( Fic Peace Maker ) ONE NIGHT IN LIFETIME - ( Fic Peace Maker ) ONE NIGHT IN LIFETIME นิยาย ( Fic Peace Maker ) ONE NIGHT IN LIFETIME : Dek-D.com - Writer

    ( Fic Peace Maker ) ONE NIGHT IN LIFETIME

    fic peace maker ฮิจิคาตะ X โอคิตะ โซจิ yaoi

    ผู้เข้าชมรวม

    2,843

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    2.84K

    ความคิดเห็น


    25

    คนติดตาม


    21
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ส.ค. 51 / 02:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ยังไม่ได้อ่านพีซเมกเกอร์ทุกเล่ม ขออภัยถ้ามีอะไรผิดพลาดไปนะคะ

    เกิดอยากแต่งเพราะหาฟิคเรื่องนี้อ่านค่อนข้างยากลำบาก.....


    วายนะคะ

    นี่คือโฉมหน้าของสองตัวหลักในเรื่อง.......(ประหยัดตัวละครจริงๆ)




    โอคิตะซังหน้าหวานเหลือเกิน แต่ยืนยันว่าเป็นผู้ชาย แถมโหดมากๆด้วย เวลาจับดาบทีนี่ฆ่าคนได้ในเวลาไม่ถึงสามวิ


    ขณะอยู่ในชุดเครื่องแบบ.... เท่....น่ารัก อัจฉริยะ......

    ให้ความรู้สึกคล้ายฟูจิ ชูสึเกะแห่งปรินซ์ออฟเทนนิสในบางประการ

    เฉยๆกับฮิจิคาตะ แต่รักโอคิตะซังมากมาย ^ ^

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

      “ทำไมท่านถึงยังไม่ตบแต่งภรรยาเสียทีล่ะคะ ทั้งที่ตอนนี้ก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง เงินทอง”

       

      เสียงซามิเซงบรรเลงคลอบทสนทนา กลิ่นหอมอวลอ่อนของกำยานจากร้านมีชื่อฟุ้งไปทั่ว เครื่องประดับแต่งห้องกว้างขวางอันเป็นส่วนตัวสร้างบรรยากาศสดใสรื่นเริง ทว่าสิ่งต่างๆซึ่งเจ้าของสถานที่แห่งนี้ตระเตรียมไว้เพี่อความพอใจสูงสุดของผู้เป็นแขก ฮิจิคาตะ โทจิกลับรู้สึกกึงรำคาญกึ่งไม่ชอบใจ ซ้ำยังเริ่มจะขวางหูขวางตากับการใส่ใจของหญิงสาวหลายนางที่คอยปรนนิบัติอยู่ไม่ขาด

       

      หากไม่เพราะงาน ก็คงจะไม่มาเหยียบสถานที่แบบนี้ให้เสียเวลา...............

       

      “หรือว่าจนบัดนี้ ยังมิมีผู้ใดที่ต้องตา....”

       

      เนื้อเสียงหวานใสลากทิ้งท้าย อาภรณ์ไหมงดงามส่ายเสียดสีเมื่อร่างโปร่งบางขยับรินสุราให้อย่างจะเอาใจ นัยน์ตาเป็นประกายชายชม้อย ทิ้งทอดหางตาใส่พองามตามจริตยวนยั่ว

       

      “ข้าเพียงแต่ไม่เห็นประโยชน์ของการมีภรรยาก็เท่านั้น”

       

      ฮิจิคาตะตอบห้วนห้าว นัยน์ตาคมแฝงประกายข่มขวัญหรี่ลงมองเจ้าของคำถามที่ใจเต้นมิเป็นส่ำ

       

      ทุกวันนี้ เพียงหน้าที่ในฐานะรองหัวหน้าของกลุ่มชินเซ็นกุมิ ทั้งยังต้องคอยสะสางเรื่องวุ่นวายไม่เว้นวัน ก็ไม่เหลือเวลาไปคิดสิ่งอื่นใดแล้ว

       

      “เหตุใดจึงว่าเช่นนั้น.... ท่านมิเคยจินตนาการบ้างหรือว่าในยามที่เสร็จภาระหน้าที่ แล้วมีคนคอยเอาใจดูแล นวดหลังนวดไหล่ยกน้ำชามาให้ มันมีความสุขสักแค่ไหน”

       

      ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันและร่ำสุราไปได้เต็มที่ว่ากลั้วหัวเราะ ฮิจิคาตะยกสุราขึ้นจิบ ขณะที่ความคิดบางอย่างเริ่มก่อเกิดขึ้นตามคำพูดประโยคนั้น

      :

      :

      “น้ำชาครับ ฮิจิคาตะซัง”

       

      ชาที่กลมกล่อมได้ที่ อุณหภูมิพอเหมาะพอดีจะถูกยกมาวางทันทีที่นึกต้องการ แม้ไม่ได้ออกปากว่ากระหายก็ตามที ซ้ำบางคาบบางคราคนที่ยกมาก็จะเอาใจถึงขั้นบีบนวดเนื้อตัวให้เสียด้วยซ้ำ

       

      ปลายนิ้วเรียวยาวมิผิดอิสตรี หากเมื่อจับดาบต่อสู้ก็กลับมีพละกำลัง น้ำหนักมือกำลังดีจนทำให้ผ่อนคลายจากงานที่เหนื่อยล้าสะสม

       

      น่าเสียดายที่หน้าที่นี้ถูกโอนไปให้เจ้าเด็กรับใช้หน้าใหม่แสนซุ่มซ่ามนั่นแล้ว.......

      :

      :

      “ภรรยาก็เหมือนเพื่อนผู้รู้ใจ  เวลาที่มีเรื่องทุกข์ หนักอกหนักใจจนไม่อาจเอ่ยปาก การมีภรรยาก็ช่วยแบ่งเบานะท่าน”

      ใครบางคนที่มีค่าเป็นเพียงแหล่งข่าวให้เขาสืบในค่ำคืนนี้เอ่ยขึ้นบ้าง

      :

      :

      “ฮิจิคาตะซัง”

       

      “ฮิจิคาตะซัง!

       

      ““ไม่ใช่ความผิดของท่านนะครับ”

       

      น้ำเสียงเรียกรั้งในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในใจ ก็มิใช่เพราะอย่างนั้นหรอกหรือ จึงได้ผ่านวันเช่นนั้นมาได้.......ทั้งที่ในยามรู้ข่าวการสูญเสีย.....อุตส่าห์ใช้หน้ากากความเย็นชาปิดพรางความเจ็บปวดขมขื่นใจที่มีใครต้องตายไปเพราะคำสั่งจากเขา......เด็กนั่นก็ยังดูออก และช่วยทำให้ภาระหนักอึ้งของความรับผิดชอบในฐานะรองหัวหน้าบรรเทาเบาบางลงได้

      :

      :

      “ความจริงข้าว่า....มีคนปลุกในตอนเช้า มีคนเข้านอนด้วยในยามกลางคืน ก็สุขใจดีนะครับ”

      ดูเหมือนประเด็นในการสนทนา จะกลายเป็นประโยชน์ของการมีภรรยาเสียแล้ว

      :

      :

      “นอนมากๆ เห็ดจะขึ้นบนหัวได้นะครับ ฮิจิคาตะซัง”

      ฟุซุมะที่ถูกเลื่อนเปิดทุกเช้า เสียงสดใสยามแรกอรุณของคนเพียงผู้เดียวที่กล้าถือวิสาสะเข้ามาในห้องส่วนตัว ปลุกเขาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไปทำอะไรมาเสียเกือบทั้งคืนจนกลับมาในยามที่ฟ้าเกือบสางและยังหลับเป็นตาย

       

      ลมอ่อนพัดพรายชวนชื่นใจ แสงแดดสดใสอบอุ่น หากทั้งหมดก็ไม่เทียบเทียมแววตาที่สะท้อนในดวงตาสีม่วงคู่นั้น......

       

       

      บ่อยครั้งที่ต้องสะสางการงานต่างๆในห้องยามราตรี ก็ยังมีใครอีกคนที่นอนเอกเขนกอบ่างแสนสบายอยู่ไม่ห่าง ไม่ก็นั่งห้อยขาที่ทางเดินยกสูงหน้าห้อง รับลมชมจันทร์จนบางครั้งต้องดุว่าให้กลับไปพักผ่อนเสียบ้าง

       

      ทุกคราว เจ้าของดวงหน้าสดใสก็เพียงแต่ยิ้มตอบจนไม่อาจจะขึ้นเสียงใส่ได้ดั่งใจ และแม้ไม่มีคำพูดอื่นใด แต่ก็พอจะรู้ได้ถึงเจตนา......

       

      :

      :

      “แต่ข้าว่า มีภรรยาน่ะยุ่งยากนะครับ บางทีต้องดูแลนาง ต้องใส่ใจ.... ข้าล่ะรำคาญผู้หญิงที่ขี้อ้อนนัก ยิ่งถ้าป่วยล่ะก็...”

      ผู้ที่เอ่ยทำสีหน้าครั่นคร้ามเต็มประดา เรียกเสียงหัวเราะลั่นอย่างรู้กันในความวุ่นวายนั้น

      :

      :

      “เมื่อกี้เจ้าไอรึเปล่า”

       

      ใบหน้าหวานยังคงรอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สา ดวงตาเป็นประกายมองสบราวจะให้วางใจยามเอ่ยตอบ

       

      “ฮิจิคาตะซังคิดไปเองมากกว่านะครับ”

       

      “..........”

       

      กับคนที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปีย่อมจะรู้นิสันกันและกันเป็นอย่างดี ลองว่าถ้าไม่ใช่จับได้คาหนังคาเขา ก็มีแต่จะบอกปัด ไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้ใครห่วงใยเป็นกังวล ซ้ำยังจะปิดบังอำพราง

       

      แต่ถึงเห็นกับตา ก็ใช่ว่าจะสิ้นท่า นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายของเจ้าตัว คอยแต่จะหาเรื่องกลบเกลื่อนเสียมากกว่า.....

       

      สุขภาพของโซจิไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าแม้แต่ตอนนี้ก็ยังฝืนตัวเองอยู่มาก........

       

      “ข้าขอตัว”

       

      เอ่ยจบก็รีบลุกพรวดพราด สองขาสาวเท้าก้าวยาวจนแทบจะเป็นวิ่ง อากาศยามดึกเย็นเยียบจนต้องขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าขุ่นขึ้งจนแทบไม่มีใครกล้าสบตา และได้แต่มองตามหลังมาด้วยความประหลาดใจในท่าทีร้อนรนอันหาดูได้ยากจากผู้ที่เป็นดังปีศาจ เย็นชา ไร้จิตใจ.....

       

      ........โซจิ.........

       

      :

      :

      เปลวเทียนวอบแวมมองเห็นชัดผ่านกระดาษที่กรุผนังไว้ คนในห้องยังไม่น่าจะนอน แต่ถึงนอนแล้วก็ควรจะเข้าไปดูให้สบายใจเสียก่อน

       

      “โซจิ”

      นามของผู้ที่อยู่ในความคิดคำนึงแทบทุกลมหายใจถูกเอ่ยขึ้นก่อนเป็นอย่างแรก นัยน์ตาคมมองกวาดปราดเดียวก็ได้เรื่องที่จะตำหนิ หากยังมิทันขยับปาก ใบหน้านวลที่หันมาตามเสียงเรียกและดูตกตื่นระคนประหลายใจกลับยิ้มให้เสียหวานหยด

       

      “ครับ?

       

      ลงว่าน้ำเสียงดุขนาดนั้นคงมีเรื่องอะไรที่ทำไห้ไม่พอใจไปแล้วแน่ แต่จะให้เดาว่าเพราะอะไรก็สุดปัญญา เพราะการทำให้ฮิจิคาตะซังดาดเดือลจนหลุดจากความสงบนิ่งดุจขุนเขา เป็นราวกับสิ่งที่เขาต้องทำเป็นกิจวัตร...

       

      “อากาศเย็นไม่ใช่รึไง ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าบางๆแบบนั้น แถมป่านนี้แล้วยังไม่นอน เดี๋ยวก็ได้ป่วยไปหรอก”

      คำเทศนาตวัดห้วนและแววตาทรงอำนาจจ้องมาเขม็ง ที่หากเป็นคนอื่นคงกลัวจนตัวสั่น น่าแปลกที่เขากลับพอจะรู้จักวิธีรับมือ

       

      “ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะครับ มีใครปรนนิบัติไม่ถูกใจ คนที่นัดไว้มาไม่ได้ หรือว่าเที่ยวบ่อยจนเบื่อแล้ว”

       

      คนที่นั่งอยู่บนฟูกพร้อมกับถือม้วนหนังสือไว้ในมือแกล้งว่า ดวงตาสีม่วงเป็นประกายพราว

       

      ร่างสูงไม่ตอบกระไรหากเดินเข้ามาใกล้ แล้วเอาผ้าห่มที่ยังพับวางขึ้นมาคลี่คลุมบ่าให้

       

      “อากาศเย็นๆไม่ดีกับคอ เรื่องแค่นี้เจ้าเองก็น่าจะรู้นะโซจิ”

       

      ทั้งที่อีกฝ่ายก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยหนึ่ง เป็นที่นับหน้าถือตาของใครมากมาย ในสายตาเขากลับเห็นเป็นเพียงคนที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลเท่านั้น

       

      ไม่อาจละสายตาไปได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าตัวอาจฝืนตัวเองจนสุดกำลัง

       

      ละเลยตัวเอง....ทั้งที่ให้ความสำคัญกับผู้อื่นถึงปานนั้น

       

      เพราะอะไรกันนะ.....

       

      “ชาในกาของเจ้าเย็นหมดแล้ว”

      เปล่าประโยชน์ที่จะดุว่า วิธีนั้น มันไร้ผลกับโซจิมาแต่ไหนแต่ไร

       

      “ข้าจะไปเปลี่ยนให้”

       

      “ฮิจิคาตะซัง”

       

      เพียงจับหูกาจะยกขึ้นก็ถูกดึงรั้ง

       

      “ข้าดื่มชาสมุนไพร ดื่มยา ดื่มน้ำร้อนมาตลอดวันจนตัวจะบวมอยู่แล้วนะครับ”

       

      เสียงหวานอ่อนอ้อนมาพร้อมกับแววตาที่ทำให้ใจอ่อนได้ทุกครั้งไป และแค่ละมือออกจากกา รอยยิ้มยินดีก็ปรากฎขึ้นตามมาทันที

       

      “ผ้าห่มแค่นั้นพอเหรอ เพิ่มอีกสักผืนจะดีกว่า”

       

      ยังไงก็ต้องให้ร่างกายอบอุ่นไว้ก่อน เพราะอาการไอของโซจิ ไม่ว่าจะลองยามากี่ขนานก็ดูเหมือนจะไม่ทุเลาลงเลย

       

      “ไม่ต้องหรอกครับ ข้าชอบอากาศเย็นๆ ยิ่งถ้านั่งนอกชานรับลมดึกๆแบบนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

       

      ไม่ทันจบประโยคดี คนพูดก็ถูกรวบตัวเข้าไปในอ้อมแขน ไออุ่นจากร่างกายส่งผ่านพร้อมกับที่เส้นผมสีม่วงยาวเลยเอวถูกสอดสางเบาๆด้วยปลายนิ้ว

       

      “ตัวเจ้าเย็น กระทั่งเส้นผมก็ยังเย็นเฉียบ”

       

      “....ฮิจิ...คาตะ....ซัง......”

       

      ทั้งที่ควรจะหัวเราะแล้วว่าหยอกอะไรไปสักสองสามประโยคให้คนที่ห่วงกังวลอะไรไม่เข้าท่าได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง สิ่งที่ทำอยู่กลับมีเพียงการเอ่ยชื่อฝ่ายนั้นออกมาตะกุกตะกัก ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

       

      หรือว่า...ข้าจะไม่สบายไปแล้วจริงๆ......

       

      “แบบนี้ อุ่นขึ้นบ้างหรือยัง...”

       

      ไม่รอคำตอบ ฮิจิคาตะแตะไล้ปลายนิ้วตามวงหน้าเรียว และเมื่อรับสัมผัสของความร้อนผะผ่าวได้ ก็ต้องนึกกังวลเข้าไปอีก

       

      “ให้หมอมาดูอาการเจ้าหน่อยน่าจะดีกว่า”

       

      “เดี๋ยวครับ”

       

      ?

       

      “ข้าไม่เป็นอะไร.....”

       

      สีหน้าเครียดขรึมบอกชัดว่าไม่ปักใจเชื่อประโยคนั้นแน่ โอคิตะ โซจิ ถอนใจบาง ก่อนจะยึดเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น แล้วซบหน้าลงกับบ่าแทนการตัดบท

       

      “อยู่แบบนี้สักพักเถอะครับ บางที......ข้าอาจจะติดใจอะไรอุ่นๆแบบนี้แล้วก็เป็นได้”

      :

      :

      :

      แสงเสี้ยวจันทร์ในหมู่เมฆทมึนหรุ่บหรู่ ทอดเงาสะท้อนหม่นมัวในสายน้ำ ที่เพียงแต่สายลมอ่อนเบาแตะกระทบก็พร่าไหวไม่เหลือรอย....

       

      เปลวไฟเต้นระริกเลื่อนลงต่ำตามเนื้อขี้ผึ้งซึ่งถูกเผาไหม้ละลายเป็นน้ำตาเทียนอุ่นร้อน....  อีกมินานก็คงดับไป....เหลือไว้เพียงความมืดมิดที่แสนเยียบเย็น

      :

      :

       

      ถึงโรคที่ข้าเป็น..จะไร้ทางเยียวยารักษาให้หายขาด แต่หากได้มีความสุขแบบนี้....แม้จะชั่วครู่ชั่วยามก็ตามที.......

       

      เพียงมีท่านอยู่เคียงข้าง.........

      :

      เรื่องความเป็นความตาย ก็ไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว.....

      :

      :

       

      “ฮิจิคาตะซัง”

       

      +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

       

       

       

       

       

      The end

       

       

       

       

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×