นิทานลำน้ำ - นิทานลำน้ำ นิยาย นิทานลำน้ำ : Dek-D.com - Writer

    นิทานลำน้ำ

    ขอบฟ้าภูไพรไกลโพ้นสายลมอ่อนโยนพัดผ่าน ชีวิตไหล่ล่องลำธาร ผูกพันตำนานแผ่นดิน

    ผู้เข้าชมรวม

    673

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    38

    ผู้เข้าชมรวม


    673

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ค. 66 / 15:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    กำเนิดบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก , ณ บึงใหญ่แห่งนี้ พระอาจารย์ผู้มีอาคมแก่กล้า ต้องพลาดท่าสิ้นหนทาง กลับคืนร่างเป็นคนดังเดิม ..... เรื่องราวมีอยู่ว่า ทางทิศตะวันตกของตำบลพระอาจารย์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เคยมีผู้พบร่องรอยว่า ในอดีตกาล เคยเป็นที่ตั้งของวัดแห่งหนึ่ง อยู่ริมบึงกว้างใหญ่ มีต้นโพธิ์และดงตาล รายรอบอยู่ริมบึง 

    ครั้งโบราณนั้น ผู้คนต่างพากันเชื่อถือไสยศาสตร์และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นที่โจญจันว่า วัดแห่งนี้ มีพระภิกษุเป็นอาจารย์ขมังเวทย์ผู้มีอาคมแก่กล้า แปลงกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ , วันหนึ่ง พระภิกษุประสงค์จะแสดงปาฏิหาริย์ให้บรรดาเหล่าลูกศิษย์ได้ชมเป็นขวัญตา จึงแปลงกายเป็นจระเข้ยักษ์ โดยทำน้ำมนต์เตรียมไว้เพื่อใช้คืนร่างเป็นคน และกำชับให้ลูกศิษย์นำน้ำมนต์นี้ รดร่างเมื่อแปลงกายเป็นจระเข้แล้ว 

    ท่ามกลางสายตาของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่เฝ้าดู ,ภิกษุจึงบริกรรมคาถา แล้วกระโจนพุ่งลงน้ำไป ,เพียงครู่เดียว ก็มีจระเข้ขนาดใหญ่มหึมา ลอยตัวขึ้นมากลางบึง ลูกศิษย์ที่เฝ้าชะเง้อดูอยู่ ก็พากันตกใจตื่น , เมื่อจระเข้แปลง ตะกายขึ้นมาบนศาลาท่าน้ำ หวังให้ลูกศิษย์เอาน้ำมนต์รดตัว แต่จระเข้ตัวใหญ่น่ากลัวทำให้เหล่าลูกศิษย์ตกใจวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ชนขันน้ำมนต์หกกระจัดการจาย 

    แม้ภิกษุผู้มีอาคมกล้ายังต้องสิ้นหนทางกลับคืนร่างเดิม จำต้องกลายเป็นจระเข้และอาศัยอยู่ในบึงตั้งแต่นั้นมา , บึงแห่งนั้นจึงถูกเรียกว่า “บึงพระอาจารย์” ตั้งอยู่ในตำบลพระอาจารย์  อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก 

    ตำนานบึงราชนก จ.พิษณุโลก , ชาวเมืองราชนกต้องเผชิญชะตากรรมไม่คาดฝัน เมื่อพบปลาหมอยักษ์ตัวหนึ่ง ดิ้นกระเสือกกระสนอยู่ที่หน้าพระนคร , ราชนก เป็นนคนที่รุ่งเรื่องมากในอดีต แต่มีเหตุอันต้องล่มสลายกลายเป็นบึงกว้างใหญ่  เกิดเป็นตำนานเล่าขานต่อกันมาว่า 

    ครั้งหนึ่ง เจ้าราชนก ปกครองราชนกนครด้วยความร่มเย็นเป็นสุข มีธิดาหนึ่งองค์ รูปโฉมงดงามยิ่งนัก “หนุมาน”ทหารเอกของพระราม ขอหมั้นองค์หญิงไว้ พร้อมทั้งได้มอบม้าตัวหนึ่ง ชื่อว่า “วลาหก”ให้เป็นพาหนะ

    วันหนึ่ง เกิดพายุฝนโหมกระหน่ำ ทั่วราชนกนคร ครั้นฝนซาก็พบปลาหมอยักษ์ตัวหนึ่ง นอนดิ้นกระเสือกกระสนอยู่หน้าพระนคร ตัวโตขนาดที่คนทั้งเมืองกินไม่หมด ชาวเมืองพากันแตกตื่นไปดูปลาหมอประหลาดกันเนืองแน่น 

    ราชนกนครในขณะนั้น เหล่าขุนนางและอำมาตย์ขาดความสามัคคี ต่างแก่งแย่งชิงดี พยายามแสวงหาอำนาจลาภยศ , เมื่อเห็นปลาหมอยักษ์ก็คิดว่าเป็นปลาวิเศษ คิดว่าหากได้กินจะมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น , จึงได้นำความไปกราบทูลเจ้าราชนคร หมายอยากจะได้ความดีความชอบ , เจ้านครจึงออกคำสั่งให้นำปลาหมอยักษ์มาให้ทอดพระเนตร 

    อำมาตย์เกณฑ์ผู้คนนับร้อยมาช่วยกันลากปลาหมอยักษ์เข้าไปยังพระราชวัง , บัดนั้น มีหญิงชราคนหนึ่งเข้ามาทักท้วง และขอร้องไม่ให้ฆ่าปลาหมอนี้ เพราะจะเป็นบาปใหญ่หลวง แต่ก็ถูกไล่ไปเสียให้พ้น, เมื่อเจ้าราชนกเห็นปลาหมอยักษ์ก็เชื่อว่าเป็นปลาวิเศษจริงดังคำกล่าวของอำมาตย์ พระองค์จึงสั่งให้ทหาร ช่วยกันแล่ปลาหมอ แล้วนำเนื้อปลาแจกจ่ายให้ชาวเมืองกันอย่างถ้วนหน้า เว้นแต่หญิงชราเท่านั้นที่ไม่ยอมกิน 

    กลางดึกคืนนั้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง แผ่นดินสะท้านสะเทือนแยกออกจากกัน  สูบราชนกนครจมหายไปใต้บาดาล ผู้คนจมน้ำตายกันทั้งเมือง ราชนกนครกลายเป็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่  ชื่อว่า “บึงราชนก” ส่วนหญิงชราที่ไม่ได้กินเนื้อปลาหมอนั้น รอดชีวิต บ้านที่อาศัยกลายเป็นเกาะกลางน้ำ ชื่อว่า “เนินยายแก่” 

    พระธิดา ซึ่งกินเนื้อปลาหมอไปเพียงเล็กน้อย ควบม้า “วลาหก”หนีออกจากเมืองไปได้ แต่แผ่นดินก็ทรุกถล่มไล่หลังมาติดๆ ครั้นมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง พระธิดาทรงเหน็ดเหนื่อยมาก คิดว่า เพื่อให้หนีไปได้เร็วที่สุดจึงเปลื้องเครื่องประดับกายต่างๆ ออก และได้ถอดแหวนทิ้งในหนองน้ำแห่งหนึ่ง หนองน้ำนั้นจึงได้เรียกว่า “หนองแหวน”

    เมื่อหนุมานรู้ข่าวว่า ราชนก ล่มสลาย จึงหักยอดเขาสูงเทียมฟ้ามาลุกหนึ่ง เพื่อถมราชนกนครช่วยผู้คนที่รอดชีวิต , ขณะที่หนุมานเหาะเหินมาบนอากาศ พลันเหลือบเห็นพระธิดากำลังหนีแผ่นดินถล่มอยู่เบื้องล่าง จึงทิ้งยอดเขาเพื่อเข้าไปช่วย ยอดเขานั้นร่วงลงไปสุ่พื้นดิน ในลักษณะเอียวตะแคงอยู่ จึงได้เรียกว่า “เขาตะแคง” ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “เขาสมอแครง”

    พระธิดา หนีจนสิ้นแรง พลัดตกจากหลังม้าลงมานอนตาค้างเหลือกเห็นแต่ตาขาว , เมื่อหนุมานมาถึง พระธิดาก็สิ้นใจเสียแล้ว ณ ที่แห่งนั้นจึงถูกเรียกว่า “บ้านนางตาขาว” คือ “บ้านลาดบัวขาว”ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขาสมอแครง 

    ชาวบ้านเชื่อกันว่า ราชนกนครอาจเป็นเมืองที่เคยมีอยู่จริงตามตำนาน เพราะเคยมีคนไปหาปลาในบึง ได้พบฆ้องและเสากระโดงเรือขนาดใหญ่ ฝังอยู่ใต้โคลนตมก้นบึงราชนก แต่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้ และยังมีร่องน้ำปรากฎให้เห็น เชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่าน กลางเมืองราชนกนคร ซึ่งบางแห่งก็ตื้นเขินกลายเป็นทุ่งนาไปแล้ว 

    ศึกพากนาง “อ่าวพระนาง”จ.กระบี่ , เวิ้งน้ำจรดฟ้าและภูผาสูง กำเนิดตำนานรักยิ่งใหญ่ ตำนานรบสะท้านแผ่นดิน , “อ่าวพระนาง” หาดทรายขาวสะอาดงดงาม มีพื้นที่ติดภูเขาและหน้าผาชัน มีตำนานรักและตำนานรบอันยิ่งใหญ่ที่เล่าขานสืบต่อกันมา ......

    นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านชามประมง ครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวแสนสวย มีนามว่า “เบญจา” ความงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จนเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วทุกสารทิศ , แต่นางมีคนรักอยู่แล้ว เป็นชายหนุ่มที่อาศัยอยู่บนเก่ะกลางทะเล ชายหนุ่มมักจะลอบมารับนางไปเที่ยวออกทะเลด้วยกันเสมอ ซึ่งแท้จริงแล้วชายหนุ่มผู้นี้คือพญานาคแปลงกายมานั่นเอง

    ความงามของเบญจาเลื่องลือไปถึงเมืองยักษ์ , ยักษ์ตนหนึ่งจึงแปลงกายเป็นเศรษฐีเฒ่าไปเฝ้าแอบดู ครั้นเพียงแรกเห็นเห็นก็หลงใหลในรูปโฉม อยากได้นางมาเป็นคู่ครอง , วันรุ่งตะวันฉายฉาน เศรษฐีเฒ่า ได้ขนแก้วแหวนเงินทองมากมายมาสู่ขอนาง กับพ่อแม่ , ทั้งสองพอได้เห้นมาบัติเหล่านั้นก็ตอบตกลงทันที โดยไม่ถามความสมัครใจของลูกสาวแม้สักคำ

    เมื่อนัดหมายวันแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว ,เศรษฐีเฒ่าก็รีบเร่งกลับไปสร้างเรือนหอเป็นปราสาททองคำงดงาม ๗ หลัง บนเนินเขาริมหาด , จากนั้นก้เฝ้ารอคอยวันแต่งงาน ด้วยความสุขใจ 

    ฝ่ายพญานาคหนุ่มเมื่อทราบข่าวก็ร้อนใจ , กลางดึกคืนนั้นจึงแปลงกายเป็นมนุษย์ ไปลักพาตัวสาวคนรักหนีมาอยู่ด้วยกัน ณ ถ้ำใต้ทะเล และให้บริวาณ ซึ่งเป็นทหารเต่าทะเลทั้งหลายเฝ้าปากถ้ำไว้ , พญานาคหนุ่มคาดการณ์ว่า ยักษ์จะต้องมาแย่งชิงนางคนรักของตนเป็นแน่ , จึงร่ายมนต์แปลงกายเป็นชายหนุ่มถือกระบี่คู่ เตรียมพร้อมดักรอยู่หน้าเมืองบาดาล 

    ครั้นถึงวันแต่งงาน เศรษฐ๊เฒ่าก็ยกขบวนขันหมากมาอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อรู้ว่าเจ้าสาวของตนถูกลักพาตัวไปก้โกรธแค้นมาก จึงกลายร่างเป็นยักษ์ ออกติดตามหาตัวนางในทันที , ยักตามหาเบญจาจนมาถึงทางเข้าเมืองบาดาล , บัดนั้นจึงได้พบกับ พญานาคจำแลงกายเป็นชายหนุ่มรุปงาม ,ด้วยความโกรธแค้น ยักษ์จึงใช้ขวานฟาดฟันกระบี่ของชายหนุ่มจนกระเด็นหลุดมือไป * ภายหลังมีผู้ขุดพบกระบี่ทั้งสอง จึงตั้งชื่อที่แห่งนั้นว่า “บ้านกระบี่น้อย” และ “บ้านกระบี่ใหญ่”

    เมื่อชายหนุ่มเสียทียักษ์ จึงคืนร่างกลับเป็นพญานาคตัวใหญ่มหึมา , สำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้ท้องทะเลปั่นป่วน กระแสคลื่นท่วมซัดขบวนขันหมาก จนข้าวของลอยเกลื่อน แล้วพ่นน้ำทำลายปราสาททองคำทั้งเจ็ดพังครืนจมทะเลหายไปในพริบตา , ข้าวของขันหมากที่ลอยเกลื่อนก้กลายเป็น ภูเขา เกาะเล็กเกาะน้อย หน้าอ่าวพระนาง

    ครั้นเห็นดังนั้น ยักษ์ก็ยิ่งโกรธแค้นสุดขีด เงื้อขวานฟันหางนาคหนุ่มจนขาดกระเด็น (ต่อมา ณ บริเวณนั้นกลายเป็น “เขาหางนาค” ทอดยาวอยู่หน้าอ่าว) พญานาคดิ้นพร่านด้วยความเจ็บปวด พยายามกระเสือกกระสนหทายจะกลับไปหานางคนรักยังถ้ำใต้บาดาล , ยักษ์เห็นนาคหนุ่มเพลี่ยงพล้ำดังนั้นแล้ว จึงรีบยกภูเขาสองลูกมาปักขวางไว้ ไม่ให้พญานาคว่ายน้ำหนีไปได้ จากนั้นตนก็ออกเดินทางตามหาเบญจาต่อไป * ภูเขาที่ปักกั้นน้ำอยู่นั้นต่อมาเรียกว่า “เขาขนาบน้ำ”ในปัจจุบัน

    ในที่สุด ยักษ์ก็พบถ้าที่ซ่อนเบญจา , ยักษ์ได้ฆ่าทหารเต่าทะเลตายหมด แล้วโฉบเบญจาเหาะหนีไป , นาคหนุ่มที่นอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เมื่อเห็นดังนั้น ก็โศกเศร้าเสียใจจนขาดใจตาย * ที่แห่งนั้นจึงถูกเรียกว่า “เขาพราก” หรือ “เขาพระ”  และอ่าวนั้นก็ได้ชื่อว่า “อ่าวพรากนาง” หรือ “อ่าวพระนาง”ที่เรียกกันมาถึงปัจจุบัน 

    เบญจาเมื่อถูกยักษ์พรากมา นางได้แต่คร่ำครวญร่ำไห้ถึงคนรัก นางจึงตัดสินใจผละจากอกยักษ์, ร่างลอยละลิ่วหล่นลงไป สิ้นใจตายในทันทีที่กลางป่า , ต่อมา ณ ที่แห่งนั้น กลายเป็นเขานางนอน ชื่อว่า “พนมเบญจา” , ส่วนยักษ์เสียใจมากตรอมใจตายตามนางไป และบริเวณแหง่นั้นจึงถูกเรียกว่า “เขาหน้ายักษ์” และ ขวานของยักษ์กลายเป็น “เกาะหัวขวาน” 



     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×