ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #58 : มิติพิศวง ภาค 2 ตอนที่ 14 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.51K
      267
      16 ก.ค. 64

     

     

    มิติพิศวง ภาค 2

    ตอนที่ 14

     

    [ เป็นปกติ ]

     

     

     

     

    “รู้รึเปล่าว่าบนดาดฟ้าเหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว”

    “....”

    “ฉันจะทำอะไรเธอก็ได้นะ”

    อมีเรียกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในทันทีที่อาคาชิพูดจบ แต่ก็ยังไม่ทันได้สำรวจหมดพื้นที่ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีฟ้ามิ้นท์ก็ต้องเลื่อนสายตากลับมามองคนที่กำลังกอดเธออยู่ ด้วยสายตาไม่เข้าใจ 

    กำลังคิดอะไรชั่ว ๆ ในหัวอยู่ใช่ไหมนั่น....?

    “แจ้งตำรวจต้องโทรเบอร์อะไรนะคะ?”

    “- -”

    อมีเรียยังคงตีมึนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยถามเด็กหนุ่มผู้กำลังโอบกอดเธออยู่ ทว่ารอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอาคาชิกลับทำให้เด็กสาวรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออกใบหน้าของเขาก็ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ แต่ยังดีที่ริงโทนเสียงรอสายของเธอดังขึ้นมาเสียก่อน 

    ~ 사랑해 널 이느낌 이대로 그려왔던 헤매임의 끝 ~이세상 속에서 반복되는 슬픔 이젠 안녕 ~

    ชิห์!

    “...”

    อมีเรียเหล่มองคนที่เพิ่งเดาะลิ้นสบถ แล้วเลื่อนสายตามองชื่อที่ขึ้นเด่นหรา 

    ทว่ายังไม่ทันได้กดรับสายจากพี่ชาย อาคาชิก็แย่งสมาร์ทโฟนของเธอไปถือซะอย่างงั้น ไม่พอเขายังยักคิ้วให้เธอพร้อม ๆ กับชูสมาร์ทโฟนสีขาวที่กำลังแผดเสียงร้องให้อยู่เหนือศีรษะของเขา ป้องกันไม่ให้อมีเรียที่ตัวเล็กกว่าแย่งมันไปได้ 

    แน่นอนว่าคนที่โดนแกล้งอย่างอมีเรียย่อมขมวดคิ้วไม่พอใจ

    “คุณอาคาชิกรุณาส่งคืนมาด้วยค่ะ” หากไม่ติดว่าเธอยังถูกเขากอดรั้งเอาไว้อยู่ เธอคงได้แบมือไปตรงหน้าเขาเพื่อขอสมาร์ทโฟนของเธอคืน แต่อาคาชิ เซยจูโร่กลับยิ้มพลางเลิกคิ้วขึ้นราวกับไม่เข้าใจว่า เธอต้องการขอสิ่งใดคืนจากเขา 

    “เราต้องรับสายพี่เทรย์ค่ะ กรุณาคืนมาด้วย” 

    “ทำไมละ?”

    “คุณอาคาชิ...”

    เมื่อถูกปั่นจากจอมเจ้าเล่ห์มากแผนการอย่างจักรพรรดิแดง อมีเรียที่ถึงเดิมทีเป็นคนใจเย็นพอสมควรก็ยังต้องย่นคิ้ว ก่อนเขย่งตัวเพื่อหวังคว้าสมาร์ทโฟนคืนมา ขนาดเธอเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการออกกำลังกายและทานอาหารให้ถูกหลักโภชณาการแล้วน่ะ 

    แต่ส่วนสูงระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มผมแดงคนนี้ก็ยังห่างกันอยู่ดี

    อาคาชิยังคงทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยน แม้แววตาของเขาจะกำลังพราวระยับ ยิ่งเห็นร่างเล็กโถมตัวใส่เขาอย่างไม่ระมัดระวังยิ่งทำให้เขาได้ใจจนขยับแขนหนีมือเล็กนั้น เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขัดกับแววตา จนถูกอมีเรียมองค้อนใส่

    ”ถ้าบอกว่า -- ไม่ให้ละ?”  

    “ไม่สนุกค่ะ”

    “แต่ฉันสนุก” แถมยังมากด้วย...

    ยักคิ้วให้ทีหนึ่งก่อนจะกระชับวงแขนประคองคนที่กำลังเขย่งยื้อแย่งของในมือเขาไม่ให้ล้ม

    “คุณอาคาชิ เอาคืนมาค่ะ”

    “ไม่”

    “คุณอาคาชิ!”

    คราวนี้อมีเรียเริ่มบึ้งตึงตามอารมณ์ไม่พอใจแล้ว พวงแก้มพอป่องโดยไม่รู้ตัว – ทำไมอมีเรียจะไม่รู้ตัวละว่าตอนนี้เธอกำลังถูกคนคนนี้แกล้งอยู่ แถมสายที่โทรเข้ามาก็เป็นสายของพี่ชายเธอด้วย ทำไมอาคาชิถึงได้ไม่ยอมให้เธอรับสายกันนะ 

    พอยิ่งเขย่งมากกว่าเดิม ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็เริ่มจะไม่มี จนกระทั่งสายที่โทรเข้ามาเป็นรอบที่สองได้เงียบไปนั่นแหละ อมีเรียที่ตอนแรกอารมณ์กำลังคุกรุ่นเหมือนสาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังจะงอน ก็เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงพร้อมหรี่ตามองคนตรงหน้าเงียบ ๆ 

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นวัยเด็กสาวอายุสิบหกปีหรือเปล่า

    --อมีเรียเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

    ขอบตาของเธอเหมือนมันเริ่มร้อนขึ้นมา แต่เพราะเม้มปากแน่นข่มอารมณ์โกรธปนไม่พอใจอยู่เลยไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอด ดวงตาสองสีจ้องมองคนตรงหน้าเขม็งก่อนถอนหายใจเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ด้านใน – ตั้งแต่แรกมาแล้ว อมีเรียมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยแก้หายสักครั้ง

    เวลาที่โกรธหรือไม่พอใจอะไรมาก ๆ จนหาทางระบายมันออกมาไม่ได้

    ตาของเธอเหมือนจะเริ่มร้อนจนน้ำตาคลอเหมือนอยากจะร้องไห้

    “....อย่าร้องไห้” 

    “...”

    เหมือนเป็นประโยคคำสั่ง แต่น้ำเสียงของเขากลับอ่อนลงราวกับต้องการขอร้อง

    หรืออาจเป็นเพราะตัวอาคาชิเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เขาเลยทำตัวไม่ถูกอยู่ว่าควรจะใช้น้ำเสียงหรือท่าทางเช่นไรดี ยิ่งกับคนตรงหน้าที่เป็นอมีเรีย เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจยังไงไม่รู้ สุดท้ายเขาก็ลดมือลงมาโอบปลอบไม่ให้คนตัวเล็กร้องไห้ออกมาจริง ๆ  

    แค่น้ำตาคลอเขาก็รู้สึกใจกระตุกแล้ว ถ้าขืนร้องออกมาคงจะรู้สึกพิลึกพิลั่น – เนื่องด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน หน้าอมีเรียเลยซุกลงกับไหล่ของเด็กหนุ่ม เธอไม่ได้ร้องไห้โวยวายเปล่งเสียงน่ารำคาญ เธอแค่ร้องออกมาเงียบ ๆ เท่านั้น

    เหมือนแค่ต้องการปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนกว่าจะหยุดเท่านั้นเอง

    คล้ายเวลาผ่านไปนานมากกว่าที่อมีเรียจะหยุดร้อง เธอเป็นฝ่ายดันเขาออกก่อนเพราะรู้สึกกระดากอายขึ้นมา แต่มีหรือที่อาคาชิจะยอมปล่อยอย่างว่าง่าย อมีเรียเลยต้องเงยหน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่หน้าตัวเองยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ ไม่สิ ตรงเสื้อของอาคาชิเองก็เปียกชุ่มจากน้ำตาของเธอเช่นกัน

    ช่าง... น่าอายชะมัดเลย--

    “ปล่อยค่ะ”

    “ขี้แย”

    หางคิ้วของเด็กสาวกระตุกก่อนแหวเสียงใส่ “ไม่ได้ขี้แยค่ะ!” 

    “แน่ใจว่าไม่ขี้แย...” 

    อาคาชิดันลิ้นกับกระพุงแก้ม ก้มมองวงหน้าหวานที่ยังมีคราบน้ำตา แล้วก็ต้องยกยิ้มขำเมื่อนัยน์ตามณีคู่สวยกำลังขึงใส่เขาจนตากลมโตมากกว่าเดิมอีก จนเมื่อได้เบนสายตาไปยังจุดที่เปื้อนน้ำตาของเด็กสาวเรือนผมสีฟ้ามิ้นท์ อมีเรียเองก็มองตามสายตาของเขาเช่นกัน

    “ขออภัยค่ะ”

    “หึ”

    อมีเรียหรี่ตามองรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม แล้วก็ต้องถอนหายใจ

    “หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้ค่ะ”

    “ไม่”

    “....” นี่เขาเห็นว่าการกลั่นแกล้งเธอมันสนุกมากเลยอย่างงั้นเหรอ....?

    แต่ก่อนที่เด็กสาวจะได้หาจังหวะออกจากอ้อมกอดของเขา เสียงทุ้มอันแสนราบเรียบก็ดังขึ้นมาเสียก่อนพร้อมรอยยิ้มกดลึกตรงมุมปาก 

    “ว่าแต่ฉันจะเรียกค่าชดใช้เรื่องรอยเปื้อนที่เสื้อยังไงดีนะ...?”

    “....”

    หนึ่งคนจ้องมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งคนจ้องมองด้วยแววตาพราวระยับ

    ก่อนมือที่สัมผัสอยู่ตรงหน้าอกของเด็กสาวจะเกร็ง ในขณะเดียวกันนิ้วก็หยิกผิวหนังใต้ร่มผ้าของเด็กหนุ่มอย่างไร้ความปราณี ทำเอาคนโดนหยิกสูดปากร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาเบา ๆ โดยมีใบหน้ามึนง่วงของเด็กสาวส่งรอยยิ้มบางเบาให้ 

    อาคาชิแค่นเสียงลอดไรฟันถามพร้อมขึงตาใส่ “อยากให้ชดใช้ด้วยร่างกายเหรอ”

    “ระวังเข้าคุกนะคะ”

    ทว่าอมีเรียกลับฉีกยิ้มส่งให้เขาราวกับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

    ในตอนนี้ภายในสายตาของอาคาชิ เซย์จูโร่เหมือนได้เห็นอมีเรียเป็นทั้งแมวขี้เซา กระต่ายน่าแกล้ง อสูรพิษอันตรายและของหวานที่ชวนให้ลุ่มหลงจนไม่อยากผละจาก แต่ไม่ว่าจะอันไหน ๆ ผลลัพธ์ที่จะตามมาภายหลังก็มีแต่เรื่องยุ่งยากทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนละหนึ่งจากเด็กสาวที่กำลังส่งยิ้มท้าทายแก่เขา 

    ส่วนอีกหนึ่งคงไม่ต้องเอ่ยปากถามหรอกกระมั้ง

    พอได้จ้องมองแววตามึนเบื่อปนง่วงของเด็กสาวที่สีแตกต่างกัน เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูด ก่อนที่สติจะได้กลับคืนมาจากการต้องมนต์สะกดจากดวงตา อมีเรียและอาคาชิต่างก็เริ่มรับรู้ได้ถึงสัมผัสอุ่นร้อน จากนั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความหรอกใช่ไหม?

    “..!!”

    เป็นอมีเรียที่ได้สติก่อน เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจกับการกระทำนี้ 

    ไม่ใช่ความรู้สึกอายเหมือนสาวน้อยวัยแรกแย้มทั่วไป ไม่สิ มันแค่ความไม่ชินมากกว่า ถึงร่างกายนี้จะอายุอยู่ในระดับเด็กสาววัยมัธยม แต่สภาพจิตใจของอมีเรียที่กำลังบิดเบี้ยวไปตามสถานการณ์และห้วงเวลาก็อายุมากกว่าเป็นเท่าตัวแล้วด้วย ดังนั้นต่อให้ตกใจ สักพักเธอก็หลับตาคล้อยตามสัมผัสนั้นอย่างง่ายดายอยู่ดี 

    อย่าได้คิดว่าเธอใจง่าย แค่ยอมรับเท่านั้น--

    ริมฝีปากที่แนบชิดกันมันไม่ได้เร่งร้อนเหมือนจูบแรกเมื่อคราวก่อน อีกทั้งมันก็ไม่ใช่จูบเย้ายวนเหมือนครั้งที่สอง ทว่าในครั้งนี้มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนที่จอมล่อลวงจะเริ่มชิมละเลียดไปตามริมฝีปาก แล้วดุนดันลิ้นร้อนชื้นเข้าไปสำรวจภายในและกวาดต้อนให้มาเกี่ยวพันไปมาชั่วครู่ ก่อนผละออกอย่างแสนเสียดาย 

    เขาอุตส่าห์อดทนไม่กินขนมหวานตรงหน้าอยู่หลายครั้งแล้วนะ

    ยิ่งมองริมฝีปากนุ่มนิ่มเหมือนมาสเมลโล่ที่เขาไม่เคยลืมสัมผัส แม้มันจะผ่านไปหลายเดือนหลังจากเจอกันครานั้น เขาก็ยังอยากชิมรสชาติและแนบชิดกับความนุ่มนิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่า เขาในตอนนี้กำลังเสพติดมันเข้าแล้ว ก้มหน้าลงกดจูบเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ

    “....”

    “....”

    อมีเรียมองคนที่เพิ่งขยับตัวถอยออกห่างเธอ แล้วลากสายตาไปทางประตูของดาดฟ้าที่กำลังมีเสียงวิ่ง— เธอเข้าใจแล้วละว่าทำไมเขาถึงได้ทำหน้าขัดใจแบบนั้นออกมา หึ เด็กเจ้าเล่ห์..

    ปัง!

    “มีเรีย พี่มาแล้ว!”

    “...”

    “ถอยออกไปห่าง ๆ น้องสาวฉันเลย”

    “...เฮ่อ”

     

    .................................................

     

     

    หลังจากจบเรื่องหนอนลงได้ อมีเรียก็รู้สึกว่าตารางชีวิตของเธอกลับมาปกติได้เสียที

    ถ้าตัดเรื่องการถูกเหล่าแฟนคลับของเขาเข้ามาทักทายออกไป บวกกับพวกบรรดาคนที่ต้องการเข้ามาประจบประแจง  อมีเรียก็จะถือว่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนที่ราคุซันก็ไม่เลวเลย เว้นก็แต่ประธานนักเรียนบางคนแถวนี้เท่านั้นที่เหมือนจะทำให้เธอรู้สึกก่ำกึ่ง

    “....กรุณาอย่าทำตัวเป็นขโมยค่ะ” ดวงเนตรสองสีหรี่ลงมองคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างจับผิด 

    “ไม่ได้ขโมย แค่งับมันจากตะเกียบของเธอเอง— เธอไม่ได้คิดจะป้อนฉันงั้นเหรอ?”

    “ไม่เลยค่ะ” อมีเรียย่นคิ้ว แล้วใช้ตะเกียบของตัวเองชี้กล่องเบนโตะของเด็กหนุ่ม “ของคุณก็มีนะคะ คุณอาคาชิ”

    “ของเธออร่อยกว่าเยอะ มีเรีย”

    “เรายังไม่อนุญาตให้คุณเรียกชื่อเล่นเรานะคะ –แล้วอีกอย่าง เราเป็นคนทำเบนโตะสองกล่องนี้”

    “ฉันอนุญาตตัวเองและ—“ อาคาชิ เซย์จูโร่มองใบหน้ามึนเบื่อของเด็กสาว แล้วฉีกยิ้มออกมาเมื่อเห็นหว่างคิ้วที่กำลังขมวด “..ฉันอยากให้เธอป้อน”

    “คุณอาคาชิ”

    “ครับคุณคาร์เชล”

    “ไม่ตลกค่ะ”

    พวกนี้คือบทสนทนาที่อย่างน้อยในหนึ่งวันจะต้องมี อีกทั้งยังเกิดขึ้นอย่างน้อยสองหรือสามครั้ง จนกลายเป็นเรื่องเคยชินภายในเวลาอันสั้นไปเสียแล้ว จนบางทีพวกเขาก็ชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่า สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า..? 

    --คงไม่หรอกมั้ง

    หากนับวันที่อมีเรียมาแลกเปลี่ยนที่ราคุซัน นี่ก็ผ่านมาแล้วห้าวัน 

    เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน อีกสองวันก็จะครบกำหนดเวลาที่อมีเรียจะต้องทำเรื่องย้ายไปโรงเรียนอื่นต่อ แต่เอกสารของเธอที่รอให้ประธานนักเรียนจอมเจ้าเล่ห์เซ็นนั้นดันมีปัญหาเกิดขึ้น และมันก็เป็นปัญหาที่ทำให้อมีเรียต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับเขาเช่นนี้อย่างผิดวิสัยอีกด้วย

    เพราะเขายังไม่เซ็นมันให้เธอเลยนะสิ!

     

     

    ในวันนั้นที่พี่ชายเธอหอบอาวุธมาครบมือมา ไม่ว่าจะเป็นสากกะเบือยันเรือรบ— เอ่อ...มีจริง ๆ นะไม่ได้พูดเล่น เนื่องจากว่ารถคนของพี่มาเต็มโรงเรียนเลย เหมือนเขาต้องการที่จะบุกมาถล่มยังไงก็ไม่รู้

    แต่เอาเป็นว่า.. ช่างเรื่องนั้นไปก่อน

    หลังจากทักทายเทรย์เวอร์ที่บุกมาแบบไม่บอกไม่กล่าว อมีเรียก็ถูกฮาคุกับเรย์จิประคบซ้ายขวาพาลงจากดาดฟ้าในทันที ทิ้งให้อาคาชิกับเทรย์เวอร์ยืนประชันหน้ากันเพียงสองคนอยู่บนนั้น 

    ถึงจะสงสัยว่าพี่จะทำอะไรเด็กหนุ่มรึเปล่า แต่อมีเรียก็ไม่ได้ถามอะไรมากนอกจากกระดิกนิ้วเป็นเชิงสั่งให้ฮาคุส่งภาพจากกล้องวงจรปิดที่แอบไปติดตั้งไว้ที่ดาดฟ้ามาให้เธอด้วย ส่วนพวกถ่ายทอดสดก่อนหน้านั้น เธอได้ทำการปิดมันไปในตอนที่กลุ่มกรรมการนักเรียนขึ้นมาแล้วล่ะ

    ดังนั้นฉากจูบอะไรนั่นเลยไม่มีใครเห็น อ้อ ยกเว้นพี่ชายเธอไว้คนหนึ่ง

    --เพราะเขามาทันเห็นพอดิบพอดี 

    พอถูกพาออกห่างจากดาดฟ้าเพื่อให้สองหนุ่มต่างวัยได้พูดคุยกัน อมีเรียที่ถึงแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ใด ๆ นอกจากรับโน๊ตบุ๊คจากฮาคุเพื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิด และนั่นแหละจึงทำให้เธอได้รู้ว่าพี่ชายคนเก่งแอบไปทำข้อตกลงอะไรไว้ – ถึงอันที่จริงเรื่องข้อตกลงที่ว่านั้นจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ที่พี่ชายของเธอยอมอ่อนข้อปล่อยให้แต้มบนกระดานของตัวเองถูกแย่งชิงไปง่าย ๆ แบบนั้น 

    มันมีเหตุผลเดียวเลยก็คือ เทรย์เวอร์ต้องการยืมมือตระกูลอาคาชิ 

    และก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งสำหรับตระกูลที่เป็นหนึ่งในแกนนำใหญ่เรื่องธุรกิจของญี่ปุ่น เขาสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นได้ด้วยการยื่นมือเข้ามาช่วยของพี่น้องคาร์เชล 

    อย่าลืมว่าคนพี่ไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น แต่กลับมีฐานอำนาจอยู่ที่นี่แม้แต่รัฐบาลยังต้องเกรงใจ

    เพราะฉะนั้นแล้ว หากได้เกี่ยวดองเป็นส่วนหนึ่งของคาร์เชลก็นับเป็นความคิดที่ไม่เลวยิ่งสำหรับนักธุรกิจทั้งหลาย และอาคาชิเองก็คิดเช่นนั้น 

    ใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นจากการวางข้อตกลง อาคาชิ เซย์จูโร่สามารถเลื่อนอันดับการถือหุ้นขึ้นมาเป็นอันดับสองรองจากคาร์เชลได้อย่างรวดเร็ว – หุ้นทางการตลาดของญี่ปุ่นกว่า 60% ตกอยู่ในการครอบครองของตระกูลอาคาชิด้วยวิธีการบางอย่าง ทั้งเป็นวิธีการบริสุทธิ์และสกปรกอยู่บ้างหากให้ต้องเล่าโดยละเอียด 

    แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะเริ่มกระจายหุ้นที่ถือครองไปยังบริษัทในเครือพันธมิตรของตระกูลอาคาชิ

    เป็นเหมือนการประกาศว่าใครคือคนที่ถืออำนาจใหญ่สุดของวงการนี้ หากเขาต้องการมัน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจแย่งมันไปได้—

     

    “ไม่เลวเลยนิ” เทรย์เวอร์เลิกคิ้วก่อนส่งแฟ้มเอกสารที่บันทึกทุกอย่างที่อาคาชิ เซย์จูโร่ได้ลงมือทำไป 

    หากบอกว่าเขานั้นสนใจและค่อนข้างชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สำหรับวงการธุรกิจที่มีทั้งด้านแสงสว่างและด้านมืด คนที่มีความสามารถรอบด้านเท่านั้นที่เทรย์เวอร์จะเก็บเอาไว้ข้างกาย อีกทั้งการที่มีคนกระจายข่าวเรื่องน้องสาวเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ได้ชื่อเสียงของตระกูลอาคาชิเข้ามาอุดไว้

    แค่นี้พวกไร้สมองทั้งหลายก็ไม่กล้าเข้ามาตอแยน้องสาวของเขาแล้ว

    “ทำตามเงื่อนไขแล้ว”

    “แน่นอน— แถมยังเด็ดขาดใช้ได้เลยนิ”

    “....” 

    ดวงเนตรคมเข้มมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนเบนสายตาไปทางจุดของกล้องวงจรปิดที่ยังมีแสงไฟกระพริบบอกว่ามันกำลังทำงานอยู่ แล้วฉีกยิ้มให้กล้องเพื่อส่งไปยังคนที่กำลังมองดูอยู่ 

    “....แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าฉันจะยกน้องสาวให้นายนะ เจ้าหนู”

    “ครับ”

     

    แค่ได้เป็นคู่หมั้นทางธุรกิจให้อมีเรียก็ถือว่าผ่านด่านแรกของสิบด่านได้แล้วละนะ—

     

     

    .................................................

     

     

    ภายในห้องนั่งเล่นที่มีคนทั้งสามนั่งรวมกันอยู่ช่างเงียบเหงา เพราะนอกจากร่างกายช่วงมือขยับเคลื่อนไหวยกชาขึ้นจิบแล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดเลยจนคนที่ยืนมองอยู่ต้องเขยิบถอยหนีออกจากห้องนี้

    ยกเว้นก็เพียงคนสนิทของสองพี่น้องคาร์เชลเท่านั้นที่ดูจะคุ้นชินสถานการณ์เช่นนี้ดี

    “เดิมทีเรื่องคู่หมั้นเนี่ยก็คิดเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

    อมีเรียหลุบตามองผิวน้ำชาที่กำลังกระเพือมตามแรงขยับของถ้วยที่เธอถือ ก่อนปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาด้วยกิริยาแสนเกลียดคร้าน มือข้างหนึ่งก็ถือถ้วยกาแฟที่มีไอร้อนลอยขึ้นส่วนอีกข้างก็ถือเอกสารพลางกวาดสายตาอ่านมัน อีกด้านก็เป็นเด็กหนุ่มเรือนผมแดงที่นั่งอยู่ในกิริยาที่ไม่ต่างจากพี่ชายของเธอมากนัก

    ไม่สิ แตกต่างอยู่— เพราะอาคาชินั่งสำรวมประดุจคุณชาย

    ไม่เหมือนพี่ชายเธอที่นั่งประกาศศักดา ประดุจราชาอยู่ข้าง ๆ เธอเนี่ย 

    “มันก็ใช่ละนะ--” เทรย์เวอร์เลื่อนสายตาจากหน้าเอกสารมองน้องสาว แล้วกลับไปอ่านเอกสารในมือของตัวเองต่อ “แต่ทำไงได้ถ้าไม่เหมาะสม พี่ก็ไม่รู้จะปล่อยให้เขามาเข้าใกล้น้องสาวสุดที่รักทำไม”

    อาคาชิที่ถูกพูดพาดพิงเงยหน้าจากเอกสารมองคนพูดทันที

    “...”

    ต่างจากอมีเรียที่หรี่ตามองพี่ชายอย่างไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่

    “หรือก็คือ... ยืมมือคุณอาคาชิสินะคะ”

    “Yes”

    “...”

    เอาเป็นว่าอมีเรียจะไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติมอีกเด็ดขาด เพราะอย่างน้อย ๆ หนทางข้างหน้าของเธอก็ยังคงมีความสงบอยู่ อีกทั้งยังไม่ต้องพบเจอพวกที่จ้องหาผลประโยชน์จากชื่อคาร์เชลทั้งหลายแหล่ ไหนจะฝั่งของอาคาชิเองก็ได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงพวกนี้อยู่ไม่น้อย

    ดังนั้นสถานะคู่หมั้นจึงเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์มากกว่าเสียผลประโยชน์เสียอีก

    “สมกับเป็นน้องสาวของพี่นะเนี่ย”

    “หึ”

    “...”

     

    ..................................................................................

     

    กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน 

    ถึงแม้จะรู้เรื่องข้อเสนอและข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างพี่ชายและตระกูลอาคาชิ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่อมีเรียยังสงสัย นั่นก็คือ ความเอาแต่ใจแสนเผด็จการของลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอาคาชินั่นแหละ

    และในตอนนี้อมีเรียก็กำลังนั่งทำหน้ามึนใส่เขาอยู่

    “ไม่แกล้งกันสักชั่วโมง คุณอาคาชิผู้เก่งกาจคงไม่ตายหรอกกระมั้ง?” เสียงเนือยหวานดังขึ้นในขณะที่มือก็ขยับหยิบนั่นหยิบนี่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนวงหน้ามึนง่วงของเด็กสาวจะผินมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังจัดการเอกสารงานที่เพิ่งได้รับมา มองอยู่ครู่หนึ่งก่อนชี้นิ้วบอกตำแหน่งตัวเลขที่เธอเห็น 

    “ตัวเลขผิดปกตินะคะ”

    “จริงด้วย – ขอบคุณนะ”

    “กรุณาเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นเลิกแกล้งเราด้วยค่ะ”

    อาคาชิชะงักปากกา มองเด็กสาวที่ยืนจัดเก็บเอกสารให้เขาอยู่ด้วยแววตาพราวระยับ 

    “งั้นเรียกชื่อฉันสิ -- แล้วฉันจะเลิกแกล้ง” 

    หากแต่เด็กสาวผู้กำลังถูกปั่นหัวกลับเมินเฉยสายตาที่กำลังพราวระยับของเขา คงมีแค่ปากจิ้มลิ้มเท่านั้นที่กำลังขยับเพื่อเอือนเอ่ยคำพูดของเธอออกมา แม้คำพูดที่หลุดอกมานั้นจะทำให้คนบางคนรู้สึกคันยุกยิกในอกก็เถอะ

    “คงไม่มีหวังหรอกค่ะ”

    “...ใจร้าย”

    “....” 

     

    .

    .

    .

    .

     

    กริ๊งงงงงงงงง!

    เสียงของกริ่งสำหรับแจ้งเวลาดังขึ้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด อมีเรียเดินเข้าห้องเรียนพร้อมกับอาคาชิเหมือนวันแรกจนกระทั่งวันนี้ วันที่ห้าของการมาเรียน

    ทั้งคู่ก็ยังคงเดินเข้ามาพร้อมกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคงจะเป็นสีหน้าของทั้งสองคนมากกว่า หนึ่งคนทำหน้ามึนเบื่อ อีกคนมีรอยยิ้มผ่อนคลายประดับบนใบหน้าพลานให้เหล่าเด็กสาวต้องใจสั่น แม้จะมีหลายคนที่แสดงท่าทีออกมาว่าไม่พอใจเรื่องการหมั้นหมายของทั้งคู่

    แต่ใครเล่าจะกล้าแสดงตัวตนออกมาต่อต้านเรื่องนี้

    หนึ่งคือพวกเธอมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นเหรอ...?

    สองคือพวกเธอมีอำนาจในการต่อต้านพวกเขาด้วยเหรอ...?

    สามคือสิ่งที่เด็กสาวได้ทำลงเมื่อวันนั้น อีกทั้งยังมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งถูกเรียกผู้ปกครองให้มาที่โรงเรียน ไหนจะภาพถ่ายทอดสดที่เด็กสาวเรือนผมสีฟ้ามิ้นท์สามารถข่มขวัญทุกคนได้อย่างง่ายดาย เธอกล้าขึ้นไปเดินบนราวกั้นเล็กนั้นอย่างไม่กลัวตก รอยยิ้มและแววตาที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกับประธานนักเรียนของพวกเขาไม่มีผิด 

    แล้วจะมีใครเหมาะสมไปกว่าเด็กสาวคนนี้อีกละ

    คำตอบก็มีอยู่แล้วมิใช่หรือ...?

    เพราะอย่างนั้นอมีเรียเลยไม่ต้องมารับมือกับอะไรอีก นอกจากอาคาชิคู่หมั้นจอมเจ้าเล่ห์ของเธอเอง

    “วันนี้กรุณาเช็นอนุมัติให้ด้วยนะคะ” เธอกระซิบบอกอาคาชิที่นั่งลงข้างเธอ

    เขาเลิกคิ้วมองแล้วยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า “....ก็เรียกชื่อฉันแล้วขอร้องสิ”

    “คุณอาคาชินี่จริงจังค่ะ”

    “กระผมก็จริงจังนะครับ”

    “...”

    “^^”

    สุดท้ายอมีเรียก็ต้องจิกตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนยกมือฟาดไปทีมือของเด็กหนุ่ม ที่กำลังจะดึงเก้าอี้เธอให้ขยับเข้าไปใกล้เขา แม้จะไม่ได้ฟาดแรงมากแต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนช่างเนียนยอมรามือไป โดยที่เขานั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาใด ๆ นอกจากยักคิ้วกวนประสาทพร้อมไหวไหล่

    การเรียนวันนี้ก็เหมือนเดิมเป็นวิชาประวัติศาสตร์กับฟิสิกส์

    และส่วนใหญ่คนที่จะถูกเรียกให้ตอบคำถามก็เป็นเธอกับอาคาชิเหมือนเดิม

    ตอนแรกก็ผลัดกันตอบแต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นอาจารย์และนักเรียนในห้องต่างสนุกกับการนับว่า ระหว่างเธอกับอาคาชิ ใครจะตอบคำถามได้มากกว่ากัน – กับคนที่ทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่งอย่างอาคาชิย่อมต้องการเอาชนะอยู่แล้ว ส่วนอมีเรียโบกธงยอมแพ้ทันทีตั้งแต่เห็นสายตาของคนในห้องแล้ว 

    อย่าหวังว่าจะลากเธอไปทำเรื่องอะไรยุ่งยากพวกนั้น

    “ยอมแพ้ไวไปรึเปล่า?”

    “...หึ”

     

     

    พอหมดคาบเรียนเช้า อมีเรียก็ต้องไปทานอาหารที่โรงอาหารเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ 

    เนื่องจากวันนี้อาคาชินึกครึ้มใจอะไรไม่รู้ลืมเอาเบนโตะที่เธอกับพ่อของเขาเข้าครัวทำให้ อ้อ ผู้นำตระกูลอาคาชิก็เหมือนลูกชายนั้นแหละ แต่ต่างตรงที่เขาเป็นคนที่แสดงความรักออกมาไม่เก่งและตั้งความคาดหวังไว้กับลูกชายคนเดียวมาก มากเกินไปจนกลายเป็นความเคยชิน 

    พอรู้ว่าการหมั้นหมายระหว่างคาร์เชลกับอาคาชิประสบความสำเร็จ

    --เขาก็เริ่มผ่อนปรนให้อาคาชิคนลูกบ้างแล้ว

    ดูจากที่เดินกระแอมกระไอเข้ามาในครัวตอนที่เธอกำลังทำเบนโตะอยู่สิ--  อมีเรียค่อนข้างแปลกใจและประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลยนะ แต่คนที่ประหลาดใจจนทำหน้าไม่ไว้วางใจอย่างอาคาชิคนลูกเนี่ย แสดงอาการออกนอกหน้าเลยและไม่คิดจะเอาเบนโตะมาด้วย

    ถ้าอมีเรียไม่วิ่งหยิบมายัดลงกระเป๋านักเรียน

    เที่ยงนี้เธอคงต้องควักเงินซื้อนะสิ คิดว่าเธอจะยอมเหรอ ไม่! ประหยัดได้ต้องประหยัดสิ

    โต๊ะที่อมีเรียร่วมนั่งด้วยก็เป็นโต๊ะของสมาชิกทีมบาสราคุซันตัวจริง ที่ถึงเธอจะยังมองไม่เห็นใบหน้าพวกเขาเหมือนอาคาชิ แต่อมีเรียก็เริ่มคุ้นเคยเพียงพอที่เธอจะจดจำเสียงของแต่ละคนได้แล้วว่าเสียงนี้ของใคร เสียงนั้นของใคร อย่างเช่นเสียงที่ทุ้มแต่ดัดให้แหลมหน่อยก็เป็นของรองกัปตันทีมผู้ชอบจับอมีเรียไปนั่งทำผม

    เหมือนพี่ทัตสึเบอร์สองเลย...ว่าไหม

    “รุ่นพี่เนบุยะคะ กรุณาทานดี ๆ ด้วยค่ะ” 

    อมีเรียเอ่ยเตือนรุ่นพี่ผิวคล้ำผู้ทานอาหารหมดไปหลายจานแล้ว แต่ก็ยังคิดที่จะทานเพิ่มอีก แถมยังทานแบบมูมมามเกินเหตุเช่นนี้ เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนออกไป หนำซ้ำเขาคนนี้ยังทานเยอะแทบจะพอ ๆ กับไทกะเลย แต่อย่างน้อยไทกะก็ไม่ได้มูมมามอย่างรุ่นพี่คนนี้มากนัก

    (ใครเขาจะกล้ากินมูมมามต่อหน้าเธอ เดี๋ยวโดนตีปากนะสิ :: คางามิฟ้อง)

    “ครับผม! อ่อก— แค่ก ๆ ”

    “อ้าว! เนบุยะอย่าเพิ่งตายนะยะ!” เสียงทุ้มออกสาวของเรโอะดังขึ้นตามด้วยเสียงตบหลังดังป้าบ

    มายุซุมิเบือนหน้าหนีภาพอาหารที่ถูกพ่นออกมา ก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำส่งไปให้รุ่นน้องจอมกินจุที่กินไป พูดไป จนมันติดคอเหมือนอย่างในตอนนี้ พอได้น้ำ เนบุยะก็กระเดือกมันอย่างไวในทันทีก่อนจะพ่นหายใจออกมาด้วยความโล่งคอ จากการที่อาหารมันลงกระเพาะหมดแล้ว

    “เกือบจะตายแล้วเชียว ฮู่ว ขอบคุณนะรุ่นพี่มายุซุมิ” เขาว่าเสียงดังแต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปหารุ่นพี่ผู้จืดจาง ก็ต้องชะงักมือ เพราะคู่หมั้นสาวของกัปตันทีมส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้เขาเสียก่อน

    “รุ่นพี่ไม่ควรทานไปพูดไปนะคะ แล้วความเร็วในการทานนั่นคืออะไรคะ?” รอยย่นคิ้วปรากฏบนใบหน้าของเด็กสาวอย่างชัดเจน “ถ้าติดคอตายขึ้นมาจะทำยังไงคะ” อมีเรียดุรุ่นพี่หนุ่มด้วยใบหน้าขึงขัง ก่อนจะใช้มือดันจานข้าวอีกสองจานที่รุ่นพี่หนุ่มขนมาเลื่อนไปตรงหน้าสมาชิกทีมบาสคนอื่น ๆ ที่นั่งมองอยู่

    “รุ่นพี่ทานแค่นั้นก็พอค่ะ เป็นการลงโทษที่ไม่ระวัง”

    “ทำตามที่อมีเรียบอกนั่นแหละ”

    “เงอะ! ไม่นะคุณผู้จัดการคนสวย! กัปตัน! อย่าทำร้ายผ๊มมมมม~” 

    “หุหุหุ มีเรียจังน่าจะย้ายมาที่ราคุซันนะจะได้มาเป็นผู้จัดการทีมให้พวกเรา แถมยังจะได้มาคุมความประพฤติเจ้าพวกนี้ด้วย --เซย์จังเองก็เห็นด้วยใช่รึเปล่าละ” 

    เรโอะยักคิ้วให้กัปตันทีมทีหนึ่ง แต่นอกจากรอยยิ้มพึงพอใจแล้วอาคาชิก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

    อมีเรียมาเป็นผู้จัดการทีมบาสชั่วคราวให้ราคุซันได้ห้าวันแล้ว

    จะบอกว่าสนิทก็ไม่ใช่ เกรงใจก็ไม่เชิง ส่วนใหญ่พวกเขาทำตามที่เธอบอกเพราะเธอมีอาคาชิคอยสนับสนุนอยู่ และฝีมือในการควบคุมทีมบาสทุกคนก็เห็นมาแล้วจากการปะทะกันในสนาม ขนาดไม่ได้ลงไปแข่งยังสามารถจัดการกับแผนการของอาคาชิได้อย่างสูสี การได้อมีเรียมาเป็นผู้จัดการทีมมันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยใช่มั้ยละ— แถมอมีเรียยังมีข้อมูลของทุกคนแบบละเอียด ชนิดที่โค้ชกับผู้จัดการทีมราคุซันยังต้องเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจเลย

    เป็นคนที่น่าสนใจอย่างที่อาคาชิบอกจริง ๆ นั่นแหละ

    “คงไม่ได้หรอกค่ะ ยุ่งยากเปล่า ๆ ”

    มาจบก็คีบแครอทเข้าปาก พลางเหลือบมองเบนโตะของตัวเองที่อาคาชิกำลังคีบขิงดองมาใส่อย่างหน้าตาเฉยอย่างประหลาดใจ พอเงยหน้ามองเจ้าของตะเกียบเธอก็ต้องเลิกคิ้ว เพราะเขายังคงทำหน้านิ่งเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอรู้ทัน เธอคงจะเชื่อใบหน้านิ่งเฉยของเขาไปแล้วล่ะ

    “...อะไร” อาคาชิที่รู้ถึงสายตาของอมีเรียก็เลิกคิ้วมองตอบ

    “เปล่าค่ะ”

    อมีเรียเบนสายตาไปทางอื่น ก่อนจะคีบไส้กรอกของตัวเองไปวางบนกล่องเบนโตะของเด็กหนุ่ม แล้วนั่งทำเนียนคีบข้าวเข้าปากอย่างเงียบเชียบต่อ เมินทุกสายตาของทุกคนที่มองมาที่เธออย่างประหลาดใจ 

    แต่คงมีแค่อาคาชิเท่านั้นที่ยกยิ้มพอใจ

    “ถ้าฉันยกกล้องถ่ายรูปเซย์จังตอนนี้จะโดนอะไรไหม?” เรโอะกระซิบถามเพื่อนข้างตัว

    เนบุยะที่เพิ่งจะแย่งจานข้าวคืนมาได้ ก็กะพริบตามองกัปตันทีมกับผู้จัดการทีมชั่วคราว ที่นั่งทานกันเงียบ ๆ เหมือนคนปกติ แต่กลับมีออร่าแปลก ๆ อยู่ด้านหลังสองคนนั้น เขากระซิบบอกเรโอะอย่างตื่นเต้น

    “ถ่ายเลยส่งมาให้ฉันด้วย เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

    “ดีล!”

     

     

     

     

     

    ………………………………………..

    พูดคุยกับนักเขียน :: 

    สองคนนี้กำลังดีลอะไรกันคะ..?! แบ่งไรท์ด้วยสิ ฮิฮิฮิ 

     

    by. Ori Whitefox
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×