"เวทีชีวิตกัมบี้"
ใครที่อยากรู้เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตสามรถเข้ามาอ่านได้จร้ารับรองไม่ผิดหวัง
ผู้เข้าชมรวม
8,836
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เวทีชีวิต
ตอน 1
........ถึงตอนนี้เชื่อว่าแฟนๆทีวีพลู ส่วนใหญ่คงจะเคยสัมผัสท่วงทำนองไพเราะ และเนื้อหาแสนจะโรแมนติของเพลงนี้ไปแล้ว เพราะในช่วงที่ผ่านมาเพลงนี้ ถือว่าเป็นเพลงฮิตระเบิดติดอันดับหนึ่งชาร์ทเพลงแทบทุกคลื่นในประเทศไทย และแน่นอนว่าเจ้าของเสียงร้องนุ่มๆที่คร่ำครวญเพลงนี้ได้อย่างจับจิตจับใจเป็นที่สุดอย่าง...นายบี้.สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว...ก็อาจจะขึ้นแท่นกลายเป็นนักร้องขวัญใจของใครหลายคนไปแล้วเช่นกัน
ไม่เพียงความสามารถระดับที่ด้รับการยอมรับมาจากเวที เดอะสตาร์ จนได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องหน้าใหม่ ก่อนจะขยับไปชิมร่างงานแสดง แต่หลายรางวัลจากหลายเวที ซึ่งการันตีถึงความเป็นนักร้องดาวรุ่งอันดับ1 ณ วันนี้ย่อมเป็นการการันตีความดังของหนุ่มคนนี้ได้เป็นอย่างดี
นักร้องหนุ่มหน้าใสอนาคตไกล และมีเส้นทางสายนักแสดงที่สวยหรู อย่างนี้จึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะได้รับการทาบทามให้มาเยื่อน เวทีชีวิตของเรา
ทีวีพลูฉบับนี้เป็นต้นไปมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หนุ่มน้อยขวัญใจสาวๆนายบี้ มาเป็นแขกรับเชิญบนเวทีแห่งนี้เพื่อให้แฟนๆได้สัมผัสเบื้องหลังเบื้องลึกก่อนจะมาเป็น ดาวรุ่งอนาคตใกล้ของเขา หนุ่มน้อยหน้ามลจากเมืองเหนือมาโลดแล่นในวงการบันเทิงได้อย่างไรเจ้าตัวพร้อมจะเล่าให้ฟังแล้วคะ
"สวัสดีครับ" ผมบี้ สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว"ครับ ผมเป็นคนเหนือแต้ๆเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในตัวเมืองครับ ผมเกิดมาในครอบครัวข้าราชการที่แสนอบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นข้าราชการทั้งคู่เลยครับ
คุณพ่อผมชื่อคุณพ่อสมจิตร ทำงานอยู่กรมป่าไม้ ส่วนคุณแม่ชื่อคุณแม่พรรทิภา เป็นแม่พิมของชาติรับราชการครูผมมีพี่น้องสองคนครับ ผมเป็นลูกชายคนเล็กและมีพี่สาวแสนดีอยุ่นึงคนครับ
ผมเกิดเมื่อ4กันยายน2528 ตอนนี้ก็ใกล้22ขวบละครับ ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่าผมเป็นเด็กที่คลอดง่ายมากเลย คุณแม่แค่ปวดท้องนิดเดียวแล้วก็คลอดผมออกมา แต่พอคลอดออกมาแล้วถึงมีปัญหาครับ คือคุณแม่เล่าให้ฟังว่า
ตอนผมคลอดออกมานี่ ปากของผมจะติดกันหมดเลย เหลือรูตรงกลางรูนิดเดียวเองครับ เวลาจะกินนมเนี่ยก็ต้องเอาหลอดฉีดยามาหยอดนมให้ทาน คือหลอดรุตรงกลางนั้นละ แล้วหูของผมก็จะพับๆหน่อยเนี่ยไม่นานก็หายครับ
ส่วนปากที่ติดก็เหมือนกันครับ ต่อมาก็หายเอง
แล้วชื่อของผมมันก็มีมานะครับ อย่างชื่อเล่นผมเนี่ย คือว่าพี่สาวผมเค้าชื่อ..แมลงปอ..ครับ ส่วนผมชื่อเล่นของผมเต็มๆเลยก็คือ ..ก๋ำบี๋.. ซึ่ง..ก่ำบี๋...มันเป็นภาษาเหนือ แปลว่าแมลงปอเหมือนกันครับ
ซึ่งที่พ่อผมตั้งชื่อให้แบบี้ก็เพราะ ว่าพ่อผมเค้าไม่อยากให้ลูกตัวเองมานั่งตีกัน นั่งทะเลาะกันเพราะเรื่องชื่อ
ว่าทำไมชื่อไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพ่อเค้าก็เลยตั้งชื่อให้ชื่อเดียวกัน เพียงแต่ชื่อพี่ผมเป็นภาษากลางคือ..แมลงปอ.. ส่วนชื่อผมก็เป็นภาษาเหนือว่า...ก๋ำบี๋.. ซึ่งแปลว่าแมลงปอเหมือนกันครับ แต่ว่าเพื่อนก็เรียกกันสั้น ๆ
..บี้..อย่างทุกวันนี้แหละครับ
ส่วนชื่อ..สุกฤษฏิ์.นี่คุณแม่เป็นคนตั้งให้ครับ สุกฤษฏิ์แปลว่า นักปราชญ์ เป็นผุ้ที่เก่ง ผู้รู้อะไรประมารนี้แหละครับ
จริงๆ แล้วชื่อผมตั้งแต่ตอนที่เกิดมาเนี่ยมาเป็น..สุกฤษฏิ์..คือใช้ ..ฏ.. สะกดครับแต่ว่าผมไปเรียนหรือว่าไปทำอะไรเอกสารต่างๆอะไรเค้าจะออก มาเป็น..ฎ..ตลอดเลยครับ สุดท้ายผมก็เลยเปลี่ยนเป็น..ฎ..แทนซะเลย
( หัวเราะ)
ตั้งแต่จำได้ผมถูกเลี้ยงมาแบบค่อนข้างเข้มงวดด้วยความที่ผมเป็นลูกข้าราชการจะเป็นที่รู้กันว่าค่อนข้างเข้มงวดนิดนึง ส่วนฐานะทางบ้านถึงแม้ว่าจะเป็นลูกข้าราชการ แต่ว่าก็ฐานะปานกลาง ค่อนลงมาทางล่างๆ นิดหนึ่ง
เพราะว่าตามสไตล์ ตามคอนเซ็ปของข้าราชการแหละครับ ก็คือต้องมีหนี้สินเป็นเรื่องธรรมดาครอบครัวผมก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก้ไม่ค่อยถูกตามใจเท่าไหร่ อย่างเรื่องซื้อของเล่น เวลาผมอยากได้อะไรก็ไม่ได้เหมือนเพื่อนๆเค้าเพราะว่าทางบ้านเราไม่มีเงินซื้อ แต่ก็ไม่ได้ขนาดว่าไม่มีเงินซื้อนะครับ เพียงแต่ว่าเราไม่ด้ทุกอย่างอย่างที่เราต้องการนะครับ
สมัยเด็กๆ ผมก็มีชีวิตธรรมดาๆนะแล้วก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างดื้อๆประสาเด็กๆไม่มีอะไรร้ายแรงค่อนข้างเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ครับ ไม่ได้ดื้อแบบเสียหาย แต่จะดื้อแบบชอบแกล้งเพื่อน แหย่เพื่อน อะไรประมาณนี้มากกว่า
เกริ่นน้ำย่อยกันไปพอประมาณ ฉบับหน้ามาว่ากันต่อกับชีวิตหนุ่มน้อยคนนี้ รับรองว่าเรื่องราวในวัยเด็กของ
"นายบี้" จะทำให้แฟนๆประทับใจแน่ๆคะ
ตอน2
..................................
... ถ้าพูดถึงความฝันในวัยเยาว์แล้วถามเด็กๆ ไปเถอะว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร อย่างน้อยๆ เกือบครึ่งที่ถูกถาม ต้องมีบ้างล่ะที่ตอบว่าอยากเป้นหมออยากเป็นครู หนูอยากเป็นนางพยาบาล ผมอยากเป็นนายทหารครับพ้ม!!
ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใดเพราะอาชีพเหล่านี้ถูกปลูกฝังจากผู้หลักผู้ใหญ่มาทุกยุคทุกสมัยว่าเป็นอาชีพที่มีเกรียตมีคุณค่าอย่างยิ่งในสังคมเรา
และสำหรับลูกข้าราชการอย่าง" นายบี้ " ก็หนีไม่พ้นกับความฝันเหล่านี้คะ เพราะว่าเจ้าตัวตั้งใจแน่วแน่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นทหารให้ได้
ตอนเด็กๆผมเคยฝันไว้หลายอย่างครับ ฝันอะไรเยอะแยะไปหมด อย่างตอนนั้นติดการ์ตูน โดเรมอน ก็ฝันว่าอยากจะเป็น โนบิตะ จะได้มีโดเรมอนไว้ช้วยเหลือเวลามีปัญหาอะไร ถูกใครแกล้งโดเรมอนก็จะหยิบเอาของวิเศษจากกระเป๋ามาช่วยตอนที่เราเดือดร้อนอันนั้นคือความฝันของเด็กเล็กๆ
แต่พอโตขึ้นมาสักหน่อย เริ่มรู้เรื่องแล้วว่านั้นมันเป็นการ์ตูนจะไปเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอกแล้วทีนี้ได้ดูทีวีมีหนังที่ทหารเป็นพระเอกบ้าง ได้ไปเที่ยวงานวันเด็กมีการแสดงของทหาร ก็เริ่มติดใจ เห็นทหารเค้าเก่งกล้าดูแล้วเท่ดีได้ยิงปืน ได้ขับรถถัง ได้ขับเครื่องบิน ก็เริ่มเอนเอียงอยากเป็นทหารบ้างเเล้ว
ก็เพ้อฝันตามประสาเด็กๆนั้นแหละครับเด็กทุกคนถามไปเถอะ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงหากไม่อยากเป็นพยาบาลก็เป็นครู แต่ถ้าหากเป็นผู้ชาย ไม่อยากเป็นตำรวจก็ทหารประมาณนั้นแหละครับ แต่พอโตขึ้นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไม่ได้เป็นหรอกทหารอะไรน่ะ แค่ฝันตามประสาเด็กเท่านั้น
ก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีของแฟนคลับไป นี่ถ้า นายบี้ ตัดสินใจเดินตามความฝันครั้งนั้น ตอนนี้เราคงไม่มีนักร้องเสียงนุ่ม นักแสดงดาวรุ่งอนาคตไกลมาประดับวงการแล้วล่ะ แต่คงมีนายทหารสุดหล่อเดินยืดอก ท่าทางองอาจอยู่ในค่ายทหารแทนไปแล้ว
จากความฝันวัยเยาว์ เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเรียนโลกของ นายบี้ ก็เปลี่ยนไป กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมวันแรกในรั้วโรงเรียนจะเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้โยเยแค่ไหนลองตามไปดูกันคะ
....................... ผมเริ่มเข้าโรงเรียนครั้งแรกตอนอายุ 4 ขวบครับที่โรงเรียนอนุบาลสายดรุณครับ ซึ่งวันแรกผมไปโรงเรียนน่ะผมยังจำความรู้สึกวันนั้นได้เลยครับ เพราะว่าวันนั้นเด็กๆทุกคนเค้าจะมีคุณพ่อคุณแม่มาส่งกัน แล้วพ่อแม่เค้าก็จะแอบๆ มายืนมุงดูลูกตัวเองว่ามาโรงเรียนแล้วจะเป็นยังไง จะร้องไห้โยเยกันหรือเปล่า ก็จะมามุงกันในช่วงวันแรกๆ แต่ยกเว้นพ่อแม่ผม( หัวเราะ) ท่านไม่เคยมาแอบดูลูกตัวเองเลยนะ อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเป็นข้าราชการก็เลยต้องทำงาน ไม่มีเวลามาแอบดูผมหรือไม่อาจเป็นเพราะว่าเค้าไว้ใจมั้งครับ แล้วก็คิดว่าเราโตแล้ว ครูน่าจะดูแลเราได้ ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงมั้ง ( หัวเราะ )
ตัวผมเองทีแรกก็อยากมาโรงเรียนมากๆ เลยนะ อยากมาเจอเพื่อนๆ อยากเล่นกับเพื่อนเยอะๆ มาเจอคุณครูใจดี
แต่พอมาเจอบรรยากาศที่มันแบบว่าหันไปทางไหน ก็มีเด็กคนอื่นร้องไห้เต็มไปหมด แล้วก็มีพ่อแม่มามุงดูเต็มเลย
เราก็เลยรู้สึกวังเวงๆ รู้สึกแปลกๆ เหงาๆ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ตามเค้านะ แต่มันก็ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยชอบไปโรงเรียนเท่าไหร่ ก็ต้องสักพักใหญ่ๆ น่ะครับ พอเริ่มชินบรรยากาศแล้วทีนี้ก็หมดห่วง เล่นซนได้ตามปกติ
พูดถึงตอนเรียนอนุบาลแล้ว ผมก็มีวีรกรรมอันไม่น่าจดจำมาเล่าให้ฟัง ก็ตามประสาเด็กแหละครับส่วนใหญ่ก็ต้องมีชี่รดกางเกงตัวเองบ้าง เพราะบางคนยังเข้าห้องน้ำเองไม่เป็นต้องมีผู้ใหญ่พาเข้าไป คนอื่นๆเค้าอาจจะฉี่รดกางเกงกัน แต่ของผมยิ่งกว่านั้น อึรดกางเกงครับ ( หัวเราะ ) สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่ปวดท้องแต่ไม่อยากไปห้องน้ำ ขี้เกรียจก็เลยปล่อยซะเต็มกางเกง แต่ครังนั้นแค่ครั้งเดียวนะ ( หัวเราะ ) เพราะทนกลิ่นไม่ไหวมันเหม็นนะอายเพื่อนด้วย
ว้านักร้องเสียงหนุ่มของเราเล่นเอาซะเวทีชีวิตเหม็นคลุ้งไปหมดแล้ว เปลี่ยนจากเรื่องวีรกรรมสุดเหม็นไปดูความแสบซนของ นายบี้ กันดีกว่าเพราะได้ยินมาว่าเรื่องแบบนี้ก็ธรรมดากะเค้าซะที่ไหนล่ะ เรื่องความซนนี้ใช่ย่อยเลยครับ ผมเป็นพวกขี้แกล้งใช่เล่น ยิ่งมาเจอเพื่อนเยอะแยะที่โรงเรียนแบบนี้ถ้าอยู่นิ่งๆ ไม่แกล้งใคร ก็ไม่ใช่บี้ตัวจริงแล้วล่ะครับ ( หัวเราะ ) เพราะฉะนั้นเมื่อถึงช่วงพักกลางวันผมก็เป็นหัวโจกรวบรวมสมัครพรรคพวกที่สนิทๆกันไปแกล้งชาวบ้าน
ถ้าเป็นผู้หญิงก็เจอยุทธการเปิดกระโปรงแล้ววิ่งหนี ก็ไม่ได้คิดในเชิงลามกอะไรหรอกนะครับแต่เป็นความคิดตามประสาเด็ก ว่าถ้าแกล้งผู้หญิงก็ต้องเปิดกระโปรง ( หัวเราะ ) ไม่รู้มันเป็นยังไง เด็กผู้ชายที่ไหนๆ ก็ชอบใช้มุขนี่แกล้งเด็กผู้หญิงกันทั้งนั้น ผมเนี่ยจะเป็นคนโตที่โดนครูตีบ่อยมากๆ เรื่องชอบแกล้งชาวบ้าน ชอบซนของเรานี่แหละ แล้วก็มีวันหนึ่งก็ซนกันทั้งห้องนั้นแหละ แต่ผมโดนครูตีอยู่คนเดียว วันนั้นครูมาสอนช้าไปหน่อยไอ้เราก็เลยได้ใจนึกว่าไม่มีเรียน เลยวิ่งเล่นกับเพื่อนล้มโต๊ะบ้าง เอารองเท้าไล่ตีกัน วุ่นวายไปหมด แล้วมีอยู่จังหวะหนึ่งผมโดนผลักออกมาจากห้องไปชนโครมกับคุณครูที่เดินมาพอดี ก็เลยโดนเรียกไปตีหน้าห้องโชว์ซะเลย
นอกจากชอบแกล้งคนแล้ว ความซนของผมยังระบาดไปถึงหมาด้วย ( หัวเราะ ) แม้แต่หมายังโดนแกล้งเลย คือวันนั้นด้วยอารมณ์เด็กๆ เห็นคนขายปลาหมึกเค้ามีเครื่องบดปลาหมึกให้เป็นตัวแบนๆ เราก็อยากมีบ้างแต่ว่าผมขอแม่ยังไงแม่ก็ไม่ซื้อให้
ด้วยความที่เด็กไงเราก็ดื้อต้องการเอาชนะ งอแงไม่เลิก พอไม่ได้ก็เริ่มพาล พอดีว่าเราเลี้ยงหมาอยู่สองตัว ด้วยความหงุดหงิด โมโห เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด ผมก็เลยสมมุติเอาว่าเจ้าหมาเป็นปลาหมึก แล้วรถสามล้อของผมเป็นเครื่องบดปลาหมึก แล้วก็ขี่รถสามล้อบดหมาซะเลย ( หัวเราะ ) แม่เห็นเข้าก็โดนดุเป็นการใหญ่
ช่วงนั้นแม้ว่าจะมัวแต่ซนแล้วก็โดนดุบ่อยๆ แต่ผมก็ทำความฝันให้เป็นจริงได้เหมือนกันนะ ก็อยากที่บอกตอนนั้นผมอยากเป็นทหารมาก ถ้ามีใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมก็ตอบทันทีเลยว่าอยากเป็นทหาร
และแล้วฝันก็เป็นจริงเมื่อผมถูกคัดเลือกจากคุณครูให้ไปร่วมการแสดงนักเรียนอนุบาล กลางสนามของโรงเรียน รู้มั๊ยว่าผมแสดงอะไร ได้แสดงรีวิวประกอบเพลง ท. ทหารอดทน โอ้โห! จะได้แต่งชุดทหารสุดเท่อย่างนี้ใครๆ
คงนึกว่าผมคงกระโดดโลดเต้นยิ้มหน้าบาน ผิดครับ เพราะผมไปยืนร้องไห้แงๆ อยู่บนเวทีซะนี่ ( หัวเราะ )
เหตุผลนะหรือครับ อายครับ! มาจากความอายล้วนๆ เลย ก่อนไปเต้นโชว์ก็ไม่เท่าไหร่หรอกก็อยากออกไปเต้น
อยากออกไปสนุกกับเพื่อนๆ พอไปยืนกลางสนามแล้วก็มีคนมามุงดูเยอะๆ
และด้วยความที่ประหม่า และก็เห็นใครก็ไม่รู้มามุงดูเรา ทีนี้ก็เริ่มเลย น้ำตาหยด แหมะๆ เต้นไปน้ำตาหยดไป จากนั้นชักอาย หนักๆเข้าก็ปล่อยโฮร้องลั่น ไม่ต้งไม่เต้นแล้วยืนร้องไห้แงๆกลายเป็นท.ทหารไม่มีความอดทน
ไปซะแล้ว ( หัวเราะ ) เรื่องนี้คิดถึงทีไรผมอดหัวเราะและอดขำตัวเองไม่ได้
............................. แหมจะได้ทำตามความฝันเป็นทหารเข้มแข็งอดทนกับเค้าซะทีก็มีอุปสรรค ท.ทหารอดทนกลายเป็นท.ทหารขี้แง แต่จากเด็กขี้แง ขี้อายแล้วกลายเป็นนักร้องดัง ต้องไปยืนถือไมค์ครวญเพลงท่ามกลางสายตาแฟนๆ นับร้อยๆ พันๆคู่ได้ยังไง ติดตามหนู่มคนนี้บนเวทีชีวิตไปเรื่อยๆ นะคะรับรองได้คำตอบแน่นอน
ตอนที่3
............หลังจากทิ้งขวดนม เลิกฉี่รดที่นอนเรียนไปซนไปจบชั้นอนุบาล เด็กชายบี้ ก็ได้เปิดโลกใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่า ขยับไปเป็นนักเรียนชั้นประถม ในโรงเรียนดังที่สุดของเมืองเชียงใหม่ ที่โรงเรียนมงฟอร์ด
ชีวิตในวัยประถมของเจ้าตัวก็ออกรสออกชาติขนาดไหน แล้วเจ้าตัวจะยังแสบซ่า ซนเหมือนเดิมหรือเปล่า อย่ารอช้าตามไปดูเวทีชีวิตของหนุ่มสียงดีคนนี้กันต่อกันเลยคะ
พอเรียนจบชั้นอนุบาลผมก็ไปเรียนต่อที่ชั้นประถมที่โรงเรียนมงฟรอร์ดครับ ซึ่งชีวิตในวันประถมวันแรกๆก็เหมือนเดิมเลยครับ อย่างวันแรกพ่อแม่คนอื่นเค้าก็มากันเต็มเลย เหมือนตอนอนุบาลไม่มีผิด วันที่2 เค้าก็ยังมาเกาะกันแต่พ่อแม่ผมไม่มาพอเข้าวันที่3ผมกำลังนั่งเล่นสบายอารมณ์อยู่อ้าวๆพ่อผมมาจากไหนเนี่ย สงสัยจะมาดูเราเรียนเหมือนพ่อคนอื่นแน่ๆเลย
ที่ไหนได้กลายเป็นว่าผมลืมบัตรทานอาหารไว้ที่บ้านพ่อก็เลยเอามาให้ พ่อบอกว่าลูกลืมบัตรไว้ที่บ้าน พ่อกลัวจะอดข้าวเลยเอามาให้ โธ่!! ไอ้เราก็นึกว่าพ่อเราจะแอบมาดุเหมือนพ่อแม่คนอื่นซะอีกจริงๆแล้วเราก้อยากให้พ่อมาดูนะ แต่ก็เข้าใจว่าพ่อแม่เราเค้าก็ทำงานรับราชการ เค้าก็ไม่ว่าง อย่างแม่ผมเนี่ยทำงานอยู่สันป่าตอง ไกลจากเมืองหน่อยท่านเป็นครุอยู่ที่นั้น
จากบ้านผมไปโรงเรียนก็นั่งรถประมาณ20นาที ซึ่งเช้ามาก็จะมีรถประจำมารับไปโรงเรียนเป็นรถกระบะสีแดงๆเป็นสองแถวเช้าก็ทารับเย็นก็มาส่งครับ
เรื่องความซนของผมยังมีดีกรีเท่าเดิมเลยครับตอนอยู่ป.1เนี่ยผมจะมีแก๊ง4หนุ่มจำชื่อได้แม่นเลย มี
เจ้าโอ เจ้าโก้ เจ้ายุทธ แล้วมีผมแก๊งผม4คนนี้จะไปไหนมาไหนไปด้วยกันตลอด เล่นด้วยกันตลอด ล้วแต่ละอย่างที่งัดมาเล่นก็แผลงๆทั้งนั้น
อย่างช่วงแรกๆเลยเนี่ยผมกับเดอะแก๊งก็จะแกล้งทำยางลบตกเพื่อที่จะก้มลงใต้โต๊ะแล้วก็ดูกางเกงในครู (หัวเราะ)ดูเสร็จ ก็มาบอกกันว่าเฮ้ยสีอะไรสนุกสนานกันมากๆ คือด้วยความที่เป็นเด็กเลยไม่ได้คิดอะไร แต่ว่าเล่นอยู่แป๊ปเดียวคับครั้งเดียวเอง เพราะกลัวครูจะจับได้
แต่ว่าตอนนั้นก็ยังเล่นวิ่งเปิดกระโปรงผู้หญิงเหมือนเดิม มันเป็นความสนุกแบบเด็กๆไปเปิดกระโปรงเค้าแล้วพอผุ้หญิงวิ่งหนีไปก็ถือว่าภารกิจของเราสำเร็จแล้วเราก็เย้ๆๆๆดีใจแค่นั้นหละครับที่ต้องการ(หัวเราะ)
แล้วที่สนุกอีกอย่างก็เป็นเล่นวิ่งไล่แปะคือที่โรงเรียนของผมมันจะมีอัฒจันทร์เป็นวงกลมขนาดเทาสนามฟุตบอลใครเป็นผีก็อยู่ข้างในวงใครไม่ใช่ก็วิ่งหนีอยู่ข้างนอกถ้าใครถูกแปะก็ต้องกลายเป็นผี ก็ถือเป็นการเล่นที่สนุกมากครับ
พอสักพักเบื่อวิ่งแล้วก็หันมาเล่นเอาไพ่ไปเขี่ยกัน แล้วก็กินกันนะคับ ไม่รู้ใครเคยเล่นบ้างแต่ว่าตอนนั้นมันฮิตมากๆเลย แล้วใครเล่นชนะก็ได้ไพ่ไปคนที่มีไพ่เยอะๆก็จะเท่มากๆแล้วก็มีเล่นดีดยางลบกันคับยางลบใครตกก่อนอีกคนหนึ่งก็จะชนะแล้วก็ได้ยางลบของอีกฝ่ายหนึ่งไป ซึงผมนะระดับเซียนทียางลบเป็นกล่องๆเลยคับ(หัวเราะ)
ปกติแล้วจะเล่นสนุกๆแบบนี้ไม่ค่อยมีไปทำให้ใครแต่เดือนร้อนเท่าไหร่หรอกครับ ไอ้ขนาดทำให้หัวล้างข้างแตกนะไม่มี ส่วนใหญ่จะเล่นบ้าๆบอๆอย่างมีอยู่ช่วงหนึ่งเราจะฮิตเรื่องผีมากๆ ด้วย แต่ว่ามีเพื่อนชวนไปเล่นผีเหรียญที่ห้องน้ำตอนเย็นหลังเลิกเรียนมั้ยรู้ว่าเคยเล่นกันมั้ยละครับ
คือมันจะมีกระดาษที่เขียนตัวอักษรก-ฮเขียนมีเข้าออกใช่-ไม่ใช่มีอะไรแบบนี้ แล้วก็เอาเหรียญบาทวางไว้ เอานิ้ววางถ่องคาถา แล้วนิ้วมันก็จะเคลื่อนไปเองครับกลัวผีก็กลัว แต่ว่าก็อยากรู้แล้วพอไปเล่นมันก็เลื่อนไปจิงๆนะ
แต่ผมก้รู้สึกว่ามันต้องมีคนดันเรื่องแน่ๆเลยครับ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าเหรียญมันจะเหรียญไปเอง แต่รุ้สึกว่ามัน
ต้องมีคนดันแน่ๆ ถึงจะคิดอย่างงั้นผมก็กลัวอยู่ดี แบบกลัวๆกล้าๆตื่นเต้นด้วยก็ยังดีที่ผีมันอยู่ในเหรียญมันไม่มาเป็นตัวก็เลยไม่กลัวมากเท่าไหร่
แล้วที่โรงเรียนผมเค้าจะมีหอคอยลึกลับครับมันเป็นของสมาคมศิลย์เก่าแล้วเค้าเชื่อกันว่าข้างบนหอคอยมีโรงศพอยู่ เค้าก้อจะนับถือกันมีเรื่องเล่ามีตำนาน
แล้ววันหนึ่ง เพื่อนผมเค้าก็มาเล่าให้ผมฟังว่านี่นะ เค้าเคยขึ้นไปแล้วนะเจอแบบนั้นแบบนี้เราเองก็กลัวผีอยู่ด้วยแล้วไง แต่ว่าก็อยากรู้ทีแรกก็เลยลองขึ้นไปตึกมันมี3ชั้นแต่พอผมขึ้นไปแค่ชั้น2ผมก็วังเวงแล้ว แล้วก็ไม่กล้าขึ้นไปต่ออีกแล้วครับ ก็เลยวิ่งลงมาไม่ได้ขึ้นไปถึงซะทีครับ ไอ้เรื่องหอคอยนี้ก็เป็นเรื่องที่ฮิตกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เลิกกันไปตามประสาเด็กๆครับ
ตามประสาเด็กๆในวัยเรียนพอจับกลุ่มเพื่อนฝูงสนิทๆกันก็มักจะมีการตั้งฉายาแปลกๆโดยจะมีหัวโจ๊กขาโจ๋คอยเอาปมเด่นปมด้อยของเพื่อนมาตั้ง แล้วนายบี้สุดหล่อเสียงใสของเราจะมีฉายาเท่ขนาดไหนหนอ
ถ่พุดถึงเรื่องฉายาตอนเด็กๆผมก็มีฉายาเหมือนกันนะคือมันจะมีเด็กขาโจ๋คนหนึ่งในกลุ่มเป็นคนตั้งฉายาให้เพื่อนๆเรียกคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆเหมือนล้อครับผมก็โดนเหมือนกันเค้าเรียกผมว่าไอ้เป็ดเพราะเค้าบอกว่าผมเดินเหมือนเป็ดซึ่งผมไม่ชอบเลยไม่พอใจอย่างมากเลย เพราะว่ามันเป็นคนเกเรมาเรียกเราว่าไอ้เป็ดๆ แบบนั้นแต่หลังจากนั้นมา คนก็ติดปากก็เรียกผมว่าไอ้เป็ดๆไปเลยครับ แล้วก็ม่ใช่แค่ไอ้เป็ดนะหลังๆมานี่ยาผมจะมีต่อออกมาอีก กลายเป็นไอ้เป็ดเย้อ คือตอนเด็กๆผมจะชอบร้องอุทานเย้อๆๆอยู่ตลอดเวลาเหมือนละครพวกซิทคอมครับ
ที่ตัวแสดงเค้าล้อๆกันคือเด็กๆมันจะมีคำพูดติดปากเป็นคำร้องที่ต้องพูดประจำของผมเนี่ยคือคำว่า เย้อๆๆ
ไม่รู้ว่าไปติดมาจากไหนจะร้องเย้อๆๆอยู่ตลอดเวลา เวลาพูดว่าจะไปกินข้าวกันมั้ยเย้อๆ (หัวเราะ) เพื่อนๆเค้าก็เลยเรียกผมว่าได้เป็ดเย้อๆเป็นที่รู้กันครับแต่ว่าตอนนี้ไม่มีแล้วนะไม่ติดเย้อๆแล้วครับ (หัวเราะ)ส่วนที่บ้านผมตอนเด็กๆเค้าเรียกผมว่าไอ้งกๆครับ เพราะว่าเวลาที่พ่อให้เงินมาผมก็จะเอาไปใส่กระปุกทันทีนะ พอนานๆเข้าพ่อก็จะบอกนั่นเงินเต็มกระปุกแล้ว เอาเงินไปซื้อไอติมให้พ่อกินหน่อยสิ(หัวเราะ) ผมก็บอกไม่เอาหรอกเงินผมนะผมจะเก็บเงิน พ่อเค้าก็เลยบอกว่าผมนะงก เค้าก็เลยเรียกไอ้งกๆครับ คือเรียกเล่นๆขำๆแต่ผมงกมาตั้งแต่เด็กๆแล้วนะแต่เดี๋ยวนี้ไม่งกแล้วนะครับ(หัวเราะ)
เรื่องความงกของผมเนี่ยเปนเรื่องที่เลื่องลือเพราะนอกจากงกที่บ้าน ผมก็ยังไปงกที่โรงเรียนแต่ว่าไม่ได้งกของคนอื่นนะ แต่ไปหารายได้พิเศษมากกว่าครับ คือผมจะหารายได้โดยการขายแผ่นเกมส์ครับ คือเด็กๆตอนประถมเนี่ยเพื่อนๆคนอื่นจะอยู่กับพ่อแม่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านเท่าไหร่ แต่ว่าผมเนี่ยจะออกจากบ้านบ่อยมากแล้วจากบ้านผมไปห้างแค่10กว่านาทีเอง ผมก็จะนั่งรถสองแถวแดง10บาท8บาไปห้าง
เสร็จแล้วผมก็จะไปซื้อเกมแล้วก็กลับมาแล้วก็เอาไปขายเพื่อนๆ เป็นซีดีเกมในคอมพิวเตอร์นี่แหละครับ สมัยนั้นเกมมันแพงมากนะ แผ่นหนึ่ง500บาท ผมก็เอามาขาย600 ซื้อมา250ผมก็เอามาขายแผ่นละ300บ้าง 350บ้างเรียกว่าเอามาเก็งกำไรคือมีหัวการค้าตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ
แล้วก็ยังมีไปรับจ้างครูพิมพ์งานด้วยครับคือที่โรงเรียนเค้าจะมีห้องคอมพิวเตอร์ แล้วก็ซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่ ครูเค้าก็เลยจ้างให้นักเรียนไปช่วยพิมพ์งานผมก็ไปทำกับเค้าด้วยเหมือนกันไปช่วยครูพิมพ์งานแถมยังได้ตังค์ด้วยครับ ก็เลยมีเงินเก็บเยอะเลย ตอนนั้นผมชอบเก็บเงินมากๆมองอะไรก็ป็นเงินเป็นทองไปหมด พ่อผมเค้าถึงเรียกผมไอ้งกไงครับ (หัวเราะ)
โอ้โห....นอกจากเล่นซนไปวันๆแล้วนายกัมบี้ของเรายังมีความคิดรู้จักหารายได้พิเศษ มีหัวการค้าตั้งแต่เด็กๆเลยทีเดียวนะเนี่ยน่าเอาเป็นแบบอย่างซะจริง
ตอนที่4
...........นอกจาดจะมีความซนติดตัวเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเห็นมาแต่ไกลแล้ว"ไอ้เป็ด"ของเพื่อนๆหรือ"นายบี้"ของแฟนเพลงบทจะเอางานเอาการ ก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ดูได้จากมีหัวเซ้งลี้ฮ้อ หัดทำมาค้าขายตั้งแต่ตั้งกระเปี๊ยกเชียวคะ
ไม่เท่านั้นเพราะความมีนิสัยไม่อยู่นิ่ง แล้วก็เป็นคนช่างคิดช่างสงสัยก็เลยทำให้ "นายบี้" กลายเป็นเจ้าหนุ่มน้อยนักกิจกรรม อยู่ว่างๆเป็นไม่ได้ ต้องไปหยิบจับไอ้โน่นไอ้นี่มาทำ ไม่ได้หยุดหย่อนเหมือนกัน
" ชีวีตผมมันอยู่นิ่งๆไม่ค่อยได้ครับอย่างพอกลับมาจากโรงเรียนปุ๊ป ผมก็จะออกไปจากบ้านไปทันทีเลยครับ
ไปเล่นรถเล็กๆที่วิ่งในรางครับคือแบบเป็นรถที่ใส่ถ่าน แล้วก็ปรับแต่งเพื่อให้มันวิ่งเร็วขึ้น พันมอเตอร์ใหม่เพื่อให้มันวิ่งเร็ว ปรับโครงล่างใหม่อะไรใหม่ก็บ้าเล่นอยู่พักหนึ่งครับพอเบื่อก็ไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำต่อไป
แล้วผมก็เป็นคนทันสมัยเสมอครับ อินเทรนด์ไปซะทุกอย่างไม่ว่าเพื่อนๆเค้าจะเล่นอะไรกันผมก็บ้าเล่นกับเค้าหมด อย่างมีอยู่ช่วงหนึ่งเด็กๆเค้าจะบ้าทาร์ มาก็อตซึ่งเป็นเกมส์สัตว์เลี้ยง ตอนนั้นมันฮิตมากๆเลยนะ ใครมีจะเท่มากเพราะว่ามันแพง
คือถ้าเป็นตัวไก่จะแพงหน่อยประมาณ900ถ้าเป็นไดโนเสาร์ก็ถูกหน่อยเพื่อนๆเค้ามีกันหมดแล้วผมก็อยากได้ ก็เลยเอาเงินที่เก็บไปซื้อเองเป็นตัวไดโนเสาร์ก็จะถูกหน่อยตัว400กว่าบาท ตอนนั้นเก็บเงินเองเลยผมได้เงินวันละ20บาทก็จะแบ่งเก็บไว้ตลอด แล้วก็รวมกับเงินที่ซื้อของมาขายด้วยผมเก็บไว้ตลอดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บไว้ทำไมเยอะแยะ แต่เก็บอยู่ตลอดรู้สึกว่าวันหนึ่งมันต้องมีเรื่องให้ใช้แน่ๆ แล้ววันหนึ่งก็ได้งัดเอามาใช้จริงๆ
นอกจากกิจกรรมที่เล่นประเภทสนุกแล้วนะ กิจกกรมของโรงเรียนผมก็เอาด้วยนะครับ ผมชอบทำกิจกรรมมากๆเลยนะ ถึงเข้าขั้นบ้าทำกิจกรรมเลยทีเดียว เค้ามีอะไรผมก็ทำหมด อย่างมีอยู่ช่วงหนึ่งผมก็ไปสมัครเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด คือจะมีนักเรียนที่คอยมาเป็นคนจดชื่อคนคุย คนเล่นเสียงดังให้ครู ใครเป็นบรรณารักษ์เนี่ยจะเท่มากๆเลย เพราะเด็กที่มาห้องสมุดจะเกรงกลัว เพราะเดี๋ยวจะไปฟ้องครู ด้วยความอยากเท่ บวกกับความไม่มีอะไรทำตอนพักกลางวัน คือเล่นจนเบื่อแล้วพอดีเค้ารัยสมัครก็เลยไปสมัครก็ได้ยืดกันอยู่พักหนึ่งครับ
นอกจากนี้ผมยังไก้เป็นสารวัตรนักเรียนด้วย คือผมจะเป็นคนที่ไปโรงเรียนเช้าทุกวัน เพราะว่าเราไปรถประจำรถมันต้องไปรับหลายคน เราก็เลยไปเช้า แล้ววันนั้นพอเราเอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วก็ต้องลงมาเข้าแถวข้างล่างวันนั้นก็เจอครูประจำชั้นอยู่บนห้องพอดี ครูเค้าเลยถามว่าในห้องนี้มีใครได้เกรดเยอะๆบ้างมีใครได้เกรด3กว่าบ้างผมก็บอกไปมีคนนั้นคนนี้ แล้วก็มีผมด้วยครับผมได้3กว่าครับ เพราะตอนนั้นผมยังเรียนเก่งอยู่
ครูเค้าก็เลยเลือกออกมาประมาณ5คนต่อห้อง มาเป็นสารวัตรนักเรียน ซึ่งก้อมีผมอยู่ในนั้นด้วย โอ๊ย...มีพิธีมอบเข็มเป็นสารวัตรนักเรียนด้วยบารเทอร์มามอบให้เป็นเกรียติมากๆ ( หัวเราะ) มันจะมีเข็มติดเพื่อให้รู้ว่าเราเจ๋งกว่าคนอื่นๆ แต่ผมเนี่ยไม่ค่อยชอบติดเข็ม เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้พยายามทำตัวให้ลึกลับ แบบตำรวจนอกเครื่องแบบอะไรแบบนั้น พอไม่มีคนรู้เวลามีเด็กทำผิด เราจะได้ไปตามจับได้ง่ายๆครับ( หัวเราะ)
แล้วก็ไปฟ้องครูหน้าที่ของเราก็คอยสอดส่องดูแลอยู่ตลอดเวลา เช้าๆ นักเรียนเค้าต้องเข้าแถวกันสารวัตรนักเรียนได้สิทธิพิเศษไม่ต้องเข้าแถว แต่ให้ไปยืนอยู่ตามมุมบันได ว่ามีใครเล่นใครคุยกันบ้าง แล้วก็ดึงตัวออกมาก็จะได้รับคำชมจากครูบ่อยๆ
แล้ววันหนึ่งผมก็ไปแกล้งเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผม ไปแกล้งตีเค้า หยิกแก้ม ดึงเสื้อ เค้าก็บอกอย่าๆผมบอกไม่เป็นไรหรอกเราเป็นเพื่อนกันเราไม่จับเธอหรอกน่า แต่บังเอิญว่าตอนนั้นครูมาเห็นพอดีครูเลยจับเค้าออกไปเค้าร้องไห้ใหญ่เลย มาโทษผมว่าอะไรเนี่ย ดูสิ โดนครูจับเลย ช่วงนั้นก็สนุกสนานกับการเป็นสารวัตรนักเรียนมากๆ
แล้วเป็นสารวัตรนักเรียนนี้มันเท่มากๆ เลยนะสาวๆก็ชอบอย่างตอนเย็นมีรถนักเรียนมารับเด็ก ที่โรงเรียนผมแล้วก็จะไปรับอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน เพื่อนผมเค้าก็ยืมป้ายสารวัตรนักเรียนผมไป บอกว่าขอยืมไปยืดกับสาวหน่อยผมก็ให้เค้ายืมไปครับ เพราะผมไม่กล้าจีบสาวๆหรอกสาวๆก็ชอบใจกันใหญ่ครับ (หัวเราะ)ผมเป็นสารวัตรนักเรียนอยู่2ปีครับ คือป.5กับป.6 ครับ
เห็บชอบทำกิจกรรมเป็นว่าเล่นแบบนี้ แทนที่นายบี้จะเป็นคนกล้าแสดงออกมีความมั่นใจในตัวเองแต่เปล่าเลยคะ นิสัยเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยลองถ้ามีกิจกรรมที่ต้องไปโชว์บนเวที ต่อหน้าผู้คนมากๆเมื่อไหร่ นายบี้จะต้องมีอาการตกประหม่าทันที เรียกว่ายังคงความขี้อายได้สม่ำเสมอเหลือเกิน
จริงๆผมทำกิจกรรมเยอะดูเหมือนจะกล้านะแต่จริงแล้วไม่เลยผมก็ยังคงเป็นคนขี้อายเหมือนเดิมเลย คือถ้าให้ทำกิจกรรมอะไรเหมือนที่เล่าไปตอนแรกนะได้ แต่ถ้าให้ไปยืนบนเวทีแล้วไปพูดไปเล่นหรือไปเต้น ไปเล่นอะไรให้คนเยอะๆดูนะแบบนั้นผมไม่เอาครับ ไม่ไหว ไม่ชอบ แต่ถ้าเป็นการทำอะไรแบบนี้สนุกดีครับ
แล้วนอกจากนี้มีไปสมัครเต้นด้วยคือถึงแม้จะขี้อาย แต่อะไรที่คนเค้าฮิตกันก็เอาด้วยนะครับ
อย่างที่โรงเรียนช่วงหนึ่งเค้าจะสมัครทีมเต้นของโรงเรียนเพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดซึ่งมีตัวจริงประมาณ5คน แต่ตัวสำรอง50กว่าคนเลยครับ
คนแห่ไปสมัครเต็มเลยครับ ผมก็เลยแห่ไปสมัครกับเค้าด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้เต้นหรอกนะครับเพราะว่าคนสมัครเยอะมากๆคือเอาจริงๆเลยที่ไปสมัครนะไม่ใช่เพราะชอบหรืออะไร ออกจะขี้อายด้วยซ้ำแต่ว่าตอนเด็กๆไงใจมัยอยากจะไปทำโน่นนี่ นี่นั่น ตามเพื่อนๆซะมากกว่าเห็นเพื่อนไปไหนก็แห่ตามเค้าไปครับไม่ได้คิดอะไรจริงจังเอาสนุกเข้าไว้เท่านั้นแหละ
เรื่องกีฬาก็เอากะเค้าด้วยทั้งๆที่ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ อย่างมีครั้งหนึ่งมีคนไปสมัครชมรมฟุตบอลกันเยอะมาก แล้วก็บอกว่าเนี่ยชมรมเนี่ยเข้ายากมากๆเลยนะ ใครเข้าได้เจ๋งมากผมก็เลยเอาเลยไปสมัครกับเค้าด้วยแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกแค่สมัครเท่ๆไปงั้นแหละ(หัวเราะ) แต่พอเข้าไปได้ก็รู้สึกงั้นๆแหละไม่เห็นมีอะไรก็เราเล่นไม่เก่งนี่
อีกอย่างก็เรื่องการแสดงบนเวทีอย่างแสดงละครเวทีอะไรแบบนี้นะ จับได้ว่าตอนนั้เล่นเรื่องกระต่ายกับเต่า
ผมก็เตรียมตัวไปอย่างดีเลยว่าจะเป็นกระต่าย แต่ก็ไม่ได้เป็นหรอกถึงเวลาจริงๆมันแสดงไม่ได้เลย อายไม่กล้าทำหรอกสมัครไว้เท่ๆอีกนั้นแหละ
ถ้าจะแสดงก็ต้องเป็นกิจกรรมสนุกๆเอาเฮฮาไม่ได้จริงจังไปแสดงต่อหน้าคนเยอะๆยังงั้นได้อย่างตอนเข้าค่ายลูกเสือต้องมีกิจกรรมรอบกองไฟผมก็เล่นละครกับเพื่อนๆในกลุ่ม ผมเล่นเป็นผู้หญิงด้วยบทก็แค่โดนตบ โดนตี
แล้วก็ล้มลงไปแล้วก็ตาย จบ( หัวเราะ)ไม่มีอะไรเลยคือเล่นขำๆไม่ได้เล่นเป็นเรื่องเป็นราว อย่างนี้ละได้อย่าเอาจริงจังละอายไม่กล้าหรอก
ก็ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคนขี้อายอย่างผมจะกล้าเล่นละครทีวีตอนแรกเราดูละครทีวีติดตามตลอดก็เรื่อง
"สามหนุ่ม สามมุม" เรื่องนี้ติดมากก็ดูแค่ว่าละครสนุกดี แต่ไม่ได้รู้สึกว่าโตขึ้นอยากจะเป็นดาราอย่างพี่ๆเค้าเลยไม่มีความรู้สึกนั้นเลยซักนิด แค่ดูขำๆสนุกก็พอแล้ว
แหม......มันจะเป็นไปได้อย่างไง พระเอกดาวรุ่งอนาคตไกลผีไม้ลายมือไม่ธรรมดาแต่บทจะต้องขึ้นเวทีทีไรเอาตัวไม่รอดทุกที จากเด็กขี้อายกลายมาเป็นพระเอกได้ยังไง ติดตามกันให้ดีๆแล้วแฟนๆจะได้เห็นจุดพลิกผันของหนุ่มคนนี้
แต่สำหรับตอนหน้าเรื่องราวของนายบี้จะถูกโฟกัสไปที่เรื่องในรั้วห้องเรียนมัวแต่ทำตัวเป็นหนุ่มกิจกรรมอย่างนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปร่ำไปเรียนล่ะฉบับหน้ามาดูกันว่าการเรียนเป็นอุปสรรคกับหนุ่มน้อยคนนี้หรือไม่
ตอน 5
.............ด้วยความที่เป็นคนที่อยู่เฉยๆไม่ค่อยจะได้ เรียกว่าอยู่เฉยๆแล้วจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวหรือไงไม่ทราบ "เด็กชายบี้" ของเรา เลยต้องหาเรื่องเหนื่อยให้ตัวเองตลอด ยิ่งเฉพาะที่อยุ่ในรั้วโรงเรียนด้วยแล้ว ไม่ว่าที่โรงเรียนจะมีกิจกรรมอะไรก็จะต้องมีชื่อของ "เด็กชายบี้"เข้าไปร่วมแจมเสมอ เหตุผลอะไรถึงทำให้หนุ่มน้อยคนนี้กลายเป็นเด็กไฮเปอร์ขนาดนี้ เจ้าตัวมีคำตอบให้ฟังคะ "ก่อนที่จะไปดูเรื่องเรียนของผม ขอเล่าเรื่องความบ้ากิจกรรมของผมต่อนิดหนึ่งนะครับ (หัวเราะ) เพราะไอ้เรื่องทำกิจกรรมของผมมันเยอะมาก เพราะนอกจากกิจกรรมกับทางโรงเรียนแล้ว ในเรื่องของกีฬาผมก็บ้ากับเค้าอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันครับ และไอ้ที่ผมบ้านานหน่อยกึคือบ้าเล่นปิงปองครับ ผมจะเป็นหัวโต๊ะเลย อันนี้มันคือจะเป็นการเล่นแบบใครเล่นแล้วแพ้ก็ออกไป แล้วคนใหม่ก็มาเล่นครับ เล่นต่อๆกันไป แต่ว่าผมเนี่ยไม่เคยแพ้ใครเลยครับ (หัวเราะ) จัดว่าผมเล่นปิงปองได้เก่งมากๆเลยครับ ไม่ได้คุยนะครับ ตอนนั้นนะ พอถึงช่วงพักเที่ยงนี่ผมไม่กินข้าวเลย คือยอมกินข้าวเช้ามื้อเดียวกลางวันไม่กิน แล้วก็มาเล่นปิงปองเลย เพื่อนก็ออกไปคนแล้วคนเล่า ถ้าผมแพ้ผมก็ต้องออก แต่ว่าผมชนะตลอด โอ๊ย! เทคนิคผมเยอะ ปั่นลูกไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง ก็เลยทำให้ผมชนะตลอด(หัวเราะ)เรียกว่าระดับเซียนเลยครับ แต่ไม่ใช่แค่ว่าเล่นสนุกๆกับเพื่อนๆเท่านั้นนะครับ เพราะผมยังไปเป็นตัวแทนห้องแข่งกับเค้าด้วย อย่างถ้าในโรงเรียนเค้ามีการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนกันเนี่ย ผมก็เป็นตัวแทนห้องไปแข่ง แล้วก็ชนะได้รางวัลมา คือแข่งทีไรก็ชนะตลอดเลยครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้ขนาดว่าไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกับต่างโรงเรียนนะ อันนั้นไม่เก่งขนาดนั้น ก็แข่งกันแต่กีฬาภายในครับ นอกจากนี้ในเรื่องของการแข่งกีฬา ผมก็ยังแข่งอีกหลายอย่างเลย เห็นผมตัวเล็กๆก็จริงแต่ว่าผมแข่งทั้งชักเย่อ วิ่งกระสอบ แข่งบาสเก็ตบอล แข่งฟุตบอล แข่งมันทุกอย่างเลยครับ เรียกว่ามีอะไรให้ทำ คือถ้ามีการแข่งขันกีฬาเนี่ยไปหาผมได้จากทุกสนามเลยครับ ผมลงหมดทุกสนาม (หัวเราะ) นอกจากนี้เรื่องดนตรีผมก็สนใจกับเค้าเหมือนกันนะ มีอยู่ช่วงหนึ่งไปเรียนขลุ่ยเลยนะ ด้วยความที่อยากอยู่วงดุริยางค์ของโรงเรียน แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ เพราะเค้าไม่เอาผม จากนั้นผมก็เลยเก็บกด(หัวเราะ)ก็เลยต้องไปหาอะไรเกี่ยวกับเครื่องเล่นดนตรีซะหน่อย ก็เลยไปเจอขลุ่ยนี่แหละครับ ก็เลยลองหัดเล่นดู ก็เล่นอยู่พักหนึ่ง ก็ถือว่าเล่นเก่งประมาณหนึ่งเลยครับ นี่ไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่ว่าเก่งจริงๆครับ ยังไม่หมดนะครับความบ้าพลังของผมจากนั้นผมยังไปเรียนวิชาร้องเพลงประสานเสียงซึ่งต้องบอกเลยว่าผมชอบกิจกรรมนี้มากๆเลย ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบร้องเพลงอยู่แล้ว พอได้ไปเรียนเป็นจริงเป็นจังก็ยิ่งทำให้ผมหลงใหลการร้องเพลงเข้าไปอีก การไปเรียนทำให้เรารู้สึกเรื่องของเพลงจริงๆได้รู้ว่าเสียงเราอยู่ในระดับไหน เพราะเสียงคนเรามันจะมีเสียงสูงเสียงต่ำ ครูเค้าก็บอกว่าเราอยู่เสียงกลาง แม้ผมจะชอบร้องเพลงมาก แต่ก็ไม่ได้ใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักร้อง แต่ก็ยอมรับนะว่ามันก็มีแว้บๆ เข้ามาบ้างช่วงที่เรียนร้องเพลงเป็นความฝันแบบลมๆแล้งๆของเด็กๆน่ะครับก็จะแบบรู้สึกว่า เฮ้ย! ร้องเพลงสนุกดี อยากเป็นนักร้องจังเลย แต่ก็ไม่ได้ขนาดว่ามุ่งมั่นตั้งใจจะเอาเป็นเอาตายให้ได้ คือประมาณว่าถ้าอยู่กับดนตรีก็มุ่งมั่นไปทางดนตรี ถ้าอยู่กับการร้องเพลงก็อยากเป็นนักร้อง ถ้าอยู่กับกีฬาก็บ้ากีฬากันไป ผมจะบ้าเป็นช่วงๆ แบบนี้เสมอๆ บ้าไปกันเรื่อยๆครับ" (หัวเราะ)
เห็นเด็กชายบี้ของเราทำกิจกรรมยาวเป็นหางว่าวซะขนาดนี้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปร่ำเรียนหนังสือกันล่ะเนี่ย เห็นทีเรื่องการเรียนของหนุ่มคนนี้น่าเป็นห่วงซะแล้วล่ะมั้ง "นายบี้" "เรื่องเรียนไม่น่าเป็นห่วงเลย(หัวเราะ)เพราะว่าตอนที่ผมเรียนชั้นประถม ผมจัดว่าเป็นเด็กที่เรียนเก่งเลยนะ คือผลการเรียนได้ 3กว่าตลอดเลย บางเทอมก็ได้เกรด 4.00 ด้วย เก่งมั้ยล่ะ(หัวเราะ)ผมเรียนจบป.6 มาด้วยเกรด 3 กว่าๆวิชาที่ผมชอบเรียนมากๆ คือวิชา กพอ. การงานและพื้นฐานอาชีพ พลศึกษา ส่วนพวก อังกฤษ คณิตศาสตร์ก็เฉยๆครับ พอใช้ได้ แต่วิชาที่ไม่ชอบเลยคือ สปช. ครับ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เพราะว่าวิชานี้มันต้องเรียนประวัติศาสตร์ รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเรียนประวัติศาสตร์เก่าๆ อะไรพวกนี้ด้วย เราอยากไปเล่นสนุก ไปเรียนอย่างอื่นมากกว่า ไม่ชอบที่จะไปเรียนรู้แบบนั้น แต่ชอบที่จะไปเรียนวิชาที่ได้ปฏิบัติมากกว่า แต่ขนาดชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ผมก็เรียนดีครับ" (หัวเราะ)
จากเจ้าหนูชั้นประถม "นายบี้" นักกิจกรรมของเรากำลังเข้าสู่วัยหนุ่ม กลายเป็นเด็กมัธยมแล้ว ช่วงหัวเลี้ยมหัวต่อระหว่างความเป็นเด็ก และความเป็นหนุ่มอย่างงี้ "นายบี้" จะจัดระเบียบให้ชีวิตตัวเองยังไง ติดตามได้ในตอนหน้า
ตอน 6
.............วัยรุ่นถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของชีวิต เป็นช่วงที่กำลังก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเด็กที่ยังอ่อนโลก และความเป็นผู้ใหญ่ที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เพราะฉะนั้นคนวัยนี้จึงอยากรู้ อยากลองไปซะหมด อะไรที่ผู้ใหญ่ว่าไม่ดี ก็ต้องขอพิสูจน์ อะไรที่ถูกต้องห้ามก็ต้องทำ เรื่องวัยรุ่นกับการออกนอกลู่นอกทาง จึงเป็นเรื่องปกติ หากไม่สะเปะสะปะออกไปไกลและถลำลึกจนกู่ไม่กลับ ส่วนใหญ่ก็มักเลี้ยวกลับมาบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองสำหรับ "นายบี้"เอง จึงมีลูกเฮี้ยวลูกซนๆบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ก็ไม่เคยมีหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองและไม่เคยสร้างอาการปวดเศียรเวียนเกล้าให้พ่อแม่เลย ยิ่งกับกลุ่มเพื่อนฝูงด้วยแล้ว อย่างดีก็แค่สร้างสีสันเฮฮา จนได้ฉายา"ไอ้บี้มุกแป้ก"จากเพื่อนๆเท่านั้นเอง "พอตอนจบป.6 ผมเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรนะ คือไอ้เรื่องเป็นทหารน่ะ ลืมไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนประถมได้พักหนึ่งแล้วเหมือนมันมีเรื่องอื่นสนุกกว่าแล้วตอนนั้นพอเราจบป.6ด้วยความเป็นลูกหม้อครับ คือเด็กที่จบประถมที่นี่ก็จะไปเรียนที่มงฟอร์ดมัธยมได้เลย แต่พอผมมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนมงฟอร์ดมัธยมชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ เพราะว่าเราโตขึ้นมาก ถึงแม้ว่าช่วงห่างกันแค่ปีเดียว แต่ว่าสังคมหรือว่าอะไรก็แล้วแต่มันโตขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนไปก็มีเยอะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนซึ่งก็มีเพื่อนใหม่ๆเข้ามาประมาณครึ่งหนึ่งที่เหลือก็คือเพื่อนๆเก่าๆ เด็กลูกหม้อเหมือนกันแล้วที่โรงเรียนนี้ ชั้นมัธยมปลายก็จะมีสาวๆด้วย แต่ว่าม.ต้นยังไม่มีนะ เป็นชายล้วน ถึงแม้จะคนละชั้นตาม แต่ก็ทำให้เราได้เจอกับสาวๆมากขึ้น แล้วก็มีพวกสาวๆม.4-5-6 มาจีบน้องๆเด็กม.ต้นเป็นแฟนกันบ้าง บางคนก็เป็นแบบพี่น้องกัน มันก็มีเรื่องทำให้เราเจอสาวๆเยอะขึ้น เหมือนเป็นครั้งแรกของเราน่ะครับ มันก็เก็บกดมาตั้งแต่ประถมแล้ว ไม่ได้ใกล้ชิดสาวๆเลย (หัวเราะ) พอมาได้ใกล้ชิดก็กระชุ่มกระชวย ตอนนั้นผมเองก็ถือว่าเป็นหัวโจกเหมือนกันนะจะยังชอบแกล้งคนอื่นอยู่เหมือนเดิมครับ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรครับ อย่างมีเพื่อนคนหนึ่ง ผมหมั่นไส้มากๆเวลาเรียนแล้วครูถามอะไรเนี่ย เค้าก็จะยกมือแล้วลุกขึ้นตอบทันทีเลย จะวิชาอะไรก็รู้ไปซะหมด ไอ้เราก็เลยหมั่นไส้ขึ้นมา ก็เลยคิดหาวิธีแกล้ง โดยการเอาลิควิคเปเปอร์ไปวางไว้ที่เก้าอี้เวลาที่เค้าลุกขึ้น พอเค้านั่งลงทับลงมาเต็มๆเลย ไอ้ลิควิคมันก็พุ่งปรี้ดออกมาเปื้อนเต็มเลยครับ(หัวเราะ) ผมก็หัวเราะสะใจครับชอบแกล้งสะใจดีครับ แล้วก็ชอบเอาช็อคปาขึ้นไปบนพัดลมเพดานในห้องเรียนครับแล้วพอขว้างไปมันก็จะกระเด็นลงมาซึ่งมันจะไปโดนหัวใครก็แล้วแต่ดวงครับ เราก็เล่นไปหลบไป มันก็ดังปังๆๆสนุกดีครับ เราก็วิ่งหลบไอ้ใครหลบไม่ทันก็เจ็บตัวไปครับ เพื่อนๆในแก๊งผมก็มีอยู่ 4 คนครับ ในแก๊งก็สนิทกันมากๆ เฮฮาปาร์ตี้ไปไหนไปกัน มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแม่เค้าจะขายก๋วยเตี๋ยว ตกเย็นแก๊งเราก็ยกพวกไปกินก๋วยเตี๋ยว ก็ชวนเพื่อนๆทำทีไปอ่านหนังสือกัน แต่จริงๆแล้วไม่ได้รักเรียนอะไรหรอกนะครับ แต่ที่ชอบไปน่ะก็เพราะได้กินก๋วยเตี๋ยวฟรีต่างหาก(หัวเราะ) ตอนนั้นตัวผมเองก็มีฉายากับเค้าอีกเหมือนกัน คือเพื่อนๆจะเรียกผมว่า "ไอ้บี้มุกแป้ก" ครับ (หัวเราะ) คือผมจะเป็นคนที่สนุกสนาน เฮฮามากๆจะคอยสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ แล้วผมก็ชอบเล่นมุกขำๆ ซึ่งพอเล่นแล้วเพื่อนก็ไม่ขำ มีผมขำคนเดียวเค้าเลยเรียกผม "ไอ้บี้มุกแป้ก" ผมชอบเล่าเรื่องขำๆชอบโม้ เพื่อนๆเวลาเศร้าๆ ก็จะโทร.มาหาผม หรือใครมีความรักแล้วไม่สมหวังก็จะมาคุยกับผมแก้เครียด ผมจะยิงมุกสะบัดเลยนะ คิดอะไรได้ก็เป็นต้องยิงมุก ยิงจนเพื่อนๆโห่ แต่ยิงเพื่อนๆโห่นี่แหละผมยิ่งชอบ เรื่องที่ผมเล่นเนี่ยก็อย่างเช่น ผมจะถามเพื่อนว่า...ท่ออะไรอยู่ได้ไม่นาน เพื่อนๆก็เดากันไปต่างๆนานา ท่อพีวีซีบ้าง ท่อไอ้นั่นท่อไอ้นี่ แต่คำเฉลยของผมก็ท่อแป๊บไง ก็มันแป๊บเดียวอยู่ได้ไม่นาน เพื่อนก็อึ้งไปพักใหญ่จากนั้นก็จะโห่กันลั่นว่ามุกอะไรขอแกเนี่ย ไอ้บ้าเอ๊ย ถ้าเป็นสมัยนี้เค้าจะเรียกว่ามุกควายครับ อย่างตอนนั้นเรียนพิเศษคณิตคิดเร็วกันอยู่ๆผมก็ถามเพื่อนว่าไอ้คณิตนี่มันใครว่ะ ทำไมมันคิดเร็ว อ้าว!แล้วเราไม่ได้คิดหรอกเหรอ แล้วเราจะเรียนไปทำไม เราจะสู้ไอ้คณิตได้เหรอมันเป็นใครวะทำไมมันคิดเร็ว อยากรู้จังเลยอะไรแบบนี้ครับ (หัวเราะ) พูดแล้วขำเอง เพื่อนจะอึ้งเหมือนเดิม จากนั้นเสียงโห่ก็จะตามมา หรือบางทีเพื่อนถามว่าเราไปกินอาหารกินมั้ย ผมก็สวนทันทีเลย ไม่กินอาหารได้มั้ย แต่ไปกินอาคูณ อาบวกกันแทนได้มั้ย เอ้าฮา (หัวเราะ) เอมีอาหารขายแล้วมีอาคูณขายมั้ยอะไรแบบนี้ เป็นไงมุกผม อึ้งไหมล่ะ(หัวเราะ) ใครคิดอะไรพูดอะไรมาเล่นหมด ต้องการให้เพื่อนขำไปหมดเพื่อนๆหรืออาจารย์พูดอะไรมา ผมจัดการแปลงให้ขำหมด จนคนอื่นเค้าเบื่อ จะออกแนวเอือมระอากับมุกของผมไปซะแล้วครับ นั่นแหละเค้าก็เลยเรียกผม "ไอ้บี้มุกแป้ก" มาตลอด ตอนนั้นผมก็เริ่มเข้าช่วงวัยรุ่นแล้วนะ แต่ก็ยังออกแนววนแบบเด็กๆ ไม่ได้ไปต่อยตีอะไรกับใคร เวลาใครมีเรื่องกัน ผมจะเป็นคนคอยไกล่เกลี่ยซะมากกว่าใครต่อยตีกันผมจะวิ่งปราดเข้าไปห้าม อย่าๆอย่าตีกันนะ เป็นเพื่อนกันต้องรักกันอะไรแบบนี้ มักดูเท่มากๆเลยนะครับ (หัวเราะ) เจ๋งนะ คอยห้ามแล้วอย่างที่บอกว่าผมเองไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกับใคร คือไม่มีเรื่องกับใครเลย เพราะถ้าทะเลาะกันผมจะบอกเพื่อนๆว่าใจเย็นๆไม่อยากจะเสียเพื่อนไงครับ มีอะไรก็คุยกันนะ อยู่แบบสงบสุขมากๆ เวลาทำงานหรืออะไรเนี่ย ผมก็จะไม่ค่อยออกความคิดเห็นเท่าไหร่ครับ คือตามน้ำ ใครว่าไงก็เอางั้น เพราะไม่งั้นผมรู้เลยว่าถ้าผมเสนออะไรออกไปเดี๋ยวก็ต้องเถียงกัน ทะเลาะกันปล่าวๆครับ ก็เลยไม่เอาดีกว่า ตามๆเค้าไปครับ ผมก็จะปล่อยมุกไปฮาอย่างเดียว เพื่อนก็บอกไอ้นี่ฮาลูกเดียว งานการไม่ทำเลย" (หัวเราะ) นอกจากออกแนวกรรมการห้ามมวยชอบไกล่เกลี่ย และเป็นผู้ตามที่ดีแล้ว "นายบี้" ผู้ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ของเราก็ยังรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ซะด้วย "เรื่องทำกิจกรรมผมก็ยังชอบทำเหมือนเดิมนะครับ อย่างตอนม.2ผมได้เล่นดนตรีไทยด้วยครับ คือได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีไทยของโรงเรียนเครื่องดนตรีอย่างแรกที่ผมเล่นคือสะล้อครับ มันจะคล้ายๆซอนะ เป็นเครื่องดนตรีไทยของภาคเหนือ มันเล่นไม่ยากเท่าไหร่ มีแค่สองสายจะมีโน้ตอยู่ไม่กี่ตัวจะเล่นง่ายกว่าซอ แล้วก็มีไปเล่นซึง แล้วก็มีไอ้นู่นไอ้นี่ เรื่อยเปื่อย แต่ว่าเล่นหลักๆเลยคือสะล้อ แต่ว่าผมก็พยายามลองทุกอย่างแล้วนะ ซออู้ ซอด้วง ฉิ่ง กรับ อะไรผมเล่นหมดเลบนะ ตัวไหนขาดผมก็ไปเล่นตัวนั้น แต่ไอ้ที่พยายามไม่สำเร็จคือระนาดครับ ผมเคยพยายามลองตีดูแล้ว แต่ไม่สำเร็จเพราะมันยากมาก เพราะระนาดมีโน้ตเยอะ จะมีคู่แปดอะไรก็ไม่รู้ ผมก็รู้สึกว่ายากก็ไม่เลยไม่เอาดีกว่า จะเข้ก็พยายามด้วยนะ แต่ว่าก็ไม่สำเร็จเพราะมันยากมากๆ แล้วส่วนใหญ่ผู้หญิงเค้าจะเล่นกันครับ ก็พยายามแล้ว แต่ไม่โอเค เลยไม่ได้เล่น ผมก็หนักๆไปทางเล่นสะล้ออย่างเดียวเลยครับ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ประมาณหนึ่ง คือเล่นตามเพลงที่เค้าให้มาซ้อม แต่ไม่ขนาดว่าคิดเองอะไรเองได้หมด ไม่ขนาดว่ามาต่อเพลงเองได้ ไม่ได้ขนาดนั้น แต่ว่าต้องเล่นตามโน้ตครับ ส่วนใหญ่จะไปรับจ้างตามงานมากกว่านะแต่ว่ารับจ้างนี่ก็ไม่ได้ตังค์ คือไปเล่นช่วยกัน แบบโรงเรียนมีงานอะไรแบบนี้ผมก็ไปเล่นกับเค้า" ถึงจะซนไม่เลิก แต่เรื่องกิจกรรม "นายบี้" ก็ยังคงขยันทำโน่นทำนี่อยู่เหมือนเดิม ตอนหน้าเราตามไปดูกันต่อว่าชีวิตมัธยมของ "นายบี้" จะมีอะไรสุนกๆอีกบ้าง ห้ามพลาดนะค่ะ
ตอน7
..............นอกจากจะเป็นคนอารมณ์ดี คอยปล่อยมุขให้เพื่อนๆฮาบ้างไม่ฮาบ้างตามสไตล์แล้ว "หนุ่มบี้" สุดหล่อของเราก็ยังเป็นคนอยู่นิ่งๆไม่ได้อีกเหมือนเคย ต้องหากิจกรรมทำเสมอๆเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือกีฬา นอกจากนั้นแล้วเจ้าตัวยังมีความสนใจและมีความสามารถเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์เอามากๆซะด้วย โดยเฉพาะเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่ง นายบี้ น่ะเค้าเก่งระดับเซียน จนกลายเป็น "ช่างบี้" ของเพื่อนๆไปเลยทีเดียวล่ะค่ะ "ช่วงนั้นผมจาบ้าอิเล็กทรอนิกส์มากๆเลยครับ เช่นทำยังไงให้ไฟมันวิ่งสามสี คือมีแผงวงจรเล็กๆแล้วก็จะมีวิธีบอกว่าต้องต่อยังไงๆแค่นั้นเราก็ต่อได้เลยครับ จะชอบเล่นอะไรแบบนั้นครับผมว่ามันสนุกดี หลังจากนั้นก็มาบ้าคอมพิวเตอร์มากๆมีอยู่ช่วงหนึ่งเคยเขียนเว็บไซด์ส่งเข้าประกวด แล้วก็ได้รางวัลมาด้วยครับ รู้สึกว่าจะได้ที่3 นะ คือตอนนั้นคอมพิวเตอร์มันเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆผมเองก็สนใจ แรกๆมันมีคำสั่งโน่นนี่ผมก็พิมพ์ไปพิมพ์มา คือผมชอบ ก็เลยเริ่มศึกษา เริ่มฝึกก็เลยเข้าประกวดกับทางโรงเรียน ได้รางวัลด้วย ผมได้เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ป.4 นะครับ คือไปขอมาจากอาอีกทีครับ แล้วก็เอามานั่งดู ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรสายอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดก็ลองๆเสียบดูมีไขควงอันหนึ่งก็คิดในใจ ในนี้มันมีอะไร อยากรู้ขอลองไขดูหน่อยเหอะ มันคงไม่มีอะไรเด้งออกมาหรอกมั้ง อันไหนมันว่างๆก็เสียบๆถอดๆเข้าๆออก ลองเอาออกเอาใส่ แล้วก็เป่าปู๊ดๆ แล้วก็ใส่เข้าไป แล้วมันก็ยังใช้ได้ปกติ เราก็ เฮ้ย!!!เราก็เก่งนี่หว่า (หัวเราะ) หลังจากนั้นมาก็เอาใหญ่เลยถอดๆเสียบๆใหญ่เลยครับมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมก็ถอดๆเสียบๆนี่แหละครับแต่ทีนี้พอใส่เข้าไปแล้วมันเปิดไม่ติดสิครับ ทีนี้ก็ยุ่งเลย (หัวเราะ) จากคอมฯดีๆมันก็เลยเจ๊งไปเลย ผมก็พยายามซ่อมทั้งคืนเลยครับซ่อมตั้งแต่ 2 ทุ่มนะครับซ่อมทั้งคืนเลยทำยังไงก็ไม่ได้ซะที ก็เลยนอน ก็คิดซะว่ามันคงเป็นฝันไป เดี๋ยวตื่นขึ้นมา หวังว่าคอมฯมันจะใช้ได้เอง เปิดติดครับ แต่พอตื่นเช้าคอมฯ มันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดีครับ(หัวเราะ) สุดท้ายก็เลยต้องส่งซ่อมที่ร้านเลยครับ ก็ตลกดีนะครับ ที่ผมชอบของพวกนี้ผมรู้สึกว่ามันสนุกดีนะ ตอนนั้นพวกเพื่อนๆผมเค้าไม่มีไงครับ แล้วเรามีเป็นของตัวเองเนี่ย มันกาสุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ต้องโชว์กันหน่อยครับ (หัวเราะ) แต่ก็มีเรื่องโดนไฟช็อตนี่ประจำเลยล่ะครับกระโดดโหยงเลยนะ(หัวเราะ)แต่คือพอโดนช็อตบ่อยๆผมว่ามันก็ชินไปเองแหละ ไปดูสิครับใครที่ซ่อมคอมฯเป็นต้องโดนไฟช็อตด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ ถึงตอนนั้นผมจะชอบเล่นชอบซ่อม ชอบถอดๆใส่ๆก็ไม่ได้คิดถึงกับฝันว่าโตขึ้นจะต้องเป็นช่างซ่อมคอม นะครับไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะส่วนหนึ่งที่ผมมาชอบซ่อมคอม ก็เพราะว่าผมเล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์อยู่แล้วเราก็ต้องมีพัฒนาการกันบ้างเพราะเวลาเล่นเราก็จะมักเจอปัญหาโน่นนี่ประจำมันก็เลยทำให้เราต้องแก้เราก็เลยต้องสนใจไปด้วยอยากรู้อยากเห็นอยากลองไปเรื่อยๆแล้วมันก็เท่ดีนะ อย่างผมได้ยินเพื่อนๆพูดว่าเค้านะเก่งคอมอย่างงั้นอย่างงี้ ระดับเซียน เล่นเกมส์เนี่ยมันต้องคอมดีนะสเป็คเครื่องสูงๆมันต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ผมก็เลยเริ่มสนใจ เริ่มรู้สึกว่าสเป็คสูงนี่มันต้องเป็นยังไงอันไหนราคาเท่าไหร่ยี่ห้อไหนดีซื้อเมนบอร์ดยี่ห้อนี่นี้ดีมั้ยราคาถูกดี อันนี้มันแพงเกินเกินเอาอันนี้แทนได้มั้ย เริ่มประกอบคอม เองแล้ว เกมส์เนี่ยเป็นตัวหลักเลยครับ (หัวเราะ) ที่ทำให้ผมสนใจ เพราะผมอยากจะมีเครื่องไว้เล่นเกมส์ดีๆครับ เรียกว่าตอนนั้นยังเด็กมาก แต่ถือว่าผมไฮเทคโนโลยีมากเลยครับ(หัวเราะ)จากที่แรกๆผมจะพยายามไปศึกษาเอาจากเพื่อนๆคอยถามคนนั้นคนนี้ตลอดเลยแล้วผมก็จะจดเอาไว้อันไหนไม่เข้าใจก็ไปหาหนังสือมาอ่านเองเป็นเรื่องเป็นราวเลย เรียกว่าสนใจมากๆคอยหาคอยลองตลอด จนสุดท้าย พอประมาณผมอยู่ม.2หรือม.3เนี่ยก็กลายเป็นเพื่อนๆต้องมาถามผมแทนเลยครับ(หัวเราะ)ผมก็เลยกลายเป็นคนที่มีความรู้เรื่องคอมฯหลังๆเวลาเพื่อนๆเค้ามีคอมฯแล้วคอมเค้าเจ๊งเค้าก็จะมาปรึกษาผมให้ผมไปช่วยซ่อมให้ มาตามให้ผมไปประกอบไปต่อคอมให้ผมเขียนเว็บไซด์ให้เรียกว่าเป็นระดับช่างกันเลยเป็น "ช่างบี้"(หัวเราะ)ทีเดียวครับ แต่ก็เป็นช่างแบบเด็กๆนะครับ ได้ได้ขนาดว่าเก่งเว่อร์เลยก็พอทำได้ในสิ่งที่เพื่อนๆทำไม่ได้ล่ะครับก็ค่อนข้างภูมิใจครับ" (หัวเราะ) โอ้โห! "หนุ่มบี้"ของเรากลายเป็นหนุ่มไฮเทคเชี่ยวชาญซะจนกลายเป็นนายช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ไปซะแล้ว เอ.......แล้ววันๆเอาแต่นั่งซ่อมคอมแบบนี้จะเอาเวลาไหนไปเรียนล่ะเนี่ย แล้วผลการเรียนจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามตอนหน้าค่ะ
ตอน8
..............ตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อยเรียนชั้นประถมจนกลายป็นหนุ่มเต็มตัวช่วงมัธยมแฟนๆของนายบี้ ก็คงพอจะทราบแล้วว่า พ่อเจ้าประคูณของเรานั้นจะชอบทำกิจกรรมมากเป็นพิเศษ ทั้งดนตรี กีฬาหรือล่าสุดก็บ้าซ่อมคอมพิวเตอร์ ก็มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง จนกลายเป็น "ช่างบี้" ของเพื่อนๆไปซะแล้ว ก็เล่นมีเวลาว่างเมื่อไหร่ นายบี้ ก็เอาแต่ซ่อมคอมพิวเตอร์ แล้วแบบนี้นายบี้ ของเราจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนหนังสือกันล่ะเนี่ยแล้วผลการเรียนจะเป็นอย่างไรบ้างตามไปดูกันเลยค่ะ "เห็นผมบ้าซ่อมคอมพิวเตอร์แบบนั้น แต่เรื่องการเรียนผมก็ไม่ได้ทิ้งนะครับ เพราะผมยังตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ผลการเรียนก็ค่อนข้างปานกลางไปถึงดี อย่างช่วงแรกๆที่เข้าเรียนเนี่ย เกรดผมจะโอเคมากนะอย่างเทอมแรกที่เข้าไปผมก็เรียนได้ 3 กว่าเลยนะครับ บางเทอมก็ 2 กว่าแต่จะเป็น2.9 อะไรแบบนี้ แต่รวมๆแล้วถึงตอนจบ ผมจบมาด้วยเกรดประมาณ 2.5 ครับ เพราะว่าผมเริ่มซ่าส์ เริ่มมีโดดเรียนด้วยครับ เกรดมันก็เลยเหลือเท่านั้นครับ คือตอนนั้นพอเรียนถึงม.3 แล้วเค้าก็จะมีสอบคัดเลือกนักเรียนเพื่อนเข้าเรียนต่อชั้นม.4 ที่โรงเรียนมงฟอร์ดด้วยต่อเลย จริงๆแล้วเค้าก็จะมีเด็กโควตาแบบที่ไม่ต้องสอบ แล้วเข้าเรียนต่อม.4 ได้เลย แต่ว่าเด็กพวกนั้นเนี่ยจะมีน้อยมากๆเลยครับ เพราะเค้ารับแค่30กว่าคนจากนักเรียน 300คนพราะเค้าคัดเกรดเฉลี่ยต้องเอาแบบเกือบๆ4.00เลยครับแต่ผมได้แค่2.5เองก็เลยต้องสอบ ซึ่งตอนนั้นใครที่สอบติดหรือว่าได้เรียนต่อที่นี่ถือว่าเท่มากๆ แล้วรอบแรกผมสอบไม่ติดวะด้วย ตอนนั้นเครียดมากๆเลยตรับ เพราะอยากเรียนที่โรงเรียนนี้ อยู่ที่นี่มันเท่เพราะเป็นโรงเรียนชื่อดังของเชียงใหม่ แล้วถ้าเกิดเราไม่ได้เรียนที่นี่แล้วเราจะไปเรียนที่ไหน ต่อไปจะทำอะไรกินเนี่ย(หัวเราะ) คิดไปสารพัดเลย คิดขนาดนั้นเลย พอมีสอบรอบสอง ผมก็ฮึดตั้งใจอ่านหนังสือเต็มที่ สุดท้ายก็สำเร็จครับ พอหลังจากสอบติดแล้วผมก็รู้สึกว่าสบายแล้วเรายังไงก็มีที่เรียนต่อแล้วเวลาเรียนที่เหลือมันก็ไม่สำคัญแล้ว อีกไม่นานเราก็ได้เรียนม.4ที่เดิมแล้วว่าแล้วก็โดดเรียนเลยล่ะกัน(หัวเราะ)ช่วงที่รู้ตัวแล้วว่าสอบติดเนี่ยจะโดดบ่อยมากๆคือเราก็เรียนนะแต่เรียนเอาพอผ่านๆไม่ได้เรียนเพื่อเอาเกรดสูงๆแต่เอาพอผ่านๆพอตอนนั้นผมก็จบมาประมาณเกรด2.5ครับ ผมจะชอบโดดเรียนไปกินข้าวกลางวันครับคือนักเรียนกลางวันเค้าจะห้ามออกนอกโรงเรียน ต้องกินข้าวในโรงเรียนนะ แต่เราก็โดดออกไปกินข้างนอกจนได้แล้วมันก็รู้สึกว่ามันเท่มากๆที่เราได้ไปกินข้าวนอกโรงเรียน ถ้าไปกินตอนเสาร์อาทิตย์มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่เราไปกินในเวลาเรียนมันแปลก มันน่าตื่นตาตื่นใจ มันเท่มากๆนอกจากโดดเรียนไปทานข้าวกลางวัน ผมก็จะโดดเรียนไปเล่นเกมที่บ้านเพื่อน คือบ้านเพื่อนคนนี้จะอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียน ตอนนั้นเกมเพลย์สเตชั่น1 กำลังฮิตมากๆ ใครมีนี่ถือว่าเจ๋งมากๆพวกเราก็เลยไปเล่นกันหมดเลยทั้งแก๊ง ถึงผมจะโดดเรียนบ่อยๆในช่วงนั้นแต่ก็ไม่เคยถูกครูจับได้นะครับเพราะว่ามันจะมีช่องทางพิเศษทางออกลึกลับอยู่หลังโรงเรียนโดดกันตุ้บๆๆคุณพ่อคุณแม่เองก็ไม่รู้เลยนะครับว่าผมโดดเรียนพวกท่านจะมารู้ก็ตอนที่อ่านทีวีพูลตอนนี้แหละครับ(หัวเราะ) บางวันเช้าออกจากบ้านมาแล้วไม่มาโรงเรียนเลยก็มีครับ แต่ว่าเราขี้เกียจอยู่บ้าน ไม่มีอะไรทำก็ไปเล่นเกมส์บ้านเพื่อนดีกว่าสนุกกว่าเยอะเลย แว้บไปแว้บมาแต่ส่วนใหญ่จะแว้บตอนกลางวันมากกว่าครับ แต่ว่าผมก็เรียนจบสอบผ่านไปได้ด้วยดีครับ ตอนนั้นผมเองมีความตั้งใจเอาไว้เลยว่าจะเป็นวิศวกรให้ได้เพราะว่าคุณอาของผมเป็นวิศวกรดูเค้ามีฐานะเหลือเกินขับรถวอลโว่ มีบ้านหลังใหญ่มากๆเลยครับ แล้วตอนนั้นบ้านผมก็มีฐานะปานกลางครับไม่ได้ดีเท่าไหร่ผมก็เลยรู้สึกว่าเอาว่ะโตขึ้นเป็นวิศวกรดีกว่ารวยแน่ๆ(หัวเราะ)แล้วมันก็เท่ดีด้วยเวลาใครถามว่าเราทำอาชีพอะไรแล้วเราบอกว่าเป็นวิศวกรมันคงเท่ดีก็เลยตั้งมั่นเลยว่าจะต้องเป็นให้ได้ครับ แล้วอีกอย่างผมเป็นคนชอบเรียนคำนวณชอบคอมพิวเตอร์ชอบอะไรแบบนี้ก็เลยคิดว่าโอเคลงตัวคุณพ่อคุณแม่ก็ชอบเพราะว่างานนี้เป็นงานที่จับต้องได้เรียนแล้วจบมาก็มีงานทำแน่ๆคือที่บ้านผมเค้าจะไม่ชอบพวกงานเต้นกินรำกินไม่ชอบให้เรียนพวกสายศิลป์ท่านออกจะหัวโบราณนิดๆท่านก็เลยเห็นด้วยว่าเป็นวิศวกรน่ะดีแล้วสนับสนุนเต็มที่เลยครับ" ถึงพ่อหนุ่มนักกิจกรรม "นายบี้" ของเราจะแอบเกเรไปบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ถึงเวลาเอาจริงเอาจังต้องมุ่งมั่นเพื่อการเรียนเจ้าตัวก็ทำสำเร็จหลังจากนี้เส้นทางชีวิตของว่าที่วิศวกรคนนี้จะเป็นอย่างไรชีวิตม.ปลายของเค้าจะสนุกสนานขนาดไหนต้องติดตาม
ตอน9
...........แล้วหนุ่มน้อยบี้ของเราก็ขยับเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่นเต็มตัวซะที เมื่อขยับจากสถานะจากนักเรียนม.ต้นขึ้นมาเป็นนักเรียนม.ปลายกลายเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวซึ่งเจ้าตัวบอกว่าชีวิตในช่วงนี้แหละที่ประทับใจมากที่สุดแต่จะประทับใจเพราะอะไร หรือจะเป็นเพราะมีสาวๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต เราตามไปแกะกล่องความประทับใจของเค้ากันเลยคะ
หลังจากขึ้นม.4แล้วชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปคือเริ่มมีผู้หญิง เพราะว่าชั้นประถมและชั้นมัธยมเนี่ยมันมีแต่ผู้ชายล้วนๆแต่ในคราวนี้ห้องเรียนของเราจะมีผู้หญิงเรียนอยู่ด้วยครับ เราก็นั่งตัวแข็งเลยเพราะในห้อง50คนเนี่ยจะมีผู้หญิงประมาณ20คนและผู้ชายประมาณ30คน เราก็นั่งตัวเกร็งแข็งเลย เพราะเราเกรงใจผู้หญิงคือทำตัวไม่ถูก สมัยที่มีแต่ผู้ชายล้วนเราก็เล่นลั่นห้องไปหมด แปปเดียวเดี๋ยวก็รู้จักกันหมด
แต่ทีนี้พอมีผู้หญิงเราก็เก๊กกันหน่อยเดี๋ยวเสียฟอร์ม (หัวเราะ) เพราะพอเรามองไปรอบๆข้างโอ๊ย! คนนั้นก็ดีคนนี้ก็น่ารัก มองไปรอบๆนี้มีแต่ผู้หญิงเต็มไปหมดเลย เราก็เลยทำอะไรไม่ถูกเลยครับ แต่หลังจากนั้นมาพอทำความรู้จักกันแล้ว ก็เล่นกันลั่นเลยครับ ตีกัน ตบหัวกัน ทั้งเพื่อนผู้ชายด้วย ผู้หญิงด้วย
พอขึ้นชั้นม.4เพื่อนบางคนเค้าก็จะเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นเด็กเรียน ตั้งใจเรียนได้เกรดดีมากๆ แต่บางคนก็ยังเอาแต่เล่นอย่างเดียวจนเกรดแย่ แต่ของผมเนี่ยเป็นกลางๆครับคือก็ตั้งใจเรียนนะ แต่ก็มีแอบเฮ้วบ้างของผมไม่ใช่ว่าโห..มุ่งมั่นตั้งใจเรียนกันอย่างเดียว ชนิดที่ว่าไม่ซ่าส์เลยอันนั้นคงไม่ใช่ผมละครับ(หัวเราะ)แต่ถามว่ามุ่งมั่นมั้ยเราก็มีในส่วนของความมุ่งมั่นนะ เพราะเราก็มีความฝันว่า อยากเป็นวิศวกรให้ได้ แต่ก็ตามประสาเด็กผู้ชาย มันก็ต้องมีสนุกเล่นกันบ้าง ผมก็เลยออกแนวเรียนเรื่อยๆเมื่อยก็หยุด(หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปะละเลยจนเละเทะ ผมก็ตั้งใจเรียนสุดความสามารถ แต่ถ้าว่างก็ซ่าส์สุดตัวละกัน
ไอ้ซ่าส์ๆซนๆของผมก็ยังชอบแกล้งเหมือนเดิมครับ แล้วไม่ใช่แกล้งเพื่อนนะ แกล้งครูเลยครับ (หัวเราะ) คือตอนนั้นมันมีหนังสือวิชาเตรียมทหารอะไรแบบนี้ครับ คือมันจะมีรูปมีคำบรรยาย ความรู้สึกของแต่ละคนที่มีต่อครูอะไรแบบนี้ว่ารักครูมากครับผมจะไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีครุนักเรียนเตรียมทหารเค้าก็เขียนเอาไว้ซึ้งมาก
แล้วครูสอนคณิตศาสตร์เค้าเป็นผู้หญิงที่เพิ่งจะเข้ามาสอนใหม่ สอนได้สักพักหนึ่งเราก็เอาเลยลุกขึ้นบรรยายความรู้สึกซึ้งๆจนครูเคลิ้มเลย
เสดแล้วผมก็ส่งต่อให้เพื่อนเพื่อนก็ลุกขึ้นมาพูดๆแล้วก็ส่งต่อให้เพื่อนอีกคนหนึ่งขึ้นมาพูดแนวเดียวๆกันซึ้งๆว่าครูครับผมชอบวิชานี้มากทำให้ผมเป็นคนมากขึ้น คือเราก็สร้างสถานการณ์มาได้จนซึ้งจนครูเค้าจะร้องไห้แล้วตาแดงกร่ำแล้วครับ จนสุดท้ายเพื่อนๆเค้าทนเห็นเราแกล้งครูไม่ไหวแล้ว เค้าก็เลยบอกกกับครูว่า ครูๆมันไม่ใช่หรอกครับพวกนี้ไม่ได้ซึ้งอะไรหรอกแต่มันจะแกล้งครูกันเนี่ยๆมันอ่านจากหนังสือเล่มนี้นะ(หัวเราะ)ทีแรกครูเค้าก็เหวอเลยครับคือคงตกใจว่าเอ้าโดนแกล้งเหรอเนี่ยแต่ครูเค้าก็ไม่ได้โกรธอะไรออกแนวขำๆกันไปครับ
แก๊งผมจะมีประมาณ10คนก็จะมีเพื่อนๆจากม.ต้นบ้างแล้วก็มารวมกับเพื่อนๆใหม่ตอนนั้นผมก็ยังชอบยิงมุกแป้กๆของผมเหมือนเดิมแหละ แต่จะมีมุกใหม่ที่ผมชอบเล่นมากๆจนได้ฉายาในตอนนั้นคือ ..ไอ้บี้บอยแบนด์ครับ..
คือตอนนั้นผมจะชอบเล่นเป็นบอยแบนด์ครับ ผมว่าผมชอบนะเวลาที่เค้าร้องเพลงแล้วเค้าก็จะมีท่าเต้นกันแล้วผมก็จะทำท่าเสี่ยวๆเพื่อนๆก็จะขำกันหมด
ตอนนั้นที่มีวงใหม่ๆเข้ามาอย่างเช่นสไตล์เกอร์เราก็กลายเป็นบี้..สไตรค์เกอร์ก็จะเลียนแบบเค้าเพื่อนก็จะเลือกไอ้บี้สไตรค์เกอร์แล้วมีช่วงหนึ่งวงบีมิกซ์ดังมากๆเราก็จะเต้นและเลียนแบบเค้าให้เพื่อนๆดู ซ้อมมาอย่างดีเหมือนเด็กเพื่อนๆก็บอกเฮ้ยวันนี้มันเป็นไอ้บี้ บีมิกซ์นะเนี่ย (หัวเราะ)
วันดีคืนดีก็ออกมาเป็นบี้โอโซนได้เต้นได้ร้องโชว์ผมก็พอใจแล้วครับ ถือว่าวันนั้นนอนหลับฝันดีแล้วครับ แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่วงดีทูบีที่พี่บิ๊กเค้าไม่สบายประสบอุบัติเหตุใหม่ๆพอเพื่อนเค้าเห็นสมาชิกในวงขาด นี้ไงไอ้บี้แกไปดิแกไปเลยแกจะได้เป็นบี้ดีทูบีไง ผมก็บอกเฮ้ยไม่เอาหรอก ผมแค่ทำเล่นๆไม่ได้คิดจิงจังเลย ทำเหมือนหล่อเลยนะ
(หัวเราะ)ตอนนั้นถึงแม้ว้าผมชอบเลียนแบบ และรู้สึกสนุกกับการได้ร้อง ได้เต้นโชว์เพื่อนๆแต่ความฝันในการเป็นนักร้องมันยังอยู่ลึกๆยังไม่มีมากเท่าไหร่ เพราะว่ารู้สึกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วเราก็ตั้งใจว่าโตขึ้นจะเป็นวิศวกร เพราะฉะนั้นการร้องเพลงตรงนี้ก็เลยเหมือนจะทำแค่ขำๆ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งผมจะได้มาเป็นนักร้องจริงๆ
แถมมีท่าประจำตัวแบบนี้ซะด้วย (หัวเราะ)ก็นั่นสิคะใครจะไปคิดว่าแค่เด็กชอบเลียนแบบนักร้องดังอย่างบี้ วันหนึ่งกลายเป็นนักร้องสุดฮอตที่มีเพลงฮิตและท่าเต้นสุดเท่แบบนี้ละคะ ตอนหน้าเราจะไปตามติดชีวิตเด็กม.ปลายของนายบี้ กันต่อว่าเค้ามีเรื่องสนุกๆๆอะไรในชีวิตอีกบ้างห้ามพลาดนะคะ
ตอน 10
............วัยรุ่นกับความอยากรู้อยากลองเป็นของคู่กันเพราะวัยนี้เป็นวัยที่ชอบทดลองค้นหาไม่เชื่ออะไรง่ายๆต้องลองต้องพิสูจน์ด้วยตนเองจึงจะหานสงสัย แล้วก็ความอยากรู้อยากลองของนายบี้นี่แหละค่ะทำให้เจ้าตัวกับเดอะแก๊งถึงกับเฉี่ยวคุกเฉี่ยวตารางมาแล้ว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเอกของเราเกือบๆจะกลายเป็นผู้ร้ายแล้วเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน ตามไปฟังคำให้การของนายบี้กันเลยค่ะ "เรื่องมันๆของผมและเดอะแก๊งยังมีอีกเพียบครับ อย่างมีอยู่ช่วงหนึ่งก็มีเพื่อนผมเอาหมากฝรั่งไปแปะไว้ที่โต๊ะอาจารย์สุดโหดซึ่งเพื่อนคนนั้นก็คือรองหัวหน้าห้องแล้วต่อมาอาจารย์สุดโหดก็เข้ามานั่งพอนั่งทับไปปุ๊บอาจารย์ก็โวยวายใหญ่เลย ว่าใครทำแบบนี้ใครเป็นคนเอาหมากฝรั่งมาแปะไว้ แต่ว่าก็ไม่มีใครรับเลย อาจารย์ท่านคาดคั้นใหญ่นะก็ไม่มีใครรับอาจารย์ก็บอกว่าถ้าไม่มีใครรับจะตัดคะแนนทั้งห้องแล้วตอนนั้นเพื่อนๆผมทั้งห้องก็รักกันมากๆเลยไม่มีใครกล้าบอกว่าใครเป็นคนทำหลังจากนั้นวันต่อมาพออาจารย์โหดท่านนี้เข้ามาสอนตามปกติทีนี้รองหัวหน้าห้องคนนี้ก็เลยเดินเข้าไปหาอาจารย์บอกว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าใครเป็นคนทำแต่ว่าผมจะขอรับผิดชอบเอง โอ้โห.....มันทำเท่สุดๆเลยแต่ว่าความจริงแล้วมันนั้นแหละเป็นคนทำเองแต่มันเดินเข้าไปหาครูแล้วบอกไม่รู้ใครทำแต่จะขอรับผิดชอบเอง มันทุเรศมาก (หัวเราะ) เพื่อนๆก็เซ็งเลยรู้สึกว่าโหไอ้นี่น่าเกลียดมากๆเลยทำได้ไงเนี่ย จริงๆผมเองผมก็อยู่ในแก๊งเจ้าคนนี้เหมือนกันแต่ว่าไอ้นี่มันชอบแกล้งผมไง แล้วมันไปทำเท่ซะขนาดนั้นมันน่าหมั่นไส้มากๆครูก็เลยมองว่ามันไม่ได้ทำแล้วครูก็สงสัยคนอื่นทำทั้งๆที่มันนั่นแหละทำ(หัวเราะ) เวลาที่จะแกล้งกันพวกเราไม่เลือกกันเลยนะว่าใครเป็นใคร เพราะว่าเราจะแกล้งหมดทุกคนอาจารย์เราก็แกล้งเพราะด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นก็สนุกสนานไปวันๆไม่ได้คิดอะไรแล้วก็ไม่กลัวด้วยนะมันเหมือนเรายิ่งโตเราก็ยิ่งเฮ้ว ยิ่งกล้าที่จะแกล้งมากขึ้น อย่างไอ้เรื่องชอบปาช็อคที่ผมเล่นน่ะผมก็ไม่เคยสนใจว่าจะโดนใครพออาจารย์หันหลังผมก็ปาเลยแล้วก็ไปโดนหลังอาจารย์โป๊ะพวกเราก็นั่งเฉยๆกันตามฟอร์มและครูก็จับไม่ได้สักกะทีครับ(หัวเราะ)พวกเราก็เลยสนุกกันใหญ่ อีกอย่างที่เราชอบแกล้งกันก็คือถึงตดครับคือใครที่ลุกขึ้นมาตอบคำถามครูเนี่ยจะโดนถุงตดทุกคนคือพอเค้าลุกขึ้นตอบเสร็จเราก็จะเอาถุงตดไปวางพอนั่งลงมาเนี่ยมันก็จะดังแปร๊ด!!ดังลั่นห้องเลยครับใครลุกขึ้นตอบบ่อยๆก็จะซวยไปครับ จะโดนแกล้ง เพื่อนๆก็จะร่วมมือร่วมใจกันแกล้งมากๆสนุกกันใหญ่หัวเราะชอบใจ บางทีถ้าไม่ใช่ถุงตดก็อย่างที่ผมเคยบอกเลยคือเอาลิควิคเปเปอร์ไปวางไว้พอนั่งทับลงมามันก็จะแตกพุ่งปรี้ดออกมาเลอะกระโปรงเลอะกางเกงไปหมดเลยบางคนก็ทะลุเข้าไปเลยก็มีครับ ร้องลั่นห้องพวกเราก็โดนเข้าห้องปกครองไปตามระเบียบ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่โดนทำทัณฑ์บนกันไปครับ อีกครั้งหนึ่งที่เป็นวีรกรรมที่ผมและเดอะแก๊งระทึกใจมากๆเลยก็คือตอนที่เราไปสำรวจผีกันแล้ว ก็โดนตำรวจจับครับ คือตอนนั้นมันจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่เค้าลือกันว่ามีผีสิงอยู่ผีดุมากๆด้วยนะด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นก็เลยซ่าส์ก็ไปกันเลยอยากลองของขึ้นรถกระบะกันไปเลย ทีแรกไปสองที่ก็ไม่อะไรเท่าไหร่เพราะมันไม่เฮี้ยนมากเราไปก็เลยไม่เจออะไรเราก็เลยขึ้นรถไปที่ที่3กันต่อซึ่งว่ากันว่าบ้านหลังนี้เฮี้ยนมากๆ พอไปถึงพอเราลงจากรถปุ๊บขนลุกซู่เลยเราก็เริ่มกลัวๆเดินเกาะๆกันไปเรื่อยๆไอ้เราเห็นท่าไม่ค่อยจะดีเพราะว่าบรรยากาศมันวังเวงมากๆผมก็บอกเพื่อนว่าเฮ้ยกลับเหอะน่ากลัวว่ะเพื่อนก็บอกเอาน่าๆไม่เป็นไรหรอกแล้วมันก็แกล้งหลอกเราไอ้เราก็ตกใจร้องกันใหญ่เลย แกล้งกันไปตลอดทางบางทีก็เอาไฟฉายส่องขึ้นไปบนต้นไม้แล้วก็แกล้งทำเป็นผีหลอก แต่ปรากฏว่าอีกแป๊บนึงดันมีตำรวจมาแล้วก็เข้ามาจับพวกผมไอ้เราก็แบบตกใจกลัวผีก็กลัวอยู่แล้ว ยังมาเจอตำรวจจับอีก เค้าก็มาจับพวกเราข้อหาบุกรุกสถานที่ ตอนนั้นผีเผอไม่กลัวแล้วเพราะโดนตำรวจจับน่ากลัวกว่าเยอะ(หัวเราะ)แต่เราก็บอกเค้าไปว่าเราไม่ได้มาทำอะไรเสียหายนะเรามาดูผีเฉยๆ(หัวเราะ)ตำรวจเค้าก็เลยจดชื่อ จดนามสกุลไปแล้วก็ปล่อยกลับบ้านไปเค้าไม่ได้จับเราขึ้นโรงพักหรอกเพราะมันไม่มีอะไรไง เค้าก็แค่ให้เราเขียนชื่อที่อยู่ แล้วก็โรงเรียนไหนแค่นั้นเองครับพอเค้าปล่อยเราก็รีบกระโดดขึ้นรถกลับบ้านเลยครับ อารมณ์ตอนนั้นพวกผมกลัวตำรวจมากกว่ากลัวผีซะอีกครับ" (หัวเราะ) โอ้โห "นายบี้" แอนด์เดอะแก๊งเล่นซนกันจนเกือบจะโดนตำรวจจับซะแล้ว กะจะไปจับผีแต่เกือบโดนตำรวจจับทำเอา "นายบี้" แอนด์เดอะแก๊งเข็ดไปพักใหญ่ๆเชียวล่ะตอนหน้าห้ามพลาดเด็ดขาด วีรกรรมของ "นายบี้" ยังไม่จบสิ้นแค่นี้หรอกค่ะ!!!
ตอน11
ตอนที่แล้ว “นายบี้แอนเดอะแก๊ง” ก็ชวนกันไปแสบ ซน ซ่าส์ ประสาวัยรุ่น จนเกือบได้เรื่อง เพราะไปก่อวีรกรรมบุกรุกบ้านคนอื่นจนเฉียดคุกเฉียดตาราง ดีที่ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย สุดท้ายก็รอดมาได้ วันนี้เราจะตามไปดูกันว่าวีรกรรมความซ่าส์ของวัยรุ่นสุดเฮี้ยวอย่าง นายบี้แอนเดอะแก๊งจะมีเรื่องราวสนุกๆน่าตื่นเต้นอะไรอีกบ้าง “เรื่องราวความสนุกสนานของผมและเดอะแก๊งน่ะมีเพียบเลยครับ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะแกล้งเพื่อนอย่างเดียวนะ เพราะว่าตัวผมเองก็โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำอยู่แล้วนะครับ(หัวเราะ) อย่างเวลาว่างๆตอนพักกลางวัน กินข้าวเสร็จ พวกเราก็จะมานั่งรวมกลุ่ม มีนักเรียนเยอะๆอะไรแบบนี้ก็จะมีสาวๆเต็มเลย เพื่อนๆเค้าก็ชอบมาสะกิดบอกผมว่า เฮ้ย! บี้ๆเนี่ยสาวคนนี้เค้าบอกว่าเค้าชอบแกว่ะ แกไปคุยกับเค้าดิ ผมก็จะบอกว่าไม่หรอกมั้ง ไม่เอาดีกว่า เพราะผมเป็นคนขี้อายอยู่แล้วไง ทีนี้เพื่อนผมมันก็ไปหาสาวคนนั้นต่อทันทีแล้วก็บอกว่าเธอๆเนี่ยเพื่อนเราคนนี้ชอบเธอนะ เพื่อนผมเค้าก็จะชี้มาทางผม อะไรแบบนี้ ไอ้ผมก็อายม้วนเลย (หัวเราะ) พวกผู้หญิงก็เขินกันไป ไอ้เพื่อนเรามันก็ยิ่งหัวเราะชอบใจกันเลย หรือบางทีเวลาเราเดินผ่านแก๊งสาวๆเพื่อนผมมันก็เอาแล้วจะตะโกนดังๆเลยว่าเธอๆคนนี้ชอบเธอนะ เสร็จแล้วไอ้เพื่อน8-9 คนนั้นมันก็วิ่งหนีไปเลย แล้วปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางกลุ่มสาวๆอีกเพียบเลย คิดดูผมยืนอยู่คนเดียวเลย(หัวเราะ) ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่เขิน สุดท้ายผมก็เลยต้องรีบเดินหนีไปเลย หรือบางทีเดอะแก๊งของเรากำลังเตะฟุตบอลกันอยู่บางทีเล่นๆกันอยู่ดีๆเพื่อนผมมันเห็นแก๊งสาวๆนั่งอยู่พวกเพื่อนๆผมมันก็เอาแล้วมันจะเตะฟุตบอลเข้าไปกลางวงนั้นเลย สาวๆก็หันมาเพียบ แล้วก็มาบอกว่าไปๆบี้ๆแกไปเก็บบอลมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมก็นึกในใจซวยอีกแล้วตู (หัวเราะ) คือผมจะชอบเพื่อนแกล้งแบบนี้ประจำเลย โดยเฉพาะเรื่องสาวๆเพราะว่าผมเป็นคนขี้อายครับ เวลาเพื่อนๆแกล้งผมได้ เค้าจะชอบใจมาก ผมก็จะเป็นตัวฮาๆในแก๊งครับ แต่ปกติแล้วเวลาไปเล่นเที่ยวที่ไหนก็ตามจะไม่เคยกลับบ้านดึกๆเลย ปกติก็จะประมาณ 4 ทุ่ม แต่ถ้าดึกกว่านั้นก็จะไม่เกินเที่ยงคืนครับ พ่อกับแม่ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร เพราะว่าตอนนั้นผมเองยังอายุไม่ถึง18ก็เที่ยวผับเที่ยงเธคอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เค้าก็เลยไม่ต้องเป็นห่วง จริงๆเรื่องไปเที่ยวเธคเที่ยวผับผมก็อยากไปนะอยากไปมากๆเพราะว่าวัยรุ่นเค้าก็จะฮิตไปกัน เค้าก็บอกว่าไปเนี่ยสนุกนะ อย่างงั้น อย่างงี้ เราซึ่งกำลังวัยรุ่นก็อยากจะไปลองกับเค้ามั้ง แต่ว่าผมเข้าไม่ได้ เพราะตอนนั้นอายุ16เอง ตอนนั้นเที่ยวผับมันต้องอายุ20 พอไปถึงปั๊บ รุ่นพี่ๆผมเค้าอายุประมาณ18-19 ก็เข้าได้กัน แต่ผมเพิ่งจะ 16 เค้าก็จะพาเข้าไปแต่พอพาไปถึงคนที่เฝ้าประตูเค้าก็ถามว่าไอ้นี่น่าอ่อนจังเลยอายุเท่าไหร่เนี่ย ผมก็บอกว่า......อ๋อ 18 ครับ แต่เค้าก็ไม่เชื่อหรอกก็ถามว่าไหนเอาบัตรมาดูสิ ผมก็ไม่ได้เอาให้ดูก็เลยอดเข้าไป ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งๆผมก็ไม่ได้เข้าผับกับเค้าสักที หลังๆก็เลยขี้เกียจ ทางบ้านผมเค้าไม่รู้หรอกนะ เพราะเราไปกันตอน 2 ทุ่มกว่าๆแล้วก็กลับ พอมันเข้าไม่ได้ก็เลยกลับบ้านมาตามปกติ แต่ว่าตอนนั้น คุณแม่ก็ยังเข้มงวดกับเราเหมือนเดิม ซึ่งเราก็แอบมีความรู้สึกว่าทำไมแม่เค้าต้องมาเข้มงวดกับเรามากนักนะ เราก็โตแล้วแต่แม่บอกว่าให้เราโตกว่ารี้ก่อนแล้วเค้าจะปล่อยให้เรามีอิสระไปไหนก็ได้ คุณแม่จะหักห้ามไม่ให้ไปติดยา แต่ว่าเราก็ไม่ต่อต้านนะ เพราะว่าเราก็รู้อยู่ว่าไอ้ยาเสพติดเนี่ย มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่สมควรทำจริงๆ เราก็เลยไม่คิดที่จะไปยุ่งกับมันเลยเห็นคนนั้นคนนี้ติดยาแล้วมันเลวร้ายมาก เราก็เลยไม่คิดจะไปลอง เพราะว่าเราอยู่กันคนละเส้นทางกับมันด้วย แต่ว่าบุหรี่เนี่ยผมเคยลองสูบมาแล้วนะครับ(หัวเราะ) คือตอนนั้นรู้สึกว่าอยากลองสูบดูแต่ว่าไม่ชอบ พอเราสูบเค้าไปแล้วเราสำลักเลย ไอแค้กๆใหญ่เลย แล้วเราก็เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่า(หัวเราะ) มันทรมาน แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่รู้เหมือนเดิมแหละครับว่าผมเคยลองสูบบุหรี่ ผมว่าจะมารู้ก็ตอนที่อ่าน ทีวีพูลนี่แหละครับ ความลับของผมแตกเพราะทีวีพูลอีกแล้ว (หัวเราะ)นอกจากนี้เวลาว่างๆผม็ยังชอบเล่นดนตรี คือเริ่มแรกเลยเล่นกีตาร์ไฟฟ้า พอมาขึ้นม.5ก็เล่นเบส ม.6 เล่นกลอง คือกีตาร์เนี่ยผมอยากเล่นมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ตอนอยู่ประถมแล้ว แต่ว่าไม่เคยได้เล่นเลยด้วยความที่เราเด็กด้วย แล้วกีตาร์มันตัวใหญ่ พอขึ้นม.3 เห็นเพื่อนเล่น เราก็อยากเล่นอีก ก็เลยไปขอคุณพ่อ อ้อนไปอ้อนมาคุณพ่อก็ซื้อกีตาร์คลาสสิกให้เราตัวหนึ่ง ก็เลยเล่นเรื่อยมา พอขึ้นม.ปลายก็เลยมาเล่นกีตาร์ไฟฟ้า แต่ที่ผมเล่นน่ะมันไม่ใช่ว่าจะมาเล่นบนเวทีนะ เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าผมก็ขี้อาย ก็เลยได้แต่โชว์อยู่ในห้องซ้อมอย่างเดียวไม่รู้จะโชว์ใคร”(หัวเราะ) “นายบี้”ของเราอยู่เฉยไม่เป็นเลยจริงๆเที่ยงซนไปซนมาไม่เท่าไหร่ กลายเป็นนักดนตรีไปอีกซะแล้ว เรื่องราวความสนุกสนานในชีวิตเด็กม.ปลาย ของเค้ายังไม่จบเพียงเท่านี้ค่ะ ติดตามได้ในตอนหน้าค่ะ
ตอน12
สำหรับเด็กม.ปลายแล้ว การสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการสอบเข้าเรียนในคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันได้นั้นถือเป็นการปูทางให้เราเดินไปตามความฝันของตัวเองได้อย่างมั่นคงมากขึ้น แต่ของอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกคน บางคนขยันขันแข็งเรียนหนังสือจนสมใจสามารถแล้ว แต่กลับต้องผิดหวังใครทำใจได้ก็คงจะดิ้นรนหาหนทางใหม่แต่คนที่คิดไม่ตกอาจถึงขั้นคิดสั้นได้ง่ายๆ วันนี้ “นายบี้” จะมาถ่ายทอดเสี้ยวชีวิตในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเค้าในช่วงนี้ สุดท้ายพระเอกของเราจะมีรอยยิ้มหรือจะต้องปาดน้ำตา ติดตามได้เลย “แม้ว่าผมจะแอบเกเรบ้างแต่ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนผมไม่เคยทิ้งครับ ผมตั้งใจเรียนมาตลอดเหมือนกัน แม้เกรดเฉลี่ยผมจะไม่ได้ขนาดว่าดีมาก ก็จะอยู่ประมาณ2ปลายๆ 2.7,2.8 แต่ว่าเราก็ตั้งมั่นไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราจะต้องสอบเข้าคณะวิศวะให้ได้ เราก็เลยตั้งใจมาตลอดเลย เพราะว่ามันจะมีคะแนนจีพีเอด้วย ก่อนหน้าที่จะเอนทรานซ์ผมก็คิดเอาไว้ว่าอยากจะมาเรียนที่กรุงเทพเพราะมีรุ่นพี่ๆที่เค้ามาเรียนที่กรุงเทพจะชักชวนอยู่เรื่อยว่ามาเรียนที่กรุงเทพสิมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วอีกอย่างหนึ่งลึกๆในใจเนี่ยเราก็รู้สึกว่าการได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมันจะทำให้ความฝันลึกๆของเราที่อยากจะเป็นนักร้องมันดูจะมีทางเป็นไปได้มากกว่าเรียนที่เชียงใหม่นะครับ ผมเอนทรานซ์ตั้ง 2 รอบแนะ รอบแรกเนี่ยผมเอนไม่ติดด้วย คือได้คะแนนน้อยมากบางวิชาก็ไม่ถึงบางวิชาก็ถึง ก็เลยสอบไม่ติดเราก็เลยเศร้าเลยตอนนั้นเราก็คิดว่าเฮ้ย!เราจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ยพอตอนหลังๆก็เลยฟิตๆๆก่อนหน้าที่จะสอบเอนทรานซ์ครั้งที่สอง ผมเตรียมตัวนานมากๆนะ แล้วก็เครียดมากๆ ไปเรียนพิเศษแทบทุกวันเลย แล้วก็เรียนมันทุกวิชาด้วยครับ สำหรับผมแล้วมันเป็นความใฝ่ฝันที่ว่าเราจะต้องเอนติดให้ได้เพราะว่าพ่อแม่ก็คาดหวังเอาไว้มากคือถ้าเอนไม่ติดพ่อแม่เค้าคงไม่ด่าเราหรอกครับ เพียงแต่เรารู้ว่าพ่อแม่เราก็ต้องเสียใจแน่ๆเราก็เลยพยายามสอบติดให้ได้ ตอนแรกบี้ดูเอาไว้ว่าอยากจะเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่กรุงเทพแต่ว่าคะแนนมันรั้งท้ายมากบี้ก็ปรึกษาแม่ว่าคะแนนน้อยทำไงดีแต่ใจแม่เค้าไม่อยากให้บี้มาเรียนที่กรุงเทพเค้าอยากให้บี้เรียนที่เชียงใหม่ก็เลยเลือกอันดับ 1 ที่กรุงเทพ คือพระจอมเกล้าธนบุรีที่บี้เรียนอยู่ตอนนี้ครับ บี้เลือกไว้เป็นอันดับ 1แล้วอีก3อันอันดับเลือกที่เชียงใหม่หมดเลย แล้วบังเอิญมาติดที่กรุงเทพเฉยเลยครับ พอทราบผลวันนั้นบี้ดีใจมากๆบี้ก็ไปบอกแม่เลยว่า แม่ๆเราไปฉลองกันเถอะไปฉลองที่ไหนดี ดูสิเนี่ยบี้เอนติดแล้วนะ แม่ก็บอกว่าไปกินคนเดียวเถอะ คือเค้าก็ดีใจนะครับ แต่เป็นเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมาตลอดไงครับแม่เค้าก็ไม่อยากให้เรามาเรียนที่กรุงเทพแต่ว่าในเมื่อเอนติดแล้ว แม่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ช่วงชีวิตม.ปลายเนี่ย มันเป็นช่วงชีวิตที่ผมประทับใจมากที่สุด เพราะว่าผมได้เจอสาวๆได้ใช้ชีวิตกับสาวๆเวลาเรียนพละเรียนเต้นลีลาศได้จับคู่เต้นกับสาวๆมันทำให้ชีวิตการเรียนของเรามีรสชาติมากขึ้น มีเรื่องสนุกๆเยอะแยะ ที่จริงชีวิตนี้ถ้าคนจะดีก็ดีไปเลยมันเป็นช่วงเวลาที่เราเอนทรานซ์จะไปสู่อนาคตแล้วถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ดีแล้วไปทำอะไรในทางเสียหาย ชีวิตเรามันอาจจะเจ๊งไปได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้ปมคิดได้และไม่เสียคนหลักๆเลยมาจากครอบครัว เพราะครอบครัวผมเป็นครอบครัวข้าราชการ มีแค่พอกิน บางทีก็ไปกู้หนี้สินยืนสินบ้าง ผมก็เลยมีความคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากจะทำอะไรให้พ่อแม่อยากทำงานดีๆมีเงินเดือนเยอะๆ เอามาให้พ่อแม่ปลุกบ้านใหม่รถก็ใช้มา 10 กว่าปีแล้ว ก็อยากจะซื้อรถคันใหม่ให้ ถ้าผมมีเงินเดือน ถ้าเราได้ทำงานดีๆเป็นวิศวกร เราก็จะมีเงินเดือนมาทำสิ่งเหล่านี้ให้กับพ่อแม่เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องตั้งใจเรียน เพื่อทำความฝันตรงนี้จองเราให้เป็นจริงมันก็เลยเป็นตัวผลักดันให้ผมเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง แม้จะมีซนๆไปบ้าง(หัวเราะ) แต่ว่าสุดท้ายผมก็ทำสำเร็จครับ สำหรับน้องๆที่อยู่ในช่วงนี้แล้วอาจจะยังคิดไม่ได้ผมก็อยากให้น้องๆคิดให้ดีเราอาจจะเคยเกเรมาก่อนถ้ามาถึงตอนนี้ผมอยากให้น้องๆคิดถึงอนาคตผมคิดเสมอว่าถ้าเราเรียนคณะไหน70เปอร์เซ็นต์เลยว่าถ้าจบมา เราคงต้องทำงานด้านนั้น มันเหมือนการปูทางไว้ก่อนครับเพราะฉะนั้นผมก็อยากให้น้องๆเลือกให้ดีๆครับเพราะมันเป็นอนาคตของเราอดทนสักระยะหนึ่งเพื่อสามารถสอบเอนทรานซ์ได้สำเร็จ หลังจากนี้เส้นทางชีวิตของหนุ่มเมืองเหนือที่ต้องมาผจญภัยในเมืองกรุงจะเป็นอย่างไรจะเจอเรื่องสนุกๆอะไร อีกบ้างติดตามตอนหน้าค่ะ
ตอน13
การเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเมืองฟ้านั้นถือเป็นความใฝ่ฝันของเด็กต่างจังหวัดหลายคนเพราะกรุงเทพเป็นเมืองแห่งสีสัน มีความแปลกหูแปลกตาเชิญชวนให้วัยแห่งการค้นหา ได้เข้ามาลิ้มลองสัมผัสรสชาติชีวิตแปลกใหม่ นายบี้ของเราหลังจากตั้งอกตั้งใจเรียนจนสามารถสอบเอนทรานซ์เพื่อเข้ามาเรียนกรุงเทพได้สมความตั้งใจแล้ว โลกใบใหม่ก็เปิดกว้างขึ้น และโลกใบนี้เป็นโลกที่เจ้าตัววาดฝันไว้สวยหรูวะด้วยแต่โลกแห่งความเป็นจริงจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่าวันนี้เจ้าตัวมีคำตอบมาฝาก “ทีแรกผมก็คิดว่าเข้ามาอยู่กรุงเทพ คงสนุกมากๆคงสบายๆอยากไปไหนก็ไปแต่ว่ามันไม่สนุกแบบนี้สิครับ มันค่อนข้างยุ่งเหยิงวุ่นวายมากๆเลย เพราะว่าผมไปไหนไม่ถูก ขึ้นรถเมล์ทีไรหลงทุกที(หัวเราะ) แล้วก็หลงบ่อยมากๆคือทีแรกก็ขึ้นรถเมล์สายนั้นไปสายนี้ไปแล้วก็ไปโผล่ตรงไหนก็ไม่รู้ ก็ต้องนั่งแท็กซี่ทุกทีเลย บางครั้งก็นั่งรถเมล์วนไปวนมาอยู่แบบนั้นล่ะครับไม่ถึงสักทีผมเคยนั่งรถเมล์จากรังสิตคือจากบ้านน้าผมไปมหาวิทยาลัยของผมที่พระจอมเกล้าธนบุรี ใช้เวลา 6 ชั่วโมงครับ คือวนไปวนมาแค่นั้นแหละไม่ถึงสักที คือเวลา 6 ชั่วโมง7ชั่วโมงเนี่ยเราสามารถนั่งรถไปเกือบจะถึงเชียงใหม่ได้เลยนะครับ แต่ว่าผมวนอยู่แค่นั้น (หัวเราะ) ไปไหนก็หลงตลอดครับที่หลงเนี่ยก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่รู้ทางเลยแล้วเวลาที่ผมหลงปุ๊บผมก็จะอาศัยถามคนนั้นคนนี้ว่าพี่ครับๆไปที่นี่ไปยังไงขึ้นรถเมล์สายไหนเค้าก็บอกว่าอ๋อ ขึ้นรถเมล์สายนี้นะแล้วไปลงตรงนั้นนะ แล้วต่อสายนี้อีกทีแต่พอนั่งไปอ้าว.....ไม่ใช่ พอลงไปถามอีกคนหนึ่งอีก เค้าบอกว่าโอ๊ยน้องไปที่นั่นนะ รถเมล์มันไม่ผ่านนะต้องนั่งแท็กซี่ไป เอ้า.....เป็นงั้นอีก ผมก็เลยงงไปหมด ก็เลยวนไปวนมาแบบนั้นเรื่อยๆ(หัวเราะ)ผมหลงตั้งแต่วันแรกที่เข้มาเลยครับคือเค้ามีกิจกรรมรับน้องกันที่มหาวิทยาลัยไงครับตอนเช้าน้าผมเค้ามาส่งที่มหาวิทยาลัยเพราะเค้าต้องมาทำงานแถวๆนั้นก็เลยมาส่งไม่มีปัญหาอะไรก็ทำกิจกรรมไป 3 วันเลยครับ แต่พอขากลับนั่นแหละครับต้องกลับรังสิตแล้วต้องกลับเองผมก็ถามเค้าไปเรื่อยว่าจะไปรังสิตต้องนั่นรถเมล์สายอะไรครับเค้าก็บอกๆขึ้นสายนั้นสายนี้ผมก็ไม่มั่นใจก็ไปถามคนอื่นอีกเค้าก็บอกอีกแบบหนึ่ง ผมก็คิดๆดู อ้าวที่เค้าบอกมามันคนละสายนี่หว่าเราก็งงเลย ไม่เหมือนกันสักคน งงอยู่แบบนี้วันนี้จะถึงบ้านมั้ยเนี่ยผมก็เลยโทรหาพ่อผมก็ถามพ่อเพราะพ่อผมเค้าก็พอรู้จักอยู่บ้างจำได้ว่าบอกให้ขึ้นรถเมล์สาย140ก่อนขึ้นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก่อนแล้วไปลงที่นั่นแล้วค่อยขึ้นรถต่อไปรังสิตอีกทีหนึ่งก็โอ.เค รู้แล้วว่าขึ้นสายนี้นะ แต่ทีนี้พอขึ้นไปแล้วงงอีกว่าอ้าวจะรู้ได้ไงว่าตรงไหนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิล่ะเนี่ย(หัวเราะ) ผมก็เลยบอกกระเป๋ารถเมล์เค้าว่าขอโทษนะครับถ้าถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิช่วยบอกผมหน่อยนะครับ อายก็อายนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเราไม่รู้จักเลยจริงๆคือผมรู้แหละว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเนี่ยมันจะต้องมีอนุสาวรีย์แน่นอนแต่ว่าว่าในกรุงเทพคงมีหลายอนุสาวรีย์แน่ๆก็เลยกลัวหลงครับอายมาก พอถึงอนุสาวรีย์เค้าก็เรียกนี่ๆคุณๆถึงแล้วนะ เราก็อายมากๆเลยครับ เพราะว่าเราทำตัวเปิ่นๆแบบนี้ตลอด คือตอนนั้นเงินก็ไม่ค่อยจะมีมีในกระเป๋าแค่ 200 กว่าบาทจะนั่งแท็กซี่ก็ไม่ได้กลัวไม่ถึง(หัวเราะ)ก็ต้องวนไปวนกันมา ทุกวันนี้มาเส้นทางหลักๆที่เรามาบ่อยๆจากฝั่งธนมาอนุสาวรีย์ฯไปสยามฯอะไรแบบนี้จะรู้จะไม่หลงแล้วแต่ถ้าไปตรงอื่นเนี่ยผมไปไม่ได้แล้วหลงแน่นอนนี่ถ้าให้ขับรถเองก็หลงเลยผมก็อาศัยไปรถกองถ่ายฯบ้าง นั่งแท็กซี่บ้างหรือไม่ก็นั่งรถไฟฟ้าครับ ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพนี่คือเข้ามาอยู่คนเดียวมาอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย ห้องหนึ่งก็จะอยู่กัน 4 คนครับ ก็แออัดดีต้องมาอยู่กับเพื่อนที่มาจากต่างคณะกัน เพราะเค้าจะเอาคละๆกันไปก็ค่อนข้างปรับตัวลำบากนิดหนึ่งเพราะบางคนก็นอนกรนบ้าง อะไรบ้าง บางคนก็ชอบทำเสียงดัง ซึ่งผมเป็นคนนอนยากมาก แรกๆก็แบบทำไงดีว่ะ แต่สักระยะหนึ่งก็เริ่มชิน เริ่มปรับตัวได้ ก็เริ่มโอ.เค.ครับ ก็สนุกดี เพราะอยู่หอในแบบนี้มันทำให้เราได้เพื่อนเยอะเลย แถมเป็นเพื่อนต่างคณะด้วยก็จะมีเรื่องสนุกๆเยอะครับ ทีแรกคุณแม่ก็ไม่อยากให้มาอยู่เพราะเค้าเป็นห่วง เค้าเหงา เพราะเค้าก็อยู่กับพี่สาวสองคนแต่ว่าเราก็ต้องมาเรียนไงครับ แม่ก็เลยยอมช่วงแรกๆที่ต้องจากบ้านมาหน่ะเหงามากๆเลยเพราะเราอยู่กับคุณแม่มาตลอด ไม่รู้ว่า จะไปทางไหนทำอะไร กรุงเทพฯเราก็ไม่รู้จัก ไปไหนก็หลง เพื่อนๆก็ใหม่หมด ก็เลยจะโทรกลับบ้านบ่อยมาก มันไม่ได้สวยงามดูเหมือนที่เราคิดไว้เท่าไหร่ครับ” แหม...เข้ามา อยู่เมืองกรุงฯ คิดว่าจะสนุกสุขสบายที่ไหนได้นายบี้กลับมีเรื่องวุ่นวายใจเพราะไปไหนมาไหนก็หลงทางบ่อยๆแล้วชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเค้าจะมีอะไรให้คับอกคับใจอีกบ้างต้องติดตามตอนหน้านะคะ
ตอนที่ 14 แม้ว่าการที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ ของหนุ่มต่างจังหวัดอย่าง “นายบี้” จะมีเรื่องผิดแผนและทามให้เจ้าตัวต้องหัวหมุนปายบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของกานหลงทิศหลงทางบ่อยๆ แต่ “นายบี้” ก้อยังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตอิสระในเมืองฟ้าอมร ที่เปรียบเสมือนโลกใบใหม่ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างให้คนหนุ่มอย่างเค้าได้ค้นหา โดยเฉพาะคนที่อยู่นิ่งๆเฉยๆไม่ได้เลยอย่าง “หนุ่มบี้” ย่อมต้องมีกิจกรรมที่ไม่ธรรมดาให้สัมผัสจนลืมเหงาไปเลยทีเดียว และหลายๆอย่างก้อเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มแสนคุ้มสำหรับเจ้าตัว “ผมเข้ามาที่นี่ผมใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้มนะครับ คือผมก้อจะบ้าทำทุกอย่างไม่ใช่แค่เรียน แต่ผมก้อจะทำกิจกรรมของผมด้วยเหมือนเดิม แต่ว่าก้อจะไม้ค่อยซ่าส์แล้ว ไม่กล้าครับ (หัวเราะ) คือตอนเราอยู่ ม.6 เราใหญ่สุดเราก้อซ่าส์ได้แต่พอมาอยู่ที่นี่ เราเพิ่งเข้าปี1เราก้อเลยเด้กสุดไม่กล้าคับ เพราะว่าเราจะเคารพรุ่นพี่มากๆมานเปงผลมาจากกิจกรรมรับน้องครับ รุ่นพี่บางคนก้อดุมากๆอย่างรุ่นพี่ที่เป็นคนว้ากน้องเนี่ย เราจะกัวมากๆจนทำให้เราซ่าส์ไม่ออกเรยครับ (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นผมก้อได้เป็นหัวหน้าของภาควิชาที่ผมเรียนด้วยนะครับ คือเหมือนเป็นหัวหน้าห้องอะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมรุสึกว่าผมอยากจะจับงานนี้ดู เพราะว่ายังไม่เคยทำมาก่อนเลย แล้วผมคิดว่ามันจะทำให้เราโตขึ้น มันจะทำให้เราฝึกความรับผิดชอบให้มีมากขึ้นไปด้วยนะ ผมว่าอนาคตข้างหน้ามันจะต้องมีผลดีกับผมด้วยแน่ๆครับ ผมก้อเลยขอลองดู ที่สำคัญมันทำให้ผมเป็นคนที่กล้าขึ้นด้วยครับ เพราะปกติแล้วผมจะเป็นคนขี้อาย แต่พอมาทำงานตรงนี้ผมต้องเป็นตัวแทนเพื่อนๆ ไปรับหน้า ไปรับงานจากฝ่ายต่างๆ แล้วมาพรีเซ้นต์ให้เพื่อนๆฟังหน้าห้อง ต้องทำให้เพื่อนๆเชื่อเรา ซึ่งบางทีก้อไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่หรอกครับ (หัวเราะ) บางครั้งเพื่อนๆมีปัญหาหรือว่ามีอะไรมาประชุมกัน เราก้อต้งเป็นคนไกล่เกลี่ยปัญหาต่างๆด้วยครับ ก้อเรยค่อนข้างทำให้เราโตขึ้น ตอนนั้นผมจำได้ว่าเค้าให้เสนอชื่อกันเข้าไปว่าใครอยากจะเป็นผมเองอยากลองทำหน้าที่ตรงนี้ ผมก้อเลยเสนอชื่อตัวเองเข้าไปครับ (หัวเราะ) แล้วก้อได้รับการเลือกจากเพื่อนๆก้อเรยทำหน้าที่มาตลอดครับ ตอนผมเข้าไปแล้วเรื่องการเรียนผมก่อไม่ผิดหวังนะ เพราะทุกสิ่งที่ผมคิดไว้กับความเป็นจิงที่ผมได้เจอกัน มันก้อค่อนข้างเหมือนกานนะครับ คือผมชอบแล้วก้อสนุกที่ได้เรียน แต่มันก้อมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกันตรงที่มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดเลยนะ เพราะมันไม่ได้เรียนแค่ผิวๆ เผินๆ ครับ แต่มันต้องลงลึกมากๆ จนบางวิชาเราก้อท้อไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนที่เข้าไปเรียนผมจะตั้งใจเรียนมากๆ เพราะเรารุสึกว่าเราต้องขยัน แล้วเพื่อนๆเค้าก้อขยันๆกันทั้งนั้น คือเราก้อโดนขุ๋เอาไว้เยอะว่า เนี่ยมานยากมากนะใครได้เกรดสูงๆมาก้อจะตกหมดจากได้ 3 กว่า ก้อจะเหลือ 2 กว่าก้อมี เรามันได้ 2 ปลายๆก้อเรยได้ 2.4 แค่นั้น เป็นคนท้ายๆของห้องเรย แต่ว่าเราก้อพอใจแล้วนะกับผลที่ออกมา เพราะเค้าก้อได้กันประมาณนี้แทบทั้งนั้นเรยครับ เราก้อเลยไม่ซีเรียสครับ เรื่องการเรียนผมก้อเรยหมดห่วงไป เพราะเราก้อตั้งใจเต็มที่อยู่แล้วครับ แล้วคนว่างไม่เป็นอย่างผมมันก้อต้องหาโน่นหานี่ทำอยู่ตลอดเวลา ผมเป็นพวกเรียนดี กิจกรรมเด่น ทำงานเป็น ไม่เห็นแก่ตัวด้วย มาเป็นสโลแกนเรย (หัวเราะ) เข้าไปทีแรกก้อไปแข่งกีฬากับเค้าเรยครับ คือ ไปแข่งแบดมินตัน แล้วก้อแข่งจนได้เหรีญมาด้วยนะครับ คือมันเป็นการแข่งภายในมหาวิทยาลัย เป็นกีฬาของเฟรชชี่ครับ ผมก้อเลยอาสาไปแข่งกับเค้าด้วยเลย เพราะเราก้อมีวิขาติดตัวมาเหมือนกันครับ (หัวเราะ) ที่ผมเล่นแบดมินตันเนี่ยก้อเพราะตอน ม.6 ผมไปแอบฝึกมาครับ คือเค้ามีสอนๆกัน ผมก้อแอบครูพักลักจำของเขามาบ้าง จนได้วิชามาพอสมควรครับ ก้อเลยเป็ววิชาติดตัวมาถึงนี่ก้อเลยมาลงแข่งกับเค้าด้วย หลังจากที่เลิกบ้าแบดมินตันไป ผมก้อจะไปบ้าเล่นเปตองมากๆเลยครับ ตือเพื่อนๆเค้าเล่นกัน ผมก้อเลยเล่นกับเค้าด้วยครับ เพราะที่สนามหน้าคณะเรามันมีสนามเปตองอยู่ ก้อเลยจะบ้าเล่นกันอยู่พักใหญ่ๆเลย ว่างไม่ได้เป็นต้องเล่นเปตองกานครับ แก๊งของผมที่สนิทๆกันที่นี่ ก้อมีประมาณ 5 คน ก้อไม่ได้มีชื่อแก๊งหรือว่าอะไรกันนะครับ นอกจากเล่นกีฬาเราก้อจะชอบไปเล่นเกม ตอนนั้นเราบ้าเล่นเกมมากๆเลยนะ ว่างไม่ได้ก้อจะไปเล่นเกมกันอย่างเดียวเลย แล้วผมก้อยังเป็นไอ้บี้มุกแป้ก ยิงมุกไม่เลือกหน้าจนเพื่อนๆ เอือมระอากันเหมือนเดิมครับ” (หัวเราะ) แหม...สมกับเป็นหนุ่มนักกิจกรรมตัวยงจริงๆ เพิ่งจะขยับตัวเข้าไปเป็นเฟรชชี่น้องใหม่ “นายบี้” ของเราก้อก้าวหน้าได้เป็นถึงหัวหน้านักศึกษา ไปเล่นกีฬาก้อระดับคว้าแชมป์ แถมเรื่องการเรียนก้อไม่มีบกพร่อง เรียกว่าเป็นเพอร์เฟ็คท์แมนน่าเอาเป็นแบบอย่างชะมัด ตอน15 |
คนเราจะแข่งเรือแข่งพายน่ะมันแข่งกันได้ แต่ถ้าจะให้แข่งบุญแข่งวาสนาแล้วล่ะก็มันแข่งกันยาก ยิ่งเรื่องดวงจะโด่งจะดังด้วยแล้ว คนมันจะดังต่อให้เอาช้างมาฉุดสังสองโขลงก็คงเอาไม่อยู่ คนมันจะไม่ดัง ดันแล้วดันอีกก็เห็นหัวทิ่มตกเวทีมานักต่อนักแล้ว ตัวอย่างก็ไม่ต้องดูอื่นไกล พระเอกบนเวทีชีวิตของเรา "นายบี้" รี่แหละค่ะ ปากก็บอกว่าตัวเองเป็นคนขี้อาย ไปยีนต่อหน้าคนเยอะ ๆ ทีไรใจมันสั่น แต่เมื่อโอกาสมาถึงเจ้าตัวกลับคว้าเอาไว้ไม่ปล่อย แถมยังใช้โอกาสได้ซะคุ้มซะด้วย ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยนะคะว่าเส้นทางสู่การเป็นดาวของ "นายบี้" ปูด้วยกลีบกุหลาบหรือเต็มไปด้วยหนามกุหลาบกันแน่ "ผมเริ่มทำงานแนวนี้บ้างตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่นี่แหละครับ ตอนนั้นผมไปเดินที่ถนนคนเดินที่เชียงให่ แล้วก็มีพี่โมเดลลิ่งคนหนึ่งเค้ามาชวนผมไปประกวด พอดีผมว่างอยู่ กำลังปิดเทอม ไม่มีอะไรทำก็ลองไปดู ตอนนั้นมันเป็นการประกวดนายแบบในผับสักแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผมก็อายนะ แต่ว่าก็คิดว่าลองดู แล้ววันที่ประกวดมีแต่คนเจนเวทีทั้วนั้น มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่เคยประกวดอะไรมาก่อนเลย ผมก็เลยไปดึงเพื่อนอีกคนหนึ่งมาประกวดด้วยกัน แล้วขึ้นเวทีวันนั้น มันก็ต้องมีการร้องเพลงโชว์ แล้วก็มีการตอบคำถามแบบสด ๆ มีการเดินแบบ ซึ่งเราก็เดินไม่ค่อยจะเก่ง เดินก็ไม่สวย เป็นเป็ดเลย เรามวยวัดมาก ๆ แต่ว่าสุดท้ายมันก็ผ่านไป เราได้ที่ 2 มา ก็ดีเหมืนกันครับ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตอีกอย่างหนึ่งครับ หลังจากนั้นมาผมก็ไม่เคยทำอะไรแนวนี้อีกเลย จนมาประกวดเดอะสตาร์ครับ คือตอนนั้นบังเอิญว่าผมกลับบ้านที่เชียงหใม่ เพื่อไปเปลี่ยนเหล็กดัดฟันนี่แหละ แล้วเค้าก็มีการรับสมัครกันใจจริง ๆ แล้วผมมีความผันว่าอยากจะเป็นนักร้องอยู่ลึก ๆ นะ แล้วการประกวดเดอะสตาร์ตอนนั้นดังมาก ๆ เลย เดอะสตาร์ 1 2 ผมก็ชอบมาก ๆ แล้วก็ติดตามตลอดเลย พ่อแม่พี่น้องทีบ้านผมเค้าก็ชอง ก็ติดตามกันทุกคน พอเดอะสตาร์ 3 เริ่ม เราก็เลยคิดว่าเออน่าลอง เพื่อน ๆ ก็ยุ เอาเลยบี้ เอาเลย ลงเลย เราก็เลยเอาวะ ลองดู ก็เลยแอบแม่ไปสมัคร เพราะว่าแม่ไม่ชอบ (หัวเราะ) แต่กว่าจะสมัครได้ ลำบากยากเย็นเอามาก ๆ เพราะว่าคนสมัครเยอะมาก เราต้องไปรอแต่ 7 โมงเช้า แล้วได้ร้องโน่นบ่าย 2 เลยครับ คนที่มา 9 โมง ไดร้องโน่นเลยสองทุ่มเลยครับ เค้ามีการรับสมัครกันสองวัน รวม ๆ แล้วก็ประมาณพันกว่าคนครับ ตอนนั้นก็มีแอบหวังลึก ๆ ว่าอยากจะติด แต่คนมันเกือบ ๆ สองพันคน แล้วแต่ละคนที่เข้ามาออดิชั่นกัน ก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ข้าง ๆ ผมเค้าก็ซ้อมร้องเพลงกันใหญศ่ บางคนนี่เสียงแบบยังกะนักร้องโอเปร่าเลยร้องกันโหยหวน จนผมเริ่มรู้สึกกลีว เค้ามั่นใจกันจนเต็มที่ บางคนก็แต่งตัว เซ็ตผม แต่หน้ากันมาแบบเตรียมพร้อม แต่ผมไม่มีอะไรเลย ใส่กางเกงยีนส์ เอยืด รองเท้าผ้าใบ เพียว ๆ เลยครับ หน้าไม่ได้แต่งเลย (หัวเราะ) แล้วพอถึงคิวผม เค้าก็จะให้ร้องคนละ 30 วินาที คือประมาณท่นหนึ่งผมร้องเพลง "ลาลาลา" ของโปเตโต้ ผมก็หลับตาร้องอยู่กับตัวเองเลย ยืนทื่อเลย เหมือนขาโดนตอกตะปูเลย แต่ว่าตัวข้างบนจะโยกนิด ๆ แต่ในใจตื่นเต้นมากๆ พอผมร้องเสร็จปุ๊ป กรรมการเค้าก็หันไปมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้า ไหนร้องให้ฟังอีกเพลงหน่งสิ ผมก็เอาตายแล้วไม่ได้ซ้อมไว้เลย แต่ตอนนั้นเพลง "ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย" มันกำลังดังมาก ๆ ผมก็เลยร้องเพลงนั้นเลย ในห้องจะมีกรรมการอยู่ 3 คน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ มีกล้องตั้งอยู่ คือเค้าจะมีห้องออดิชั่นสองห้อง จะมีห้องที่ม่กล้องกับไม่มีกล้อง แล้วถ้าใครร้องดี มีความสามารถแต่อยู่ในห้องที่ไม่มีกล้องอยู่ก็จะถูกส่งตัวมาห้องที่มีกล้อง แต่บังเอิญว่าผมโชคดีได้อยู่ในห้องที่มีกล้องอยู่ แล้ว ก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นมากตอนที่ได้ร้องเพลงที่ 2 ไม่งั้นถ้าเปลี่ยนไปอีกห้องผมต้องตายแน่ ๆ แล้วมันโชคดีมากตรงที่เพลง "ลาลาลา" ที่ผมร้องน่ะ ตอนที่ซ้อม ผมร้องยังไงเสียงมันก็ไม่ถึง ตะโกยยังไงก็ไม่ถึง แต่ปรากฎว่าพอตอนออดิชั่นจริง ๆ ผมกลับร้องถึงซะงั้น (หัวเราะ) ผมเองแปลกใจมาก ๆ ตอนนั้นพอร้องเพลงเสร็จคะแนนเต็มสิบ ผมให้คะแนนตัวเอง 3 เองครับ(หัวเราะ) เพราะว่าไม่มั่นใจเลย เราร้องเพลงแบบมวยวัดมาก ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าคนข้าง ๆ เราน่ะ เค้านั่งเม้าท์นั่งคุยกันใหญ่เลยว่าเธอเรียนร้องเพลงที่ไหนเหรอ เราเรียนมาจากที่นี่หลายปีแล้วนะ แล้วเค้าก็หันมาถามผมเรียนร้องเพลงที่ไหนมา ผมก็บอกไม่เคยเรียนเลยครับ เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองแย่มา ๆ มันบั่นทอนเรามาก ๆ เพราะแต่ละคนก็เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย ความมั่นใจของผมก็เลยลดลงมา เหลือริบหรี่มาก ๆเลยครับ (หัวเราะ) แม้จะไม่มั่นใจ แต่ด้วยแววที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวมันเปล่งประกาย ดาวดวงนี้ก็เริ่มจะทอแสงวิบวับขึ้นมาแล้วล่ะตอนหน้าเราตามไปดูกันต่อค่ะว่า กว่าจะเป็น "บี้ เดอะสตาร์ ในวันนี้เค้าต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ตอนที่ 17
หลังจาก "นายบี้" ตัดสินใจไปร่วมประกวดบนเวที่ปั้นดาวเวทีใหญ่ "เดอะสตาร์ ค้นฟ้า คว้าดาว" แท้จะย้ำกับตัวเองหนักหนาว่าไปแค่หาประสบการณ ไปแค่เอามันส์ ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เพราะจำนวนผู้สมัครมีเกือบตั้งสองพันคน แล้วแต่ละคนที่เข้ามาประกวดก็ยังเจนเวทีและเก่ง มีความสามารถล้นปรี่กันทั้งนั้น แต่หลังจากผ่านการออดิชั่นรอบแรกเท่านั้น "นายบี้" ของเราก็อดไม่ได้ที่จะหวังอยู่ลึกๆ เหมือนกัน แล้วงานนี้ผู้ชายปอนๆ ที่มาแค่ตัวกับหัวใจอย่าง "นายบี้" จะมีสิทธิ์ลุ้นกับเค้ามั้ยเนี่ย เส้นทางสู่ความเป็นดาวของเค้าจะเป็นอย่างไรบ้างตามไปฟังกันเลยค่ะ "หลังจากที่ผมหมดความมั่นใจไปแล้วเพราะแต่ละคนที่เข้ามาสมัครอย่างที่บอกว่าเก่งๆ กันทั้งนั้น เรียกว่าเป็นเทพกันเลยทีเดียว แล้วคนธรรมดาอย่างผม ที่มีแค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ จะมีหวังยังไง ผมก็เลยถอดใจไป (หัวเราะ) เพราะคิดว่าดูว่าสุดท้ายแล้ว ของภาคเหนือเค้าจะคัดจากเกือบ 2,000 คน เหลือ 18 คนเท่านั้นครับ คือเค้าออดิชั่นกันวันเสาร์กับวันอาทิตย์ 2 วัน แล้ววันจันทร์เค้าก็ประกาศผลเลยครับ เราก็หอบความห่อเหี่ยวกลับบ้านไปเลยครับ ระหว่างรอไอ้เราก็แบบตื่นเต้นมากๆ ยิ่งกว่ารอผลสอบเอนทรานส์อีก(หัวเราะ) แล้วเราก็ยังแอบหวังไว้ในใจว่าอยากได้จังเลยเนอะๆ ถ้าเราได้ก็ดีสินะ อะไรแบบนี้ ก็เพ้อๆ ของเราไป แต่ว่าตอนนั้นผมยังไม่ได้บอกคุณพ่อกับคุณแม่นะว่าเราไปสมัครมา แล้วพอวันจันทร์ตอนแรกผมนอน ๆอยู่แล้วกำลังจะตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปดูผลพอดี เกือบ ๆ 8 โมงได้มั้ง คือก็กะว่าจะไปดูงั้น ๆ แหละ ไอ้ความหวังน่ะไม่ค่อยมีแล้ว แต่ก็ยังแอบหวังลึก ๆ แล้วเค้าบอกว่าใครจะไปดูผล ต้องไปถึงจุดที่จะดูผลก่อน 8 โมงเช้านะ เพราะว่ามันต้องรายงานตัวเลยใงครับ แล้วอยู่ ๆ ก็มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา ผมก็รับสายปรากฎว่า เป็นพี่ที่ทีมงานเค้าก็โทรมาบอกว่า "คุณสุกฤษฏ์ วิเศษแก้ว ใช่มั้ยครับ คุณช่วยมาดูผลการคัดเลือกหน่อยได้มั้ยครับ ว่ามีชื่อคุณหรือเปล่า" แล้วผมก็วางสายไป แต่ว่าตอนนั้นเราก็รู้สึกแปลกๆ เอ๊ะ เค้าจะโทรหาคนที่มาสมัครทั้งหมดเกือบ 2,000 คนแบบนี้เลยหรือเปล่า ทีนี้ผมก็เลยรีบแต่งตัวแล้วรีบไปด่วนเลยครับ แล้วตอนที่ไป เราก็มีความรู้สึกในใจลึก ๆ ว่ามันต้องมีชื่อเราแน่ ๆ เลย เริ่มมั่นใจ เพราะไม่งั้นเค้าจะโทรมาหาผมทำไม พอวิ่งไปดูปุ๊ปก็เห็นชื่อตัวเอง ผมก็ร้องดีใจเย้ๆๆ ไหญ่เลย แล้วก็รีบงิ่งเข้าไปรายงานตัวเพราะว่าชื่อคนอื่นเค้าถูกเช็คว่ามาหมดแล้ว ยกเว้นผมคนเดียว ยังจะมาเย้ๆอยู่ตรงนี้อีก (หัวเราะ) ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าเพราะอะไรนะเราถึงผ่านเข้ามาได้ ไม่ได้คิดว่าเก่งหรืออะไรนครับ แต่ผมคิดว่า เฮ้ย เราผ่านมาได้ไงวะเนี่ย (หัวเราะ) แต่ตอนที่ผมไปสมัครตอนแรก ผมไม่ได้ไปบนบานอะไรที่ไหนเลยครับ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบบนนะ เพราะผมกลัวว่ามันจะเข้าตัว แต่ก็แค่ไหว้พระขอพรแค่นั้นเอง ว่าขอผมเถอะๆๆ (หัวเราะ) พอติด 1 ใน 18 แล้วผมก็ยังไม่บอกแม่นะว่าได้ แต่มันมาความแตกเอาอีตอนที่วันจันทร์มันเป็นวันที่ผมต้องกลับมาที่กรุงเทพฯ เพราะว่ามีเรียนแล้ว แต่ผมก็แอบไปเลื่อนตั๋วเครื่องบิน แม่ก็เลยสงสัยว่าทำไมผมถึงยังไม่กลับ ตอนนั้นแหละ ผมถึงได้บอกแม่ว่าผมไปสมัครเดอะสตาร์มาครับแม่ (หัวเราะ) แมก็แบบเอ้า ไปสมัครมาได้ยังไง แล้วแม่ก็บ่นๆ แม่เค้าก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ครับ เพราะว่าแม่ไม่ค่อยสนับสนุนให้ทำอะไรแบบนี้ครับ แม่เค้าอยากให้เราเรียนมากกว่าคับ พอติด 1 ใน 18 เราก็จะตัองมาออดิชั้นกนอีกรอบหนึ่ง คือเอาแต่ละภาคมารวมกัน เช่น ภาคอีสานจะมีประมาณ 20 คน หรือภาคกลาง 20 คน อะไรประมาณนี้ แล็วก็เอาทั้งหมดมาออดิชั่นรวมกันแล้วมาคัดเลือกให้เหลือ 20 คน เท่านั้น ทั้งประเทศเพื่อที่จะเอาไปเข้าค่ายเก็บตัวกันอีกทีครับ ตอนที่ออดิชั่นรอบสองนี่ ผมก็ร้องเพลง "เจ้าชายนิทรา" ครับ แต่คราวนี้โดนด่าเละเลยครับ คือด้วยความที่ผมไม่เคยไงครับ ไม่มีประสบการณ์อย่างที่บอกว่าร้องเพลงแบบมวยวัดมาก ๆ ก็ร้อง ๆ ไปเรื่อย ดนตรีก็ไม่มีให้ ต้องร้องเองปากเปล่า ๆ ถ้าเกิดมันเพี้ยน เราก็เพี้ยนด้วยตัวเองเลยครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นร้องเพลงเดียวแค่นั้น พอร้องเสร็จเราก็โดนด่าเละเทะเลยครับ ว่าร้องไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เพี้ยน ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ได้ จนเราหมดกำลังใจไปเลย (หัวเราะ) พอออกไป ผมก็ไปถามเพื่อน ๆ ข้างนอกว่าโดนว่าแบบนี้บางมั้ย ก็ปรากฎว่าโดนกันหมดทุกคนเลยครับ แต่ถามไปถามมาๆ ปรากฎว่าผมโดนเยอะที่สุดเลยครับ (หัวเราะ)" แม้ว่าจะโดนกรรมการสวดยับว่าร้องเพลงไม่ได้เรื่อง จนแทบจะหมดกำลังใจ แต่สุดท้าย "นายบี้" ด็ฝ่าฟันกรุยทางเข้าไปเป็น 1 ใน 8 ของเดอะสตาร์ 3 ได้ ต้องติดตามตอนหน้าเจ้าตัวเอาลูกฮึดมาจากไหน
ตอนที่ 18
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่อสู้กับคนเก่งๆมานับพันคนจนได้เข้ารอบมาเป็น 20 คนสุดท้าย และได้ไปเก็บตัวเพื่อที่จะคัดเลือกให้เหลือ 8 คนสุดท้ายแห่งการเป็น "เดอะสตาร์ 3" "นายบี้" ซึ่งเคยออกตัวว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเลยสักนิด ก็เริ่มมีลูกฮึดเพราะเห็นว่าตัวเองก็ทำได้ ยิ่งในใจลึกๆ ก็ชักจะเริ่มมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดแอบตั้งความหวังเอาไว้เหมือนกัน "หลังจากที่ออดิชั่นไปอีกรอบแล้ว ผมก็ยังใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าผมโดนด่าเละเทะเลย แต่ว่าในใจลึกๆ ก็แอบลุ้นอยู้เหมือนกัน เพราะเราเข้ามาได้ขนาดนี้แล้ว ก็เลยมีแอบหวังไว้บ้าง ตอนที่รอผลอยู่ ผมตื่นเต้นมากๆ เลยนะครับ แล้ววันหนึ่งผมกำลังเรียนวิชาไฟฟ้าอยู่ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ซึ่งปกติถ้าเป็นทีมงานเค้าก็จะใช้มือถือโทรเข้ามา แต่อันนี้เป็นเบอร์ 02 แล้วขึ้นต้นด้วย 669 เราก็เฮ้ย นี่มันเบอร์ที่แกรมมี่นี่หว่า เราก็ตื่นเต้นใหญ่ แต่พอรับสายปรากฎว่าเค้าโทรมาบอกว่าเลื่อนวันประกาศผลนะ เราก็เซ็งเลย แป้วเลย เค้าก็บอกว่าเลื่อนออกไปอีก 2-3 อาทิตย์นะ เราก็ต้องรอต่อไป ก็มีโทรไปถามเพื่อน ๆ บ้าง ว่าได้รับโทรศัพท์บ้างหรือยัง เค้าก็บอกว่าได้รับแล้วเนี่ย ติดแล้วตื่นเต้นมากเลย เราก็อ้าว.....แล้วเราล่ะ รึว่าเราจะไม่ติดจริง ๆ นะ แล้วหลังจากนั้นเค้าก็โทรมาบอกว่าเราติดแล้วนะ เราก็ดีใจใหญ่เลยครับ เค้าก็เรียกตัวเข้าไปเข้าค่ายรู้สึกจะเป็น 2 วัน 1 คืน ที่กรุงเทพ นี่แหละครับเหมือนกับว่า ไปลองเทสต์ดูก่อน ก็จะมีกิจกรรมการร้องเพลง แล้วก็ได้เจอกรรมการทั้งสามท่านด้วย เค้าก็ไม่บอกเราก่อนนะ พอเจอเค้าก็ให้ร้องเพลงเลย เราก็โดนด่าเละเลย อย่างที่ผมบอกว่าผมก็แหกปากร้องของผมไป ก็โดนไปเต็มเหนี่ยวเลย หลังจากนั้นเค้าก็ให้กลับบ้านไปพักผ่อนเกือบ 2 อาทิตย์ พ่อแม่เราก็ดีใจ แต่ว่าก็ตกใจว่าไปติดได้ยังไง แล้วเรื่องเรียนจะทำยังไง จะมีปัญหามั้ย เค้าก็เป็นห่วงแบบนี้แหละครับ บี้ก็บอกแม่ไปว่าไม่เป็นไรนะแม่ เดี๋ยวบี้ไปคุยกับทางมหาวิทยาลัยเองได้ แต่บี้คงไม่เข้ารอบหรอกแม่ เพราะเค้าคัดจาก 20 เหลือ 8 คนเอง แล้วแต่ละคนที่เข้าไปก็เก่ง ๆทั้งนั้น บี้คงไม่ได้หรอก แล้วเค้าก็ให้กลับมาเก็บตัวอีก 7 วัน มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำด้วยกัน ร้องเพลง เต้นอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งวันแรก ๆ ที่เจอกันผมรู้สึกกดดันมากเลยนะครับ เพราะว่าผมเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่พอได้อยู่หลาย ๆ วันเข้า เราก็รู้จักกันสนิทกัน แล้ววันสุดท้ายของการเก็บตัวก็จะเป็นการประกาศ ผลว่าใครจะได้เข้ารอบเป็น 8 คน สุดท้ายครับ ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็เป็นเพื่อนกันหมดแล้ว ผ่านอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน พอประกาศผลปุ๊ป ผมตื่นเต้นมากๆ เลยนะ คือยืนอยู่บนเวที 20 คน ใครที่ถูกประกาศชื่อจะต้องลงมาอยู่ข้างล่าง เค้าก็ประกาศไปเรื่อย คนที่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ก็เหลือคนที่แปดคนสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นในใจผมก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นเรา เพราะว่าอีก 12 คนข้าง ๆ รวมผมเป็น 13 คน ข้างล่างมีแล้ว 7 คน แล้วแต่ละคนที่ยืนบนเวทีข้างผมทั้ง 12 คนเนี่ยมันเก่ง ๆทั้งนั้น (หัวเราะ) ผมก็มองตัวเอง แล้วก็คิดเล่น ๆ ขำๆ ว่าคนที่ แปดคนสุดท้าย "คุณบี้-สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว...คุณบี้-สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว" คิดย้ำๆ คิอคิดขำๆ อยู่แบบนี้ แล้วกรรมการเค้าก็ประกาศ คนสุดท้ายคือ "คุณบี้-สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว" โห...ผมก็ตกใจสิ เข่าอ่อน ทรุดลงไปเลยครับ (หัวเราะ) น้ำตาคลอเลย มันเป็นความรู้สึกดีใจแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตผมเลยครับ ดีใจจนแขน ขา หมดแรง น้ำตาไหลเลย คือผมเป็นคนสุดท้ายไงมันก็เลยตื่นเต้นมาก เพราะทุกอย่างมันรุมเร้าไปหมดเลยครับ พอเราได้เราก็เลยดีใจมาก ๆ ครับ ตอนนั้นที่ผมได้ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมเป็นตัวเองมั้ง เพราะจริง ๆ แล้ว ผมเนี่ยกะโหลกกะลาที่สุดในนั้นเลย คนอื่นเค้าเก่ง ๆ ทั้งนั้น เค้าก็เลยพยายาม ร้องเพลงเพื่อโชว์พลังเสียงกัน แต่ผมรู้แล้วว่าถ้าทำแบบนั้นผมสู้เขาไม่ได้แน่ ผมก็เลยขึ้นไปร้องเพลงเร็ว ๆ เต้น ด๊องแด๊งๆ ของผมไป เต้นมันมั่วๆ ไปเรื่อย เค้าก็คงคิดว่ามันดูตลกดี ขำๆ ดี (หัวเราะ) มันคงสร้างสีสันให้รายการได้มั้งครับ แล้วมันก็ดูจริงใจดีด้วย อยากจะเต้นอะไร มันก็เต้น เค้าก็เลยเลือกผม ผมว่าน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่านะ ตอนนั้นผมได้เข้ารอบคนที่ 8 แล้วพอเข้าไปเก็บตัวกัน ไปจับฉลากเบอร์กันอีก ก็ปรากฎว่าผมก็ได้เบอร์ 8 ซึ่งจริง ๆแล้วเรื่องเลขอะไรเนี่ยผมก็ไม่ได้ซีเรียสมาก เพราะว่าผมเป็นคนไม่เชื่อโชคลางอะไรอยู่แล้วครับ แต่ว่าก็ดีใจมากกว่าที่เราได้เป็น 1 ใน 8 คนสุดท้ายครับ" ในที่สุดเด็กหนุ่มชาวเหนือหน้าตาดีอย่าง "นายบี้" ของเราก็กลายเป็น 1 ใน 8 ของ "เดอะสตาร์ " ไปซะแล้ว ต่อจากนี้ไปเส้นทางชีวิตในการเป็นดาวจะเป็นอย่างไรอีกบ้าง ต้องติดตามฉบับหน้านะคะ
ตอนที่ 22 การใช้ชีวิตเป็นคนของประชาชนนั้นไม่ง่ายเลย เพราะยิ่งดังเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกจับตามองมากชึ้นเท่านั้น ก็อย่างที่รู้กันดีดารากับการเป็นข่าวถือว่าเป็นของคูกัน ยิ่งดังข่าวก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับ "นายบี้" ยังไม่ทันจะก้าวเข้ามาทำงานในวงการฯ เต็มตัว เค้าก็กลับโดนข่าวลือต่าง ๆ รุมกระหน่ำ ไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว เล่นเอาน้องใหม่เกือบจะถอดใจไปเลยทีเดียว หลังจากชิมลางงานบันเทิงด้วยการออกอัลบั้มรวมกับเพื่อน ๆ เดอะสตาร์ไปแล้ว วงการบันเทิงก็ได้ต้อนรับ "นายบี้" อีกครั้งในฐานะพระเอกละครสุดฮิต "รอยอดีตแห่งรัก" ตอนที่ 24 "ความรัก" เป็นสิ่งที่ใครหลายคนไขว่คว้าโหยหา แม้จะรู้ว่าที่ไหนมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ แต่ก่อนจะเจอความทุกข์ ตอนที่ 26 เมื่อความรักก้าวเข้ามาทักทายหนุ่มขี้อายของเรา นับจากวันที่ควงสาวเจ้าออกเดท หัวใจแฟบๆของ "บี้" ก็เริ่มพองโตทุกนาทีที่ผ่านไปเต็มไปด้วยความสุข แม้จะมีคนเปรียบเปรยว่าความรักเหมือนยาพิษ ความรักเป็นยาขม แต่สำหรับ "นายบี้" ในวันนั้น ความรักกลับเป็นสิ่งที่สวยงามหอมหวานที่สุด
ตอนที่ 19
จะด้วยโชคช่วยหรืออะไรก็ตาม ในที่สุด "นายบี้" ก็ทำสำเร็จ มีโอกาสได้พาตัวเองเดินหน้าตามล่าความฝัน ได้เป็น 1 ใน 8 คนของเวทีเดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาว และนับจากนาทีนั้นเป็นต้นไป หนุ่มขี้อาจ ไร้ความมั่นใจอย่างเขาจะต้องแบกภาระหนักหน่วงต้องใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนใหม่ ๆ ต่างที่มา ต่างที่ไป แล้วยังต้องขึ้นไปยืนบนเที ทั้งร้องทั้งเต้น ต่อหน้าผู้คนมากมาย และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผู้ชมในฮอลล์เท่านั้น แต่ "บี้" จะถูกจับตาโดยผู้ชมทางบ้านเกือบทั่วประเทศผ่านทางจอทีวีด้วย "นายบี้" จะทำได้ดีแค่ไหน จะเอาตัวรอดได้อย่างไรไปฟังก่อนค่ะ
"หลังเข้ารอบมาแล้ว เค้าก็ต้องเอา 8 คนที่เข้ารอบเก็บตัวประมาณ 1 เดือน มาเพื่อซ้อมเต้น ซ้อมร้องเพลง ซ้อมโน่นซ้อมนี่ตลอดเลา 1 เดือน เพื่อที่จะเอาเปิดตัววันแรกซึ่งวันแรกที่ขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตเนี่ย มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเลยครับ เพราะว่าวันนั้นผมสั่นมาก ๆ ขาผมสั่นกึก ๆ เลยครับ สั่นอยู่ในกางเกงนั่นแหละ เพราะผมไม่เคยขึ้นเวทีใหญ่ขนาดนี้มาก่อนครับ จะเคยก็มีเวทีเล็ก ๆ กับเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย แต่ที่นี่มันเป็นเวทีใหญ่มาก มีคนดูเพียบ จัดในสตูดิโอ ไฟประดับเพียบ แล้วมันเป็นการออกอากาศสด ๆ แล้วก็ออนแอร์ไปทั่วประเทศเลยครับ วันนั้นเป็นวันเปิดตัว จำได้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีเพลงที่ร้องรวม ๆ กันอยู่หลายเพลงเหมือนกัน อย่างเพลง "เพื่อดาวดวงนั้น" รวมกันแปดคน แต่ว่ามันจะมีเพลงที่ผมร้องคนเดียวคือเพลง "คนมันรัก" ซึ่งตอนซ้อมมันก็โอ.เค ประมาณหนึ่ง แต่พอขึ้นเวที ด้วยความตื่นเต้น บวกกับหลายอย่าง เราก็เลยมีร้องเพี้ยน ร้องผิดคีย์ ร้องหอน ไปเรื่อย แล้วผมก็พยายามเชียร์อัพคนดู แหกปากร้องใหญ่เลย คนดูเขาก็ขำกันใหญ่ว่าไอ้บี้มันทำอะไรเนี่ย(หัวเราะ) คือผมทำไม่เป็นไง เห็นวงร็อคเค้าแบบชอบตะโกนเล่นกับคนดูกัน ผมก็เลยทำบ้าง แต่เราเป็นป๊อบไง พอทำออกมามันเลยเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้มาดูเทปยังขำเลย (หัวเราะ)
วันนั้นโดนคอมเมนท์บ้าง แต่ก็เบา ๆ เค้าก็บอกว่าเราเออน่ารักดี เต้นด๊องแด๊ง ๆ ไป ก็เอาๆ ลองดูเราก็เบาใจ แต่พอสัปดาห์ถัดมา เป็นเพลงช้า ผมร้องเพลง "สัญญาต้องเป็นสัญญา" ของพี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซึ่งโดนด่าเละเลยครับ โดนจนเวทีแทบพัง (หัวเราะ) โดนทุกอย่าง การร้อง การเต้น มูฟเมนท์ ความตื่นเต้น บุคลก ทุกอย่างเลย ผมก็รู้ว่าผมทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ทำเต็มที่ ผมไม่ชินกับไมค์ กับบรรยากาศ กับเสียงแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าจะร้องยังไง สัปดาห์นั้นเป็นครั้งแรกที่จะมีการคัดอกด้วยครับ ผมก็คิดว่าต้องเป็นผมออกแน่ ๆ เลย คิดไว้ในใจเลย แล้วเค้าก็เรียกคนที่เข้ารอบไปทีละคนๆๆ จนเหลือ 2 คน สุดท้าย ผมกับลูกตาล (วรรณทิชา ทิชินพงศ์) ผมก็คิดว่าผมโดนแน่ ๆ แล้ว ผมก็คิดว่าตายแล้ว ถ้าเราตกรอบวันนี้ เราไม่มีใครมารับเราเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้มา มีแค่ครูรูมเมทเรามาดูเราคนเดียวเอง แย่ ๆ ทำไงดี แต่ปรากฎว่าสุดท้าย คนที่ได้ไปต่อกลับกลายเป็นเรา ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นดวงหรืออาจจะเป็นโชคทำให้เรารอดมาได้ แต่สัปดาห์ต่อมา ผมก็ต้องไปยืนอยู่ปากเหวอีกเหมือนกัน (หัวเราะ)
สัปดาห์นี้ เป็นเพลงแดนซ์ ซึ่งที่จริงถือว่าเข้าทางผมเลยนะ ถ้าเป็นเพลงช้าผมจะกลัวมาก แต่ถ้าเป็นเพลงเร็ว ผมจะเอาท่าเต้นเข้าสู้ ผมก็เลยมั่นใจประมาณหนึ่งว่าผมจะได้อยู่ต่อแน่ ๆ แต่ผลสุดท้ายสรุปแล้วคนอื่นเค้าทำได้ดีกว่า ผมเยอะมาก ๆ ผมก็เลยต้องไปยืนปากเหวอีก ไปยืนกับนุกนิก (ฐิตินันท์ สุขสม) จับมือกัน 2 คน แต่ว่าสุดท้ายนุกนิกก็ไป ผมได้ไปต่อ ก็รอดไปอีก ต่อมาอีกสัปดาห์หนึ่งเป็นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งเป็นแนวถนัดของพลเ เพราะพลเค้าถนัดแนวนี้ เราเลยไปขอคำปรึกษาจากเค้า ทุกคนไปขอคำปรึกษาจากเค้าหมดเลย ผมก็คิด ๆ ๆ ว่าทำยังไงเราถึงจะรอดได้ ผมก็เลยตั้งใจว่าต้องร้องเป็นเพลงเร็ว ๆ ดีกว่า เราอาจจะมีโอกาสรอด ก็เลยเลือกเพลง " 30ยังแจ๋ว " คนฟังเยอะ ร้องได้แน่นอน เลือกเองเลยครับ เราจะได้เต้นได้เต็มที่ แล้วพอขึ้นเวทีจริง ๆ เราก็ร้องเต็มที่ เต้นเต็มที่ ยักย้ายส่ายสะโพก สุดฤทธิ์สุดเดช (หัวเราะ) เอาใจทั้งเด็ก ทั้งคนแก่เต็มที่ คิดในใจว่าเรต้องรอดๆๆ แต่สุดท้ายเราก็ได้ไปยืนปากเหวอีกแล้วครับ (หัวเราะ)
คราวนี้ไปยืนกับจู (ศิรินภา อเนกธนโรจกุล) แล้วจูเค้าก็ไป คือเราไม่เคยได้เข้ารอบแบบใจร่ม ๆ เลย ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา จริง ๆ แล้วไอ้การไปยืนตรงนั้นมันตื่นเต้นมาก ๆๆ นะครับ มันมาคำอะไรมาอธิบายไม่ได้ ถ้าใครที่ไม่เคยไปยืนตรงนั้นจะไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง แต่ว่าวันนั้นสุดท้ายผมก็รอดอีก แต่เป็นจูที่ต้องตกรอบไป ผมนี่ไปยืนแล้วฆ่าเพื่อน เพื่อนต้องออกตลอดเลย"
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ "นายบี้" ของเราต้องเจอสถานการณ์คาบลูกคาบดอก ต้องไปยืนใจสั่นอยู่ตรงปากเหวมาตลอด แต่สุดท้าย "นายบี้" ของเราก็ได้ไปต่อ เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บนเวทีเดอะสตาร์ของ "นายบี้" จะเป็นอย่างไรต่อไปห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ
ตอนที่ 20
หลังจากาต้องออกมายืนใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อยู่บนปากเหวแทบจะทุกสัปดาห์ แต่ก็รอดพ้นมาได้หวุดหวิดทุกที "นายบี้" ของเราก็เลยมีประสบการณ์ชวยหวาดเสียวมาเล่าสู่กันฟัง ใครที่มีความคิดอยากจะไปยืนบนเวทีเดอะสตาร์ ห้ามพลาดเสี้ยวอารมณ์นาทีเจียนอยู่เจียนไปนี้ โดยเด็ดขาด
"หลังจากที่ผมรอดตายมาแบบหวุดหวิดหลายสัปดาห์แล้ว (หัวเราะ) คราวนี้พอสัปดาห์ถัดมาโจทย์ก็จะเป็นเพลงร็อคก็ต้องเป็นพี่อาร์ (อาณัตพล ศิริชุมแสง) เพราะว่าพี่อาร์เค้าถนัดแนวเพลงนี้มาก เราก็เลยรีบขอคำปรึกษาจากพี่อาร์ทันทีเลยครับ ไม่งั้นผมตายแน่ (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นคนที่อยู่ในการแข่งขันมันเริ่มน้อยลงไงครับ ทีนี้เราก็เลยต้องร้องคนละ 2 เพลง คือเพลงเร็วเพลงหนึ่ง และเพลงช้าเพลงหนึ่ง ผมก็คิดเอาสิวะ งานนี้มีเพลงช้าอีกแล้วทำไงดี ผมก็เลยคิด ๆๆ จนไปลงเอยที่เพลง "คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ......" ซึ่งมันช้าแต่ว่าเบา ๆ มีจังหวะโยก ๆ ด้วย มันก็น่าจะไม่ยากเท่าไหร่ แต่ปรากฎว่าพอไปร้องจริง ๆ เข้า มันยากไม่น้อยเหมือนกัน เพราะว่าเพลงนี้มันมีบางท่อนที่มันจะมีร้องเสียงสูงด้วยครับ ซึ่งผมก็ร้องหลงแหลก(หัวเราะ) หลงไปไหนก็ไม่รู้ ส่วนเพลงเร็วก็เป็นเพลง "เด็กกกว่าแล้วไง" ผมก็ใส่เข้าไปเต็มที่เลยครับ สำหรับเพลงเร็วแหกปากร้อง โยก เต้น สุด ๆ ไปเลย ทีนี้พอถึงเวลาประกาศผล หลัง ๆ มานี่ผมยึนปากเหวตลอด อย่าที่ผมเคยบอกว่า การไปยืนตรงนั้นมันน่ากลัวมาก ใครที่ไม่ได้ไปยืนแบบนั้นจะไม่รู้หรอก คือมาถึงตอนนั้นมันมี 2 คน ไม่คนหนึ่งก็คนที่สองครับ ก็แค่นั้นเลย แต่เราก็รอดทุกทีไป มันก็ตื่นเต้นแต่อาทิตย์นี้ผมรอด ก็มีพล (อำพล จันทะน้อย) ที่ต้องออกไปยืน แล้วก็เป็นพลที่ต้องออกไปครับ ผมมารู้ทีหลังว่า มีคนบอกวาเวลาเต้น ผมเต้นโอเวอร์มากไป แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้อะไรเลย แต่ที่แสดงออกไปแบบนั้น เพราะว่าผมตื่นเต้น เราก็คิดว่าเรามีของดีอะไรก็งัดออกมา ให้เต็มที่เลย มีอะไรเทออกหมด มันก็เลยดูเกินไป มันเยอะเกินกว่าที่ควรจะเป็นครับ (หัวเราะ)
เราไม่ชินกับเวที ไม่ชินกับคนเยอะ ๆ เราเอ็นเตอร์เทนคนไม่เป็น เราไม่รู้ว่าความพอดีมันอยู่ตรงไหนก็เลยใส่ไปเต็มที่ แต่มันเยอะไป ตอนนั้นก็เหลือ 4 คน มีผม พี่อาร์ น้องมิว(พีรชญา พินเมืองงาม) พี่เอื้อ(เอื้ออาทร จันทวี) สัปดาห์ถัดมา เราก็เลยต้องร้อง 2 เพลงแล้ว เป็นการร้องเพลงพี่เบิร์ดกันครับ ผมร้องเพลง "พริกขี้หนู" เพลงช้านี่จำไม่ได้แล้ว (ผู้พิมพ์ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ เพลงช้าที่บี้ใช้ร้อง คือเพลง "หมอกหรือควัน" และเพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม "เดอะสตาร์ 3 วันทีฝันเป็นจริง" ด้วยค่ะ) แต่พี่เอื้อเค้าร้องเพลงเพราะมากวันนั้น ตอนซ้อมนี่พี่เค้าร้องดีมาก ๆ แต่พอแข่งจริงๆ พี่เค้ากลับทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ คือมาตรฐานเค้าทำไว้ดีมากนะ แต่วันนั้นมันไม่ดีเท่าที่เค้าทำไว้ พอจะประกาศผล สรุปว่าผมต้องออกมายืนปากเหวกับพี่เอื้อ แล้วสุดท้ายพี่เอื้อต้องออกไป ผมเองก็เสียใจมาก เพราะผมคิดว่าคนที่ตกรอบเนี่ยน่าจะเป็นผมมากกว่า เพราะผมรู้สึกว่าเราเองไม่ได้ทำดีมากมายอะไรเลยครับ แต่เป็นพี่เอื้อที่ต้องไป ผมก็คิดว่าทำมถึงเป็นพี่เอื้อ ทำไมไม่เป็นผม วันนั้นก็เสียใจมากครับ
(อันนี้เรื่องจริงค่ะ เพราะวันที่พี่เอื้อออกบี้ร้องไห้ บอกว่าถ้าออกแทนได้ผมจะออกแทนพี่เอื้อ นอกเรื่องอีกแล้วผู้พิมพ์) ทีนี้ก็เหลือ 3 คนสุดท้ายแล้วครับ ซึ่ง 3 คนนี้จะต้องไปเล่นคอนเสิร์ต 20 นาที เป็นของตัวเองครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาถึงวันนี้ได้ คือ 3 คน สุดท้าย ผมก็ตื่นเต้นอีกแล้ว แต่วันนั้นกระแสตอบรับดีมาก ๆ คนมาดูเยอะมาก ๆ ที่นั่งไม่พอเลย แล้วก็มีคนมาชูป้ายรักบี้ เชียร์บี้ อะไรไม่รู้เต็มไปหมด คุณแม่ก็มาดูด้วย ช่วงหลัง ๆ นี่คุณแม่มาตลอด แต่ว่าไม่ได้คุย ไม่ได้โทรหาเลย เพราะว่าเขาห้ามติดต่อกัน จะเห็นหน้าก็ตอนที่มาคอนเสิร์ตนี่แหละครับ แต่ว่าก็เห็นแว้บ ๆ ยิ้มให้กัน พอเลิกคอนเสิร์ตก็ให้คุยกัน ถ่ายรูปกันประมาณ 5 นาที แค่นั้นเอง ตอนที่เหลือ กัน 3 คน ผมไม่รู้สึกเลยนะว่า คนชนะต้องเป็นเรา เพราะตอนนั้นผมคิดว่า ยังไงต้องเป็นพี่อาร์แน่ ๆ เพราะว่าพี่อาร์เป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ รอบตัวเลย ทั้งร้อง ร็อค ร้องแนวอื่นก็ร้องได้ ทั้งเต้น ทั้งเอ็นเตอร์เทนคนดู พี่เค้าเจ๋งจริง ๆ ครับ ประสบการณ์พี่เค้าเยอะมากด้วย แต่แล้วมันก็เกิดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้นอีก เมื่อสัปดาห์นั้นก็เป็นน้องมิวครับที่เป็นคนออกไป และผมกับพี่อาร์ได้ไปต่อ ซึ่งอย่างที่บอกว่าผมเองไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อน เลยว่าจะมาถึงวันนี้ได้ น้องมิวเค้าก็เก่ง แต่ในเมื่อเป็นผมที่ได้ไปต่อ ผมก็เต็มที่ครับ แต่จากนั้นยิ่งตื่นเต้นมาก ๆ ขึ้นเรื่อยๆ "
ในที่สุดหนุ่มหน้าใสอย่าง "นายบี้" ก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนเป็น 2 คนสุดท้ายของ เดอะสตาร์ 3 งานนี้เค้าจะต้องเตรียมาตัวอย่างไรกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต ตอนหน้าเราจะตามไปเจาะลึกกันค่ะ
ตอนที่ 21
การประกวดเข้มข้นเข้ามาทุกที ในที่สุดบนเวทีเดอะสตาร์ ก็เหลือผู้เข้าแข่งขันชิงความเป็นดาวกันเพียงแค่สองคนและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ "นายบี้" ขอเราเหตุการณ์จะพลิกผันต่อไปอย่างไร ต้องให้เจ้าตัวเขาสาธยายให้ฟังเองเลยดีกว่า
"ตอนนั้นพอเหลือ 2 คนสุดท้าย ผมก็ตกใจนะ ผมกับพี่อาร์เป็นรูมเมท ก่อนนอนเราก็เคยคุยกันเล่น ๆ ว่าถ้าเหลือสองคนสุดท้ายเป็นเราคงจะดีเนอะ คงจะสนุกดี อีกคนหนึ่งเป็นป๊อปอีกคนหนึ่งเป็นร๊อกคงมันส์น่าดูเลย แต่พอวันนั้นมาถึงจริง ๆ มันกลับไม่สนุกอย่างที่คิด เพราะว่าจากเดิมที่เราอยู่กัน 8 คน ทีนี้เหลือกันสองคน มันก็เหงามาก ๆ จากที่คิดว่าคงจะมันส์ เราก็เลยต้องช่วย ๆ กัน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงผลที่มันจะออกมาแล้ว เพราะมันเกินคาดแล้วล่ะครับ ผมก็คิดว่าพี่อาร์เค้าก็เหมือนพี่ชายของผม ก็คิดแค่ว่าทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว วันนั้นที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตสองคนสุดท้าย ผมเองก็ตื่นเต้นมาก เพราะปกติมันจัดที่สตูดิโอ แต่วันนั้นย้ายไปจัดที่เมืองทองธานี มีคนดูเยอะมาก ๆ เป็นหลายพันคนเลย แล้วเป็นคอนเสิร์ตของเราครึงชั่วโมง เราก็แบบตื่นเต้นมาก แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด มีอะไรเท่าไหร่ก็งัดออกมาใช้ให้เต็มที่เลยครับ คนดูก็กริ๊ด ๆๆ ซึ่งผมเองก็พอใจกับผลงานของเรา แล้วพอตอนประกาศรางวัล แม้จะไม่ชนะแต่ผมก็ไม่เสียใจเลยนะ ก็ดีใจกับพี่อาร์เค้าด้วย เพราะเค้าก็เป็นคนเก่งรอบด้านจริ ง ๆ ผมยอมรับในความสามารถของเค้าเลยครับ ก็ดีใจกับเค้าด้วยครับ ผมมาได้แค่นี้ผมก็มาไกลกว่าที่คิดไว้เยอะแล้วล่ะครับ ก็พอใจแล้ว"
แม้จะได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ก็ตาม แต่ชีวิตของ "นายบี้" ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จากหนุ่มโนเนม กลายเป็นคนดังเพียงชั่วข้ามคืน จากนั้นมาความเคลื่นไหวต่าง ๆ ก็ตกอยู่ในความสนใจของแฟน ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาข่าวลือสะกัดดาวรุ่งที่ถาโถมเข้ามาจนตั้งตัวแทบไม่ทัน
"หลังจากวันที่ได้เป็นรองแชมป์เดอะสตาร์ มันก็ทำให้เรามีคนรู้จักเรามากขึ้นเยอะเลยครับ จากเดิมที่เราเป็นคนธรรมดา ที่นี้เวลาไปไหนก็จะมีคนเข้ามาทัก เข้ามาคุยกับเรา ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลยครับ ก็ดีใจที่มีคนมารัก มาทัก มาคุยกับเรา ผมจำได้เลยว่าวันที่ผมออกมาวันแรก ผมไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ซึ่งวันนั้นมันเป็นวันที่ผมกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยที่สุดในชีวิต เพราะเราอยู่ในบ้านมา 3 เดือนเต็ม ๆ ไม่ได้ไปไหนเลย มีคนตามประกบตลอด ห้ามคุยกับคนอื่นนะ คุยได้แต่เรื่องสำคัญนะ เรื่องข่าวห้ามคุยนะ คือเราโดนตามประกบเป็นเงาตามตัวเลยครับ จะถูกควบคุมอยู่ในสายตาตลอด ทีนี้พอเราออกจากบ้านมา ลงมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวได้ตามสบาย ไม่ต้องโดนคุม มีโทรศัพท์อยู่กับตัวสามารถโทรหาใครก็ได้ จากที่เราไม่ได้ทำแบบนี้มา 3 เดือนแล้ว เราก็เลยมีความสุขมาก แล้วที่สำคัญมีคนมองเรา สนใจเรา และอยากคุยกับเรา(หัวเราะ) เราจะคุยกับใครก็ได้ เพราะเค้าก็ยินดีคุยกับเราหมด ก็เรียกว่าชีวตมันพลิกไปในชั่วข้ามคืนเลยครับ คุณพ่อคุณแม่พอรู้ว่าเราได้รองแชมป์ท่านก็ดีใจ ท่านก็บอกว่านี่ก็เกินคาดแล้ว เพราะท่านก็ไม่คิดว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ ท่านก็ค่อนข้างภมิใจแต่ว่าจะห่วงเราเรื่องเรียนครับ เพราะกลัวว่าเราจะมีปัญหา แต่ว่าผมก็จัดการทุกอย่างผ่านไปได้ การเรียนก็ประคองไปได้ครับ แรก ๆ ก็ดูเหมือนว่าชีวิตมันจะดูลงตัวไปทุกอย่าง แต่ผมก็กลายเป็นข่าวใหญ่โตจนได้ ก็เรื่องการถ่ายแบบชุดว่ายน้ำนั่นแหละ ซึ่งจริง ๆ แล้วผมถ่ายตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมเคยบอกว่าผมไปประกวดนายแบบ ก็มีพี่เค้าชวนให้ไปถ่าย ผมเองก้ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าก็สนุกดีนะ เพราะเราก็เคยเห็นเค้าถ่ายแบบชุดว่ายน้ำกัน ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแค่นั้นเอง ไม่คิดว่าพอเรามีคนรู้จัก มีชื่อเสียงแล้วจะต้องโดนเอาเรื่องนี้มาโจมตีเรา ทีแรกที่มีข่าวออกมาก็เครียด ๆ เหมือนกัน เพราะมีคนมาถามเยอะ ว่าทำไมถึงไปถ่าย ไปถ่ายได้ยังไง ผมก็ตอบไปว่ามันไม่มีอะไร มันก็แค่ถ่ายแบบขำ ๆ ผมไม่ได้ไปแก้ผ้าถ่ายซะหน่อย มันแค่ชุดว่ายน้ำ แต่พอโดนถามเยอะ ก็เครียด ก็ปรึกษาพี่ ๆ ทีมงานเค้าก็พยายามช่วย พยายามหาทางออกที่ดที่สุดให้เรา สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้จริง ๆ ตัวผมเองไม่เครียดกับข่าวเท่าไหร่หรอกครับ แต่ว่าทางบ้านผมจะเครียดมากกว่า ตอนที่มีข่าวเยอะ ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็โทรมาถาม ญาติ ๆ ก็โทรมาถาม ผมก็บอกไปตามความจริง ก็ตอบ ก็อธิบาย ไปจนเค้าเข้าใจกันแหละครับ ก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีคนมาโจมตีเราด้วยเรื่องแบบนี้ หลาย ๆ คนบอกว่าผมโดนสะกัดดาวรุ่ง (หัวเราะ) ซึ่งผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก แต่แค่งง ๆ เท่านั้นเองว่าแบบนี้ก็มีด้วยนะ ไม่น่าเชื่อครับ" (หัวเราะ)
ยังไม่ทันไร "นายบี้" ก็โดนรุมสกัดดาวรุ่งซะแล้ว แต่ข่าวลือยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ "นายบี้" จะต้องเจอกับมรสุมข่าวอะไรอีกบ้าง ต้องติดตามเอาใจช่วยในตอนหน้าค่ะ
ประเดิมเริ่มแรก ก็โดนขุดเรื่องเคยถ่ายภาพชุดว่ายน้ำ มาแฉกันแต่หัววัน และยังไม่ทันที่เรื่องเก่าจะผ่านพ้น ก็มีข่าวต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาอีกมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หาว่า "นายบี้" เป็นเด็กเส้น และล็อคผลรางวัลเดอะสตาร์ จนได้ตำแหน่งรองแชมป์มา ไม่เท่านั้นเพราะยังมีข่าวลือกันให้แซดว่า "นายบี้" ของเราเป็นเกย์ก็มี งานนี้ "นายบี้" ผ่านพ้นช่วงวิกฤตของชีวิตมาได้อย่างไรตามไปฟังกันเลยนะคะ
"จากคราวที่แล้ว ที่โดนข่าวโจมตีเรื่องถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำ ซึ่งมันก็แรงนะ เพราะว่าทุก ๆ คนก็ถามผมหมดเลย แต่อย่างที่บอกว่าเราคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ก็เลยปล่อย ๆ มันไป แต่ก็ใช่ว่าหลังจากหมดข่าวนั้นไปชีวตผมจะดีขึ้นนะครับ เพราะผมก็ยังโดนข่าวโจมตีอีกหลายเรื่องเลย เยอะจริง ๆ เช่นช่วงที่ผมได้รางวัลรองแชมป์เดอะสตาร์ ก็มีว่าผมเป็นเด็กเส้นบ้างล่ะ ว่าผมร้องเพลงไม่ดี แล้วผ่านเข้ามาขนาดนี้ได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก ก็เลยลือกันไปว่าแบบนี้ว่ามีการล็อคผลบ้างล่ะ ก็ว่ากันไปเรื่อย ซึ่งผมอยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยครับ ว่าเวทีเดอะสตาร์มันไม่มีการล็อคผลอะไรแบบนี้จริง ๆ ครับ มันล็อคกันไม่ได้หรอก เพราะว่ามันเป็นผลการโหวดจากแฟน ๆ จริง ๆ นะครับ แต่มันอาจจะไม่เหมือนที่คิดไว้ เพราะวิธีการของคนเราไม่เหมือนกันไง อย่างบางคนแฟน ๆ อาจจะคิดว่าเฮ้ย... คนนี้เค้าร้องเพลงดีจริง ๆ เลย เสียงดีมาก ๆ ทุกอย่างดีหมด คือชอบอย่างเดียวนะ แต่ว่าไม่กดโหวตให้เค้าหรอก สุดท้ายก็ต้องออกไป คือคิดวาชอบอย่างเดียวแต่ไม่ลงทุนไง (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นมันก็เลยจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ นะครับ บางทีคนที่คิดว่าจะออกกลับอยู่ คนที่คิดว่าจะอยู่กลับออกซะก็มีครับ ก็เลยอยากให้เข้าใจไปพร้อม ๆ กันด้วยครับ ว่ามันไม่สามารถจะล็อคกันได้เลย และมันก็มาจากผลโหวดจริง ๆ หลังจากเรื่องข่าวเด็กเส้น ล็อครางวัล ผมก็ยังโดนข่าวลือตามมาอีกนะครับ(หัวเราะ) แต่ว่าข่าวนี้ผมขำๆ คือเค้าลือกันเรื่องว่าผมเป็นเกย์ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าเค้าไปเอามาจากไหนกัน (หัวเราะ) ซึ่งจริง ๆ แล้วกับข่าวเรื่องนี้ ผมเองก็ไม่ได้ไปซีเรียสอะไรมากเลยนะครับ เพราะว่าความจริงก็คือความจริง ตัวเราเป็นยังไง เราก็ย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้วครับ เพราะว่าความจริงคือผมเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่ตุ๊ด อย่างที่เค้าว่าเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เค้าคิดว่าผมเป็นเกย์เพราะอะไร ผมก็อยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่าผมเป็นผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ ไม่ใช่ตุ๊ดไม่ใช่เกย์แน่นอนครับ แล้วผมก็ชอบผู้หญิงด้วยนะครับ ไม่ได้ชอบผู้ชายแน่นอน ก็ถือว่าตอนนั้นผมเป็นเดอะสตาร์ที่มีข่าวเยอะมาก ๆ คนหนึ่งเลยครับ แต่สำหรับผมเรื่องถ่ายแบบเนี่ยจะแรงสุดแล้ว แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี คุยเรื่องข่าวลือมาเยอะแล้ว ทีนี้มาต่อเรื่องชีวิตผมในวงการบันเทิงต่อกันเลยครับ ตอนนั้น หลังจากเสร็จการการประกวดเดอะสตาร์เสร็จแล้ว และอย่างที่บอกว่าชีวิตผมมันก็พลิกผันไปเลย ดูเหมือนจะมีคนรู้จักเยอะขึ้นมาก แต่ว่าโดยส่วนตัวผมเอง ผมก็ยังไม่ได้วางแผนอนาคตไว้เลยนะครับ ว่าผมจะทำอะไร ยังไง ต่อไปบ้าง จะร้องเพลง หรือว่าเล่นละครหรือว่าอะไรไม่รู้เลย เพราะว่าตอนนั้นเราไม่รู้จักใครเลย ก็เลยไม่รู้ว่าถ้าเราอยากเล่นละครเราจะต้องบอกใคร ว่าอะไร เราไม่รู้มาก่อนเลยทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน เค้าให้ทำอะไรผมก็ทำไปตามนั้นซึ่งตอนนั้นมันก็มีงานเข้ามาบ้าง แต่ว่ายังไม่มีงานอะไรสำคัญมาก แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ของเรา ก็มีไปถ่ายแฟชั่นกับเพื่อน ๆ เดอะสตาร์ทั้งแปดคน มีทำเพลงออกอัลบั้มพิเศษร่วมกับเพื่อน ๆ ทั้งแปดคน นอกจากนี้พวกเราก็ยังมีไปออกงาน หรือไปออกตามรายการบ้าง มีงานโชว์ตัวบ้าง ก็สนุกดี เป็นประสบการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลยครับ แต่ว่าไอ้เรื่องไปเล่นละคร ทำอัลบั้มส่วนตัวน่ะยังไม่มีลู่ทางเลยครับ"
แม้จะโดนข่าวลือรุมสกัดราวรุ่งซะเยอะ แต่สุดท้าย "นายบี้" ของเราก็ผ่านพ้นมาได้ หลังจากนี้ชีวิตของเค้าจะพลิกผันอีกแล้วล่ะค่ะ เพราะ "นายบี้" มีโอกาสได้ออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง แถมยังได้เป็นพระเอกละครอีกซะด้วย แต่เค้าได้โอกาสดี ๆ แบบนั้นได้อย่างไร ต้องติดตามตอนหน้า
ที่ "นายบี้" เล่นบทโหดตบ-จูบ ได้โดนใจจนได้ฉายาเจ้าพ่อละครตบ-จูบคนใหม่
ตอนที่ 23
ความแรงของหนุ่มคนนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นค่ะ เพราะนอกจากละครจะฮิตแล้ว ผลงานเพลงเดี่ยว ๆ ชุดแรกในชีวิตก็ฮิตระเบิดด้วยเพลง "I Need Some Body" เรียกว่าเพลงก็ฮอท ละครก็ฮิต
แล้วช่วงชีวิตที่กำลังขยับเข้าสู่ช่วงขาขึ้นของ "นายบี้" จะเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวมีคำตอบ
"หลังจากที่ผมออกอัลบั้มรวมกับเพื่อน ๆ เดอะสตาร์แล้ว ทีแรกผมก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ แต่ทีนี้ทีมงานเค้าบอกว่าเนี่ย พี่บอย(ถกลเกียรติ วีรวรรณ) มีละครให้เล่นนะ เรื่อง 'รอยอดีตแห่งรัก' ผมก็เออดีใจว่าเราจะได้เล่นละคร
แต่ว่าตอนนั้นเราก็คิดว่าคงจะเล่นเป็นตัวธรรมดา ๆ เพราะว่า ละครเอ็กแซ็กท์เรื่องหนึ่งก็มีคนเล่นเยอะแยะ เค้าก็บอกว่าให้เล่นคู่กับน้องมิว (พีรชญา พิณเมืองงาม) เราก็ตื่นเต้นที่จะได้เล่นละคร
พอได้บทมาก็อ่าน ๆ แต่ทำไปทำมา เอ๊ะ ! ทำไมบทมันเยอะขึ้น ๆ ทำไมมีแต่เรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าเฮ้ย ! นี่เราเป็นพระเอกเลยนี่หว่า (หัวเราะ) ทีนี้ก็เลยตื่นเต้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพราะเราก็ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาส
ดีขนาดนี้ก็มานั่งคิดในใจจริงเหรอ ไอ้บี้จะได้เป็นพระเอกละครจริงเหรอ ก็มีไปเรียนการแสดงอยู่ 2-3 วันมั้งครับ แล้วก็ไปถ่ายเลย
ทีแรกผมก็คิดว่าถ่ายละครมันคงไม่ได้ยากอะไร เพราะว่าเราเห็น ๆ มันก็แป๊บเดียว แต่พอไปถ่ายจริง ๆ สิครับ วันแรกที่เข้าฉาก บังเอิญว่าผมเป็นคนที่ตื่นกล้องอยู่แล้ว ก็เลยตื่นเต้นไปกันใหญ่ ซีนแรกที่ถ่าย
ก็เลยปาเข้าไป 7-8 เทคได้มั้ง เทคบ่อยมาก อันนี้พูดไม่ชัด อันนั้นเดินเป็นเป็ดบ้าง
คือมันรัวไปหมด (หัวเราะ) ตอนแรก ๆ ที่ถ่ายก็เทคบ่อย เล่น ๆ ไปผู้กำกับฯ ก็บอกยังไม่ดี ยังไม่ได้ เอาใหม่ ๆ จนบางทีเราก็แอบท้อในใจว่า เฮ้ย ! ทำไมไม่ได้ซะทีวะ แค่นิดเดียวเอง ทำไมเล่นไม่ได้
ผมใช้เวลาปรับตัวอยู่ประมาร 3 เดือนได้มั้งครับ กว่าจะเริ่มรู้สึกชิน เริ่มจับทางได้บ้างว่าจะต้องทำยังไงขนาดไหน มันก็ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าแสดงดีนะ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองยังแย่มาก ๆ ยังต้องปรับอีกเยอะเลย
แล้วในระหว่างที่ถ่ายละครผมก็ทำอัลบั้มของผมด้วย คือทำควบคู่กันไปเลย ถ่ายละครเสร็จไปเข้าห้องอัด ไปซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ซ้อมเสร็จไปถ่ายละคร ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ดีใจมาก ๆ เพราะว่าการที่จะได้ทำอัลบั้ม
เป็นของตนเองมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ การเป็นนักร้องเป็นความใฝ่ฝันของเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่แล้ว แล้ววันนี้มันเป็นจริงขึ้นมา เราจะมีเพลงเป็นของตัวเอง ก็เลยตื่นเต้นมาก ๆ
หลังจากถ่ายละครเกือบจะเสร็จ พอรู้ว่าละครจะได้ออนแอร์ก็ตื่นเต้นอีกแล้ว ก่อนวันที่จะออนแอร์จริง ๆ เค้าก็จะมีการเอามาฉายให้ได้ดูก่อนพร้อม ๆ กันที่แกรมมี่ฯ เราก็ตื่นเต้นมากเพราะ
เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นงานของเรา มันไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นพระเอกละครน่ะ ไอ้บี้ ไอ้เป็ดเย้อเนี่ย เป็นพระเอกละครจริง ๆ แล้ว (หัวเราะ) ดูไปมันก็ดีใจ แต่เราก็ยังแอบมีคิดในใจว่า เฮ้ย.. ตรงนี้น่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ
แล้วพอละครออนแอร์ไป พ่อแม่ เพื่อน ๆ ญาติ ๆ ก็โทรมาหากันหมดเลย บอกว่าชอบดูละครนะ สนุกมาก ๆ แต่ทำไมในละครบี้ต้องเครียดขนาดนั้นด้วย ทำไมต้องดุ ทำไมต้องโหดขนาดนั้นด้วย (หัวเราะ) พอละครออนแอร์นานขึ้น มันก็ยิ่งดัง คนดูชอบมาก เราก็ยิ่งดีใจ ก็อยากจะยกความดีให้กับพี่ ๆ ทีมงานทุกคนเลยครับ
ขณะที่ละครกำลังออนแอร์เพลงในอัลบั้ม 'Love Scene' ของผมก็ออกมาด้วยพร้อม ๆ กันเลย เพลงของผมบางเพลงก็เอาไปใช้เป็นเพลงประกอบละครด้วย มันก็เลยดังเร็ว ติดหูคนฟัง
แต่เพลงที่ดังมาก ๆ แล้วแฟน ๆ ก็ชอบมากก็คงจะเป็นเพลง 'I Need Some Body' ครับ ซึ่งทีแรกผมก็ไม่คิดว่าคนจะชอบกันมากขนาดนั้น เพราะจังหวะมันแปลก ๆ แต่มันก็เพราะดี ปรากฏว่า
คนชอบกันเยอะ ไปไหนใคร ๆ ก็ร้องเพลงผมได้
คือการเป็นนักร้องสังกัดแกรมมี่ฯ มันก็เกินความคาดหมายสำหรับเราอยู่แล้วครับ เราไม่คิดว่าเราจะมีโอกาส ผมคิดว่าเรากับแกรมมี่ฯ มันอยู่กันคนละชนชั้นกัน แต่วันนี้เราได้เป็นนักร้องสังกัดแกรมมี่ฯ
แถมเพลงก็ยังดัง แล้วเรายังได้เป็นพระเอกละครค่ายเอ็กแซ็กท์ และละครก็ดัง คนดูชอบ ตอนนั้นใคร ๆ ก็บอกว่าผมเป็นพระเอกดาวรุ่งของวงการบันเทิง และยังบอกว่าเราเป็นพระเอกเจ้าพ่อตบ-จูบ ๆ คนใหม่อีกด้วย
เราก็ยิ่งปลื้มไปใหญ่ เพราะนี่เป็นละครเรื่องแรกของเรา แต่การตอบรับดีขนาดนี้ครับ เพลงก็ฮอตละครก็ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ถือว่าเกินคาดจริง ๆ ครับ
ตอนนั้นผมก็แอบมีคิดในใจเหมือนกันว่าเฮ้ย นี่มันเรื่องจริงเหรอ เราเป็นนักร้อง เป็นพระเอกจริง ๆ เหรอ มันใช่ตัวบี้เหรอนี่ บี้ตัวจริงเหรอเนี่ย (หัวเราะ) เราฝันไปหรือเปล่าเนี่ย เพราะตอนนั้น
ชีวิตผมมันเหมือนฝันไปจริง ๆ แม้กว่าจะได้มามันจะแลกด้วยหยาดเหงื่อ เพราะว่ามันเหนื่อยมาก ๆ แต่ว่าเราก็มีความสุขมาก ๆ เหมือนกันครับ"
ก้าวแรกในวงการบันเทิง "นายบี้" ก็ประสบความสำเร็จขนาดนี้แล้ว ก้าวต่อไปของเค้าจะเป็นอย่างไร ตอนหน้าห้ามพลาดค่ะ
ลำพังเพียงแค่มีผลงานเพลงชุดแรกแล้วดังระเบิด มีละครให้เล่นก็ฮิตติดจอ แค่นี้ก็ปลื้มไม่รู้จะปลื้มยังไงแล้ว แต่นี่มีผู้สันทัดกรณีฟันธงมาอีกว่า
"หนุ่มบี้" มีแววจะขยับไปเป็นซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยแทนศิลปินในดวงใจ อย่าง "เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์" ซะด้วย เจ้าตัวมิช็อกไปเลยหรือ
"จากการที่ละครเรื่องแรกของผมดังมีคนดูเยอะ แถมเพลงก็มีคนร้องได้เยอะด้วย คนก็เลยมองกันไว้ว่า "บี้" คือว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของเมืองไทย
ซึ่งผมไม่อยากจะรับคำนี้ไว้เลย เพราะว่าผมเป็นดาราเท่านั้นเอง เป็นเดอะสตาร์คนหนึ่ง ผมคงไม่มีทางเป็นซูเปอร์สตาร์ได้หรอกครับ
เพราะสำหรับผมคนเดียวที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในใจผมคนเดียวในประเทศไทย ก็คือ "พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์" คนเดียวเท่านั้น และไม่มีใคร
จะมาแทนที่พี่เค้าได้ ใครที่มาบอกแบบนั้น ผมก็อยากจะบอกว่าขอผมเป็นเดอะสตาร์แบบนี้ดีกว่า ผมนับถือ "พี่เบิร์ด" พี่เค้าเป็นรุ่นพี่ แล้วก็เป็นต้นแบบ
ในการร้องเพลงของผม เพราะฉะนั้นผมไม่อาจเอื้อมแน่นอน ซูเปอร์สตาร์นี่ต้องให้เค้าคนเดียวเลยครับ
แต่ว่าจริง ๆ ผมก็ไม่ได้กดดันอะไรนะที่มีคนมาพูดกันแบบนั้น เพราะผมไม่ได้คิดที่จะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วผมก็มองว่าตอนนี้ในประเทศไทย
จะหาใครมาเป็นซูเปอร์สตาร์แทน "พี่เบิร์ด" คงจะยากมากๆครับ เพราะอย่างดาราในปัจจุบันเค้าก็จะมีวิธีการประโคมข่าวอะไรให้ดัง บางครั้งคนก็ดังจากข่าว
แต่งานไม่มีอะไรเลย แต่ในสมัยพี่เบิร์ดน่ะ พี่เค้าดังมาจากงานของเค้าจริงๆ ข่าวอะไรก็ไม่คึกคัก อึกทึกคึกโครมอะไร เหมือนปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น
อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบพี่เค้าเลยครับ ให้ "พี่เบิร์ด" มามอบตำแหน่งให้ผม ผมยังไม่เอาเลยครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้ใครมาแทนที่พี่เค้าด้วยครับ
ส่วนเรื่องที่มองว่าผมกับ "ฟิล์ม (รัฐภูมิ โตคงทรัพย์) กำลังเขม่นกันขึ้นแท่นเป็นซูเปอร์สตาร์แทน "พี่เบิร์ด" ยังไงผมก็ไม่เอาครับ พี่เบิร์ดเค้าเคย
มาบอกว่าเฮ้ย น้องเอาไปเลยซูเปอร์สตาร์ ผมยังบอกว่าไม่เอานะพี่ เพราะฉะนั้นผมไม่แข่งกับใครอยู่แล้ว แข่งกับตัวเองอย่างเดียวพอ และผมก็กำลังจะ
พยายามแข่งกับตัวเองกับงานแสดง ซึ่งก็มีละครซิทคอมเรื่อง "นัดกับนัด" ซึ่งสนุกมาก ๆ ตอนแรกเนี่ยถ่ายทำช้าอยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องจังหวะอะไรเนี่ย
มันต้องได้ไงครับ แรก ๆ ก็ถ่ายกันยันตี 3 ตี 4 เลย แต่หลัง ๆ พอเรารู้จังหวะมันก็เร็วขึ้นครับ ทีแรกผมเองก็ไม่คิดว่าเล่นซิทคอมมันจะยากนะ คิดว่ามันง่าย ๆ
แต่จริง ๆแล้วมันยากมาก เพราะการที่จะทำให้มันขำน่ะ บางทีมันก็ไม่ขำ
จากละครซิทคอม ก็มีอัลบั้มพิเศษ "นัดกับนัด" ครับ คือมันไม่ใช่อัลบั้มที่สองของบี้ แต่มันเป็นอัลบั้มเฉพาะกิจของบี้กับพี่อาร์ (อาณัติพล ศิริชุมแสง)
เพื่อที่จะโปรโมทละคร "นัดกับนัด" ครับ ซึ่งเพลงมันก็ค่อนข้างมีคนชอบ ไม่ว่าจะเป็น "อย่าผิดนัด,โทร..มาว่ารัก, หรือ หน้าตาดีไม่มีแฟน" ของพี่อาร์เค้า
ก็ดังนะ ก็ถือว่าเราโชคดีครับ
แล้วก็มีละครเรื่อง "หัวใจศิลา" ที่เพิ่งจะจบไป ซึ่งการทำงานครั้งนี้ก็เหมือนผมได้ทำงานกับคนคุ้นเคย เพราะว่าก็เป็นทีมงานเดียวกับเรื่อง
รอยอดีตแห่งรัก เพราะฉะนั้นในกองถ่ายนี่ก็จะเฮฮาปาร์ตี้มากๆ เลยครับ แม้ว่าในละครมันจะดราม่ามากๆ แต่ว่าเบื้องหลังนี่คือเฮฮามากๆ ครับ
ซึ่งละครเรื่องนี้ก็ดังมาก ๆ เหมือนกัน ผมก็ดีใจเพราะถือว่ามันประสบความสำเร็จมากๆ ทีแรกคนก็บอกว่าไอ้งานชิ้นที่สองเนี่ยให้ระวังนะ เพราะ
มันมักจะแป้กหรือว่าจะเจออาถรรพ์ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้วครับ แต่ว่าก็ไม่ได้ลบหลู่นะ ผมก็พยายามเต็มที่แล้ว เราก็คาดหวังนะ
ว่าอยากจะให้คนชอบดู แต่ผู้ใหญ่เค้าก็บอกว่าอย่าคาดหวังมากนะเดี๋ยวจะเสียใจ
แต่พอละครออกมาแล้วคนดูชอบมากขนาดนี้ เราก็ดีใจมากครับ รู้สึกว่าที่เราขยันมาตั้งนาน ถือว่าเราประสบความสำเร็จนะ แล้วก็ทำให้เราคิดว่า
ละครเรื่องต่อไปเราจะต้องทำให้ดีขึ้นอีก คือเราก็คาดหวังแต่อย่าคาดหวังมาก ไม่งั้นเราจะเสียใจได้ เพราะมันมีหลาย ๆ ครั้งที่ละครทุกอย่างดีหมด
นักแสดงเล่นดี ทุกอย่างดีแต่คนกลับไม่ชอบก็มี แต่ในเมื่อตอนนี้มันออกมาดีทั้งสองอย่าง ทั้งเพลง ทั้งละคร เราเองก็ดีใจครับ
ถ้าตอนนี้ถามว่าผมพอใจกับผลงานของตัวเองมากแค่ไหน ผมไม่อะไรมากนะ แค่ผมทำเต็มที่ก็พอแล้วครับ ทีนี้ผลมันออกมาดีก็ยิ่งดี แต่โดยส่วนตัว
เราก็ยังต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพราะถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ก้าวไปข้างหน้า เราไม่พัฒนาตัวเอง เราก็จะก้าวไปอยู่ข้างหลังทันที เพราะว่าตอนนี้มีดารา
นักร้องในบ้านเราเกิดขึ้นเยอะแยะเลยครับ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยครับ"
เส้นทางในวงการบันเทิงของ "บี้" กำลังสดใสเชียวค่ะ แต่ว่าตอนหน้าเราจะพักเรื่องงานไปเจาะลึกเรื่องหัวใจกันบ้าง แฟนคลับ "นายบี้" ห้ามพลาดนะคะ ไปติดตามให้ได้ว่ารักครั้งแรกของเขาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร
มันก็ต้องได้สัมผัสกับความสุขก่อนอยู่ดีอย่างนี้มันก็น่าจะคุ้มล่ะน่า
แต่ก็อย่างว่าล่ะ ในความเป็นจริงแล้ว หลายคนยิ่งวิ่งตามหารัก ความรักก็มักจะวิ่งหนีไปไกล ไล่ตามเท่าไหร่ก็ไปไม่ทัน ขระที่บางคนอุตส่าห์สงบจิตสงบใจ
ไม่อยากเหนื่อยตาล่าหารัก แต่อยู่ๆ ความรักก็มาหล่นอยู่ตรงหน้า
วันนี้ "เวทีชีวิต" ของเราจะพาแฟนๆ ไปร่วมเปิดบันทึกสี่ห้องหัวใจของ "นายบี้" กันว่าตั้งแต่เกิดมา นอกจากความรักความสุขในครอบครัวแล้ว เจ้าตัวเคยเผลอไผล
ปันใจไปวิ่งไล่ตามหาความรักจากสาวคนไหนบ้างหนอ
"ความรักครั้งแรกของผม ตอนนั้นผมเรียนอยู่ประมาณชั้นอนุบาลสอง ผมรักผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเค้าเป็นเพื่อนในห้องเดียวกับผมนี่แหละครับ เค้าชื่อว่าภาวิณีครับ
ผมยังจำได้เลย (หัวเราะ) เค้าเป็นผู้หญิงผมยาว ผิวขาวๆ ตอนนั้นในสายตาของผมนี่เค้าสวยมากจริงๆ แต่ว่าขาเค้าจะเป็นลายจุดๆ เหมือนยุงกัดเลยครับ ผมยังจำได้เลยครับ
แต่ว่าเค้าน่ารักมากๆ เราเคยคุยกันแค่คำสองคำเท่านั้นเองครับ
แต่ผมก็ไม่ได้ไปบอกรักหรือว่าอะไรนะครับ เพราะว่าตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก เราก็ได้แค่มองๆ คงไม่ถึงขั้นบอกรักหรือว่าอะไร เพียงแต่มันเป็นความคิด ณ ช่วงเวลานั้นเท่านั้นเอง
พอเราเรียนจบชั้นอนุบาลสาม เราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น ทุกอย่างมันจบไปเองครับ
มันเป็นอารมณ์แบบว่ารักแบบเด็กๆ แต่ไม่ขนาดแฟนฉันนะ เพราะว่าเราไม่ได้สนิทกันเหมือนเจี๊ยบกับน้อยหน่า ผมคุยกับเค้าแค่ไม่กี่คำเอง มันยังไม่รู้สึกถึงคำว่าบอกรัก
หรือการขอเป็นแฟนหรอก เพราะมันเด็กมากๆ เค้าเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าผมชอบเค้า ผมแค่แอบรักเค้าข้างเดียวเท่านั้นเองครับ (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นความทรงจำดีๆ
แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยมีความรักอีกเลย เพราะว่าตอนชั้นประถมผมเรียนโรงเรียนชายล้วน พอมาชั้นม.ต้นผมก็ยังเรียนโรงเรียนชายล้วนอีก แต่เนื่องจากว่าผม
อยากมีความรักมาก อยากมีแฟนมากๆ ความรักครั้งต่อมาของผมก็เลยเกิดขึ้นตอนเรียนชั้นม.2ครับ
ตอนนั้นผมอยากเจอสาวๆ มากเลย แต่ในโรงเรียนมันไม่มีให้เจอ ผมก็เลยไปลงเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเพื่อจะได้เจอสาวๆ คือที่ไปเรียนเหตุผลหลักคืออยากได้ภาษาอังกฤษ
แต่เหตุผลรองลงมาคืออยากเจอผู้หญิงครับ (หัวเราะ) แล้วก็ได้เจอผู้หญิงมากหน้าหลายตา
แล้วก็มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่ผมชอบมากๆ เลย เค้าลงเรียนพิเศษห้องเดียวกับผมด้วย ก็เลยได้รู้จักกัน คนนี้ที่ผมชอบเพราะว่าตอนนั้นผมกำลังบ้าเล่นเกมไฟนอลแฟนตาซี 7 ครับ
ซึ่งกำลังดังมากๆ แล้วในนั้นมันจะมีนางเอกคนหนึ่ง ซึ่งผมชอบมากๆ แล้วก็หน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้นเป๊ะเลย แต่ว่านางเอกในนั้นจะผิวขาวหน่อย แต่คนนี้จะผิวเข้ม แต่ไม่เป็นไร
เหมือนมากๆ ทีนี้พอผมเจอผู้หญิงคนนี้ ผมก็เลยรู้สึกสปาร์คขึ้นมาทันที (หัวเราะ)
โชคดีที่ตอนนั้นมีน้องผู้ชายคนหนึ่งมาอาสาเป็นพ่อสื่อให้ ชักชวนไปโน่นไปนี่ จนทำให้ผมได้คุยกับเค้า พอได้คุยกับเค้าก็รู้สึกดีขึ้นไปอีกครับ เพราะว่าเค้าคุ่ยกับผมดีมากๆ
แต่ว่าเค้าคิดกับผมแค่เพื่อนไง แต่ผมน่ะคิดไปไกลกว่านั้น ผมก็เลยจะเขินตลอดเวลา (หัวเราะ)
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสอง เหมือนเป็นเดทครั้งแรกของเราเลย รู้สึกว่าวันนั้นจะเป็นวันปีใหม่หรือยังไงนี่แหละครับ เราก็เลยนัดกันไปเที่ยว
ซึ่งที่ที่เราไปเที่ยวกันก็คือที่ห้างกาดสวนแก้วครับ (หัวเราะ) วันนั้นผมจำได้ว่า ผมก็ปั่นจักรยานไปห้างกาดสวนแก้วตั้งแต่เช้าเลย ตอนนั้นผมชอบอ่านขายหัวเราะ ผมก็เอาขายหัวเราะ
ไปนั่งอ่านรอเค้า เพราะมันเพิ่งจะแปดโมงครึ่งเอง ห้างมันยังไม่เปิด เพราะห้างมันเปิดสิบโมง ผมก็นั่งอ่านไปรอไป เดินเล่นไปตามฟุตบาทบ้างอะไรบ้างอย่างอารมณ์ดี เพราะว่า
ได้มาเดทกับสาว (หัวเราะ)
แล้วเค้าก็มาครับ ผมตื่นเต้นมากๆ เพราะเราได้มีการนัดแนะเตรียมของขวัญมาแลกกันด้วย ผมก็เตรียมมาซะดิบดีเลย แต่เค้าน่ะสิ พอมาถึงกลับบอกว่า เรายังไม่มีของขวัญ
อะไรให้บี้เลยนะ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ก็เราชอบเขาน่ะ ผมก็เลยชวนเดินเล่นกันไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ไปเจอร้านข้าวแกงข้างทางร้านหนึ่ง ก็แวะกินข้าวแกงกัน แล้วเค้าก็อาสาเลี้ยงข้าวผม
ถือเป็นการให้ของขวัญไปครับ ผมก็ให้ของขวัญเค้า เป็นเทปรวมเพลงรัก สองถึงสามอัลบั้มนี่แหละครับ กะบอกรักเต็มที่ (หัวเราะ)
แหม.. อุตส่าห์ฝันหวานนึกว่าจะได้แฟนแล้ว แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คบกันเป็นแฟนนะ เพราะเค้าขอคบกับผมเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่า แต่ว่าใจผมน่ะมันไปแล้ว (หัวเราะ)
คือใจผมมันไปเกินร้อยแล้วครับ แต่ก็ทนคบๆ กันไปเรื่อยๆ ครับ อย่างน้อยได้อยู่ใกล้ๆ เค้า เราก็มีความสุขดีนะครับ ก็เป็นแบบนี้มาสักพักใหญ่ๆ ครับ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเหตุการณ์
ที่ผมไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้นครับ"
กำลังสนุกเชียวค่ะ เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ "นายบี้" พูดถึงจะเป็นอะไร และรักครั้งนี้ของหนุ่มคนนี้ จะจบลงแบบไหน ตอนหน้าห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ
และหลังจากนั้นเพียงไม่นาน โลกสีชมพูหวานๆของ "นายบี้" ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ.. ดำมืด เมื่อวันหนึ่งไปได้ยินมาว่า สาวคนนั้นเค้าคิดกับตัวเองแค่เพื่อนเท่านั้น
นาทีนั้น เหมือนโลกทั้งโลกมันทลาย อาการอกหักดังเป๊าะเข้าสิงสู่ในหัวใจทันที ไปฟังอารมณ์สุดเฮิร์ทของหนุ่มคนนี้กัน ณ บัดนี้
" หลังจากที่ความรักกับเพื่อนรุ่นเดียวกันกำลังไปด้วยดี คบกันไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดเกิดขึ้น เพราะอยู่มาวันหนึ่งผมก็รู้จากปาก
ไอ้เด็กคนที่เป็นพ่อสื่อให้นั่นแหละ มันมาบอกผมว่าผู้หญิงคนนี้เค้าไม่ได้ชอบผมเลย เค้าคิดกับผมแค่เพื่อนเท่านั้นเอง
งานนี้ผมก็เศร้าเลย แต่ว่าในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เราก็ไปฝืนมันไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยตัดใจจากเค้าไปครับ คือตอนนั้นมันก็เสียใจนะที่ชอบเค้าแต่เค้าไม่ชอบเรา แต่ว่า
ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นมันเป็นรักแบบปั๊บปี้เลิฟ มันอาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง แต่พอตั้งหลักได้ก็ตัดใจได้เหมือนกัน ครั้งนี้ถือเป็นรักครั้งแรกของผมที่เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ แต่
ว่าก็ต้องอกหักเพราะว่ารักเค้าข้างเดียว (หัวเราะ)
ตอนนั้นผมอยากมีแฟนมากๆ เลย คืออยากรู้อยากเห็น แล้วก็คิดว่ามันต้องสวยงามมากๆ เห็นเพื่อนๆ โทร.หาผู้หญิง แล้วตอนนั้นก็มีเพจเจอร์กันด้วย เพื่อนๆ ของผม
ก็จะมีสาวๆ เพจเข้ามาตลอดเวลา ผมก็โห.. อยากมีบ้าง ก็เลยไปซื้อเพจเจอร์กับเค้าด้วย
คือตอนนั้นผมว่าความรักมันสวยงามมากนะ ผมก็เลยขวนขวายมาก อยากจะได้แฟน (หัวเราะ) เพราะเพื่อนๆ ในแก๊งของผมส่วนใหญ่เค้าก็จะมีแฟนกันทั้งนั้น
มันก็ชอบเอามาสนทนาเฮฮากันเช้า ๆ ก่อนเข้าแถว ส่วนผมก็จะนั่งฟังแล้วก็เก็บข้อมูลอย่างเดียวเลย ไม่มีอะไรไปสนทนากับเค้า เพราะว่าเราไม่มีแฟน " (หัวเราะ)
หลังจากเลิกรักเค้าข้างเดียว กลายเป็นคนไม่มีแฟน เลยต้องไปวิ่งตามหารักครั้งใหม่อยู่พักใหญ่ กามเทพก็แผลงศรรักปักอก "นายบี้" ของเราอีกครั้ง คราวนี้จะ
จริงจังแค่ไหน เจ้าตัวพร้อมเปิดใจแล้ว
"หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คบใครอีกเป็นปีๆ เพราะเรายุ่งเรื่องเรียนด้วย อะไรด้วย แล้วเราก็ไม่ได้ขวนขวายหา มันก็เลยไม่มี จนประมาณม.3 เกือบๆจะขึ้นม.4
ผมก็ได้มีความรักอีกครั้ง ตอนนั้นจำได้ว่าผมไปจีบรุ่นพี่ครับ พี่เค้าอยู่ประมาณม.5 ผมอยู่ม.3กำลังจะขึ้นม.4 ก็ห่างกันประมาณ 2 ปีนะ ซึ่งพี่คนนี้เค้าดูน่ารักดี เค้าดูเป็น
ผู้ใหญ่ ผมว่าเราน่าจะลองจีบ ลองคบดู เราน่าจะได้อะไรมากขึ้นนะ เค้าน่าจะเข้าใจเรามากขึ้น ทำให้เราแฮปปี้มากขึ้น เพราะสมัยเด็กเวลาคบกันมันก็จะง้องแง้งๆ ไม่ค่อย
เป็นผู้ใหญ่
ทีแรกเราก็เริ่มไปคุยๆ ดู ว่าจะเป็นยังไง แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่าเค้าน่ารักดีนะ จริงๆ แล้วหน้าตาเค้าก็ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ แต่ว่านิสัยเค้าน่ารักมาก เค้าเฮฮาปาร์ตี้
อยู่ใกล้ๆ แล้วมีความสุข เราก็เลยรู้สึกว่าเออคนนี้แหละใช่เลยสำหรับเราแล้ว (หัวเราะ)
ตอนนั้นจำได้ว่าที่ไปจีบเค้าน่ะ ผมก็ไม่กล้าเข้าไปตรงๆ หรอก แต่จะให้เพื่อนไปจีบ ไปแซวๆ ผมมีแก๊งของผม แก๊งผมก็ช่วยกัน พอได้ทีผมก็เริ่มคุยๆ เริ่มหยอดๆ
ของผมไป แล้วตอนนั้นก็ใช้เพจเจอร์ให้เป็นประโยชน์ ผมก็ไปแอบเอาเบอร์เพจเค้ามา แล้วก็ส่งเพจไปหาเค้า ทีแรกเค้าก็ไม่รู้หรอกว่าผมชอบเค้า แต่หลังๆ มาผมเริ่มส่ง
บ่อยขึ้น เค้าก็เริ่มรู้แล้ว แล้วเค้าก็ส่งข้อความกลับมาหาผมบ้าง ผมก็ดีใจใหญ่เลย (หัวเราะ)
แต่ว่าคู่แข่งเยอะมาก เพราะเค้ามีผู้ชายมาจีบเยอะนะ คือหน้าตาเค้าไม่ได้น่ารักมาก แต่เค้าเป็นคนมีเสน่ห์ครับ พอเค้ารู้ว่าผมชอบเค้าก็เริ่มคุยกันมากขึ้น ยิ่งคุย
ก็ยิ่งรู้สึกดี แล้วสุดท้ายก็ได้คบกัน
ซึ่งคนนี้ถือเป็นคนแรกที่ผมได้คบกับเค้าเป็นแฟนจริงๆ คือที่ผ่านมาจะแค่รักเค้าข้างเดียวไง แต่อันนี้คือรักกันจริงๆ เลย ฝันเป็นจริงซะที (หัวเราะ) แล้วคนนี้
ก็เป็นคนที่ผมคบด้วยยาวที่สุดด้วยครับ คือคบกันประมาณ 3 ปี คบยาวเลย
แต่ว่าเราจะต่างกันในเรื่องของฐานะครอบครัว คือผมจะค่อนข้างกลางๆ ลงมาทางข้างล่างหน่อย แต่ว่าบ้านเค้าจะมีฐานะเรียกว่ารวยเลยแหละ ทำให้เรามีความคิด
ต่างกันบ้างในบางเรื่อง คือเราจะชอบทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ เค้าก็จะชอบบอกว่าทำไมไม่ให้พ่อแม่ไปลงทุนทำกิจการโน่นนี่อะไรแบบนี้ล่ะ จะได้ยกระดับครอบครัวนะ
ไอ้เราก็บอกไม่หรอก เราเป็นครอบครัวข้าราชการนะ เราไม่ได้มีเงินลงทุนขนาดนั้นหรอกนะ เค้าก็บอกก็ไปกู้สิ อะไรแบบนี้ เค้าจะอยากให้เราลงทุน ก็คบกันค่อนข้างจริงจังมากๆ
ถึงขนาดที่ผมฝันเลยว่าผู้หญิงคนนี้แหละ คือคนที่ผมจะแต่งงานด้วย คนนี้แหละคือเจ้าสาวของผมในอนาคตครับ คิดขนาดนั้นเลย" (หัวเราะ)
รักครั้งใหม่จริงจังขนาดเอาไปคิดเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะว่าจะแต่งงานกันซะด้วย อะไรจะจริงจังขนาดนั้น แล้วเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
สุดท้ายฝันจะเป็นจริงหรือเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ตอนหน้าห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ..
ตอนที่ 27
แม้ความรักครั้งนี้จะเป็นรักต่างวัย เป็นความรักที่เพื่อนฝูงล้อเลียนกันสนุกปากว่าไอ้บี้รักคนแก่ เป็นความรักที่ผู้หวังดีเอ่ยปากเตือนไว้ว่าความต่างในเรื่องความคิด
ทัศนคติ จะทำให้รักล่มจมอ่าวเร็วกว่าที่คิด
แต่ "นายบี้" ของเราก็ยินยอมพร้อมใจที่จะเผชิญหน้าหากจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ก็เพราะว่าในวันนี้ วันที่ความรักมันเข้าตา อะไรๆ ในชีวิตมันก็ดูเหมือนจะ
เจือไปด้วยความสุข จะกินจะนอนก็มีแต่ใบหน้าของเธอลอยวนเวียนมาให้ชื่นใจเสมอ
"ตลอดระยะเวลาที่เราคบกัน มันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ เลยนะ เค้าจะเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียนอยู่ปีหนึ่ง ผมก็จะตามไปเที่ยวในมหาวิทยาลัย ไปหาเค้า
ไปกินข้าวกัน ไปเที่ยวกันทั่วเชียงใหม่เลยครับ เชียงใหม่มีที่เที่ยวที่ไหนบ้างเราไปกันทุกซอกทุกมุมเลยครับ (หัวเราะ) สวีทกันสุดๆ
ตอนแรกๆ จะโรแมนติกมาก มีวันหนึ่งผมก็ขี่มอเตอร์ไซด์เข้าไปในมหาวิทยาลัยนะ แล้วมันจะมีอยู่ตึกหนึ่ง เป็นตึกอะไรไม่รู้นะครับ แต่จะสูงสักประมาณ 5 ชั้น
มันจะมีดาดฟ้า เราก็เอามอเตอร์ไซด์จอดไว้ แล้วเราก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้ากัน ไปนอนดูดาวกันข้างบนนั้น (หัวเราะ) นั่นแหละโรแมนติกสุดๆ แล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาที่รู้จักกัน
ใหม่ๆ ด้วย เรียกว่าหวานชื่นมากๆ เลยทีเดียวครับ (หัวเราะ)
ตอนแรกๆ ที่เราคบกัน เพื่อนๆ ก็จะแซวๆ ตลอดครับ มีคนแซวว่าผมชอบคนแก่ แซวสนุกๆ เฮ้ยคบแม่เหรอ วันนี้พกแม่มาด้วยเหรอ (หัวเราะ) จริงๆ เราห่างกันแค่
2 ปีนะ แต่คือเด็กมัธยมก็มักจะคบผู้หญิงที่อายุเท่ากันหรืออ่อนกว่าน่ะครับ จะไม่ค่อยมีใครคบคนที่แก่กว่าหรอกครับ พอผมไปคบคนที่แก่กว่า ก็เลยโดนแซวเยอะ (หัวเราะ)
แต่ผมก็ไม่โกรธนะ เพราะเค้าแซวกันสนุกๆ มากกว่าครับ
ทีแรกคิดว่าคบคนอายุแก่กว่ามันจะไม่ต่างจากคบคนรุ่นเดียวกัน แต่จริงๆ ผมว่ามันแตกต่างกันนะครับ จริงๆ เราคบคนที่เป็นรุ่นพี่ผมไม่ได้มองว่าเค้าแก่กว่านะ
แต่ผมมองว่าเค้าจะเข้าใจเรามากขึ้น ทั้งในเรื่องของความเข้าใจ เรื่องเวลาอะไรแบบนี้ครับ การเรียน การดำรงชีวิต เค้าก็จะเข้าใจเรามากขึ้น ไม่เหมือนเด็กๆ ที่จะมีคำถาม
ว่าทำไมๆ ตลอดเวลานะ ก็เลยทำให้ผมค่อนข้างมีความสุขมากๆ
เพื่อนก็รับรู้หมดว่าเราคบกัน ที่บ้านผมก็รู้ครับ (หัวเราะ) คือไม่เคยพาไปเปิดตัวขนาดนั้นหรอก แต่ผมจะเอารูปไปโชว์บ้าง ว่านี่แฟนเรา ทุกคนก็จะรับรู้ และทุกอย่าง
ราบรื่น แฮปปี้มากๆ อย่างที่บอกว่าผมอยากจะแต่งงานกับเค้าด้วยซ้ำ
แต่หลังจากที่ทุกอย่างราบรื่น สวยงาม หวานชื่นมาได้ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก็เริ่มมีทะเลาะกันบ้างแล้ว เริ่มไม่เข้าใจกัน จนสุดท้ายเมื่อต้องห่างกันด้วยความที่เค้าไป
เรียนที่กรุงเทพฯ ด้วย คือเค้าสอบใหม่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ มันก็เลยทำให้เราห่างกัน ทีนี้ไอ้ความห่างกัน มันก็ทำให้เริ่มทะเลาะกัน เริ่มไม่ไว้ใจกัน แล้วไม่ได้เจอกันด้วย
ก็เลยทำให้เรายิ่งห่างกันเข้าไปใหญ่
ซึ่งที่จริงผมว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุห่างกันนะ อายุไม่ใช่อุปสรรคเลย มันอาจจะมีนิดหนึ่งที่ทำให้เค้าคิดโตกว่าผม แต่ไม่รู้สิ ผมกลับชอบตรงนั้น เพราะผมว่า
มันทำให้เราคุยกับเค้ารู้เรื่องมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน จะมีบ้างในบางเรื่องแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่สุดท้าย ผมก็โดนเค้าบอกเลิกนะครับ จริงๆ ตอนนั้นช่วงหลังๆ มันก็เริ่มมีลางร้ายมาก่อนแล้วว่าอาจจะต้องเลิกกันแน่ๆ เพราะมันกระท่อนกระแท่นมาบ้างแล้ว
ในช่วงหลังๆ ผมก็เสียใจนะ แต่มันก็เป็นการเลิกกันด้วยดีนะ คุยกันด้วยความเข้าใจ
ทุกวันนี้นานๆ ทีเราก็ยังมีการโทร.หากันอยู่เลยครับ มีคุยกันปรึกษากันบ้าง แต่ไอ้เรื่องจะรีเทิร์นอะไรคงไม่มีหรอกครับ เพราะว่าเค้าก็ไปมีคนใหม่แล้วด้วย (หัวเราะ)
ผมเองก็มาทำงานตรงจุดนี้ ก็คงมีปัญหาเรื่องเวลา ถ้ากลับมาคบกันก็คงจะมีปัญหา สุดท้ายต้องแยกย้ายนั่นแหละครับ
ความรักครั้งนี้มันทำให้ผมเรียนรู้หลายๆ อย่าง มันเป็นความรักแบบเป็นแฟนกันครั้งแรกของผม แล้วมันก็เป็นความรักที่ยาวนานที่สุด นาน 3 ปีเลย ผมไม่เคย
คบใครนานขนาดนี้เลย มันทำให้เรามีประสบการณ์ ทำให้เรารู้ว่าความรักมันทำให้เรามีทั้งสุขและทุกข์ มีรักกันทะเลาะกัน มีการปรับตัวเข้าหากัน ทำให้เรานำไปประยุกต์
ใช้กับการปรับตัวเข้าหากัน เข้ากับคนอื่นๆ ในสังคมได้ ตอนนั้นก็เลิกกัน ตอนผมอยู่ประมาณม.6 ครับ แต่ก็เป็นความทรงจำดีๆ ในช่วงชีวิตหนึ่งของผมครับ"
ในที่สุดความรักที่ "นายบี้" เคยคิดว่าดีที่สุด หวานที่สุด โรแมนติกที่สุด และเป็นผู้หญิงที่คิดว่าอยากจะแต่งงานด้วยในอนาคต ก็ต้องจบลงไปเพราะความไม่เข้าใจ
และระยะทางที่ห่างกัน แต่ก็ดีที่มันจบไปแบบยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ หลังจากนี้เส้นทางหัวใจของ "นายบี้" จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามตอนหน้าค่ะ..
มองโลกสดใสกลายเป็นสีชมพูไปซะหมด จนทำให้เจ้าตัวหลงลืมสำนวนที่ว่า "ถ้าหากจะรักต้องลืมคำว่าเสียใจ"
ใครเลยจะเชื่อว่าหนุ่มต่างจังหวัดอย่าง "นายบี้" วันนี้จะกลายเป็นคนดังระดับแถวหน้าๆ ของประเทศไปแล้ว
แม้แต่เจ้าตัวเองยังแอบๆ ตั้งความหวังเอาไว้เล็ก ๆ แต่เมื่อผลลัพธ์ที่ออกมามันยิ่งใหญ่เกินคาดขนาดนี้ก็ทำเอาเจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
ผลงานอื่นๆ ของ Lo.ve-Letter ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Lo.ve-Letter
ความคิดเห็น