ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปาฏิหาริย์รัก นางคณิกา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : เริ่มแผน !

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 360
      2
      21 พ.ย. 58









    เช้าตรู่วันต่อมา ตลาดใจกลางเมืองยังคงคึกคักไปด้วยเสียงผู้คนที่ออกมาตั้งร้านและจับจ่ายซื้อของเข้าบ้านกันคนละไม้คนละมือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี

     

     

    แต่จำนวนหนึ่งในนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล่าเจ้าหน้าที่กองปราบและราชองครักษ์ที่เดินบ้างขี่ม้าบ้างกันให้วุ่นเพื่อจัดเตรียมทางให้เหมาะสม สำหรับการเสด็จประพาสอย่างเป็นพิธีการขององค์ฮ่องเต้ในช่วงบ่ายที่จะมาถึงนี้

     

             

              ตามบันทึกหลวงล้วนกล่าวว่า ห้าปีที่โอรสสวรรค์ ลู่หวั่นหลง ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาอย่างถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลนั้น บ้านเมืองวุ่นวายเป็นอย่างมากในช่วงสองปีแรก ก่อนจะถูกจัดระเบียบเสียใหม่จนร่มเย็นเป็นส่วนใหญ่ในสามปีให้หลัง แถบชายแดนเองแม้จะมีปะทะกันบ้างกับชนเผ่าเร่ร่อน แต่ก็ไม่หนักหนาจนกระทบกับการดำรงชีวิตของผู้คน

     

     

              หากจะหาคนที่ล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังสถานการณ์บ้านเมืองจริง ๆ  ทั้งแผ่นดินคงมีไม่ถึง 5 คนเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ผู้ครองแผ่นดินเช่นเขาต้องออกมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งในวันนี้

     

     

              ในสิ่งที่บันทึกหลวงไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนบันทึกลงไป...

     

     

     

     

              “ทหารตามเสด็จครั้งนี้มีกี่คนกันหรือ พี่มู่ตาน”

     

     

    หรู่ไจ้ สาวใช้ประจำหอคณิกาเอ่ยถามอย่างสนใจ เมื่อยืนอยู่ข้างกายกับดาวเด่นประจำหอบนระเบียงชั้นสาม เห็นบ้านเรือนโดยรอบบ้าง หอสูงใหญ่บ้าง ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากตลาดคือวังหลวงที่มีกำแพงสูงใหญ่บดบัง เห็นเพียงหลังคาของตำหนักหลังงามมากมายเรียงราย ด้านล่างถนนล้วนเป็นชาวบ้านและทหารวิ่งให้วุ่น

     

     

    “แค่ประพาสทอดพระเนตรความเป็นอยู่ผู้คน คงสักสามร้อยนายกระมัง” มู่ตานตอบขณะคะเนความเป็นไปได้

     

     

    “มากเพียงนั้นเชียว...” หรู่ไจ้ตาโต “แล้วจะมีทหารท่านใดคิดผูกสัมพันธ์กับข้าบ้างรึเปล่านะ”

     

     

    เด็กสาววัยสิบห้าเพ้อฝันถึงองครักษ์รูปหล่อที่มีร่างกายองอาจกำลังนั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำสนิทที่ย่างเหยาะ ๆ มาหานาง

     

     

    “ข้านึกว่าเวลานี้เป็นเวลากลางวัน” มู่ตานเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้ามาได้ไม่นางก่อนจะหยีตาจนเล็กหมายสู้แสง

     

     

    “ก็กลางวันน่ะสิเจ้าคะ พระอาทิตย์พึ่งขึ้นได้ไม่กี่ชั่วยาม” หรู่ไจ้เอียงคอมองอย่างนึกสงสัยว่าคนสวยแห่งหอกำลังสมองเลอะเลือน ก่อนจะแทบหน้าทิ่มเมื่อถูกดับฝันเสียกลางคันหลังฟังคำพูดต่อมาของรุ่นพี่สาว

     

     

              “งั้นก็แสดงว่าคนแถวนี้คงกำลังฝันกลางวัน”

     

     

              “พี่มู่ตาน...” หรู่ไจ้ครวญเสียงสูงแล้วฟุบหน้าลงกับราวระเบียง ใบหน้าจืด ๆ ละจากความสับสนของตลาดด้านล่าง หลับลึกอย่างสะเทือนในอกถึงความจริง

     

     

              แต่นั่นก็แค่เพียงไม่นาน เพราะหลังโดนเรียกไปช่วยงานในครัวสำหรับอาหารเช้าของเหล่าพี่น้องในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ เสียงหัวเราะสดใสก็กลับมาแทนทีความกระเง้ากระงอดตามนิสัยทั่วไปของเด็กสาว

     

     

              “นั่นของโปรดข้า”

     

     

              “เจ้าช้าเองนาอามี่”

     

     

              “ไก่เจ้ามีก็กินไปสิ มาแย่งของคนอื่นกินได้เช่นไร !

     

     

              “คนเรียกลูกค้าไม่ได้เช่นเจ้าได้กินผักต้มก็บุญโขแล้วย่ะ”

     

     

              เสียงอื้ออึงทั้งหลายดังผสมไปกับกลิ่นฟุ้งของอาหารรสเลิศบนโต๊ะไม้มากมายที่ตั้งไว้รองรับครอบครัวจิน เมื่อถึงยามเช้า พี่น้องทุกคนภายในหอจะลุกจากเตียงมาช่วยกันหุงหากับข้าวและแบ่งปันกันกินอย่างสนุกสนาน ใครเร็วก็อิ่มไป ใครช้าก็ถือว่าได้ลดน้ำหนักร่างกาย...

     

     

              เด็กสาวและเด็กหญิงหลายวัยต่างนั่งร่วมโต๊ะที่มีแม่เล้าจินเป็นหัวโต๊ะสำคัญ นอกนั้นก็เป็นโต๊ะย่อยที่วุ่นวายไม่น้อยเพราะปากแว้ด ๆ ของผู้คน ดูแล้ววุ่นวายไม่ต่างไปจากตลาดด้านนอก

     

     

              แต่นั่นก็เพียงพริบตาเดียว เพราะโอกาสพูดมากเช่นนี้มีเพียงไม่กี่อึดใจระหว่างทานอาหารเช้าร่วมกัน หลังจากนั้นก็จะเป็นการฝึกฝนหนักหน่วงให้กับเด็กสาวทั้งหลายเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมที่จะทำงานอย่างดีที่สุดสำหรับสร้างรายได้มาจุนเจือเงินค่าอาหารและค่าเครื่องแต่งกายของทุกคน

     

     

              “กินแล้วก็ช่วยกันล้างให้สะอาดด้วยล่ะ” ผิงผิงที่เป็นหัวหน้าใหญ่ในเรื่องงานบ้านงานเรือนตะโกนบอกเมื่อหลายคนเริ่มลุกจากโต๊ะ ใบหน้าอ่อนวัยอมชมพูตามธรรมชาติ เมื่อเป็นเวลานอกนั้น มีไม่กี่คนที่คิดจะแต่งหน้าแต่งตัวให้วุ่นวาย เพราะหลังเหงื่อโซมจากการฝึกซ้อมตามฝ่ายของตน เครื่องประทินโฉมเหล่านั้นล้วนหลุดร่วงดูน่าเกลียด

     

     

              “เสร็จแล้วรีบไปเรียนซะ พวกเจ้าล้วนเล่นหมากล้อมได้ไม่เก่งกันสักคน” อิงเหมาผู้เป็นพี่ใหญ่และเป็นมือขวาของแม่เล้าจินเสริม คนของหอนี้ล้วนต้องอ่านออกเขียนได้ และยังพร้อมไปด้วยทักษะอื่น ๆ อีกมากมาย

     

     

              “ข้าเกลียดหมากล้อม” เสวี่ยถิงบ่นอุบขณะย้ายจานชามไปบนถาดเตรียมยกเก็บเข้าครัวด้านหลัง

     

     

              “เพราะเหตุนี้มู่ตานจึงแซงเจ้ามาตลอด” จินเหลียนว่า นางเองกำลังช่วยกันกับเด็กหญิงอีกสองสามคนเช็ดโต๊ะอย่าแข็งขัน

     

     

              “หอนั้นช่างเสียงดังเสียจริงเลย” เด็กหญิงตัวเล็กข้างกันเริ่มบ่นเมื่อได้ยินโหวกเหวกของหอคณิกาข้าง ๆ 

     

     

              ถ้าไม่ทะเลาะกันเรื่องลูกค้าก็คงเพราะเรื่องเครื่องประดับที่เอามาอวดกันอยู่ร่ำไป

     

     

              “ว่าแต่ผู้อื่น ตอนกินข้าวเจ้าน่ะเสียงดังที่สุดเลยนะ เสี่ยวเจี้ยน” เสวี่ยถิงยกมือเข้าหยิกแก้มน้องสาวตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเดินเอาชามไปวางไว้ในครัวและเอาข้าวเอาน้ำให้พวกไก่ พวกเป็ด และหมูที่เลี้ยงไว้ทำอาหาร ใบหน้าของนางปรากฏรอยคล้ำนิด ๆ บริเวณใต้ตา ด้วยกว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบเช้า อีกทั้งแผนที่นางคิดก็ไม่คืบหน้า

     

     

              ขบวนใหญ่ขนาดนั้น จะมีวิธีใดเข้าใกล้ฝ่าบาทได้เล่า...

     

     

              “ข้าคงต้องเตรียมจัดเลี้ยงคนทั่วเมืองหลวงแล้วกระมัง ฉลองให้กับความล้มเหลวของเจ้า” เสียงนิ่ง ๆ  ของแม่เล้าจินดังขึ้นเบื้องหลัง นางสังเกตเห็นแววคิดไม่ตกของบุตรสาวอยู่นานแล้ว

     

     

              “อย่าด่วนตัดสินใจสิเจ้าคะ ถ้าคราวนี้ไม่ได้จริง ๆ  คราวอื่นก็มีอีกเจ้าค่ะ” เสวี่ยถิงเถียงโดยที่มือยังสาละวนกับการแยกไก่ที่กำลังตีกันเพราะอาหารออกอย่างทุลักทุเลในชุดรัดกายเพื่อสะดวกต่อการทำงาน

     

     

              “ชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่มีค่าเช่นเจ้าจะทำอะไรได้มากมายกัน ถิงเอ๋อร์ ใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดีก็เพียงพอแล้ว” แม่เล้าจินตำหนิด้วยอดห่วงกับแผนการบ้าบอของเด็กสาวไม่ได้

     

     

              “เพราะข้าโง่ ข้าเลยคิดได้เพียงเท่านี้แหละเจ้าค่ะ” เสวี่ยถิงบ่น

     

     

              “อำนาจก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่จะทำให้ผู้คนหุบปาก ทว่าเปลือกในทุกคนก็จะยังคงรังเกียจพวกเราอยู่เช่นเดิม” แม่เล้าจินเชิดหน้ามองฟ้า นึกย้อนไปถึงเมื่อวัยเด็กที่นางปกปิดจนมิดชิด... “แต่จะลองก็ไม่เสียหาย ข้าเองก็อยากดูเจ้าสู้กับอำนาจอย่างโง่เง่า เมื่อเจ้าเข้าสู่เส้นทางนั้นแล้ว เจ้าจะเสียใจ”

     

     

              “การเป็นพระสนม หรือแม้กระทั่งฮองเฮาไม่สามารถช่วยให้เจ้ารอดพ้นคำครหาและอุปสรรค เจ้าจะตกลงมาเจ็บเจียนตายหากยังดื้อรั้นที่จะทำตามแผนไร้สาระของเจ้า” แม่เล้าจินกล่าวเสริมเมื่อเห็นเสวี่ยถิงนั่งเงียบไปอยู่บนพื้นดินหน้าเล้าไก่ “ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฎสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น จะดีจะชั่วก็ทำตัวเจ้าให้ดีก็พอ อย่าคิดอาจเอื้อมให้มากไปกว่านั้น”

     

     

              “ข้าอยากจะล้อเล่นกับชะตาตัวเองดูสักครั้งเจ้าค่ะ” เสวี่ยถิงเบนสายตากลับมามองแม่เล้าจินด้วยแววตาไม่มั่นคง

     

     

              “เจ้ามีเวลาก่อนบ่ายที่จะเตรียมตัว หากครั้งนี้พลาด เจ้าคงต้องรออีกนานเทียว” แม่เล้าจินเน้นหนักถึงกำหนดเวลา นางไม่เชื่อมั่น แต่เพื่อสอนบทเรียนแล้ว ให้ประสบกับตนเองนั้นดีที่สุด

     

     

              “...” เสวี่ยถิงไม่ตอบจนกระทั่งนายหญิงแห่งหอเดินจากไป ตอนนี้ในหัวเครียดตึง นางจริงจังกับมันมากเกินไปหรือไม่ ควรล้มเลิกแผนการบ้า ๆ นี่หรือไม่...

     

     

              “คิดมากให้ปวดหัวทำไมนะเรา แผนตื้น ๆ อาจจะสำเร็จก็ได้” เสวี่ยถิงสะบัดหัวไล่ความคิดที่ตีกันถึงความเป็นไปได้ของแผนต่าง ๆ ที่รวนกันเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน แผนง่าย ๆ ล้วนสำเร็จกันมานักต่อนัก แค่นางต้องเชื่อในตัวเองเท่านั้น !

     

     

              แต่นางทำไม่ได้น่ะสิ ฮือ...

     

     

              ขาทั้งสองยืดตรงก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องโถงที่ทุกคนกำลังเตรียมการแสดงอย่างแข็งขัน แม้วันนี้จะแปลกไปเพราะองค์ฮ่องเต้เองก็เสด็จผ่านทางเส้นนี้ ทุกคนจึงคึกคักและพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก แม้จะถูกดุด่าจากครูสอนก็ตาม

     

     

     

     

              พอถึงช่วงเที่ยง ร้านรวงต่าง ๆ ก็รีบเก็บข้าวของและออกมาจับจองพื้นที่หน้า ๆ  หวังได้เห็นพระพักตร์เจ้าชีวิตของตนกันอย่างเบียดเสียด เหล่าเจ้าของหอสูงที่เปิดเป็นร้านต่าง ๆ ให้บริการก็ดีหน่อย เพราะยืนมองจากที่นี่เอาเสียก็ได้

     

     

              เหล่าทหารออกมายืนเป็นกำแพงคนกั้นประชาชนให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนด เว้นตรงกลางให้ขบวนเสด็จผ่านอย่างสะดวก หน้าถมึงทึงของทหารที่ยืนกั้นทำให้ไม่มีใครเสนอหน้าตอแยหรือหยอกล้อเล่นกับเจ้าหน้าที่ให้ถูกบั่นคอเล่น

     

     

              จนกระทั่งถึงยามอุ้ย (13.00-14.59) เสียงแตรขบวนเสด็จก็ดังแว่วมาจากหน้าประตูวัง ราษฎรต่างยืนกันตัวตรงอย่างตื่นเต้น ในใจล้วนระทึกไม่แพ้กัน

     

     

              แต่ที่ระทึกที่สุดคงจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังลุกลี้ลุกลนในชุดสีฟ้าที่แต่งเสริมเติมแต่งให้ดูสวยแบบไม่ตั้งใจที่สุด

     

     

              “ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องจงหลีกทางไปให้พ้นขบวน...!” เสียงทหารกว่าห้าร้อยนายสลับกันป้องปากตะโกน องครักษ์มามากกว่าที่หลายคนคาดคิดดังสลับบอกกันเป็นระยะ ครั้งนี้จัดขึ้นเพราะองค์ไทเฮามีพระประสงค์ ทุกอย่างจึงเอิกเกริกไปหมด

     

     

              ใครจะรู้ว่าข้างในเกี้ยวหรูนั้นว่างเปล่า...

     

     

              เหล่านางกำนัลหน้าตาจิ้มลิ้มเดินขนาบข้างเกี้ยวกันเรียบร้อย ก่อนที่จะมีคนหนึ่งหวีดร้องเมื่อเห็นตัวอะไรฟ้า ๆ กลิ้งหลุน ๆ มาแผ่หลาอยู่ด้านหน้าเกี้ยว ขัดขบวนที่กำลังตรงมายังใจกลางตลาด

     

     

              ทหารองครักษ์ล้วนชักดาบออกจากฝักและวิ่งไปควบคุมตัวของสิ่งที่เป็นต้นเหตุ นั่นก็คือร่างหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวที่กำลังหอบหายใจหนัก เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก จินเสวี่ยถิง ผู้นั้น...




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×