[Kuroko no Basuke x Attack on Titan] อาโอมิเนะในโลกไททัน - [Kuroko no Basuke x Attack on Titan] อาโอมิเนะในโลกไททัน นิยาย [Kuroko no Basuke x Attack on Titan] อาโอมิเนะในโลกไททัน : Dek-D.com - Writer

    [Kuroko no Basuke x Attack on Titan] อาโอมิเนะในโลกไททัน

    เมื่ออาโอมิเนะหลุดไปอยู่ในโลกไททัน จะเกิดอะไรขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    1,450

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    1.45K

    ความคิดเห็น


    17

    คนติดตาม


    36
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.พ. 57 / 20:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      อาโอมิเนะ ไดกิแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ท้องฟ้าเป็นสิ่งที่เขามองเห็นเสมอจากงานอดิเรกนอนกลางวันที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

                    ถึงอย่างนั้นก็ตามเขารู้สึกได้ว่าบางอย่างผิดแปลกไป ไม่ใช่แค่เพราะเขาเพิ่งแพ้เท็ตสึกับคางามิ และไม่อาจพูดว่า “มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่เอาชนะตัวเขาเองได้” อีกต่อไป    ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งและเห็นว่าตัวเขานอนอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว รอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่น เขารู้สึกไม่คุ้นกับทิวทัศน์แบบนี้เลย มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาหลุดมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักมาก่อน ซ้ำยังให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลยด้วย

                    สัญชาตญาณบอกให้เขาลุกขยับตัวออกไปจากที่นี่ และเมื่อเขาขยับเข้าไปในดงต้นไม้ก็ได้รู้ว่าเพราะอะไร

                    สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ตัวหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้าผ่านมายังจุดที่เขาเพิ่งลุกขึ้นมาเมื่อครู่ มันมีหน้าตาและรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่พุงโรและรูปหน้าแปลกไม่สมส่วน  ไอ้เจ้านี่มันตัวอะไรกันน่ะ!’ เอสของโทโอคิดด้วยความตื่นตะลึง แต่เขาก็ไม่คิดจะออกไปลองของแปลกในตอนนี้แน่

                    ทว่าอาโอมิเนะมัวตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้ามากเกินไปจึงไม่ทันระวังว่ามีอีกตัวมาด้านหลัง จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านหลัง อาศัยปฏิกิริยาที่ว่องไวทำให้สามารถกระโดดหลบมือใหญ่ของยักษ์ที่พุ่งลงมาหาได้หวุดหวิด ต้นไม้ใกล้เคียงที่รับแรงกระแทกไปถึงกับหักโค่น แม้รอดมาได้กระนั้นเสียงดังที่เกิดก็ดูจะดึงความสนใจของยักษ์ตนอื่น ๆ ให้หันมาพุ่งเป้ายังมนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น ชายหนุ่มผิวเข้มรู้สึกถึงอันตรายและรีบวิ่งไปยังจุดที่มีต้นไม้หนาแน่นยิ่งกว่าเดิมทันที

                    ให้ตายเถอะนี่มันอะไรกันเนี่ย ที่นี่มันที่ไหนกัน เขาหลุดมาอยู่ต่างประเทศรึ เอ๊ะ หรือว่าชนบทญี่ปุ่นก็มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ อาโอมิเนะที่ไม่ถนัดคิดเรื่องยาก ๆ เลิกคิดและเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า เขารู้สึกได้ว่าบริเวณป่าข้างหน้าปลอดภัยกว่าเพราะอะไรสักอย่าง

                    พื้นขรุขระของผืนป่านั้นทำให้วิ่งไปได้ช้ากว่าสนามบาสเรียบลื่น ทว่าความเร็วของอาโอมิเนะก็ไม่ตกลง เมื่อมีสิ่งมีชีวิตประหลาดขนาดยักษ์ตามไล่ล่ามาด้านหลัง ซึ่งแม้ก้าวช้ากว่าแต่ก้าวหนึ่งก็ได้ระยะทางไกลเทียบเท่าหลายสิบก้าวมนุษย์แล้ว  อาโอมิเนะวิ่งไปตามทางเดินในป่าที่ยาวเป็นเส้นตรงอย่างน่าประหลาด ราวกับมีใครมาทำทางไว้

                    “หลบไปทางขวา!” เสียงหนึ่งดังขึ้น และอาโอมิเนะก็ถ่ายน้ำหนักตัวไปด้านข้างเปลี่ยนทิศทางตามคำของเสียงนั้นโดยพลันอย่างไร้การลังเลสงสัย

                    เมื่อชายหนุ่มผิวเข้มเหลียวกลับไปมองก็เห็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างมนุษย์ที่ห้อยโหนลวดสลิงเข้าฟาดฟันด้านหลังยักษ์เหล่านั้นจนพวกมันร่วงลงไปแทบไม่ทัน แถมคนที่จัดการยังเป็นคนเพียงคนเดียวอีกด้วย!

                    หนุ่มร่างเล็กผู้จัดการสังหารสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านั้นลงสู่พื้นอย่างสวยงามราวกับลวดสลิงพวกนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเขา ผ้าคลุมสีเขียวปักลายปีกคู่ไขว้พลิ้วสะบัด ชายตาขวางคนนั้นเดินย่างสามขุมตรงมาทางอาโอมิเนะพร้อมกับดาบสองมือที่ใบมีดเหมือนคัตเตอร์ แม้คนตัวสูงกว่าจะรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าคนที่เดินมาอาจจะไม่เป็นมิตร แต่ยังไงก็น่าจะดีกว่าไปเจอยักษ์ประหลาด ๆ พวกนั้นแน่

                    “นายเป็นใคร” ชายหนุ่มร่างเล็กถามด้วยสีหน้าแสดงความเป็นศัตรูชัดเจน แต่เสียงเขาคุ้น ๆ เหมือนเสียงใครสักคนที่เขารู้จักชอบกล

                    “อาโอมิเนะ ไดกิ” เอสแห่งโทโอรู้สึกว่าถึงบอกไปว่าอยู่โรงเรียนอะไรก็เปล่าประโยชน์จึงไม่ได้บอกไป

                    “ชั้นรีไวล์ นายแต่งตัวแปลก มาจากไหนกันแน่”   ชายหนุ่มตาขวางยังคงไม่ลดการ์ด และถามด้วยน้ำเสียงสอบสวนแบบมะนาวไม่มีน้ำ

                    “เอ่อ” อาโอมิเนะเริ่มกุมท้ายทอย จริง ๆ เขาต่างหากที่อยากได้คำอธิบายก่อนว่าที่นี่มันที่ไหน “ประเทศญี่ปุ่น”

                    “เหรอ” หนุ่มตาขวางมีประกายตาสนใจขึ้นมา แต่กลับทำให้อาโอมิเนะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีชอบกล หรือบางทีอยู่กับหมอนี่ก็อาจไม่ได้ดีไปกว่ายักษ์เมื่อกี้เท่าไหร่ ถ้างั้นรีบหาทางไปอาจจะดีกว่าก็ได้

                    “ว่าแต่เจ้ายักษ์เมื่อกี้มันตัวอะไรน่ะ แถวนี้มีเจ้าตัวแบบนี้อยู่เยอะรึ” อาโอมิเนะถาม อย่างน้อยถ้าพอรู้เรื่องเจ้ายักษ์สยองพวกนั้นเพิ่มขึ้นจะได้หาทางหลบหลีกได้ง่ายขึ้น

                    ทว่าอีกฝ่ายกลับมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาด นี่เขาพูดอะไรแปลกไปหรือไง อ้อ นี่คงเป็นเรื่องธรรมดาของแถบนี้ล่ะมั้ง

                    ยังไม่รู้จะพูดอะไรกันต่อ ก็มีเสียงดังตึงตังมาตามทาง อาโอมิเนะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันทันที พร้อมกับเสียงตะโกนของคนอื่น ๆ ซึ่งใส่เครื่องแบบและผ้าคลุมสีเขียวเหมือนกันกับชายร่างเล็กซึ่งดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม

                    “หัวหน้ารีไวล์ นั่นมัน เด็กหนุ่มผมสีเข้มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาหัวหน้าของตน

                    “ฮันชี่” รีไวล์หันไปเรียกคนใส่แว่นด้านหลัง

                    “จ้า ๆ เตรียมเครื่องยิงเรียบร้อยแล้ว อย่าฆ่ามันนะ คราวนี้ชั้นจะได้มีไททันวิปริตไว้ทดลอง” สาวแว่นยิ้มร่าด้วยท่าทางตื่นเต้น ขณะที่รีไวล์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น

                    เมื่อเจ้ายักษ์วิ่งเร็ววิ่งมาถึงจุดที่กำหนด ฮันชี่ก็สั่งลูกน้องให้ยิงทันที สิ่งที่ยิงออกไปเป็นเชือกถักเป็นแพราวตาข่ายถ่วงน้ำหนักด้วยลูกตุ้ม และเมื่อมันพุ่งไปเกี่ยวพันส่วนเท้า ต่อให้วิ่งเร็วอย่างไรก็ต้องสะดุดล้ม แต่เพราะความเร็วทำให้ร่างของยักษ์ไถลไปเกินกว่าจุดที่จะยิงตาข่ายไว้พันธนาการร่างของมัน และทำให้คนที่อยู่ไกลจนไม่ทันระวังตัวถูกลูกหลงถึงตาย

                    อาโอมิเนะมองเหตุการณ์ตรงหน้าซึมซับถึงความอันตรายของสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่จนถึงขีดสุด ว่าแม้คนที่ไหวตัวทันและใช้เครื่องยิงสลิงพุ่งเข้าจัดการ ก็ยังถูกเจ้ายักษ์หน้าตาวิปริตนั่นปัดมือใส่ทีเดียวกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ตายทันที เป็นความอันตรายที่สามารถตายได้ทุกวินาที  ชายหนุ่มเริ่มใช้สมาธิจดจ่อกับการต่อสู้ของกลุ่มคนกับยักษ์ตรงหน้าและจดจำทุกการเคลื่อนไหว

                    “ยกเลิกภารกิจจับเป็นไททันวิปริต” รีไวล์เอ่ยกับฮันชี่ขณะวิ่งไปทางยักษ์ที่กำลังอาละวาดเหวี่ยงแขนไปมาทั้งที่ยังนั่งอยู่

                    “อ๋า น่าเสียดายอ่ะ อย่างน้อยถ้าจับกลับไปซักตัวได้ก็ยังดี”

                    ทว่ารีไวล์เคลื่อนที่ว่องไวพลิ้วไหวดั่งสายลม ก่อนฟาดฟันดาบลงบนเป้าหมายแม่นยำดุจจับวาง ปลิดชีพยักษ์ที่คิดไว้ว่าจะจับเป็นลงอย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวทั้งรวดเร็ว เปี่ยมพลัง และไม่สูญเปล่าเลยแม้แต่นิดเดียว

                    “เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว ฉันคิดว่าเราได้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าไททันมาแล้วล่ะ”

                    อาโอมิเนะรู้ว่ารีไวล์หมายถึงเขา แต่ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

      *             *             *

                    หลังจากตามกลับไปยังเมืองของรีไวล์ที่ชื่อแปลก ๆ แล้วก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นแน่ ๆ (อาโอมิเนะสนใจแค่นั้น) ตัวเขาก็ถูกสอบถามเรื่องมาจากไหน เมืองที่เขาอยู่เป็นยังไง แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซึ่งเขาก็ตอบไปตามตรงเรื่องไม่รู้มาได้ยังไง ตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่ แต่ดูเหมือนรีไวล์กับคนผมทอง ๆ ที่มาใหม่จะสนใจเรื่องเมืองที่เขาอยู่มากกว่า ยิ่งบอกว่าไม่เคยเห็นยักษ์แบบนี้มาก่อนก็ดูจะยิ่งสนใจส่วนนั้นเป็นพิเศษ

                    คนผมทอง หมอนั่นชื่ออะไรนะ อ้อ เออร์วิน ดูเหมือนจะเป็นพวกใช้สมองเยอะแบบอาคาชิ ทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็บอกให้เขาอยู่หน่วยสำรวจของรีไวล์ ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอยู่ แต่ถ้าให้เขาเลือกเขาก็ขออยู่กับคนเก่ง ๆ แบบรีไวล์ดีกว่า

      *             *             *

                    รีไวล์กลับจากคุยกับเออร์วินกลับไปยังหน่วยของตนอย่างไม่สบอารมณ์นัก เออร์วินพูดอะไรแปลก ๆ เหมือนว่าคนที่ชื่ออาโอมิเนะหลุดมาจากคนละโลกที่ไม่ใช่ที่เดียวกันกับพวกเขา แต่ในเมื่อดูจะมีความสามารถก็ควรจะใช้ประโยชน์ซะ ถ้าหมอนั่นไม่ใช่คนของที่นี่ งั้นการต่อสู้ที่นี่หมอนั่นก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยว

                    “อ้าว รีไวล์ นายเองหรือ” อาโอมิเนะทักหัวหน้าหน่วยตัวเองอย่างสบาย ๆ ราวกับพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แถมยังอยู่ในท่ายืดเส้นยืดสายอีกต่างหาก แม้จะสวมชุดเครื่องแบบทหารแล้ว แต่ก็ให้ความรู้สึกต่างจากทุกคน

                    เจ้าเด็กนี่ ดูยังไงก็ไม่ใช่ทหารแน่ แต่ก็เหมือนจะฝึกฝนอะไรสักอย่างมาอย่างดี’ รีไวล์คิดขณะที่ยังเงียบต่อไป ขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ในหน่วยล้วนแต่หน้าซีดเพราะคิดว่าเด็กใหม่ทำตัวไม่เคารพแบบนี้ต้องโดนโกรธแน่

                    “เอาเครื่องควบคุมสามมิติมาซิ”

                    อาโอมิเนะซึ่งสวมเครื่องควบคุมสามมิติแล้วลองขยับไปขยับมาเพื่อทำความคุ้นเคยกับการมีเครื่องถ่วงเพิ่มขึ้น รีไวล์รู้สึกได้ว่าคน ๆ นี้คุ้นเคยกับการกระโดดราวกับเป็นธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ถ้าเป็นหมอนี่ล่ะก็

                    ‘ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าซะ

                    หัวคิ้วของรีไวล์กดลึกยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะฝังรอยเอาไว้ถาวร

                    ดังนั้นพอหันไปมองคนผิวเข้มอีกทีจึงเห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งไปทางต้นไม้สูงแล้ว

                    “เฮ้ย นาย” รีไวล์จะตะโกนห้าม แต่แล้วกลับเห็นว่ามือใหม่ซึ่งเพิ่งใส่เครื่องควบคุมสามมิติครั้งแรกลองยิงเครื่องไต่ขึ้นไปบนต้นไม้สูงแล้ว หมอนั่นดูตื่นเต้นเหมือนเด็กเจอของเล่นใหม่ และเริ่มทดลองดูว่าของเล่นชิ้นนี้จะเล่นอะไรได้บ้าง ช่วงแรกยังมีกะจังหวะพลาดบ้าง แต่พอเริ่มคุ้นชินกับอุปกรณ์ การเคลื่อนไหวก็เริ่มพลิกแพลงและรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ

                    ทหารหน่วยสำรวจคนอื่น ๆ หยุดดูการฝึกซ้อมตามใจชอบของบุคคลลึกลับผู้มาใหม่ ทุกคนต่างพากันอึ้งกันไปถ้วนหน้าว่ามนุษย์สามารถเคลื่อนไหวได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ นอกจากความแม่นยำในการยิงสลิง การกะจังหวะ การโยกตัวหรือกระโดดเสริมแรงก็ดูจะสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันหมด จนแทบจะรู้สึกถึงประกายไฟสีน้ำเงินในดวงตาคู่นั้น ความแข็งแกร่งนี้แทบจะเรียกได้ว่าเกือบเทียบเท่ารีไวล์ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติเลยทีเดียว 

                    รีไวล์ซึ่งแบกรับชื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดมาตลอดรู้สึกถึงความยินดีที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากในส่วนลึกของหัวใจ ที่พบผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกัน พร้อมกับรู้สึกท้าทายด้วย

                    ถ้าเป็นหมอนี่ล่ะก็ อาจเป็นความหวังใหม่ของมนุษยชาติเลยก็ได้

      *             *             *

      (จบ)

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×