จุนทะบุตรของนายช่างทอง - จุนทะบุตรของนายช่างทอง นิยาย จุนทะบุตรของนายช่างทอง : Dek-D.com - Writer

    จุนทะบุตรของนายช่างทอง

    จุนทกัมมารบุตร เป็นช่างทองผู้ถวายพระกระยาหารมื้อสุดท้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมสวมอัมพวันของเขาที่เมืองปาวา

    ผู้เข้าชมรวม

    175

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    175

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  อื่นๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 พ.ค. 66 / 15:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    จุนทะบุตรของนายช่างทอง หรือ จุนทกัมมารบุตร เป็นช่างทองผู้ถวายพระกระยาหารมื้อสุดท้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมสวมอัมพวันของเขาที่เมืองปาวา หลังเสวยพระกระยาหารของจุนทะไปแล้ว พระพุทธเจ้ามีพระอาการประชวรบิดอย่างรุนแรง  ก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปเยี่ยมจุนทะเพื่อแจ้งข่าวว่า อาหารของจุนทะไม่เกี่ยวข้องกับพระอาการประชวรของพุทธองค์ จุนทะไม่ต้องตำหนิตนเองหรือสำนึกผิด ตรงกันข้าม การถวายพระกระยาหารมื้อสุดท้ายแก่พระพุทธเจ้าก็เป็นบุญเท่ากับถวายอาหารมื้อแรกเมื่อพุทธองค์ตรัสรู้ของนางสุชาดา ถือว่าได้อานิสงส์สูงยิ่งนัก ทั้งนี้สูกรมัททวะมิใช่สาเหตุของการปรินิพพานโดยตรง และพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรินิพพานด้วยปักขันทิกาพาธ หากแต่ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

     

     

    สมัยนั้น ... พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในโภคนครตามความพอ พระทัยแล้ว ตรัส เรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจัก ไปยังเมืองปาวา ท่านพระ อานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองปาวาแล้ว 

    ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร ในเมืองปาวานั้น  ครั้งนั้น นายจุนทกัมมารบุตร ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึง เมืองปาวา

    ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเราในเมืองปาวา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไป เฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นนายจุนทกัมมารบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา 

     ได้ยินว่า ...จุนทกัมมารบุตรชอบใจพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือน้ำเต้า สวมพวงมาลัย และบำเรอไฟลงน้ำเป็นวัตร ด้วยสำคัญว่าเป็นผู้ดำรงความสะอาด จากนั้นพระพุทธเจ้าได้อธิบายถึงความแตกต่างกันระหว่างพิธีกรรมทำให้บริสุทธิ์ของพราหมณ์เหล่านี้กับการทำให้บริสุทธิ์ในวินัยของอริยสงฆ์ จนจุนทะซึ้งในรสพระธรรม แล้วขอเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

    ลำดับนั้น นายจุนทกัมมารบุตร อันพระผู้มีพระภาคให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค พร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัต ของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงรับด้วยดุษณีภาพ

    ลำดับนั้น นายจุนทกัมมารบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้ว ลุกจากอาสนะ

    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ หลีกไปแล้ว นายจุนท กัมมารบุตร ให้ตระเตรียม ของเคี้ยวของฉันอันประณีต และสุกรมัททวะ เป็นอันมาก ในนิเวศน์ ของตน โดยล่วงราตรีนั้นไป ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว

    ในอรรถกถา สุมังคลวิลาสินี ระบุว่าภัตตาหารที่จุนทะถวายแก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์องค์อื่น ๆ ประกอบด้วย เนื้อสุกรอ่อน ข้าวหุงด้วยนมโคอย่างดี และสมุนไพรชนิดหนึ่ง ส่วนใน มหาปรินิพพานสูตร ระบุว่า จุนทกัมมารบุตรตระเตรียมของฉันขบเคี้ยวอย่างประณีตและสูกรมัททวะ  ไว้อย่างเพียงพอ โดยใช้เวลาเตรียมอาหารที่บ้านของตนเองทั้งคืน

    มีการตีความ "สูกรมัททวะ" ว่าเป็นอาหารชนิดใดไว้หลายทาง 

    1. เนื้อสุกรทั่วไปที่อ่อนนุ่ม 
    2. หน่อไม้ที่สุกรแทะดุน 
    3. เห็ดชนิดหนึ่งที่เกิดในถิ่นที่สุกรแทะดุน 
    4. เป็นชื่อรสอาหารชนิดหนึ่ง เรียกว่า สูกรมัททวะ 

    ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุ

    สงฆ์เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร ประทับนั่งบนอาสนะ ที่เขาจัด ถวาย

    ในเอกสารนิกายเถรวาทระบุว่าพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคือเนื้อหมูอ่อน ขณะที่นิกายมหายานซึ่งเป็นมังสวิรัติ อาจเป็นเห็ด  เผือก หรือ พืชมีหัว  เมื่อจุนทกัมมารบุตรประเคนภัตตาหารและของขบเคี้ยวแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ โดยพระพุทธเจ้าตรัสเรียกจุนทะแล้วกล่าวว่า 

    "จุนทะ ท่านจงประเคนเราด้วยสูกรมัททวะที่เตรียมไว้ ประเคนภิกษุสงฆ์ด้วยของขบฉันอย่างอื่นที่เตรียมไว้เถิด" หลังเสวยภัตตาหารไปแล้ว ทรงตรัสกับจุนทะอีกว่า "จุนทะ ท่านจงฝังสูกรมัททวะที่เหลือในหลุม เรายังไม่เห็นใครในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะบริโภคสูกรมัททวะนั้นแล้วพึงถึงการย่อยไปด้วยดี ยกเว้นตถาคต"

    จุนทะจึงนำสูกรมัททวะที่เหลือทิ้งลงหลุมสนองพระดำรัส หลังพระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารจากนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ทรงเกิดแต่การประชวรลงพระโลหิต มีพระบังคนหนักเป็นพระโลหิต ทรงทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนจะปรินิพพาน ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนา เหล่านั้น ไว้มิได้ทรงพรั่นพรึง 

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่าน พระอานนท์ มารับสั่งว่า มาไปกันเถิด อานนท์ เราจักไปยังเมือง กุสินารา ท่านพระอานนท์ ทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะจากหนทาง แล้วเสด็จเข้าไป ยังโคนไม้ต้นหนึ่ง รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิ ซ้อนกันเป็นสี่ชั้นให้เรา เราเหน็ดเหนื่อยนัก จักนั่ง 

    ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิ ซ้อนกัน เป็นสี่ชั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง บนอาสนะที่พระอานนท์ปูถวายแล้ว ครั้นพระผู้มี

    พระภาคประทับนั่งแล้ว จึงรับสั่ง กะท่านพระอานนท์ว่า 

    ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำมาให้เรา เราระหาย จักดื่มน้ำ เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัส อย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข้ามไปแล้วน้ำนั้นน้อย ถูกล้อเกวียน บดแล้ว ขุ่นมัวไหลไปอยู่ แม่น้ำกกุธานทีนี้อยู่ไม่ไกล มีน้ำใสจืด เย็น ขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์ พระผู้มีพระภาคจักทรงดื่มน้ำในแม่น้ำนี้ และจักทรง สรงสนานพระองค์ 

    แม้ครั้งที่สอง  แม้ครั้งที่สาม .... พระผู้มีพระภาคก็ยังรับสั่งกะ ท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำมาให้เรา เราระหาย จักดื่มน้ำ ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส ของ พระผู้มีพระภาค แล้วถือบาตรไปยังแม่น้ำนั้น 

    ครั้งนั้น แม่น้ำนั้นถูกล้อเกวียน บดแล้ว มีน้ำน้อยขุ่นมัว ไหลไปอยู่ เมื่อท่าน พระอานนท์ เข้าไปใกล้ก็ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ไหลไปอยู่ ท่านพระอานนท์ ได้มีความดำริว่า น่าอัศจรรย์หนอเหตุไม่เคยเป็นมาเป็นแล้ว ความที่ พระตถาคต เป็นผู้มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก แม่น้ำนี้ถูกล้อเกวียนบดแล้ว มีน้ำน้อย ขุ่นมัว ไหลไปอยู่ เมื่อเราเข้าไปใกล้กลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว 

    ท่านพระอานนท์ตักน้ำมาด้วยบาตรแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้น

    เข้าไปเฝ้าแล้วได้กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยเป็นมา เป็นแล้ว ความที่พระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อกี้นี้ แม่น้ำนั้น ถูกล้อเกวียนบดแล้ว มีน้ำน้อยขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อข้า พระองค์เข้าไปใกล้ กลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ไหลไปแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค จงเสวยน้ำเถิด ขอพระสุคต จงเสวยน้ำเถิด ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเสวย น้ำแล้ว

     ระหว่างนั้นพระพุทธเจ้ารับสั่ง ให้พระอานนท์มาตรัสถึงเรื่องของจุนทกัมมารบุตรไว้ว่า

    "อานนท์ หากจะมีใครมากล่าวให้นายจุนทกัมมารบุตรเดือดร้อนใจว่า ท่านจุนทะ การที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่ใช่ลาภของท่าน ท่านได้ชั่วแล้ว อานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรอย่างนี้ว่า ท่านจุนทะ การที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ท่านจุนทะ ความข้อนี้ อาตมภาพได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคว่า บิณฑบาต 2 คราว มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอกัน มีผลมากกว่าและมีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอื่นอย่างมาก บิณฑบาต 2 คราว อะไรบ้าง คือ

    1. บิณฑบาตที่พระตถาคตเสวยแล้วตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม

    2. บิณฑบาตที่พระตถาคตเสวยแล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    บิณฑบาต 2 คราวนี้ มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอกัน มีผลมากกว่าและมีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอื่นอย่างมาก นายจุนทกัมมารบุตรได้สั่งสมกุศลกรรมที่เป็นเหตุให้มีอายุยืน มีผิวพรรณผ่องใส มีความสุข เกิดในสวรรค์ เจริญด้วยลาภยศ เป็นใหญ่ยิ่งแล้ว อานนท์ เธอพึงระงับความเดือดร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรอย่างนี้"

    "ภัตตาหารมื้อสุดท้าย”

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×