที่นี่มาก แต่ที่นี่ก็ให้ในสิ่งที่บ้านเก่าให้ไม่ได้ นั่นคือการได้รักกับพี่ ถ้ายังอยู่ที่บ้านเก่า พ่อของน้องต้องไม่ชอบใจแน่ ๆ ที่เรารักกัน) น้อยคำเขินชะงักกับคำพูดของตนเอง พลางนึกถีงผู้เป็นบิดา ถ้าพ่อรู้พ่อคงไม่พอใจที่เขาเป็นเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มันห้ามกันได้ที่ไหน
“นั่นน่ะก่ะ ป่านนี้ป้อของเจ้าคงจะเป็นห่วงเจ้าหลาย นี่ก็เข้าปี๋ตี้สี่แล้วที่เจ้ามาอยู่กับอ้าย บ่ฮู้ว่าตอนนี้ทางนู้นจะเป๋นจะได จะจับคนตี้กึ๊ดฮ้ายเจ้าได้หรือยัง” (นั่นน่ะซี ป่านนี้พ่อของเจ้าคงจะเป็นห่วงเจ้ามาก นี่ก็เข้าปีที่สี่แล้วที่เจ้ามาอยู่กับพี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ทางนู้นจะเป็นยังไง จะจับคนที่คิดร้ายกับเจ้าได้หรือยัง)
“จะจับได้หรือบ่ได้ก็ช่างมันเต๊อะ ถึงจับได้ น้องก็บ่ปิ๊กแล้ว น้องจะอยู่ตี้นี่กับอ้าย” (จะจับได้หรือไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงจับได้น้องก็ไม่กลับแล้ว น้องจะอยู่ที่นี่กับอ้าย) คำพูดของน้อยคำเขินในตอนนี้เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่มาชโลมหัวใจอันห่อเหี่ยวของไจยยาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เขาจะไม่มีวันปล่อยมือจากชายผู้เป็นดั่งดวงใจของเขาอีกแล้ว
“เฮาใคร่อยากฟังอ้ายดีดเปี๊ยะ บ่ได้ฟังเมินแล้ว” (น้องอยากฟังพิณเปี๊ยะ ไม่ได้ฟันนานแล้ว) น้อยคำเขินเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกลัวว่าไจยยาจะคิดมากเกินไป ชายร่างใหญ่เองก็นึกอยากเล่นให้กับคนรักฟังเช่นกัน เพราะนานแล้วที่พวกเขาไม่มีเวลาร่วมกัน
“แล้วเจ้าใคร่ฟังเพลงได” (แล้วเจ้าอยากฟังเพลงไหน)
“เพลงเดิมที่อ้ายชอบเล่น” ไจยยาอดที่จะยีหัวน้อยคำเขินด้วยความเอ็นดูอย่างเสียไม่ได้ ด้วยเพลงนี้เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาเองเมื่อครั้งที่พวกเขาเดินทางรอนแรมอยู่ในป่า ก่อนจะมาถึงบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเล่นมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็เป็นเพลงที่น้อยคำเขินไม่เคยเบื่อที่จะฟัง
ชายร่างใหญ่ลุกหายเข้าไปในห้องนอนอยู่ครู่หนึ่ง เขาหยิบเครื่องสายที่คนเมืองเหนือเรียกว่า เปี๊ยะ ออกมาปัดฝุ่นอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างน้อยคำเขินดังเดิม เขาถอดเสื้อนอนของตัวเองออก เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้ออย่างชายชาตรีรวมกับรอยสักที่มีอยู่เกือบจะเต็มตัว เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่องช่างเป็นภาพที่น่ามองสำหรับน้อยคำเขินเหลือเกิน
ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งจับส่วนกะโหลกของพินไว้ให้อยู่แนบอก ก่อนจะกรีดนิ้วลงบนสาย เสียงทุ้มต่ำที่เกิดจากการกระทบกันของกะโหลกพินกับแผ่นอกของไจยยานั้นดังเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ เคล้าเคลียไปกับเสียงหรีดหริ่งเรไรของเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในยามค่ำคืน เหตุที่น้อยคำเขินชอบให้ไจยยาเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ฟัง เพราะทุกครั้งที่ที่เสียงทุ้มต่ำนี้ได้ออกมาจากกะโหลกของพิน มันเหมือนได้ออกมาจากหัวใจของชายผู้นี้ด้วย เสียงเพลงจากเปี๊ยะ จึงเปรียบเหมือนกับเสียงเพลงที่ออกมาจากหัวใจ…
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ไจยยาได้บรรเลงเพลงรักที่แสนหอมหวานให้กับคนรักได้ฟัง จนเพลงจบลง ความรู้สึกมากมายที่น้อยคำเขินได้เก็บงำมาตลอดก็ได้หลั่งไหลออกมาออกมาเป็นน้ำตาที่อาบพวงแก้มอันขาวนวลของเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเพราะอะไรเขาถึงรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครร่วมยินดีกับความรักของพวกเขาสักนิด
เมื่อครั้งแรกที่พวกเขาได้มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ไจยยาได้อาศัยว่าตัวเองเป็นน้องชายของเมียป้อหลวง…หรือผู้ใหญ่บ้านในความเข้าใจของคนเมืองใต้ ตอนนั้นไจยยาบอกกับพี่สาวของเขาเพียงว่า น้อยคำเขินถูกปองร้ายจนเกือบถึงแก่ชีวิต ที่ต้องช่วยพาหนีเพราะพ่อของคำเขินมีพระคุณต่อเขานัก พี่สาวของเขารับคำและยินดีช่วยให้ที่พักพิง
ไม่นานหลังจากนั้นน้อยคำเขินกับไจยยาก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่แห่งนี้ บ้านหลังเล็ก ๆ ของพวกเขาถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือจากชาวบ้านในละแวกนั้น ทั้งสองคนเป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี เพราะทั้งไจยยาและน้อยคำเขินเป็นคนขยัน เอาการเอางาน เมื่อมีงานไร่งานสวน หรืองานบุญป๋าเวณีต่าง ๆ ทั้งคู่ก็ได้ช่วยอย่างเต็มที่ จนวันหนึ่งที่มีคนเริ่มระแคะระคายกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง และได้รู้ว่าที่จริงแล้วน้อยคำเขินเป็น “ปู้เมีย” หรือพวกลักเพศ และอยู่กินกับไจยยาอย่างคู่ผัวตัวเมีย ผู้คนก็เริ่มรังเกียจและตีตัวออกหาก เพียงเพราะพวกเขาต่างไปจากฮีตจากฮอย จะมีก็เพียงพี่สาว นางคำหล้ากับผัวของนางเท่านั้นที่ยังคบหากับไจยยาและน้อยคำเขิน
หลังจากที่ผ่านสิ่งต่าง ๆ ก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เมื่อนางจันทน์ผา พี่สาวของไจยยาตั้งครรภ์ ในวันที่นางคลอดลูก สามีของนางได้เข้าป่าไปล่าหมูกับลูกบ้าน แต่โชคร้ายที่ถูกงูพิษฉกจนตาย ลูกบ้านที่ติดตามนำข่าวมาบอกกับนาง นางเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร และนางก็จากไปหลังจากที่ลูกน้อยเพิ่งออกมาลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน เขากับไจยยาจึงรับเด็กหญิงมาเลี้ยงดูประหนึ่งลูกในอุทร และตั้งชื่อให้กับเธอว่า จันทร์ทิพย์
เด็กหญิงเติบโตมาด้วยความรักจากพ่อทั้งสอง ถึงแม้ว่าจะถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันมากลั่นแกล้ง ล้อว่าพ่อของตนเป็นปู้เมีย เป็นพวกผิดเพศ แต่เด็กหญิงก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอรักและเคารพพ่อของเธอเสมอ…
“นี่ก็ผ่านมาสี่ปี๋ละหนา ยะหยังบ่ะไจยยาถึงบ่ส่งข่าวคราวของลูกข้ามาพ่องเลย” (นี่ก็ผ่านมาสี่ปีแล้วหนา ทำไมไอ้ไจยยาถึงไม่ส่งข่าวคราวของลูกข้ามาบ้างเลย) ชายวัยกลางคนพูดขึ้นกับทหารคนสนิท เจ้าวงศ์พรหม ผู้มีศักดิ์เป็นญาติของเจ้าหลวงผู้ครองนครพิงค์
นับตั้งแต่วันที่ลูกชายเพียงคนเดียวอย่าง เจ้าน้อยพรหมธาดา ถูกปองร้ายจนเกือบถึงแก่ชีวิต ด้วยความเป็นห่วงลูก เขาจึงออกอุบายให้คนร้ายได้เข้าใจว่าลูกชายของเขาได้ตายไปแล้ว โดยการส่งโจรไปลักพาตัวเจ้าน้อยพรหมธาดา โจรผู้นั้นคือ ไจยยา นายทหารคนที่เขาไว้วางใจ
ในครั้งแรกไจยยาดูจะไม่พอใจกับงานนี้สักเท่าไหร่ เขาได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าทำไมต้องเป็นเขา แต่เมื่อได้ใกล้ชิด ได้ผ่านความลำบากในการเดินทางและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันร่วมเดือน ไจยยาก็ตกหลุมรักเจ้าน้อยอย่างไม่รู้ตัว ส่วนตัวของเจ้าน้อยเองก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อไจยยามาก่อนหน้าแล้ว เมื่อมีเหตุให้ต้องมาใกล้ชิดกัน ตัวเขาก็เดินหน้าทำตามหัวใจตนเอง สุดท้ายคนทั้งสองก็ตกเป็นของกันและกัน สัมผัสที่เต็มไปด้วยความรักในครั้งนั้น เป็นสิ่งที่เขาทั้งคู่จะจดจำไปชั่วชีวิต
ไจยยาคิดอยู่นานว่าจะพาเจ้าน้อยไปซ่อนตัวที่ไหน จนมาจบที่ นันทะนคร บ้านเกิดของเขา…
“เจ้าวงศ์พรหมเจ้า หมู่เฮาได้ข่าวของเจ้าน้อยแล้วเจ้า”(บาทเจ้า พวกเราได้ข่าวของเจ้าน้อยแล้วขอรับ) นายทหารผู้หนึ่งเข้ามารายงานแก่ผู้เป็นนาย เมื่อเจ้าพ่อถาม ถึงรายละเอียด นายทหารผู้นั้นกลับละล่ำละลัก ไม่ยอมพูด เจ้าพ่อโกรธจนยกดาบมาชี้หน้านายทหารผู้นั้น จนเขายอมปริปากบอก
“มึงบ่ได้จุ๊กูแม่นก่อ”(มึงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม) เจ้าพ่อตวาดลั่น เมื่อได้ยินถึงสิ่งที่นายทหารคนนั้นพูด เขาไม่คิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจะเป็นอย่างที่ไอ้ผู้นี้พูด
”เป๋นเรื่องแต้เจ้า สายของเฮาบอกว่ามันไปปะเจ้าน้อยกับอ้ายไจยยาตี้นันทะนครเจ้า”(เป็นเรื่องจริงขอรับ สายของเราบอกว่าไปเจอเจ้าน้อยกับอ้ายไจยยาที่นันทะนครขอรับ) ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดต่อว่าสายของเขาไปเจอคนทั้งสองแบบไหน เพราะเกรงว่าดาบในมือของเจ้าพ่อจะฟาดฟันลงมาบนคอของเขาจนขาดกระเด็น
“กูจะไปผ่อหื้อหันกับต๋า ว่าลูกกูบ่ได้เป๋นอย่างตี้มึงอู้ ถ้าลูกกูบ่ได้เป็นจะอั้น ตอนกูปิ๋กมามึงเกียมตั๋วของมึงไว้หื้อดี”(กูจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าลูกกูไม่ได้เป็นอย่างที่มึงพูด ถ้าลูกกูไม่ได้เป็นอย่างนั้น ตอนกูกลับมามึงเตรียมตัวของมึงไว้ให้ดี) ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็ลุกพรวดออกจากตั่งไป ทิ้งให้นายทหารคนนั้นนั่งตัวสั่นจนไม่กล้าลุกไปไหน
วันนี้เป็นวันที่น้อยคำเขินเหนื่อยกว่าทุกวัน เพราะทั้งไจยยาและจันทร์ทิพย์ป่วยพร้อมกัน แต่ผู้เป็นลูกนั้นมีอาการที่น่าเป็นห่วงมากกว่า เขาจึงตัดสินใจพาลูกไปหาหมอยาประจำหมู่บ้าน และให้ไจยยานอนพักอยู่ที่บ้าน
น้อยคำเขินอุ้มลูกออกจากบ้านไปแล้ว เหลือแต่ไจยยาที่ยังนอนอยู่ในห้องเพราะพิษไข้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงเท้าของคนนับสิบเหยียบลงบนแผ่นไม้ที่บ้านของเขา ไจยยาพยายามฝืนร่างกายของตัวเองลุกจากที่นอนเพื่อไปดูว่าใครมาหา
ผู้มาเยือนทำเอาไจยยาใจสั่น “เจ้าวงพรหม” เขาเอ่ยชื่อนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เจ้าของชื่อมองนายทหารเอกที่เป็นคนพาลูกของเขาลี้ภัยจากคนชั่วและไม่ได้ข่าวอีกเลยนับสี่ปี บัดนี้เขาทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไจยยาเผชิญหน้ากับผู้เป็นนายมองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว ถึงแม้ว่าการปรากฏตัวของเจ้าวงศ์พรหมในครั้งนี้อาจจะทำให้กับกับเจ้าน้อยต้องพรากจากกัน แต่เขาก็จะสู้…เพื่อคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ
“มึงเอาลูกกูไปไว้ตี้ไหน” เจ้าวงศ์พรหมพูดเสียงสั่น ในใจของเขาเองก็กลัวไม่ต่างกัน หากข่าวลือที่ลูกชายของตนอยู่กินกับผู้ชายด้วยกันอย่างผัวเมียเป็นเรื่องจริง หัวใจของคนเป็นพ่อก็คงสลายเกินกว่าจะรับไหว
“กูถาม ว่ามึงเอาลูกกูไปไว้ตี้ไหน มึงตอบกูมา ไอ้ไจยยา มึงตอบกูมา” เมื่อไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็เข้ามากระชากตัวของไจยยา ผู้เป็นนายปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจว่าตนกำลังอยู่ต่อหน้าบริวาร สิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้คือการหน้าพบหน้าลูกชายเพียงเท่านั้น
“ท่านบ่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เจ้าน้อยอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว บ่มีภยันตรายใด ๆ ที่จะมาแผ้วพานได้ ขอท่านจงวางใจ๋เถิด” ไจยยาเลือกที่จะโกหก อาจจะดูเป็นการเห็นแก่ตัวที่ทำเช่นนี้ แต่เขาก็ทนไม่ได้เช่นกัน หากจะต้องเสียเจ้าน้อยไป
“ลูกเป๋นสิ่งตี้มีค่าตี้สุดในชีวิตของกู มึงบอกกูมาเต๊อะ ว่าลูกกูมีไหน กูกึดเติงหาลูก”เจ้าวงศ์พรหมพยายามขอร้องแกมอ้อนวอนให้ไจยยาบอกที่ซ่อนของเจ้าน้อย แต่ถึงอย่างไรไจยยาก็ไม่ยอมใจอ่อน จนเจ้าวงศ์พรหมทำในสิ่งที่เหล่าทหารที่ติดตามรวมถึงไจยยาก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
ชายวัยกลางคนค่อย ๆ คุกเข่าลงต่อหน้านายทหาร ไจยยารีบย่อตัวลงตามเพราะเกรงว่าคงจะไม่เหมาะหากให้เจ้านายมาก้มหัวให้เขาเช่นนี้
“เจ้า…ถ้าเฮาบอกเจ้าไป เฮากับเจ้าน้อยก็คงต้องจากกั๋น หากเจ้าน้อยเป๋นสิ่งตี้มีค่าตี้สุดในชีวิตของเจ้า เฮาเองก็เหมือนกั๋น สำหรับเฮา เจ้าน้อยคือคนตี้เฮาฮัก เป๋นดั่งดวงใจ๋” เจ้าวงศ์พรหมโกรธจนหน้าสั่นที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นนายได้ลุกขึ้นจากการคุกเข่าพร้อมกับตบไปที่ใบหน้าของไจยยาอย่างเต็มแรงและตวาดลั่น
“เรื่องตี้ลูกกูกับมึงฮักกั๋นก็เป๋นเรื่องแต้ มึงยะจะอี้ได้จะได ไอ้ไจยยา กูหื้อมึงมาคุ้มกันลูกกู บ่ใช่หื้อมึงมายะกับลูกกูจะอี้”(เรื่องที่ลูกกูกับมึงรักกันเป็นเรื่องจริง มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง ไอ้ไจยยา กูให้มึงมาคุ้มกันลูกกู ไม่ใช่ให้มึงมาทำกับลูกกูอย่างนี้)
“เรื่องความฮักมันห้ามกั๋นบ่ได้หรอกเจ้า”
“ถ้าจะอั้น ทหาร จับตั๋วมันเอาไว้ ยะจะไดก็ได้หื้อมันยอมเปิดปากว่าเอาลูกกูไปซ่อนไว้ที่ได”(ถ้าอย่างนั้น ทหาร จับตัวมันเอาไว้ ทำยังไงก็ได้ให้มันยอมเปิดปากว่าเอาลูกกูไปซ่อนไว้ที่ไหน) พอสิ้นคำสั่ง เหล่าทหารก็เข้ามารุมตัวของไจยยา ชายหนุ่มพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังแต่ด้วยฤทธิ์ไข้ทำให้เขาไม่อาจต่อต้านพละกำลังของชายนับสิบคนได้ สุดท้ายเขาก็นอนจมกองเลือดของตัวเอง
“เฝ้ามันไว้ตรงนี้ กูเชื่อว่าลูกกูต้องอยู่แถวนี้”
“เป๋นจะไดพ่องลูก ดีขึ้นพ่องก่อ”(เป็นอย่างไรบ้างลูก ดีขึ้นบ้างไหม) น้อยคำเขินวางมือทาบบนพวงแก้มอ่อนเพื่อวัดความร้อนพลางเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องลงมาราวกับจะแผดเผาให้ร่างกายมอดเป็นจุล ชายหนุ่มจึงประคองลูกน้อยไว้ในอ้อมกอดและจ้ำอ้าวเพื่อที่จะกลับให้ถึงบ้านโดยไว
ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนเพียงใดแต่ก็ยังไม่เท่ากับความร้อนรุ่มในใจของน้อยคำเขินได้ เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก คิดแต่ว่าตนกับลูกต้องกลับไปถึงบ้านให้เร็วที่สุด
เมื่อกลับมาถึงบ้านชายหนุ่มก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น ทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ ไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่บ้านของคำหล้าที่อยู่ละแวกเดียวกันก็ไม่มีเสียงโหวกเหวกหยอกล้อกันของสองผัวเมียอย่างที่น้อยคำเขินมักได้ยินทุกวัน
“อ้ายไจยยาท่าจะยังหลับอยู่” น้อยคำเขินกระชับลูกไว้ก่อนจะย่างขึ้นบันไดบ้านอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้นเอง ร่างของไจยยาก็ถูกซัดลงมาที่แทบเท้าของเขา ก่อนจะปรากฏร่างของบุคคลที่ทำให้เขาแทบเข่าทรุดทันทีที่ได้พบหน้า
“เจ้าป้อ…” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกยิ้มรับอย่างอ่อนโยน เขาก้าวเดินมาหาลูกชายและสวมกอดด้วยความคิดถึง หากเป็นเมื่อก่อน น้อยคำเขินคงจะดีใจไม่น้อยที่ได้เจอกับเจ้าพ่ออีกครั้ง แต่ในเมื่อตกลงกับไจยยาแล้วว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ชายหนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านอีก การได้มาเจอกับเจ้าพ่อในตอนนี้ คงไม่เป็นผลดีแน่ ๆ
“ผอมลงไปนักเลยนะลูก อยู่ตี้นี่ท่าจะลำบาก ลูกปิ๊กบ้านกับป้อเหียวันนี้เลยดีบ๋อ” เจ้าพ่อวงศ์พรหมพลิกร่างกายของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหันซ้ายขวาเพื่อสำรวจ เมื่อได้เห็นสภาพลูกชายจากที่เคยผุดผ่องแลมีน้ำมีนวล บัดนี้กลับไม่เป็นอย่างเก่า นั่นทำให้คนเป็นพ่อรู้สึกสะท้อนใจอยู่ไม่น้อย
“ว่าจะไดลูก ปิ๊กบ้านกับป้อเน้อ บ่ต้องกลัว ป้อจับตั๋วคนฮ้ายได้แล้ว โหะ แล้วอี่ละอ่อนน้อยนี่ลูกไผน่ะลูก”
“เจ้าป้อ ลูก…ขอสุมาเน้อเจ้า” น้อยคำเขินที่บัดนี้กลับคืนสู่การเป็นเจ้าน้อยร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เจ้าชายหันไปมองคนรักที่ตอนนี้นอนจมกองเลือด ความอดทนในการปั้นหน้าหาผู้เป็นพ่อก็สิ้นสุดลง เขาวางเด็กหญิงลง เมื่อถึงพื้น เจ้าตัวดีก็รีบปรี่ไปหาพ่อไจยยา เจ้าน้อยเองก็เช่นกัน เขายอบตัวลงนั่งและประคองไจยยาให้มาอยู่ในอ้อมแขน เจ้าพ่อมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงข่าวลือที่คนทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน
ชายผู้เป็นใหญ่เหนือทุกคนในที่แห่งนี้รู้สึกหน้าชา มือไม้สั่น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนไม่สามารถประคองตัวเองให้ดำรงอยู่ได้ เขาทรุดตัวลงไปกองกับพื้น เหล่าทหารที่ติดตามมาต่างพากันมาช่วยประคองอย่างจ้าละหวั่น แต่เจ้าวงศ์พรหมกับผลักทุกคนให้พ้นตัว ก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี ลุกขึ้นยืนได้อย่างไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก
“มันเกิดขึ้นได้จะได พรหมธาดา” เจ้าพ่อถามเสียงสั่น สิ่งที่เขากลัวมาตลอดการเดินทาง วันนี้มันเกิดขึ้นต่อหน้าของเขาเอง ความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งกลัว เสียใจ ผิดหวัง เมื่อทุกอย่างมารวมกันจึงกลายเป็นความโกรธ เมื่อตั้งสติได้ เจ้าพ่อก็รีบปรี่ไปหาลูกชาย ลากออกมาให้พ้นไอ้ผู้ชายคนนั้น
“มันบ่ใช่อย่างตี้ป้อคิดแม่นก่อ บอกป้อมา” เจ้าวงศ์พรหมจับแขนทั้งสองข้างของเจ้าน้อยเขย่าถามคาดคั้นเอาความจริงทั้งน้ำตา เจ้าน้อยเองก็ได้แต่ยืนนิ่งทั้งน้ำตา เมื่อไม่ได้คำตอบ ผู้เป็นพ่อก็ฝากฝ่ามือหนาไปที่ใบหน้าของลูกจนล้มไปกองกับพื้น
“ลูกขอสุมานะเจ้า แต่ลูกฮักเขา เฮาสองคนฮักกั๋นแต้ ขอเจ้าป้อเห็นใจหมู่เฮาทั้งสองตวยเต๊อะเจ้า” เจ้าน้อยที่เจ็บทั้งกายและใจพยายามเอี่ยวตัวมากราบแทบเท้าผู้เป็นพ่อหวังจะขอความเห็นใจ แต่เจ้าพ่อกลับชักเท้าหนี และเปลี่ยนเป้าหมายไปหาไจยยาแทน แต่ยังไม่ทันที่เจ้าพ่อจะได้ทำอันตรายไจยยาเจ้าน้อยก็เข้ามาขวางเสียก่อน
“เจ้าป้อบ่ดีทำอะไรเขาเลยนะเจ้า ลูกขอ ลูกบ่อยากปิ๊กบ้านแล้วปล่อยเฮาสองคนไปเต๊อะเจ้า” เจ้าพ่อมองภาพของคนทั้งสามนั่งกอดกันร้องไห้อย่างรู้สึกสังเวชอยู่ลึก ๆ ไม่นานนักเขาก็เบือนหน้าหนี พร้อมกับยื่นคำขาดให้กับเจ้าน้อย
“ระหว่างป้อ กับไอ้ป้อจายคนนี้ ลูกจะเลือกไผ” แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบได ๆ กลับมา ชายวัยกลางคนปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลลงมา ก่อนจะปาดมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ไอ้ลูกบ่ฮักดี หลังจากนี้ มึงบ่ต้องมาฮ้องกูว่าป้อ” เมื่อลั่นวาจาตัดขาดความเป็นพ่อลูก เจ้าวงศ์พรหมก็หันไปออกคำสั่งกับทหารที่ติดตาม “หมู่มึง ปิ๊ก!”
“เจ้าน้อย อ้ายขอสุมาเต๊อะเน้อ ที่อ้ายพาให้ชีวิตของเจ้าน้อยตกต่ำได้ถึงเพียงนี้” ชายร่างใหญ่นอนพูดทั้งน้ำตาในขณะที่คนรักอย่างน้อยคำเขินหรือเจ้าน้อยกำลังเช็ดคราบเลือดให้เขาทั้งที่น้ำตาของตนก็อาบแก้มไม่ต่างกัน เจ้าน้อยได้แต่ก่นด่าโทษชะตาฟ้าดินภายในใจ ว่าทำไมต้องทำให้เขากับคนรักต้องเจอแต่อุปสรรคหนักหนา ครั้นจะมีความสุขด้วยกันก็มีเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ทำไมกัน จะให้เขาทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขบ้างไม่ได้เลยหรือ
“ถ้าเจ้าใคร่จะปิ๊กบ้านกับเจ้าป้อ” ยังไม่ทันที่ไจยยาจะพูดจนจบประโยค เจ้าน้อยก็ก้มลงไปปิดปากของคนรักด้วยปากของเขา อย่างที่เคยทำอยู่บ่อย ๆ “อ้ายบ่ต้องอู้อะหยังแล้ว นอนนัก ๆ ยามแลงน้องจะไปตามป้อหมอมาผ่ออ้าย อ้ายจะต้องหายโวย ๆ มาอยู่กับน้องกับลูกนะเจ้า”
“ไปตามลูกมาได้บ๋อ อ้ายอยากอู้กับลูก”
“เจ้า”
เจ้าน้อยหายออกไปข้างนอกบ้านเพื่อไปรับจันทร์ทิพย์ หลังจากที่เจ้าพ่อกลับไปเด็กหญิงก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุดเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าน้อยที่ต้องวุ่นวายกับการดูแลไจยยาที่ถูกนายทหารของเจ้าพ่อทำร้ายปางตาย เลยเลือกที่จะปลอบเธอให้หยุดร้องไห้เสียก่อนที่จะนำไปฝากกับคำหล้า
“ป้อเจ้า” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงลอยมาเข้าโสตประสาทก่อนที่จะเห็นตัวเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผู้ป่วยที่นอนอยู่รู้สึกใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย เด็กหญิงยอบตัวลงนั่งข้างสะลีที่ผู้เป็นบิดาเอนกายนอนอยู่ ไจยยาเอื้อมมือไปลูบหัวทุยนั่นอย่างรักใคร่ แม้จะไม่ใช่ลูกในอุทรแต่เขาก็รักเด็กหญิงคนนี้มากเหลือเกิน
“จันทร์ทิพย์เหย หลังจากนี้ก็บ่ดีฮ้ายบ่ดีเกกับป้อน้อยนักเน้อลูก”
“เจ้า” เด็กหญิงตอบกลับมาอย่างไร้เดียงสา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำพูดของพ่อสื่อไปถึงอะไร จึงได้รับคำไปอย่างเด็กที่ว่าง่าย แต่เจ้าน้อยที่นั่งฟังด้วยก็รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกควักหัวใจออกไปจากอก
“อ้ายอู้อะหยังจะอั้น จันทร์ทิพย์มันยังละอ่อน ก็ต้องฮ้ายต้องเกไปตามประสา อ้ายต้องช่วยน้องผ่อลูก ช่วยกันบอกช่วยกันสอนถึงจะถูก” ไจยยาไม่พูดอะไรอีกได้แต่ยิ้มให้กับคนรัก และผล็อยหลับไป
“เอายานี้ต้มหื้อบ่ะไจยยามันกิ๋นเน้อคำเขิน” พ่อหมอประจำหมู่บ้านยื่นถุงยาให้เจ้าน้อยหลังจากที่ได้เข้าไปตรวจอาการของไจยยา
“อ้ายไจยยาจะหายเมื่อไดเจ้าป้อหมอ”
“อันนี้ข้าก็ตอบบ่ได้ แต่ข้างในของมันบอบช้ำอย่างหนัก บ่ฮู้ว่าจะฟื้นได้แหมมะได ข้าก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้นี่ล่ะ”
“ยินดีเน้อป้อหมอ ตี้มาช่วยฮักษาอ้ายไจยยา”
“บ่เป็นหยัง มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่ละ”
ค่ำคืนของวันนั้น หลังจากที่เจ้าน้อยกล่อมให้ลูกหลับ เขาก็เข้ามานอนกับไจยยาเหมือนอย่างที่เคยทำ “อ้ายขอนอนกอดเจ้าจะได้หรือไม่” ไจยยาเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าน้อยกำลังจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างเขา
“ได้กา เฮาบ่ได้เป็นคนอื่นกันแล้วหนา ทำไมจะนอนกอดกันบ่ได้” ว่าแล้วก็ซุกตัวเข้าไปรับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากชายคนรัก
“อ้ายฮักเจ้า ชีวิตนึ้คนที่อ้ายจะฮักได้เท่าเจ้า คงบ่มีแหมแล้ว” ประโยคบอกรักอันแสนหวานที่มาพร้อมกับการประทับรอยจูบบนหน้าผากนั้น เหมือนกับหยาดน้ำทิพย์ที่มาชโลมจิตใจ ทำให้เขาสามารถลบเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปจากหัวได้
“น้องก็ฮักอ้าย แม้ว่าจะบ่มีไผมาร่วมยินดีไปกับความฮักของสองเฮา แต่น้องก็จะขอฮักอ้ายไปแบบนี้ ต่อหื้อวันข้างหน้าหมู่เฮาจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากสักเพียงได น้องก็บ่กลัว ขอแค่มีอ้ายอยู่ข้างน้องอย่างนี้ น้องก็บ่กลัวอะหยังทั้งนั้น อ้ายสัญญากับน้องได้ก่อ ว่าอ้ายจะบ่ปล่อยมือน้อง”
“อ้ายสัญญา เฮาจะผ่านเรื่องร้าย ๆ นี้ไปตวยกั๋นเน้อ” เจ้าน้อยยื่นหน้าไปหอมแก้มของไจยยาเพื่อรับคำสัญญานั้น ก่อนที่พวกเขาจะดำดิ่งไปสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดของกันและกัน
เสียงไก่ป่าโก่งคอขันเพื่อป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้ว เจ้าน้อยที่มักจะตื่นก่อนไก่ขันเสมอ วันนี้กลับตื่นช้ากว่า เจ้าตัวนึกตำหนิตัวเอง ตื่นสายอย่างนี้จะทำกับข้าวทันกินไหมนอ ยิ่งอ้ายไจยยาไม่สบายอย่างนี้ แล้วไหนจะลูกอีก
เจ้าน้อยรีบลุกขึ้นจากที่นอน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากอ้ายไจยยา “อ้าย ๆ เช้าแล้วหนา อ้าย” เมื่อทั้งสะกิดทั้งเรียกอย่างไร ชายร่างใหญ่ก็ไม่ยอมตื่น เจ้าน้อยเริ่มหน้าถอดสี ขอให้ไม่ใช่อย่างที่ตนเองคิด เขาพยายามกลั้นใจเอานิ้วไปอังบริเวณจมูกของคนรัก
แต่ก็ไร้ซึ่งลมหายใจ…
ไจยยาตายแล้ว…
วินาทีนั้นเจ้าน้อยกรีดร้องอย่างคนที่สิ้นสมประดี จนเด็กหญิงจันทร์ทิพย์ที่นอนอยู่ฟูกข้าง ๆ สะดุ้งตื่นขึ้น คำหล้ากับผัวที่อยู่บ้านข้าง ๆ ก็ได้ยินเสียงจนต้องรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น สองผัวเมียขึ้นบ้านของไจยยาอย่างถือวิสาสะก็เห็นเจ้าน้อยกำลังกอดร่างอันไร้วิญญานของไจยยากับจันทร์ทิพย์ที่มองพ่อทั้งสองอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาที่สุดเท่าที่นางคำหล้าและผัวเคยได้เห็น
งานศพของไจยยาถูกจัดขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้าน แม้คนอื่น ๆ จะไม่ชอบใจกับความรักของคนทั้งคู่ แต่พวกเขาก็รู้สึกเห็นใจและสงสารน้อยคำเขินอยู่ไม่น้อย บางรายที่เคยล้อเลียนเล่นหัวก็ได้มากล่าวขอสุมาอภัย
การเวลาผ่านเลยไป เด็กหญิงจันทร์ทิพย์ได้เติบโตมาอย่างดีจากการเลี้ยงดูของน้อยคำเขิน จากเด็กหญิงตัวน้อยสู่สาวจี๋ที่กำลังจะแต่งงานกับชายที่เธอรัก
“ลูกยังบ่อยากแต่งเลยเจ้าป้อ” หญิงสาวพูดหน้ากระจก มองเงาของตนที่สะท้อนออกมา เธอสวมเสื้อปั๊ดสีกรมเข้มเข้าคู่กับซิ่นก่านอย่างคนลื้อ น้อยคำเขินที่กำลังเคียนผมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวหลุดยิ้ม นึกในใจว่าอยากจะเป็นสาวเคิ้นอยู่กับพ่อตลอดไปหรืออย่างไร
พิธีแต่งงานของจันทร์ทิพย์กับน้อยหมานผ่านไปอย่างราบรื่น หลังจากงานพิธีเสร็จน้อยคำเขินก็กลับมาที่ห้องนอนของตน เขาหยิบเอาพิณเปี๊ยะที่ถูกเก็บเอาไว้บนหัวนอนออกมาเช็ดฝุ่นอย่างทะนุถนอม พลันนึกหวนไปถึงวันเก่า ๆ ที่เขากับไจยยาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอน แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่หัวใจดวงน้อยของน้อยคำเขินคนนี้ก็จะมีแต่อ้ายไจยยาเพียงผู้เดียว
“ตั๋วข้า พรหมธาดา ขอผาถนาต่อหน้าเตวะดาฟ้าดิน หากข้ายังปอจะมีวาสนาได้เป๋นคู่ซ้อนกับอ้ายไจยยา ขอหื้อข้าได้ปะกับเขาแหมสักครั้ง ขอหื้อความฮักของข้ากับความฮักของคนอื่น ๆ ตี้เป๋นอย่างข้า ได้รับการยอมรับในสักวันหนึ่ง บ่ดีหื้อไผต้องมาต๋ายย้อนบ่มีคนหันตวยกับความฮักแหมเลย”
(ตัวข้า พรหมธาดา ขออธิษฐานต่อหน้าเทดาฟ้าดิน หากข้ายังพอมีวาสนาได้ครองคู่กับอ้ายไจยยา ก็ขอให้ข้าได้เจอเขาอีกสักครั้ง ขอให้ความรักของข้ากับความรักของคนอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนข้า ได้รับการยอมรับในสักวันหนึ่ง อย่าให้ใครต้องมาตายเพราะไม่มีใครเห็นด้วยกับความรักของพวกเขาอีกเลย)
ช่วงชีวิตสุดท้ายของเจ้าน้อยพรหมธาดาเป็นอย่างไร ไม่มีใครสามารถบอกได้ เพราะหลังจากงานแต่งงานของจันทร์ทิพย์ ก็ไม่มีใครได้พบเห็นเจ้าน้อยอีกเลย บ้างก็ว่า เจ้าน้อยได้ออกเดินทางไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย บ้างก็ว่า พอจันทร์ทิพย์โตเป็นสาวและมีคนมาดูแลเธอต่อจากเขา เจ้าน้อยก็หมดห่วง จึงตายตามคนรักไป แต่อย่างไรก็ดี จันทร์ทิพย์หวังเพียงว่า พ่อของเธอทั้งสองจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง…
19 พฤศจิกายน 2565
วันนี้เป็นอีกวันที่คนได้มารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันที่มีกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ได้เดินขึ้นดอยเพื่อไปสักการะพระธาตุหลวงอันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ปีแรก ๆ ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัย แต่ด้วยสถานการณ์การเกิดโรคระบาดทำให้กิจกรรมนี้ถูกงดไปถึงสองปี และในปีนี้ที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น กิจกรรมนี้จึงถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นโอกาสอันดีที่เหล่าบรรดารุ่นพี่ศิษย์เก่าจะได้กลับมารวมตัวกัน บรรยากาศภายในงานจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ขบวนนักศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์เคลื่อนตัวออกสู่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยในเวลาเจ็ดโมงเช้า ในขณะที่ “ธราเทพ” ที่ตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์น้องสาวที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ แต่ด้วยจำนวนคนที่มีมาก ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันรวมไปถึงสื่อมวลชนที่มาร่วมให้กำลังใจกับน้อง ๆ ทำให้เขาต้องพยายามฝ่าฝูงชนเพื่อที่จะเข้าไปดูกลุ่มน้อง ๆ ได้อย่างถนัด
“ระเบียบเชียร์ บูมคณะ ท่าเตรียม” เสียงจากพี่สโมคอยสั่งการให้น้อง ๆ ได้เตรียมพร้อมสำหรับการบูมเพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้กับตนเอง
“ฮิ้วแมนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน บู๊มมมมมมม
ฮิ้วแมนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน บู๊มมมมมมม
เอช เอช ยู เอ็ม เอ็ม เอ็ม เอ เอ็น เอ็น เอ็น ไอ ที ที ที ไอ อี เอสสสสส
ฮิ้วแมนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน บู๊มมมมมมม”
เสียงบูมจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือให้กำลังใจจากพี่ ๆ ที่อยู่รอบข้างทำให้ธราเทพรู้สึกใจชื้นขึ้นว่าตนเองยังมาทันน้องสาว ถ้าเจ้าหล่อนรู้ว่าเขาจะมาสายขนาดนี้คงจะถูกงอนไปอีกหลายวัน
ชายหนุ่มพยายามมองหาน้องสาวอยู่ครู่ใหญ่ ก็เจอกับยัยตัวแสบของเขา แต่คนที่ทำให้ธราเทพรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดบนหัวจนรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวคือผู้ที่เดินคู่มากับน้องสาวของเขา เขาคนนั้นเป็นเด็กผู้ชาย อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของเขา ชุดพื้นเมืองสีม่วงกับกางเกงสะดอสีดำที่น้องใส่ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เดินในขบวนด้วยกัน แต่ธราเทพกลับรู้สึกว่าน้องคนนี้โดดเด่นออกมาจากผู้คนอยู่มาก
คนที่ถูกมองเหมือนจะรู้สึกได้ เลยหันมาดูตามสัญชาตญาน การสบตาของคนทั้งคู่เหมือนกับขั้วตรงข้ามของแม่เหล็กที่ดึงดูดเข้าหากัน “เพียงเอก” รับรู้ได้ถึงการกลับมาของ ‘ผู้ชายคนนั้น’ ตามที่เคยสัญญาเอาไว้
“อ้ายไจยยา ปิ๊กมาหาน้องแล้ว…”
การรอคอยอันแสนยาวนานของพวกเขา บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว อุปสรรคใด ๆ จงอย่าได้มาขวางกั้นความรักของพวกเขาอีกแลย…
-จบบริบูรณ์-
Talk :
สวัสดีครับ นี่เหมียวเองนะทุกคน ห่างหายไปกับการอัปนิยายไปนานมาก ๆ (กอไก่ล้านตัวววว) เพราะว่าตอนนั้นชีวิตค่อนข้างวุ่น ๆ นิดหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มลงตัวบ้างแล้ว กลับมารอบนี้เหมียวตั้งใจจะมาเคลียร์เรื่องที่ดองไว้ให้จบ ก่อนที่จะเขียนเรื่องอื่น ๆ ต่อ (แฟน ๆ อนธเตรียมตัวไว้เลยนะค้าบบบบ)
จริง ๆเรื่องนี้เหมียวเคยอัปไว้แล้วในรอร.แต่ตอนนั้นเหมียวลืมรหัสผ่านของแอคนี้ เลยไม่สามารถลงพร้อมกันได้ ตอนนี้กู้คืนมาได้แล้วครับ รู้สึกโล่งอกมาก ๆ ฮ่า ๆ
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกชอบหรือไม่ชอบยังไงก็คอมเมนต์ติชมกันได้นะค้าบบบบ มาเม้าท์นิยายเรื่องนี้ได้ที่แท็ก #ผาถนารัก นี้ได้เลยน้า
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ MMeow_01 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ MMeow_01
ความคิดเห็น