คลีนิค - คลีนิค นิยาย คลีนิค : Dek-D.com - Writer

    คลีนิค

    ผู้เข้าชมรวม

    141

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    141

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ก.ค. 65 / 19:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    คลีนิค..พบรักโดยบังเอิญ

    ยามเย็นของวันหนึ่ง ปี 2521 ขณะที่ผมพักที่บ้านโก็สเฮ้าท์ บ้านเช่าโกโรโกโส. โอนเอน ดังถูกพายุพัด เพราะเป็นบ้านที่เก่า ที่ขาดการดูแล ของเจ้าของบ้านที่ไม่ได้พักอาศัย จึงปล่อยไว้ให้ร้างเฉยๆ สมชาย ซึ่งผ่านไปเจอ เห็นว่างๆ จึงติดต่อขอเช่า ในราคาถูก คือ เดือนละสามร้อยบาท การที่ผมได้เข้าไปพัก ที่บ้านโก็สเฮาท์ เป็นเพราะ ในระหว่างที่ผมทำงานที่สหกรณ์การเกษตร เมืองแปดริ้ว ผมยังคงแวะเวียน มาหาเพื่อน ที่ยังเรียนในวิทยาลัยฯเป็นระยะๆ

     

    สมาชิกที่พักในบ้านหลังนี้..ส่วนใหญ่เป็นคนสนุกสนานฮาเฮ สมชาย เป็นนักตะกร้อ ส่วนที่เหลือ อีกสี่คนก็มีนิสัย ไปไหนไปกัน ร่วมด้วยช่วยกัน..

     

     

    หมายถึง เวลามีงานภายในวิทยาลัย พวกเราลุยช่วยเหลืองานกันเต็มที่ ไม่มีเกี่ยงงอน ทำงานไป ดื่มเหล้ากันไป.. ร้องรำทำเพลงกันไป ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พวกเรา สามารถเข้ากับเพื่อนๆ น้องๆ ได้ทุกกลุ่ม ผลการเรียนของพวกเรา อยู่ในเกณฑ์ปานกลางจนถึงระดับดี

     

    เหตุที่พวกเราตั้งชื่อว่า บ้านโก๊สเฮ้าท์ เป็นเพราะ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในใจกลางสวนมะพร้าว สวนหมาก ที่มีน้ำล้อมโดยรอบ มีสภาพเป็นบ้านร้างมาก่อน แรกๆ ที่พวกเราเข้ามาพักใหม่ๆ ดูน่ากลัวมาก กว่าพวกเราจะเดินเข้ามาในบ้านได้ ต้องเดินบนร่องสวนเล็กๆ ที่มีต้นมะพร้าวขึ้นกั้นรายทาง ความกว้างของทางเดิน น่าจะอยู่ประมาณ ครึ่งเมตร บ่อยๆ ครั้งที่ผมอยู่บ้านคนเดียว เสียงลั่นของไม้ เสียงตุ๊กแกไล่จับแมลง ดังจนน่ากลัว...

    ห้าโมงเย็นของวันหนึ่ง ขณะที่พวกเรานั่งล้อมวง เพื่อนั่งดื่มเหล้า ปตอ. (ประชาชนต้มเอง) สราวุธ ได้จุดแก๊สปิคนิค พร้อมตั้งหม้อน้ำ เมื่อมันเดือด เขาจึงแกะซองบะหมี่สำเร็จรูป ใส่ลงในหม้อ พร้อมผักบุ้ง ที่พวกเราช่วยกันเก็บในร่องสวน อันจะช่วยประหยัดเงินกองกลาง สมชายมาช่วยปรุงรส โดยฉีกเครื่องปรุงรสที่มีในซองบะหมี่ พร้อมเพิ่มเกลือนิด พริกป่นหน่อย หลังได้ชิมจนรสชาติถูกปาก ก็ตักใส่กะละมังสังกะสี แล้วยกมาวางกลางวง

     

     "พร้อมแล้วโว้ย พวกเรามา ไอ้วุธ ไอ้แดง ไอ้จี๊ด ไอ้อ๊ะ ไอ้ขลุ่ย” สมชาย ตะโกนบอกเพื่อนๆ

    พวกเราจึงมานั่งล้อมวงกินเหล้ากัน บริเวณพื้นเรือนชั้นล่าง ที่กลางบ้านมีโอ่งน้ำขนาดเล็กที่ได้รองน้ำฝนไว้กิน บนพื้นใกล้เสากลางบ้าน ส่วนใหญ่ พวกเรามักจะสังสรรค์แทบจะวันเว้นวัน กระทั่งวันใกล้สอบ พวกเราก็มิเคยเว้น เป็นเพราะพวกเรามีการเตรียมการ และวางแผนการเรียนที่ดีกันทุกคน

    มีการบริหารเวลา มีการทบทวนบทเรียนเป็นระยะๆ อีกทั้งมีการสร้างแรงจูงใจ โดยกำหนดกติกาว่า หากสองคนที่พักภายในบ้าน ที่มีผลการเรียนต่ำสุด จะต้องเป็นคนจ่าย และเสียค่าเหล้าและบุหรี่ ให้กับคนที่มีผลการเรียนดีกว่า.. ดังนั้นทุกคนจึงต้องขยันอ่านหนังสือ หรือต้องแอบซุ่มอ่านหนังสือ ยามว่าง

     

    ผมค่อนข้างโชคดี ที่ไม่ได้เรียนกับเพื่อนๆ เนื่องจากเสียเวลาไปหนึ่งปี กับต้องไปทำงานที่แปดริ้ว ดังนั้นผมจึงมีโอกาสไปซุ่มอ่านหนังสือในห้องสมุด ผลการเรียนผมจึงอยู่ในระดับเอาตัวรอดได้ และไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเหล้าเลี้ยงเพื่อนๆ

    "เฮ้ย... ไอ้อ๊ะ...มาว่ะ" สมชาย บอกกับสมาชิกในวงเหล้า

    "มาโว้ย...ไอ้อ๊ะ.. เพิ่งเริ่มเปิดแกลลอน และ เพิ่งผ่านแค่รอบแรกเอง" ไอ้จี๊ด บอกกับเพื่อนสนิท แม้เขาจะไม่ได้พักในบ้านโก็สเฮ็ท์ ก็ตาม

    อ๊ะ..คือ สมาชิก ที่อยู่ในแก๊งค์พวกเรา เขาเป็นนักกิจกรรม ที่มีผลการเรียนค่อนข้างดี.. ยามว่างอ๊ะ มักจะมาติวหนังสือ มากินข้าว และดื่มเหล้ากับพวกเราไม่เคยขาด

    หลังจากพวกเรานั่งดื่มเหล้าไปได้ชั่วโมงเศษๆ สายตาของพวกเรา ก็ต้องจับไปที่ร่องสวนทางเข้าบ้าน เนื่องจากเห็นรุ่นน้อง เดินมากับชายแปลกหน้าที่แต่งกายดี ไว้ผมทรงบ๊อบ ไว้หนวดเฟิ้ม ที่พวกเราไม่คุ้นเคย

    "ใครมากับไอ้สมานวะ" อ๊ะพูด

    "ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เขาเข้ามาหาใครวะ พวกมึงมีใครรู้จักกับเขาบ้าง" สมชายตอบและตั้งคำถามกลางวง  สมาชิกในวง.ยังคงดื่มกันต่อไป แต่สายตาก็ยังมองบุรุษ ที่เดินเข้ามาในบ้านของพวกเรา กับรุ่นน้อง แทบมิคลาดสายตา หลังจากผ่านสุดร่องสวนมาก็ถึง พื้นเรือนที่พวกเรานั่ง

    "พี่ๆ  ทุกคนครับ ผม พาอาจารย์ใหม่ มาเยี่ยมเยียนพี่ๆ ครับ อาจารย์เพิ่งมาสอนที่คณะเราได้ประมาณสองเดือน ท่านสอนที่ภาควิชาสัตว์ศาสตร์ เป็นสัตวแพทย์ ครับ" สมาน แนะนำบุคคลที่พวกเราเคยเห็นมาบ้าง แต่ไม่คุ้นเคยมากนัก

    "เชิญนั่งก่อนครับ อาจารย์ พวกเรากำลังนั่งดื่มสุรากันครับ" สมชาย เอ่ยปาก

    "ไอ้หมาน บอกกับอาจารย์ ให้มานั่งล้อมวงกับพวกพี่ วะ" สมชายบอกให้รุ่นน้อง เชิญอาจารย์เข้าร่วมวงด้วย ครู่ต่อมา เราได้สมาชิกใหม่ มานั่งร่วงวงเพิ่ม อีกสองคน

    "ดื่ม สรถ. ได้ไม๊ครับ..อาจารย์" สมชายถาม

    "พอได้บ้าง น่ะ แต่คงไม่ไหวมั๊ง.. มันบาดคอ เดี๋ยวให้สมาน ออกไปซื้อเบียร์ มาให้สักสองขวด ก็แล้วกัน วันนี้ผมเพียงมาทำความรู้จักกับพวกเราทุกๆ คน ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ในฐานะสมาชิกใหม่ในเกษตรเจ้าคุณทหาร" อาจารย์ นเรศน์ พูดอย่างถ่อมตน

    สมาน ออกไปซื้อเบียร์ที่ร้านจำหน่ายสุราหน้าโรงภาพยนตร์ สักครู่ ก็กลับเข้ามาภายในสิบนาที พร้อมหิ้วเบียร์ และขนมขบเคี้ยว สมาชิกในวงเหล้า นำแก้วพลาสติคสีน้ำเงิน ที่พวกเราซื้อมาใช้งานแทนแก้วที่ทำจากการซิลิกา (ทราย) เนื่องจากพวกเราเคยซื้อใช้แล้ว เมื่อถึงช่วงที่ดื่มจัดๆ มันหล่นจากมือแตกจนเหลือจำนวนน้อยนิด ทุกคน จึงมีฉันทามติเห็นควรจะใช้แก้วพลาสติกแทน

     

    ผมหยิบแก้ว จากห้องครัวมาใส่น้ำแข็ง เปิดฝาจากขวด พร้อมรินเบียร์ใส่แก้วอย่างบรรจง แล้วยื่นให้อาจารย์

    "นี่ครับ อาจารย์.." ผมเอ่ยปาก

    "ขอบใจนะ " อ. นเรศน์ ตอบ

    ในขณะร่วมวงดื่มสุรา พวกเรา ที่พักในบ้านโก๊สเฮาท์ ได้แนะนำตัว ให้อาจารย์รู้จัก ชื่อเสียงเรียงนาม เมื่อดื่มไปได้เกือบชั่วโมง พวกเราจึงเปิดวงดนตรีชื่อ วงไม่ไล่ไม่เลิก ส่วนใหญ่ผมจะเป็นหัวโจก ด้วยการเป็นต้นเสียง นำร้องเพลง พร้อมเป็นมือเคาะจังหวะโดยนำกะละมัง ถัง ช้อน ขวดแก้ว และอื่นๆ ที่หามาได้ มาทำให้เกิดเสียงและจังหวะ ส่วนใหญ่ในวงเหล้า ที่เราร้องเพลง มักจะเป็นเพลงลูกทุ่ง เพลงสากล  ที่มีจังหวะสนุกๆ และเป็นเพลงที่คุ้นเคยกัน หลังจากเบียร์หมดขวด อาจารย์ จึงขอตัวกลับพร้อมสมาน

     

    "วันหน้า หากมีโอกาส  เรียนเชิญอาจารย์ มาร่วมพบปะกับพวกผมอีก ที่บ้านหลังนี้ได้ตลอดนะครับ" สมชายพูด

    ขอบใจทุกคนนะครับ วันหน้า ผมจะมาเยี่ยมเยียน พวกเราอีก"

    หลังจาก ที่ อ.นเรศน์ ได้มาเยี่ยมเยียนพวกเราในวันนั้นแล้ว ต่อๆมา..ท่านก็ได้มาเยี่ยมเยียนพวกเราอีกเฉลี่ย สองสัปดาห์/ครั้ง ทำให้ลูกศิษย์กับอาจารย์ มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ทุกครั้ง...ที่อาจารย์นเรศน์ มาเยี่ยมพวกเราไม่ว่า ช่วงที่พวกเราจะพักที่บ้านโก็สเฮ้าท์ หรือช่วงที่พวกเราย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ ท่านก็จะมาร่วมพบปะสังสรรค์เนืองๆส่วนใหญ่ในกลุ่มของพวกเราจะถนัดเพลงลูกทุ่ง จะมีผมเพียงคนเดียว ที่สามารถร้องเพลงลูกกรุงได้ ท่านจึงมีความพึงพอใจกับผมเป็นพิเศษ หลายๆ ครั้งที่ท่านไม่ได้ มาเยี่ยมเยียนพวกผมที่บ้าน ท่านจะนัดหมายให้ผม ไปพบท่านที่ ร้านขายเครื่องดื่ม สถานีรถไฟหัวตะเข้ เพื่อดื่มเหล้าและคุยเรื่องเพลง จากนั้นผมกับท่านจึงสนิทกัน บ่อยครั้งเวลาอาจารย์เดินทางไปที่ไหนๆ ท่านมักจะชวนผมไปเป็นเพื่อน แม้กระทั่งการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท

    การที่ท่านมาถูกชะตากับผม อาจเป็นเพราะเรามีนิสัยที่คล้ายๆ กัน คือ ชอบร้องเพลง การที่ผมรู้จักการเทคแคร์ การมีมนุษยสัมพันธ์ สามารถปรับตนให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ กับคนทุกเพศทุกวัยได้ ช่วงหลังๆ เวลามีเพื่อนๆ ของอาจารย์ มาเที่ยวที่บ้านที่บางขุนนนท์ อาจารย์จึงชวนผมไปนั่งดื่ม ร้องเพลง พูดคุยกับสมาชิก นับว่าผมได้รับเกียรติจากอาจารย์อย่างมาก นอกจากอาจารย์จะสอนด้านโรคและสุขาภิบาลสัตว์ ในคณะเกษตรแล้ว อาจารย์ยังเปิดคลินิกรักษาสัตว์ชื่อ   คลีนิคสัตวรักษ์    ใกล้สี่แยกบ้านแขก เขตวงเวียนใหญ่ ธนบุรี บ่อยครั้งอาจารย์จะชวนผมมาที่คลีนิค

    "ขลุ่ย.. เย็นนี้ เราไปย้อนอดีต และรำลึกความหลังเพลงอมตะเก่าๆ กันนะ" อาจารย์ นเรศน์ เอ่ยปากชักชวน

    "ที่ไหนครับ"

    "คลีนิค ไง.. พอเราปิดคลีนิคปั๊บ ก็เปิดวง กันเลย

    แทบจะนับครั้งไม่ถ้วน ที่ผมกับอาจารย์ จะได้นั่งดื่มพร้อมคุยเรื่องราวต่างๆ อย่างออกรส การที่ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือต่างๆ ทุกแนว จึงทำให้ผมสามารถ รู้เรื่องราวได้อย่างกว้างขวาง เวลาที่อยู่ในวงสนทนา ใครจะพูดคุยเรื่องอะไร ผมจึงสามารถพูดคุยและรู้ พร้อมกับเพิ่มเติมสาระให้รายละเอียดมากขึ้น นี่จึงทำให้ อาจารย์นเรศน์ รู้คอรู้ใจผมเป็นพิเศษมากกว่าบุคคลอื่นๆ

     

    "ขลุ่ย เย็นนี้ผมติดประชุม ว่างไม๊...ช่วยไปเปิดคลีนิคให้ด้วย วันนี้ สมนึก ติดภาระการเรียน" อาจารย์เอ่ยปาก ฝากให้ผมช่วยไปเปิดคลีนิคแทนสมนึก ซึ่งเป็นรุ่นน้องและเป็นคนรับผิดชอบในการเปิดปิดคลีนิคประจำ

    "ว่างครับ เย็นนี้ผมจัดการให้เองครับ" ผมตอบ พร้อมรับกุญแจมา

    "หลังจากเปิดคลีนิค ช่วยดำเนินการอย่างที่สมนึกทำด้วยนะ"

    "ครับ"

    ผมต้องโดยสารรถไฟจากหัวตะเข้ ลงหัวลำโพง แล้วนั่ง รถเมล์สาย 40 มาลงหน้าคลีนิค เมื่อเปิดคลินิกแล้ว ได้ดำเนินการเสียบปลั๊กไฟ ต้มน้ำในหม้อจนเดือด แล้วนำเข็ม ไซริ๊ง เครื่องมือทางการแพทย์ ต้มฆ่าเชื้อ..ทำความสะอาดโต๊ะรักษาสัตว์ โดยใช้ยาฆ่าเชื้อเสปรย์ลงบนโต๊ะ แล้วใช้ผ้าขนหนู ถูทั่วบริเวณโต๊ะ...จากนั้นก็มากวาดพื้นห้องคลีนิค และคอยต้อนรับแขกที่นำสัตว์มารักษา...

     

    "เชิญนั่งรอด้านในก่อนครับ น้องหมาเป็นอะไรหรือครับ สักครู่ อาจารย์หมอก็คงมาถึง วันนี้ท่านติดประชุมครับ" ผมเอ่ยปาก เชิญเจ้าของสุนัข ให้เข้ามานั่งรอ พร้อมชวนคุย เพื่อไม่ให้เขาเหงา และเบื่อกับการรอคอย ครู่ต่อมาเมื่ออาจารย์นเรศน์มาถึง ก็สามารถรักษาสัตว์ได้เลย

    ผมมาช่วยงาน ที่คลีนิคบ่อยขึ้นๆ ส่วนใหญ่งานที่ผมช่วยอาจารย์ คือ การปฎิบัติการเรียกลูกค้า ชวนลูกค้าพูดคุย นี่จึงเป็นที่มา ที่ผมได้รู้จักกับลูกค้าสาวสวยสองคน ที่ต่อมาผมกับเธอ มีความสนิทกัน ถึงขั้นที่คนหนึ่ง เกือบจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และอีกคน ว่าไปแล้วผมรักเธอไม่แพ้คนแรกเลย ทั้งเพียงพิศ และโฉมสุดา คือลูกค้าประจำ ที่มักนำสุนัขมารับการรักษา เฉลี่ยเดือนละครั้ง ทั้งสองคน เป็นคนที่อยู่ในละแวกที่ไม่ห่างจากคลีนิคมากนัก หลายครั้งที่เธอมาที่คลีนิค อาจารย์นเรศน์ ดูจะมีความสุข ที่ได้มีโอกาสพูดคุย กระเซ้าเย้าแหย่ แบบทีเล่นทีจริง กับสาวงามทั้งสอง

    เพียงพิศ และโฉมสุดา กำลังเรียนอยู่ในระดับ ปวช. เพียงพิศ เรียนที่ พาณิชย์เชตุพน ส่วนโฉมสุดา เรียนที่พาณิชย์ราชดำเนิน ทั้งสองคน ไม่เคยมาคลีนิคในวันและเวลาเดียวกัน จึงเป็นความโชคดีของอาจารย์นเรศน์ ที่ไม่ต้องคอยสับหลีกที่รถไฟที่จะมาชนกันในวันเวลาเดียวกัน

    แต่แล้ววันหนึ่ง.....เมื่อทั้งสองคน มาคลีนิค ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน......

    "ขลุ่ย สมนึก อาคีมีดีส หน่อย รถไฟชนกันแล้ววันนี้" อาจารย์นเรศน์ บอกผมกับสมนึก ให้ช่วยดำเนินการแยกคู่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ในเวลานั้น

    อาคีมีดีส คือ วล ที่พวกเราในกลุ่มรู้กัน ที่บอกบอกนัยๆ ว่า ณ ขณะนั้นกำลังมีปัญหา ที่พวกเราต้องแก้ไขสถานการณ์ ผมเดินไปหาลูกค้าที่ชื่อ เพียงพิศ ส่วนสมนึก ได้เข้าประกบลูกค้าชื่อโฉมสุดา โดยพยายามเบี่ยงเบน ไม่ให้ทั้งสองได้พบกัน

    เพียงพิศ หรือนิด เป็นสาวงาม กำพร้าบิดา มารดา ตั้งแต่ยังเด็ก เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด ส่วนโฉมสุดา หรือ แอ๋ว เป็นคนเมืองกาญจนบุรี ความงามของสองคน สวยงามไปคนละแบบ หากจะให้ผมเลือก โดยระบุให้เลือกคนเดียว ผมคิดว่า ผมคง รักพี่เสียดายน้อง จะตัดคนใดคนหนึ่งมิได้ หากผมเป็นจะเด็ด ผมคงเทียบเคียงว่า เพียงพิศ เปรียบดังเป็น ตะละแม่กุสุมา ส่วนโฉมสุดา เปรียบดังเป็นตะละแม่จันทรา

    เมื่อผมและสมนึก แยกให้คนทั้งสอง ไม่มาประจันหน้ากันได้แล้ว เหตุการณ์จึงสงบราบรื่น... การที่ผมได้สัมผัส กับ เพียงพิศ (นิด) บอกได้ว่า เธอมีเสน่ห์ที่มีนัยน์ตาคมหวาน ทั้งมีลักยิ้มที่แก้ม ช่างดึงดูดให้ผมลุ่มหลงไม่น้อย บ้านพักของนิด อยู่ไม่ห่างจากคลีนิคมากนัก ในขณะที่วันหนึ่ง ที่อาจารย์ยังมาไม่ถึงคลีนิค ผมได้มีโอกาส พูดคุยกับนิด กันสองต่อสอง..

    "พี่เป็นลูกศิษย์ หมอนเรศน์ เหรอคะ"

    "ใช่. ครับ.ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ นเรศน์"

    "หมอมีครอบครัว หรือยัง"

    "ไม่ทราบ ครับ" ผมตอบ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ท่านมีครอบครัวแล้ว แต่ด้วยที่ผมเห็นว่าอาจารย์ ได้แอบชื่นชอบและกำลังจีบนิดและแอ๋วอยู่ การตอบเพื่อดิสเครดิตอาจารย์ ย่อมมิใช่สุภาพบุรุษ

    "พี่เรียนอยู่ชั้นปีไหน เหรอคะ”

    "ปีสุดท้ายแล้ว ครับ"

    ในระยะหลังๆ ผมกับสมนึก ต้องทำหน้าที่เป็นหมอรักษาสัตว์เสียเอง เป็นเพราะสมนึก ได้รับการฝึกฝน และมีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดและฝึกฝนมากพอควร เขาจึงสามารถ ทำการฉีดยา วินิจฉัยโรค และ รักษาสัตว์ได้ จึงดำเนินการเสียเอง โดยมีผมเป็นผู้ช่วยงาน ผมเริ่มสนิททั้งนิดและแอ๋ว มากขึ้นๆ หลายๆ ครั้งที่ผมไม่ได้มาที่คลีนิค แอ๋วจะมาถามสมนึกว่า พี่อีกคนหายไปไหน

     

    "พี่ขลุ่ย ผมคิดว่า แอ๋ว คงจะชอบพี่แน่ๆ เลย.. เขาถามผมว่า พี่ขลุ่ย หายไปไหน"

    "เหรอ จริงอ่ะ..ไม่ได้หลอกพี่นะ   นึก"

    "จริงสิครับพี่ คนอย่างผม จะโกหกพี่ไปทำไม"

    “เหตุการณ์ ชักจะยุ่งเหยิงแล้วสิ ผมได้พบรักกับสาวงามสองคน ในเวลาไล่เลี่ยกัน นี่ถ้าหากอาจารย์รู้ ว่าสองสาวที่อาจารย์จีบ หันมาสนใจในตัวผม ผมไม่รู้จะตอบกับท่านอย่างไรดี" ผมคิด

    ในระยะต่อมา ช่วงที่ผมอยู่ที่คลีนิค ผมต้องวางตน อย่างระมัดระวังที่สุด ช่วงที่นิดและแอ๋วมาคลีนิค ผมต้องทำเมินเฉย นิ่ง ทำตนเป็นไม่รู้จักกับบุคคลทั้งสอง.... แต่ในทางกลับกัน เมื่ออยู่ภายนอก ผมมีโอกาสนัดแนะ.. ทั้งนิดและแอ๋ว ไปนั่งกินข้าว ที่ห้องอาหารรุ่งฤดี...ต่างกรรม ต่างวาระ ในบรรยากาศ อันสุดแสนโรแมนติค ภายใต้ร่ม มะพร้าว ท่ามกลางแสงจันทร์เหลืองนวล กลางสนามหญ้าอันเขียวขจี การสับหลีกรถไฟไม่ให้ชนกันของผมราบรื่น...ไร้ปัญหาใดๆ

     

    หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ผมยังคงสานสัมพันธ์ ทั้งนิดและแอ๋ว .. หลังจาก แอ๋วเรียนจบ เธอถูกคลุมถุงชน จากพ่อและแม่ ให้แต่งงานกับชายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธอเคยเขียนจดหมาย มาปรับทุกข์ให้ผมฟัง อย่างสม่ำเสมอ ผมก็ได้แต่เห็นใจ

    "แอ๋ว  ต้องยอมรับสภาพ  ไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู"  ข้อความในจดหมาย ที่เธอมักจะเน้นย้ำเสมอ เธอได้ขอร้องให้ผมหยุดติดต่อ เพราะจะกลายเป็นเรื่องผิดศีลธรรม จดหมายทุกฉบับที่บุรุษไปรษณีย์ มาส่งที่บ้านสามีของเธอ จะถูกเซนเซอร์ โดยสามี หรือคนในบ้านก่อนที่จะถูกส่งต่อให้ถึงมือเธอและคืนหนึ่ง ที่ผมอยู่เวร ขณะนั่งดูข่าว เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้น ผมเอื้อมมือรับโทรศัพท์แนบหู พร้อมกล่าวออกไป

    "สวัสดีครับ ที่นี่ วิทยาลัย เทคโนฯ ลำปาง  ครับ  ต้องการเรียนสายกับใคร ครับ"

    "คุณสุรินทร์ ค่ะ"

    "ผมกำลังรับสายครับ นั่น แอ๋วเหรอ" ขณะรับสายจากปลายทางกรุงเทพ ผมรู้สึกตื่นเต้น และประหลาดใจอย่างที่สุดว่า แอ๋ว รู้เบอร์หน่วยงานที่ผมทำได้อย่างไร

    "พี่ขลุ่ย..แอ๋ว เบื่อและคงอดทน ที่จะอยู่กับสามีต่อไป ไม่ได้อีกแล้ว"

    "เกิดอะไรขึ้นหรือ แอ๋ว"

    "แอ๋ว ถูกเขาทำร้ายทุบตี เกือบทุกวัน เวลาเขาดื่มเหล้าเมากลับมา ก็จะหาเรื่องกับแอ๋วตลอด ทุกวันนี้ แอ๋วได้แต่อยู่ในบ้าน ดังกับคนติดคุก ไม่มีอิสระใดๆ เลย ทำงานทุกอย่างสารพัด เวลากินข้าวก็ต้องกินหลังทุกๆ คนในบ้าน

    "เลวจริงๆ ไอ้นี่...ทำได้กระทั่งภริยาตนเอง ทำไม...แอ๋วจึง ยอมแต่งงานกับเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักเขาล่ะ"

    "พ่อแม่บังคับ แอ๋วไม่อยากขัดใจท่าน"

    "ยุคสมัยนี้แล้ว จะมาถุงคลุมชนได้อย่างไร"

    "แอ่วจะโทรมาหาพี่ขลุ่ย เป็นครั้งสุดท้าย และจะเลิกติดต่อกับพี่อย่างถาวร เขาหึงหวงแอ๋ว ตลอดเวลา เขาว่าแอ๋ว ยังแอบติดต่อกับพี่อีก"

    "ไอ้บ้า...ไอ้นี่ จิตวิปริตไปแล้ว" ผมสบถ ออกไป

    "นะพี่นะ..แอ๋วจะโทรมาบอกพี่แค่นี้ จะอย่างไร แอ๋วยังรักพี่ไม่เสื่อมคลาย และจะรักพี่ตลอดไป แม้กายแอ๋วจะเป็นของเขา แต่หัวใจของแอ๋ว แอ๋วขอมอบแด่พี่ขลุ่ยคนเดียว แค่นี้นะ แอ๋วแอบมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะ ข้างนอกบ้าน รักพี่เสมอนะ บ๊ายบาย"

     

    ขณะเดียวกัน ผมได้สานสัมพันธ์ กับนิดเพียงผู้เดียว ความรักของเราสุกงอมมากขึ้นๆ  ขนาดที่ว่า นิดเคยเข้าพบแม่และญาติของผม ทุกคนมีพึงพอใจ กับว่าที่สะใภ้...เป็นเพราะนิดเป็นคนอ่อนหวาน ปรับตัวเก่ง ผมได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่า  นิด คือ สุภาพสตรีที่จะเป็นคู่ชีวิตของผมในอนาคต ช่วงงานรับปริญญา...นิดได้มีโอกาส มาร่วมแสดงความยินดีและถ่ายภาพกับผม พร้อมทั้งครอบครัว....อย่างอบอุ่น

    ในวันเวลาดังกล่าว อาจารย์นเรศน์ ได้มาดูแลการรับปริญญาของนักศึกษา...โชคดีที่อาจารย์ไม่เห็นภาพหวานชื่น ที่เรามีต่อกัน.... ผมเทียวไปเทียวมาระหวางกรุงเทพ ลำปางสองเดือนต่อครั้ง/// ตลอดสองปี

    อาจเพราะเรามิได้เนื้อคู่...กัน ความรักของเราจึงสะดุดลง...ผมกับเธอ จึงหยุดสานสัมพันธ์ เธอครองชีวิตความเป็นโสดเรื่อยมา.... จนปัจจุบัน... เมื่อห้าปีก่อน เธอมาเชียงใหม่เพื่อทำธุระกับเพื่อน ได้โทรศัพท์เข้ามือถือของผม

    "พี่ขลุ่ย  สบายดีนะ ...จำได้ไม๊ นี่ใครเอ่ย"

    "ลองพูดเรื่อยๆ สิ  จะได้นึก" ผมบอกให้ปลายสาย พูดอะไรออกมา จนในที่สุดผมก็นึกเสียงพูดนี้ออก

    "นึกออกแล้ว ..ล่ะ  นิด นั่นเอง ใช่ไม๊"

    "เก่งจังเลย  ยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่เราไม่เจอกันเลยนะ"

    "ใช่ นิดสบายดีนะ"

    "สบายดีค่ะ  นิดมาทำธุระที่เชียงใหม่"

    "อยากเห็นหน้าจัง ว่ายังสวยเหมือนตแต่ก่อนหรือเปล่า แต่งงานหรือยัง"

    "ยังค่ะ  หาไม่ได้"

    "รอพี่..น่ะสิ"

    "ใช่..รอพี่ขลุ่ย"

    "พูดจริงอ่ะ"

    "จริงสิ มีโอกาสจะแวะลำปางนะ"  นิด พูดทีเล่นทีจริง

    "ยินดีต้อนรับตลอดเวลา จ้ะ"

    จากวันที่ผมได้รับสายในวันนั้นจนปัจจุบัน ผมไม่ได้รับข่าวคราวจากเธออีกเลย

    นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่มีผมกับสมนึกเท่านั้น ที่รับรู้ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น และได้พยายามปกปิด เป็นความลับนับตั้งแต่อดีต มาจนปัจจุบัน....

    ๓ ก.พ. ๒๕๖๒

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×