( fic prince of tennis yaoi ) FATE
TezuxFuji , AU อาจจะหลุดคาแรคเตอร์ , เพ้อๆ
ผู้เข้าชมรวม
2,612
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
ถ้า....เทะสึกะและฟูจิไม่เคยเจอกันมาก่อน............
แล้ว.......ต้องบังเอิญได้ที่นั่งข้างกันบนเครื่องบนแบบนี้...........
ผลที่จะเกิดตามมาก็คือ???
พล๊อตเริ่มเรื่องมีแค่นั้นค่ะ แต่มันยาว ย้าาาว ยาว
ทำไมมันแบ่งเป็นตอนๆนะ
ก็เพราะมันจะดองค่ะ...
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องทำให้ใครหลายคนที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินลำดังกล่าวต้องรีบตรวจเช็คข้าวของก่อนจะตรงไปที่ทางออกขึ้นเครื่อง ซึ่งบัดนี้.....หนาแน่นไปด้วยผู้โดยสารมากหน้าหลายตา
ชายหนุ่มร่างสูงเคาะปลายนิ้วกับที่จับของราวทางเลื่อนเบาๆ นัยน์ตาเคร่งขรึมที่มองตรงไปด้านหน้าอย่างมุ่งมั่นรวมถึงคิ้วได้รูปที่ขมวดมุ่นน้อยๆ ชวนให้ผู้ที่มองเห็นเข้าใจไปว่ากำลังคิดเครียดกับบางสิ่งตลอดเวลา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว......นั่นเป็นเพียงความรู้สึกเดียวที่้เลือกแสดงออก
เพียงก้าวเดียวที่จะพ้นจากทางเลื่อน ร่างเบื้องหลังกลับขยับชนจนตั๋วโดยสารในมือร่วงลง น้ำเสียงรื่นหูเอ่ยคำขอโทษเป็นภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะขณะที่เจ้าตัวก้มลงช่วยรับผิดชอบโดยการเก็บตั๋วใบนั้นขึ้นมา
ซุ่มซ่าม....หากจะให้เขานิยามอีกฝ่ายในจังหวะนั้นก็คงไม่พ้นคำนี้ เพราะทันทีที่ก้มลงช่วยเก็บก็กลายเป็นว่าพลอยทำบัตรของตัวเองร่วงลงด้วยเสียอย่างนั้น
ความวุ่นวายย่อมๆเกิดทันทีที่ต้องหยุดเดิน เทะสึกะรีบเก็บตั๋วขึ้นมา แล้วรีบสาวเท้ายาวๆให้พ้นจากการกีดขวางทาง ความนึกคิดเกี่ยวกับคนที่ชนจนเกิดเรื่องวุ่นค่อยเลือนหายไปจากหัว ขณะที่มุ่งตรงไปยังจุดที่ตั๋วกำหนด
ทะเลมนุษย์ที่ต่อแถวรอขึ้นเครื่องนั้นทำให้อดจะถอนใจไม่ได้ ไม่รู้ทำไมกำหนดกลับของเขาถึงไปตรงกับช่วงเทศกาลกีฬาสำคัญที่เล่นทำให้ที่นั่งเต็มเกือบหมดทุกเที่ยวบินแบบนี้ แถมกว่าจะมาถึงก็ต้องอยู่บนถนนที่รถติดชนิดเคลื่อนไม่ได้อยู่เป็นนาน
ยกตั๋วโดยสารในมือขึ้นดูแก้เบื่อ และความเบื่อก็เปลี่ยนเป็นความแปลกใจสงสัยในเสี้ยววินาที
FUJI SYUSUKE
ชื่อที่พิมพ์ไว้หรานั่นไม่มีทางเป็นของเขาไปได้ แม้เที่ยวบินจะเป็นเที่ยวเดียวกันก็เถอะ เป็นไปได้อย่างเดียวว่าสลับกันตอนทำตั๋วหล่นแน่
"ชื่อในตั๋วไม่ตรงกับพาสปอร์ตค่ะ"
น้ำเสียงสุุภาพเอ่ยบอกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ พนักงานสาวสวยยื่นตั๋วและพาสปอร์ตคืนให้คนตรงหน้าที่ดูจะยังงงๆ อาการก้มมองทำให้เส้นผมสีอ่อนตกระใบหน้า เห็นเพียงปลายคางเรียวได้รูป รับกับปลายจมูกและริมฝีปากสีเรื่อ
"เทะสึกะ.....คุนิมิตสึ......ในตั๋วเขียนไว้แบบนั้นใช่ไหม"
ใบหน้าที่หันมานั้นหวานละมุน หากดวงตาสีฟ้าเฉลียวฉลาดกลับเสริมเครื่องหน้าให้ดูเฉียบคม คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนจะอุทานเป็นภาษาอังกฤษเบาๆทันทีที่ตั๋วอีกใบถูกยัดเยียดให้
"ขอบคุณครับ....ผมรีบมากจนไม่ทันได้ดูตั๋วเลย"
เจ้าของชื่อฟูจิ ชูสึเกะยกยิ้มบาง หากเพียงรอยรื่นรมย์ในดวงตา รอยยิ้มจางๆนั่นกลับทำให้คนเห็นรู้สึกราวกับว่ารอบกายสว่างไสวขึ้นทันใด
"ไม่เป็นไร"
++++++++
ที่นั่งติดหน้าต่างคือที่นั่งที่เขาเลือกตั้งแต่ที่ทำการเช็คอินออนไลน์ เครื่องทะยานขึ้นฟ้ามาได้พักใหญ่และสัญญาณให้นั่งรัดเข็มขัดอยู่กับที่ก็ดับไปนานแล้ว จึงสามารถที่จะลุกเดินไปไหนได้โดยไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ทว่า....คนที่นั่งข้างด้านติดทางเดินและดูเหมือนจะม่อยหลับไปทันที....กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่ง
แพขนตาสีดำสนิททาบลงตัดกับผิวหน้าขาวจัดและอาการหลับไม่รู้เรื่องทำให้พลอยคิดไปถึงปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ปัดความรู้สึกนี้ไปไม่พ้นเสียที
:
"รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ"
เมื่อเป็นไฟท์ที่บินยาวจึงเริ่มจากการเสริฟเครื่องดื่มและของขบเคี้ยว ก่อนจะตามมาด้วยอาหารจริงจัง รถเข็นที่มีเครื่องดื่มหลายหลากเลื่อนมาถึง รอยยิ้มการค้าส่งมาพร้อมกับอาการก้มตัวลงน้อยๆของแอร์โฮสเตสสาวสวย เทะสึกะเลือกไวน์ขาวมาดื่มแก้เซ็ง หากก็ไม่วายมองไปยังคนที่ยังหลับอยู่ข้างๆอย่างลังเล
"แล้วอีกท่านล่ะคะ"
เธอถามราวกับว่าเขากับคนข้างๆเดินทางด้วยกันเสียอย่างนั้น และก็ดูเหมือนคำถามจะดังไปถึง เมื่อเปลือกตาบางขยับปรือขึ้นช้าๆ
"คุณ....จะดื่มอะไร"
ถามไปแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เขาอยู่นิ่งๆปล่อยให้แอร์ทำหน้าที่ไปก็ได้ แต่พออีกฝ่ายลืมตาขึ้น บังเอิญที่สบตากันเข้าเสียอย่างนั้น
"น้ำแอปเปิ้ล......." จะด้วยยังง่วงอยู่หรือเหตุผลกลใดก็ไม่อาจรู้ น้ำเสียงนุ่มตอบแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆอย่างมีมารยาท ก่อนจะขยับตัวตรงแล้วจิบน้ำผลไม้เพิ่งได้มาช้าๆ
"คุณ.....ไม่เป็นไรนะ"
ดวงตาสีฟ้ามองมาอย่างหลากใจ คำถามนั้นแสนสุภาพ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามไถ่ เว้นเสียแต่ว่าอาการเขามันหนักหนา
"ครับ....ผมไม่เป็นไร"
ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นเป็นฝ่ายชวนเขาคุย ทำไมคราวนี้ถึงกลับกันนะ
บทสนทนาแสนสั้นจบลงพร้อมกับความเงียบที่น่าอึดอัด เทะสึกะก้มลงหยิบนิตยสารบรรดามีตรงกระเป๋าหน้าที่นั่งขึ้นมาเปิดผ่านๆได้สักพัก หันมองอีกที...อีกฝ่ายก็เอนพิงพนักหลับไปอีกหน
+++++++++++
"เนื้อ หรือ ปลาคะ"
อาหารมื้อแรกเริ่มเสริฟพร้อมกับสองทางเลือก เทะสึกะมองเมนูที่เป็นแผ่นกระดาษพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษกำกับไว้อย่างชั่งใจ
ความจริง จะอะไรมันก็อาหารแช่แข็งแล้วอุ่นใหม่เหมือนกันทั้งนั้น
"รับอะไรคะ"
"ปลา"
ข้าวหน้าปลาไหลในถ้วยเมลามีนห่อปิดด้านหน้าไว้ด้วยฟอยล์และเครื่องเคียงจำพวกสลัด ผลไม้ ของหวานยื่นส่งให้ ก่อนที่พนักงานสาวจะแสดงความปรารถนาดี
"อีกท่านล่ะคะ"
เทะสึกะเงยหน้ามองและพบว่าพนักงานสาวคนเดิมที่เสริฟเครื่องดื่มมองมายังเขาโดยตรง ชายหนุ่มลอบถอนใจบาง
“ยังครับ”
ก็ใครจะไปซี้ซั๊วสั่งให้ได้
“รอเขาตื่นก่อน”
พอตอบไปแบบนั้น ร่างที่ฟุบหลับก็ขยับตัวเบาๆ ศีรษะได้รูปซบเอียงมาจนถึงบ่าของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววง่วงงุนค่อยลืมขึ้นก่อนจะสะดุ้งผละห่างพร้อมกับใบหน้าซับสีเรื่อ รมฝีปากบางสวยพึมพำคำขอโทษเบาๆ เทะสึกะนิ่งมองพนักงานสาวที่ยิ้มรอราวจะเปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายถาม แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจอีกหน
“คุณ....จะเอาอะไร”
++++++++++++++++++
กับงานที่ยุ่งจนกินเวลาไปเกือบหมดทำให้ชินกับการจัดการอาหารรวดเร็ว ต่างกับคนข้างๆที่ตักนู่นตักนี่กินอย่างละนิดละหน่อย แล้วก็ดื่มน้ำเปล่าตามโดยทิ้งอาหารเหลือไว้ซะมาก
ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่.....แค่พอดีเหลือบเห็นเข้าหรอก
"ชาสอง"
เทะสึกะหันไปสั่งกับพนักงานที่เดินผ่านมา ชาร้อนกลิ่นหอมกรุ่นสองถ้วยส่งมาให้ ซึ่งเทะสึกะก็เอื้อมมือไปหยิบเลมอนฝานแว่นที่เสียบไว้ด้วยไม้สลักมาด้วย
"ช่วยให้สดชื่นขึ้น"
ฟูจิฉีกซองน้ำตาลเทลงในชา ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้น คนที่ไม่เติมอะไรอื่นลงในเครื่องดื่มจึงยื่นน้ำตาลในส่วนของตัวเองให้อีก ความร้อนจากชาทำให้ใบหน้าขาวซับสีเลือดขึ้นมาจางๆ มือเรียวแตะประคองถ้วยด้วยสองมือแล้วก้มจิบทีละน้อย รอยยิ้มอ่อนปรากฎขึ้นราวกับถูกใจ เพียงเท่านั้น ก็ทำให้ฝ่ายที่เมียงมองมาเป็นระยะแทบไม่อาจละสายตา
:
ทันทีที่ถาดอาหารถูกเก็บไป และไฟในเครื่องถูกปิดลงอีกหน เทะสึกะก็เปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือแล้วหันเปิดใช้โน้ตบุคง่วนทันที จนเริ่มรู้สึกเมื่อยตา และไม่มีอะไรรีบเร่งให้ต้องจัดการแล้วจึงปิดโน้ตบุคเก็บ พร้อมกับหลับตาลงช้าๆหมายจะพักเอาแรง หากเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาเขม็ง จึงหันกลับไป
คนในที่นั่งอื่นซึ่งถูกคั่นด้วยทางเดินมองมาอย่างตำหนิ เทะสึกะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรแน่ หากทันทีที่มองกลับมายังคนข้างตัวจึงเข้าใจ
ดวงตาคู่สวยปิดสนิท ศีรษะพับเอียงไปอีกทาง ก่อนจะเซลงราวกับว่าจะล้มลงไปแบบนั้น คงนอนได้ไม่สบายนัก
ทุกสายตาทองมาราวกับว่าเขาใจดำนักหนาที่ไม่ยอมดูแลคนข้างตัวให้ดี เทะสึกะสูดลมหายใจเข้าลึก มือข้างหนึ่งยกนวดขมับซึ่งปวดตุบเบาๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีวี่แววจะตื่นมาแน่ จึงตัดใจโอบไหล่อีกฝ่ายให้พิงบ่าไว้เสีย
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบอกเขาว่าอีกฝ่ายกำลังหลับลึก ส่วนเขาเอง ก็ควรถนอมแรงสำหรับการเดินทางคราวนี้เหมือนกัน
"ผ้าร้อนครับ..."
รอยยิ้มอ่อนของพนักงานบริการที่ดูมีอายุทอดมองมาอย่างเอ็นดู แล้วถามทักเสียงนุ่ม
“ผ้าร้อนไหมครับ”
“!”
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว่างก่อนจะสะดุ้ง แต่ก็ถูกคว้าตัวไว้ก่อนจะไปชนกับถาดผ้าร้อนเสียก่อน
"ระวังหน่อยสิ"
ดุเสียงเบา หากก็ดูออกว่าเป็นห่วงมากกว่า พนักงานบริการอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ก่อนจะคีบผ้าร้อนส่งให้
“ขอโทษครับ”
ฟูจิหันมาเอ่ยเขินๆหลังขอบคุณพนักงานเสียงแผ่ว อาการก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าอุ่นร้อนซับตามหน้าพอเป็นพิธีก่อนจะเช็ดมือจนสะอาดนั้นกลับน่าดูทั้งที่เป็นเพียงอากัปกิริยาธรรมดา และเพียงนัยน์ตาสีฟ้าช้อนสบแล้วเบี่ยงหลบไปพร้อมกับผิวแก้มที่เป็นสีเรื่อ ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ผู้คนเริ่มกลับไปนั่งที่แทนที่จะยืนอยู่ตามทางเดิน ไฟในเครื่องหรี่ลง ฟูจิหันมองไปยังห้องน้ำซึ่งไฟที่เป็นสีเขียวบอกชัดว่าว่าง มือขาวเอื้อมค้นของในกระเป๋าใต้ที่นั่งแล้วหยิบเอาแปรงสีฟันพร้อมยาสีฟันออกมา
ร่างสูงโปร่งขยับลุก หากจังหวะนั้นเครื่องกลับสั่นจนสัญญาณให้รัดเข็มขัดสว่างวาบ รวมถึงที่เสียการทรงตัวและเซวูบล้มลง
หากล้มในที่นั่งของตัวเองก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่......กลับล้มลงไปที่ตักของคนที่นั่งข้างเสียอย่างนั้น
“ขอโทษครับ”
วันนี้มันอะไรนักหนา ตั้งแต่สลับตั๋ว เผลอหลับพิงบ่า แล้วยังจะ-----
ฟูจิขยับจะลุกกลับไปที่นั่งของตัว หากเครื่องบินก็สั่นเสียราวกับถูกพายุพัดโหมจนเกือบล้มลงอีกหน หากปราศจากอ้อมแขนของใครอีกคนซึ่งกอดรั้งไว้หลวมๆ
“ขณะที่ เครื่องของเรากำลังบินผ่านบริเวณที่มีอากาศแปรปรวน ขอให้ท่านผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่ อย่าเพิ่งลุกไปไหน ขออภัยในความไม่สะดวก”
“.............”
“ลูกเรือทุกคน กลับมานั่งประจำที่”
เครื่องสั่นไหวไม่หยุด กลิ่นหอมอ่อนอวลจากร่างในอ้อมกอดจนเกือบจะจรดจมูกลงไปที่เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มซึ่งระถูกหน้าอยู่รอมร่อ
“ขอบคุณ........แต่ผมจะกลับไปนั่งที่”
ใบหน้าหวานหันมองสบตา คำขอบคุณนั้นทำให้ได้สติ จึงรีบคลายมือออกปล่อยไป
ไฟรัดเข็มขัดยังติดอยู่อีกพักใหญ่ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้มต่ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก อะไรบางอย่างจึงสว่างวาบขึ้นในหัว
“โอเครึเปล่า”
ฟูจิพยักรับทั้งที่มองปราดเดียวก็เห็นว่าสีหน้าซีดเชียวขนาดไหน เทะสึกะเอื้อมกุมมืออีกฝ่ายไว้ และเมื่อไม่เห็นอาการต่อต้านจึงดึงที่พักแขนที่ขวางไว้ไปด้านหลัง พร้อมกับรั้งให้ซบลงบนไหล่
“หายใจเข้าลึกๆ หลับตาลงซะก็ได้ อีกเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติแล้ว”
วันนี้มันอะไรนักหนา ตั้งแต่สลับตั๋ว ถูกซบบ่า ถูกแอร์และคนรอบข้างเข้าใจผิด ต้องชวนคนอื่นคุยแถมยังต้องเทคแคร์อยู่แบบนี้............
แต่......ก็ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจหรอกนะ
++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นครู่กว่าที่ทุกอย่างจะปกติ ฟูจิที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำหมุนแปรงสีฟันในมือกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด หากจู่ๆจังกวะก้าวเดินก็สะดุด พร้อมๆกับที่ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“คุณ.........”
คนที่นั่งข้าง..........กลับมานั่งในที่นั่งของเขาเสียอย่างนั้น
เทะสึกะหันกลับมา แล้วลุกยืน ก่อนจะบอกเสียงเรียบ
“เข้าไปนั่งด้านใน”
“...?...”
“เวลาหลับจะได้พิงผนังได้”
ใบหน้าคนฟังซับสีโลหิตขึ้นจางๆ ก็พอรู้ว่าเมื่อครู่สร้างความยากลำบากให้อีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าจะยอมเปลี่ยนที่นั่งให้.................
ร่างโปร่งเดินเข้าไปนั่งที่ติดหน้าต่าง ขณะก้มลงจะเอากระเป๋า อีกคนกลับก้มลงจัดการเอากระเป๋าจากใต้ที่นั่งที่เดิมมาไว้อีกที่แทน
“หายเมาเครื่องรึยัง ก้มๆเงยๆเดี๋ยวก็เวียนหัวอีก”
ไม่ได้รู้จัก และไม่ได้มาด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าต้องไปสนใจ.......ต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้แบบนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวลาที่ใช้ในการเดินทางผ่านไปเกินครึ่ง อีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงที่หมาย ฟูจิที่ฆ่าเวลาและพยายามทำตัวให้ตื่นโดยการดูหนังจากจอขนาดเล็กตรงหน้าเริ่มจะง่วงและแสบตาจนอยากจะนอนพัก หากเพราะเมื่อตอนออกเดินทางเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างกระทันหันเพราะเรื่องน้องชายที่เขานัดไว้ จึงแทบไม่ได้พักผ่อนเลยก่อนหน้าที่จะมา พอไม่ได้พักผ่อน นอกจากจะง่วงแล้ว ยังมีอาการเวียนหัวและคลื่นไส้เพิ่มมาด้วย
อาการขยับตัวลุกของฟูจิทำให้คนที่นั่งข้างๆลุกยืนเปิดทางตามมารยาท ใบหน้าซีดเซียวและสีหน้าไม่สู้ดีที่เห็นตอนเดินผ่านทำให้ความกังวลแล่นขึ้นมาจางๆ หากก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากไป
:
:
:
แม้จะคลื่นไส้แค่ไหน แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่พยายามจะอาเจียน ฟูจิเปิดน้ำเย็นๆล้างหน้าและชุบเช็ดช่วงลำคอ ดวงตาสีฟ้าปิดลงนิ่ง ขณะที่ได้แต่ยืนเกาะผนังห้องน้ำเครื่องบินอย่างหมดเรี่ยวแรง
เสียงเคาะประตูและคำถามเป็นภาษาอังกฤษดังมาจากอีกฟากของประตู ฟูจิลืมตาขึ้นเพื่อจะพบว่าไปเผลอกดปุ่มที่มีไว้สำหรับเรียกพนักงานบริการมาในกรณีฉุกเฉิน จึงรีบตอบปฏิเสธไปในภาษาเดียวกันว่าไม่มีปัญหา และไม่ได้เป็นอะไร.....ปลายนิ้วเรียวกดเน้นลงตรงช่วงสันจมูกใกล้ดวงตาพักหนึ่ง
ปวดหัว.......เวียนหัว..........คลื่นไส้...........ทุกอย่างเกิดพร้อมกันไปหมด..........
แต่พอถึงที่หมาย....ยูตะเอารถมารับ ก็จะได้กลับไปพักที่บ้านเสียที
ความจริงแล้ว...........ตั้งต่พ่อมาทำงานที่ต่างประเทศ เขากับยูตะก็ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ยังเล็ก จนแทบไม่คุ้นกับญี่ปุ่นเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ที่ไปญี่ปุ่นคราวนั้น......ก็เพราะไปทำงานหรอก....
“.....โอเครึเปล่า”
ทันทีที่เปิดประตูเดินออกมาก็เจอคำถามนี้เข้า คนถามที่อยู่ตรงหน้าและก้มมองมาได้รับคำตอบเป็นอาการส่ายหน้า ตบท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อน
“หน้าซีดๆนะ”
เมื่อครู่ พนักงานบริการไปบอกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่.......... สงสัยว่าเขาและฟูจิคงถูกคิดว่ามาด้วยกันไปแล้ว
“ไม่ใช้ห้องน้ำเหรอครับ”
น้ำเสียงหวานหูเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเมื่อถูกประคองไว้ตอนจะเดินกลับที่ และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่....หากคล้ายว่าจะได้ยินเสียงถอนใจบางๆ
“มารับ”
:
:
:
มื้ออาหารถัดมาเริ่มเสริ์ฟหลังกลับมานั่งที่ไม่นานนัก ฟูจิที่ทิ้งตัวพิงพนักหลับตานิ่ง ไม่รู้สึกอยากกินอะไรสักนิด หากกลับได้กลิ่นอาหารที่ชัดเจนเสียจนต้องลืมตา
“กินไหวมั๊ย”
ใบหน้าหวานส่ายปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มแหย
“ผมคลื่นไส้.........”
พูดไม่ทันขาดคำก็ต้องรีบหลับตาลงนิ่ง เทะสึกะมองดูอาการอีกฝ่ายอย่างติดจะกังวล แล้วเรียกรั้งพนักงานที่เดินผ่านไว้ เพื่อจะสั่งอะไรสองสามคำ
:
:
“มียาแก้เมาเครื่องกับซุป กินซักหน่อยดีกว่ามั๊ย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบเบาๆ ฟูจิที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมองยาเม็ดเล็กพร้อมน้ำอุ่นที่ยังมีควันลอยให้เห็นซึ่งวางในถาดกับถ้วยซุปแล้วค่อยเบือนมองใบหน้าหลังกรอบแว่นของคนที่นั่งข้าง ก่อนจะว่ายิ้มๆ
“คุณใจดีจัง”
“ก็อาการหนักจริงๆไม่ใช่รึไง”
“ผมแค่ไม่ได้นอนเท่าไหร่........” มือเรียวยื่นมาหยิบยาเม็ดไปกินพร้อมกับน้ำรวดเร็ว ก่อนจะวางกลับที่ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วหวิว
“ต้องรบกวนขนาดนี้........ขอโทษจริงๆนะครับ”
ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาในใจแล้วแปรเป็นความอุ่นวาบที่ยากจะบรรยายในทันที....ว่าเป็นแบบไหน.... หากก็แน่ใจว่าอยากดูแล........อยากทนุถนอมคนตรงหน้าเป็นที่สุด
:
:
:
:
เมื่อถึงที่หมาย.......การตรวจเอกสารต่างๆไม่ยุ่งยากมากนัก และเขาก็ไม่ต้องรอรับกระเป๋า เพราะมีสัมภาระแค่กระเป๋าใบย่อมที่ติดตัวขึ้นเครื่องมาก็เท่านั้น หากก็ยังยืนเกร่รอโดยไม่ไปไหน.....เพียงเพราะเป็นห่วงใครบางคน
:
:
คนที่ถูกเป็นห่วงโดยที่ไม่รู้ตัวลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกมา แล้วกดมือถือโทรหาคนที่บอกว่าจะมารับหากก็ยังไม่มีวี่แววนั่นเร็วๆ
“พี่นั่งรถของสนามบินออกมาได้ไหม.......ไม่รู้ทำไมรถติดนัก.....นี่ผมยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย”
หลังคำขอโทษมาเป็นชุดยูตะก็รีบแนะทางแก้ ฟูจิรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอะไรๆไม่เป็นไปตามแผน แต่ก็ไม่อยากให้น้องต้องมากังวล จึงรีบบอกปัดว่าไม่ต้องห่วง ก่อนจะเย้าแหย่อะไรไปอย่างที่เคยแล้ววางสายไป
ขาสองข้างเกิดอ่อนแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะรู้ว่าที่ควรทำคือหารถรับจ้างไปส่งให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่อยากจะก้าวต่อเลยสักนิด ม้านั่งยาวที่อยู่ไม่ไกลนักจึงกลายเป็นเป้าหมายแทน
....หวังว่าถ้าได้พัก.............ก็คงดีขึ้น...................
............สักเดี๋ยว................
กระเป๋าเดินทางติดล้อที่ลากอยู่คล้ายว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆและหยุดลงนิ่งในที่สุด ในหูแว่วเสียงเรียกใครบางคนตามมาด้วยได้ยินชื่อตัวเองซ้ำๆ ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบ ก่อนจะจับโฟกัสได้ที่ใบหน้าเครียดขรึม
“มีใครมารับรึเปล่า”
เทะสึกะคว้ากระเป๋าไปจัดการให้แทนพลางเอ่ยถาม ซึ่งหากรู้ว่านัดไว้ที่ไหนเขาก็พร้อมจะไปส่ง เพียงแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นการส่ายหน้า
“เดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง”
“ไหวแน่เหรอ”
ใบหน้าเผือดสีพยักรับตบท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างจะให้มั่นใจ คนเสนอความช่วยเหลือจึงหันไปมองหาว่าจุดที่เรียกรถของสนามบินได้นั้นอยู่ตรงไหนแน่ และทันทีที่หันกลับมา อีกฝ่ายที่รับรองไว้ดิบดีเมื่อครู่ก็ล้มฮวบจนรับไว้แทบจะไม่ทัน
++++++++++++++++++++++++
“ความดันต่ำ.....พักมากๆก็พอแล้ว”
“ไม่ต้องเช็คอย่างอื่นด้วยรึไง”
นัยน์ตาแฝงเล่ห์กลอกวูบ แล้วหมอหนุ่มที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานจึงแย้มรอยยิ้มบาง
“ห่วงซะขนาดนี้......คบกันมากี่ปีแล้วล่ะ.......ว่าแต่ รสนิยมนายก็ใช้ได้นี่เทะสึกะ”
แกล้งเย้าคนที่ตีหน้านิ่งตลอดกาลหากก็ไม่อาจทำให้เปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงน้อย โอชิทาริถอนใจเซ็งๆ ยิ่งชะโงกหน้าเข้าไปดูเจ้าของดวงหน้าหวานที่นอนหลับตานิ่งบนเตียงเจ้าของบ้านก็ยิ่งให้เสียดายจนเซ็งเข้าไปใหญ่ ทั้งผิวนุ่มเนียน เรียวปากได้รูปสวย เขาพลาดโอกาสจะได้สัมผัสเกินเลยจากการรักษาตรวจอาการเพราะมีคนมายืนคุมเชิงอยู่นี่ล่ะ
“เจอกันที่ญี่ปุ่นเหรอ.. แล้วคนทื่อๆอย่างนายใช้วิธีไหนถึงจีบติดล่ะ”
“ฟูจิต้องพักมากๆใช่ไหม”
ไม่มีคำปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันหลุดมาจากปาก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นโอชิทาริยิ่งจะหาโอกาสหม้อเข้าไปใหญ่ เทะสึกที่เพิ่งจะเอ่ยประโยคแฝงความนัยเป็นการไล่ขยับเปิดทาง
“ตรวจเสร็จก็ไล่เชียวนะ อย่าลืมล่ะว่านัดครั้งหน้านายต้องเลี้ยงน่ะ”
อาชีพที่ทำอยู่ทำเงินให้ใช้ไม่ขาดมือก็จริง แต่ถ้ามีโอกาสได้ถลุงคนอื่นมันก็สนุกมากกว่า
“รู้แล้ว”
+++++++++++++++++++++++
แสงนวลอ่อนจากไฟติดผนังส่องสะท้อนให้เห็นห้องสีครีมเข้ากับเฟอร์นิเจอร์สีเข้มขรึม ชั้นวางหนังสือไม้ทรงโบราณคลาสสิคเต็มเพียบไปด้วยหนังสือเล่มหนาหนัก คนที่เพิ่งรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงและยังงัวเงียพลิกตัวหันมองซ้ายขวา ก่อนจะตื่นเต็มตาเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
...ที่นี่......ที่ไหน?
อาการลุกพรวดพราดทำให้มึนหัวจนแทบจะล้มลงไปนอนแบบเดิม ปลายนิ้วเรียวคว้ายึดเหล็กดัดเป็นลวดลายโค้งในส่วนหัวเตียงเพื่อพยุงตัวไปชั่วคราว
“นอนต่ออีกนิดจะดีกว่านะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้นมานั้นคุ้นหูอย่างประหลาด ฟูจิหันขวับแล้วก็ให้นึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคนที่พบหน้าและมีเรื่องบังเอิญต่างๆเกิดขึ้นตั้งมากมายเมื่อตอนอยู่บนเครื่องนั้น
“คุณ!”
“เห็นหมอบอกว่าความดันต่ำ....รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง....”
“................”
คนถามเดินเข้ามาใกล้พลางพิศมองดวงหน้าที่กลับมีสีเลือดคืนมาบ้าง ก่อนจะอธิบายเมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
“ที่นี่อพาร์ทเมนต์ผมเอง.... เรียกผมว่าเทะสึกะก็ได้.... “
“.............”
“อยากให้ไปส่งที่ไหนรึเปล่า”
“คุณ....พาผมมาที่นี่เหรอ”
คำถามด้วยน้ำหนักเสียงเบาหวิวหลุดจากเรียวปากคู่สวยในที่สุด เทะสึกะนิ่งไป ก่อนจะออกตัวเมื่อรู้สึกว่าประโยคนั้นพาลให้นึกถึงพวกคนร้ายลักพาตัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษถ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง..... ทีแรกก็แค่จะเรียกรถให้ แต่พอดี-----”
“เปล่าครับ.......ผมแค่........จะขอบคุณ....”
ไม่บอกก็รู้ว่าทำไมเขาถึงมาหลับอยู่ที่นี่ได้ ฟูจิเงียบไปจนกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงคุ้นเคยนั่นดังมาจากสิ่งที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือ และเขาไม่ทันเห็นในทีแรกสายตา ซึ่งเทะสึกะก็ยื่นคืนให้พร้อมกับคำอธิบาย
“ขอโทษที่ต้องหยิบมันออกมา กลัวว่าจะทำให้ตื่น....”
เทะสึกะทอดเสียงอ่อนในตอนปลายประโยค ก็ในเมื่อหวังดีแล้วจะว่าอะไรได้ ฟูจิยกยิ้มจางๆแทนคำว่าไม่เป็นไรก่อนจะรีบกดรับ และทันใดนั้น เสียงโวยวายก็ดังตามมาจนต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากตัว
“พี่! หายไปไหนมา ผมโทรหาไม่รู้กี่รอบ! แล้วนี่พี่อยู่ที่ไหน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ยูตะ......ใจเย็นนะ.........”
ฟูจิกล่อมคนเป็นน้องชายแล้วเหลือบมองเทะสึกะซึ่งทำท่าราวกับจะยิ้มหรือหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ก็รู้ว่ายูตะตื่นเต้นตกใจเกินไป แต่นั่นก็เพราะห่วงเขาหรอก นัยน์ตาสีฟ้าที่ติดจะดุตวัดมองคนตรงหน้าน้อยๆก่อนจะเบือนไปอีกทาง ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางคล้ายจะปราม สำหรับคนที่มองเห็นในตอนนี้.... ไม่ได้ทำให้นึกเกรงอะไร แต่กลับไพล่ทำให้รู้สึกว่าน่าดู....ก็เท่านั้น
“พี่อยู่ที่ไหน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ให้ตายเถอะ ผมน่าจะไปรับ”
ยูตะถามรัวก่อนจะบ่นเป็นชุด ฟูจิจึงรีบเบรกไว้ด้วยการหาคำตอบสำหรับคำถามแรกเพื่อกันไม่ให้ต้องฟังอะไรยืดยาวอีก
“เทะสึกะ.......ที่นี่ที่ไหนครับ”
ชื่อไม่คุ้นหูเล่นเอาคนเป็นน้องชายต้องขมวดคิ้ววูบ ยิ่งเมื่อได้ยินคำตอบ
“ให้ไปส่งไหม”
คนที่เขาไม่รู้จักว่ามาแบบนั้น ก่อนที่พี่จะหัวเราะเบาๆ
“ผมไม่รบกวนดีกว่า”
“พี่ นี่พี่อยู่ที่ไหน กับใคร ผมจะไปรับเดี๋ยวนี้”
เสียงเอ่ยทีเล่นที่จริงนั้นมีบางสิ่งต่างไปจากเวลาที่คุยกับคนอื่นทั่วไป บางสิ่งที่คล้ายกับสัญชาตญานแล่นขึ้นมาปุบปับ ยูตะขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่ชอบใจและไม่ชอบหน้าเจ้าของชื่อเทะสึกะคนนั้นทั้งที่ยังไม่ได้พบกัน
“พี่.....อยู่ที่บ้านเพื่อนน่ะ นายมารับก็ได้...เทะสึกะช่วยบอกที่อยู่ทีสิครับ”
ฟูจิส่งโทรศัพท์ให้ไปพร้อมกับรอยยิ้มอ้อนโดยอัตโนมัติเทะสึกะจึงรับมาแล้วเอ่ยบอกที่อยู่ช้าชัดพร้อมทั้งถามที่อยู่อีกฝ่ายและแนะนำเส้นทางที่สะดวกให้ด้วย ดวงตาหลังกรอบแว่นปรายมองมายังคนบนเตียงที่ขยับจะลุกมาแต่ก็เซวูบจึงรีบร้องห้ามให้ระวัง และนั่น ก็ยิ่งทำให้ปลายสายร้อนใจมากไปอีก
เสียงถามแทบเป็นตะโกนดังลอดออกมาจนเทะสึกะต้องนิ่วหน้า ชายหนุ่มส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของที่พูดอะไรไปสองสามคำว่าไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ได้เป็นอะไร หากน้องชายก็ดูเหมือนจะยังเป็นกังวลอยู่ไม่หาย
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่มึนหัวนิดหน่อย.........ไม่........จะมาก็ขับรถระวังหน่อยแล้วกัน......นี่ก็นอนไปพักใหญ่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ลุกมานั่งได้แล้วด้วย......เทะสึกะให้ยืมไหล่น่ะ” รอยยิ้มอ่อนส่งให้เจ้าของมือที่ทรุดกายนั่งขอบเตียงแล้วโอบประคองให้อิงลงพิงบ่าง่ายๆ “หา.....” ใบหน้าเนียนเป็นสีจัด “คิดอะไรของนาย จะมารับก็มาอย่าพูดเรื่องเหลวไหลแบบนั้น.....ยูตะ!”
คำสั่งและเตือนให้ระวังตัวโดยเฉพาะให้ระวังเทะสึกะฉวยโอกาสดังติดกันเป็นชุดก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบวางหู คาดว่าคงจะแจ้นไปที่รถแล้วขับมาที่นี่แน่
“น้องชาย...ดูเป็นห่วงคุณมากเลยนะ”
“เรียกผมว่าฟูจิก็ได้” ฟูจิถอนใจเฮือก และเมื่อนึกถึงความกังวลของยูตะก็ให้รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าจนอดไม่ได้ที่จะขยับห่างออกมาหากก็ถูกเอ็ดเอาเบาๆ
“เดี๋ยวก็เวียนหัวไปอีก”
“.................”
มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ จากคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอหน้า แล้วจะมาสนิทกันพรวดพราด ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายและวางใจได้ก็เถอะ
+++++++++++++++++++++
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นกึ่งห้องครัวนั้นก็เคร่งขรึมพอๆกับห้องนอน ฟูจิที่เพิ่งจะล้างหน้าล้างตาพอให้สดชื่นนั่งลงที่โต๊ะไม้ซึ่งมีที่นั่งเพียงสองที่ บอกชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีโอกาศหรือไม่มีรสนิยมต้อนรับใครที่นี่บ่อยนัก แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คงจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้นถ้ามีต้นไม้ดอกไม้สักนิด
คิดแบบนั้นถึงนึกได้ กระบองเพชรที่ปลูกไว้หลายกระถางตอนนี้คงมีสักต้นที่ออกดอก ถ้าวางมุมเหมาะๆ คงจะทำให้ห้องดูสดใสขึ้นแน่ๆ
ว่าแต่.......เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นี่สักนิด แล้วจะคิดวางแผนแบบนั้นไปเพื่ออะไร
ฟูจิเบนความสนใจตัวเองโดยการก้มมองซุปในถ้วยซึ่งมีควันลอยขึ้นเป็นสาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อทั้งกลิ่นหอมอย่างอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆและหน้าตานั้นแทบจะเป็นแบบเดียวกับที่บ้านทำ ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ช้อนหากก็นึกขึ้นได้จึงเงยหน้ามองคนทำพร้อมกับก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม
“ทานแล้วนะครับ”
ถ้าฟูจิไม่พูดแล้วลงมือตักซุปขึ้นเป่าเบาๆเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเผลอขอป้อนแล้ว เทะสึกะทรุดกายลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม แล้วจึงยกแก้วชาตรงหน้าขึ้นดื่มบ้าง
“อยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ”
ไม่รู้ทำไมคำว่าคนเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ถึงมีน้ำหนักมากเหลือเกิน ทั้งที่ปกติออกจะรำคาญการอยู่ร่วมกับคนอื่น เทะสึกะพยักหน้ารับ แล้วลอบถอนใจก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเมื่อรู้สึกว่าแทบไม่อาจถอนสายตาไปจากคนตรงหน้าได้
“ผม.....รบกวนรึเปล่า.... ถ้าไง... ผมลงไปรอน้องชายข้างล่างก็ได้นะครับ”
คำถามนั้นทำให้เกือบสำลักชาที่ดื่มอยู่ เทะสึกะหันขวับกลับมา ก่อนจะถามเสียงเข้ม
“ทำไมคิดแบบนั้น”
“ก็.....ไม่รู้ว่าผมทำให้รำคาญรึเปล่า เมื่อกี้นี้เทะสึกะถอนใจด้วย..... แล้วก็ ไม่ยอมมองหน้าผมเลย”
พูดจบจึงรู้สึกว่าออกจะไม่สุภาพสักเท่าไหรที่จะวิจารณ์คนที่เพิ่งรู้จักแบบตรงไปตรงมาขนาดนั้น ฟูจิเสตักซุปขึ้นกิน พอดีกับที่
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น
:
:
“พี่!”
“ยูตะ.....นี่เทะสึกะ..........เทะสึกะครับ.........นี่ยูตะ น้องชายผม”
คนเป็นน้องชายที่เหมือนจะลืมมารยาททุกข้อเดินลิ่วไปยังพี่ชายซึ่งกำลังถือช้อนซุปอยู่ ใบหน้าเครียดขรึมเพ่งกวาดดูจนแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรแน่ จึงคว้าข้อมือคนเป็นพี่ แล้วจับตามเนื้อตัวเพื่อย้ำความแน่ใจอีกหน
“พี่ไม่เป็นอะไร.........จริงๆนะ”
ท่าทางห่วงใยมากมายจนต้องรีบบอกปัด ฟูจิมองไปทางเทสึกะที่ยืนกอดอกอยู่อีกทาง
“ถ้ารีบ.....จะกลับเลยก็ได้นะ”
“แต่ผมยังไม่ได้ช่วยเก็บจานให้เทะสึกะเลย”
“ไม่เป็นไร”
ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นรวดเร็วในเวลาไม่เท่าไหร่ที่ใช่ร่วมกันทำให้อดใจหายไม่ได้เมื่อรู้ว่ามันจวนจะจบลง เทะสึกะอดคิดไม่ได้ว่าหากรั้งอีกฝ่ายให้อยู่อีกนิดคงเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก แต่หากจะให้ฟูจิมาช่วยงานบ้านแบบนี้....สู้ให้ฟูจิกลับไปจะดีกว่า
“ยูตะ เอากระเป๋านี่ลงไปที่รถทีนะ”
คนเป็นน้องชายอิดเอื้อนคล้ายไม่อยากปล่อยให้คลาดสายตา แต่ก็จำใจทำตามนั้นแต่โดยดี ฟูจิลุกเดินไปใกล้ฝ่ายเจ้าบ้านแล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่ม
“เทะสึกะ........ขอบคุณนะครับ”
พร้อมกับที่เอ่ยคำนั้น มือเรียวเอื้อมแตะต้นแขนอีกฝ่ายก่อนที่ใบหน้าหวานชะโงกเข้าไปใกล้รวดเร็วจนริมฝีปากจรดลงกับข้างแก้มร่างที่สูงกว่า หากเพียงแค่ทันได้รับรู้ถึงสัมผัสบางเบาราวปีกผีเสื้อ ฟูจิก็ยั้งไว้แล้วสะดุ้งผละห่างออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“ขอโทษครับ คือ....กับที่บ้าน.....ผมใช้วิธีนี้ขอบคุณเป็นปกติ.....ก็เลยเผลอไป.....”
“...........”
“ถ้าไงผมขอตัวกลับก่อน----”
“ฟูจิ”
“ครับ?”
มุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม และในเสี้ยววินาทีถัดมา เทะสึกะก็โน้มตัวไปประทับริมฝีปากลงตรงผิวหน้าเนียนแผ่วเบา
“goodbye kiss น่ะ”
ชายหนุ่มอธิบายพลางซ่อนยิ้มอย่างยากเย็นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังมีทีท่าประหลาดใจไม่หาย
“แล้วเจอกัน”
..ซึ่งก็น่าจะเป็นเร็วๆนี้.....เพราะทั้งเบอร์โทร ทั้งที่อยู่ของฟูจิเขาก็ได้มาหมดแล้ว..............
:
:
:
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
The enD
จะเรียกว่าฟิคขี่ช้างจับตั๊กแตนก็ได้ค่ะ จริงๆอยากได้แค่ช๊อตฟูจูบขอบคุณเทะง่ะ เลยหาเรื่องให้ฟูป่วยซะขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ
ขออภัยที่ใช้เวลานานมากนะคะ ไม่ใช่ไรหรอก มันยาว+ไม่ค่อยมีอะไร เลยไม่คิดว่าจะมีใครสนใจอ่านเท่าไหร่น่ะค่ะ
ผลงานอื่นๆ ของ Loreley ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Loreley
ความคิดเห็น