สัญชัยปริพาชก - สัญชัยปริพาชก นิยาย สัญชัยปริพาชก : Dek-D.com - Writer

    สัญชัยปริพาชก

    สมัยนั้น พระศาสดาเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ โดยลำดับ ทรงรับเวฬุวัน แล้วประทับอยู่ในเวฬุวัน ในกาลนั้น พระอัสสชิเถระ ในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ระหว่าง พระอรหันต์ ๖๑ องค์

    ผู้เข้าชมรวม

    882

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    82

    ผู้เข้าชมรวม


    882

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  อื่นๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 เม.ย. 66 / 14:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    สัญชัยปริพาชก :
    ในโลกนี้ คนฉลาด หรือคนเขลามากกว่า ?

     

    สัญชัยปริพาชก : โดยย่อ ...สมัยนั้น พระศาสดาเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ โดยลำดับ ทรงรับเวฬุวัน แล้วประทับอยู่ในเวฬุวัน ในกาลนั้น พระอัสสชิเถระ ในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ระหว่าง พระอรหันต์ ๖๑ องค์ ที่พระศาสดาทรงส่งไปเพื่อประกาศคุณพระรัตนตรัย ด้วยพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ ชนเป็นอันมากเถิด"

    เช้าวันหนึ่ง สารีบุตรปาริพาชกเห็นท่านพระอัสสชิกำลังบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทน่าเลื่อมใส นัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ คิดในใจว่าภิกษุรูปนี้คงเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเป็นแน่ จึงเดินตามไปเรื่อย ๆ เพื่อรอให้ท่านบิณฑบาตเสร็จ

    แล้วเข้าไปหาพระอัสสชิ ถามท่านว่าท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร พระอัสสชิตอบว่า ท่านบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของท่าน และท่านชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

    พระอัสสชิได้แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคตามที่สารีบุตรปาริพาชกขอ ว่าธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น ดวงตาเห็นธรรม ได้เกิดแก่สารีบุตรปาริพาชกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา บรรลุพระโสดาบัน

    เมื่อสารีบุตรปริพาชกพบโมคคัลลานปริพาชก ก็เล่าเรื่องที่ได้พบพระอัสสชิ รวมถึงกล่าวธรรมที่พระอัสสชิทรงแสดงแก่ตน โมคคัลลานปริพาชกมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุพระโสดาบัน

    จากนั้นโมคคัลลานปริพาชกได้ชักชวนสารีบุตรปริพาชก และปริพาชกทั้ง ๒๕๐ คน ไปยังสำนักพระผู้มีพระภาค ณ พระวิหารเวฬุวัน แม้สัญชัยปริพาชกจะต้านทานถึงสามครั้งก็ไม่เป็นผล โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากสญชัยปริพาชกในที่นั้นเอง

    ลำดับนั้น ทั้งสองคนก็ได้ไปสู่สำนักของท่านสญชัย สญชัยพอเห็น เขาจึงถามว่า "พ่อทั้งสอง พวกพ่อได้ใครที่แสดงทางอมตะแล้วหรือ" สหายทั้งสองจึงเรียนว่า "ได้แล้วขอรับท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระธรรมก็อุบัติขึ้นแล้ว พระสงฆ์ก็อุบัติขึ้นแล้ว ท่านอาจารย์ประพฤติธรรมเปล่า ไร้สาระ เชิญท่านมาเถิด เราทั้งหลาย จักไปยังสำนักพระศาสดา"

    ณ พระวิหารเวฬุวัน เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรและโมคคัลลานะเดินมาแต่ไกลจึงตรัสพยากรณ์กับภิกษุทั้งหลายว่า สหายสองคนนั้น คือโกลิตะ และอุปติสสะ จะเป็นคู่สาวกอันเจริญชั้นเยี่ยมของพระองค์ พ้นวิเศษแล้วในธรรมอันเป็นที่สิ้นอุปธิ มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง

    เมื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงที่พระบาท แล้วได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค

    กล่าวถึง อาจารย์สัญชัยปริพาชก อันเป็นอาจารย์ของสองมานพคือ อุปติสสะ และ โกลิตตะ หลังจากที่มานพทั้งสองได้ชวนอาจารย์ของตน มาฟังธรรม พระพุทธเจ้า แต่ อาจารย์สัญชัยปฏิเสธ

    สมัยต่อมา ท่านได้ทูลเล่าเรื่องอันเป็นปัจจุบัน (เกิดขึ้นเฉพาะหน้า) ทั้งหมดว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ทั้งสองนั้น ไปยังสำนักของท่านอาจารย์สญชัย ประสงค์จะนำท่านมาสู่บาทมูลของพระองค์ แจ้งว่าลัทธิของท่านไม่มีสาระ แล้วกล่าวอานิสงส์ในการมาที่นี่ 

    ท่านสัญชัยตอบว่า 'บัดนี้ชื่อว่าการอยู่ในสำนักของเรา ย่อมเป็นเช่นกับการถึงความกะเพื่อมแห่งน้ำในตุ่ม เราไม่สามารถจะอยู่ร่วมสำนักได้'
     

     เมื่อข้าพระองค์บอกว่า 'ท่าน อาจารย์ เวลานี้ มหาชนมีมือ ถือวัตถุ มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น จักไปบูชาเฉพาะพระศาสดา ท่านจักเป็นอย่างไร' 

    ตอบว่า 'ก็ในโลกนี้ คนฉลาดมากหรือคนเขลามาก' เมื่อข้าพระองค์ตอบว่า 'คนเขลา มาก' ก็กล่าวว่า ถ้ากระนั้น พวกคนฉลาดๆ จักไปสำนักพระสมณโคดม พวกคนเขลาๆ จักมาสำนักของเรา เธอทั้งสอง ไปเถอะ' ,ไม่ปรารถนาจะมาพระเจ้าข้า”

    พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สญชัย ถือสิ่งที่ไม่มีสาระว่า 'มีสาระ' และสิ่งที่มีสาระว่า 'ไม่มีสาระ' , เพราะความที่ตนเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ส่วนเธอทั้งสอง รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ และสิ่งอันไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ,ละสิ่งที่ไม่เป็นสาระเสีย ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นสาระเท่านั้น เพราะความที่ตนเป็นบัณฑิต"

    ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า 

    "ชนเหล่าใด มีปกติรู้ ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระ ว่าไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ,ย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ , ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ,ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ"

     ดังนั้นแล ….

    เล่าสู่กันฟัง : Lifesty ธรรมดา channel

     

     



     

     



     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×