คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : เริ่มแผน !
เช้าตรู่วันต่อมา
ตลาดใจกลางเมืองยังคงคึกคักไปด้วยเสียงผู้คนที่ออกมาตั้งร้านและจับจ่ายซื้อของเข้าบ้านกันคนละไม้คนละมือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี
แต่จำนวนหนึ่งในนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล่าเจ้าหน้าที่กองปราบและราชองครักษ์ที่เดินบ้างขี่ม้าบ้างกันให้วุ่นเพื่อจัดเตรียมทางให้เหมาะสม
สำหรับการเสด็จประพาสอย่างเป็นพิธีการขององค์ฮ่องเต้ในช่วงบ่ายที่จะมาถึงนี้
ตามบันทึกหลวงล้วนกล่าวว่า
ห้าปีที่โอรสสวรรค์ ลู่หวั่นหลง ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาอย่างถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลนั้น
บ้านเมืองวุ่นวายเป็นอย่างมากในช่วงสองปีแรก
ก่อนจะถูกจัดระเบียบเสียใหม่จนร่มเย็นเป็นส่วนใหญ่ในสามปีให้หลัง
แถบชายแดนเองแม้จะมีปะทะกันบ้างกับชนเผ่าเร่ร่อน
แต่ก็ไม่หนักหนาจนกระทบกับการดำรงชีวิตของผู้คน
หากจะหาคนที่ล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังสถานการณ์บ้านเมืองจริง
ๆ ทั้งแผ่นดินคงมีไม่ถึง 5 คนเสียด้วยซ้ำ
และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ผู้ครองแผ่นดินเช่นเขาต้องออกมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งในวันนี้
ในสิ่งที่บันทึกหลวงไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนบันทึกลงไป...
“ทหารตามเสด็จครั้งนี้มีกี่คนกันหรือ
พี่มู่ตาน”
หรู่ไจ้ สาวใช้ประจำหอคณิกาเอ่ยถามอย่างสนใจ
เมื่อยืนอยู่ข้างกายกับดาวเด่นประจำหอบนระเบียงชั้นสาม เห็นบ้านเรือนโดยรอบบ้าง
หอสูงใหญ่บ้าง ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากตลาดคือวังหลวงที่มีกำแพงสูงใหญ่บดบัง
เห็นเพียงหลังคาของตำหนักหลังงามมากมายเรียงราย
ด้านล่างถนนล้วนเป็นชาวบ้านและทหารวิ่งให้วุ่น
“แค่ประพาสทอดพระเนตรความเป็นอยู่ผู้คน
คงสักสามร้อยนายกระมัง” มู่ตานตอบขณะคะเนความเป็นไปได้
“มากเพียงนั้นเชียว...” หรู่ไจ้ตาโต “แล้วจะมีทหารท่านใดคิดผูกสัมพันธ์กับข้าบ้างรึเปล่านะ”
เด็กสาววัยสิบห้าเพ้อฝันถึงองครักษ์รูปหล่อที่มีร่างกายองอาจกำลังนั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำสนิทที่ย่างเหยาะ
ๆ มาหานาง
“ข้านึกว่าเวลานี้เป็นเวลากลางวัน”
มู่ตานเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้ามาได้ไม่นางก่อนจะหยีตาจนเล็กหมายสู้แสง
“ก็กลางวันน่ะสิเจ้าคะ
พระอาทิตย์พึ่งขึ้นได้ไม่กี่ชั่วยาม” หรู่ไจ้เอียงคอมองอย่างนึกสงสัยว่าคนสวยแห่งหอกำลังสมองเลอะเลือน
ก่อนจะแทบหน้าทิ่มเมื่อถูกดับฝันเสียกลางคันหลังฟังคำพูดต่อมาของรุ่นพี่สาว
“งั้นก็แสดงว่าคนแถวนี้คงกำลังฝันกลางวัน”
“พี่มู่ตาน...”
หรู่ไจ้ครวญเสียงสูงแล้วฟุบหน้าลงกับราวระเบียง ใบหน้าจืด ๆ
ละจากความสับสนของตลาดด้านล่าง หลับลึกอย่างสะเทือนในอกถึงความจริง
แต่นั่นก็แค่เพียงไม่นาน
เพราะหลังโดนเรียกไปช่วยงานในครัวสำหรับอาหารเช้าของเหล่าพี่น้องในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้
เสียงหัวเราะสดใสก็กลับมาแทนทีความกระเง้ากระงอดตามนิสัยทั่วไปของเด็กสาว
“นั่นของโปรดข้า”
“เจ้าช้าเองนาอามี่”
“ไก่เจ้ามีก็กินไปสิ
มาแย่งของคนอื่นกินได้เช่นไร !”
“คนเรียกลูกค้าไม่ได้เช่นเจ้าได้กินผักต้มก็บุญโขแล้วย่ะ”
เสียงอื้ออึงทั้งหลายดังผสมไปกับกลิ่นฟุ้งของอาหารรสเลิศบนโต๊ะไม้มากมายที่ตั้งไว้รองรับครอบครัวจิน
เมื่อถึงยามเช้า
พี่น้องทุกคนภายในหอจะลุกจากเตียงมาช่วยกันหุงหากับข้าวและแบ่งปันกันกินอย่างสนุกสนาน
ใครเร็วก็อิ่มไป ใครช้าก็ถือว่าได้ลดน้ำหนักร่างกาย...
เด็กสาวและเด็กหญิงหลายวัยต่างนั่งร่วมโต๊ะที่มีแม่เล้าจินเป็นหัวโต๊ะสำคัญ
นอกนั้นก็เป็นโต๊ะย่อยที่วุ่นวายไม่น้อยเพราะปากแว้ด ๆ ของผู้คน
ดูแล้ววุ่นวายไม่ต่างไปจากตลาดด้านนอก
แต่นั่นก็เพียงพริบตาเดียว
เพราะโอกาสพูดมากเช่นนี้มีเพียงไม่กี่อึดใจระหว่างทานอาหารเช้าร่วมกัน
หลังจากนั้นก็จะเป็นการฝึกฝนหนักหน่วงให้กับเด็กสาวทั้งหลายเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมที่จะทำงานอย่างดีที่สุดสำหรับสร้างรายได้มาจุนเจือเงินค่าอาหารและค่าเครื่องแต่งกายของทุกคน
“กินแล้วก็ช่วยกันล้างให้สะอาดด้วยล่ะ”
ผิงผิงที่เป็นหัวหน้าใหญ่ในเรื่องงานบ้านงานเรือนตะโกนบอกเมื่อหลายคนเริ่มลุกจากโต๊ะ
ใบหน้าอ่อนวัยอมชมพูตามธรรมชาติ เมื่อเป็นเวลานอกนั้น มีไม่กี่คนที่คิดจะแต่งหน้าแต่งตัวให้วุ่นวาย
เพราะหลังเหงื่อโซมจากการฝึกซ้อมตามฝ่ายของตน
เครื่องประทินโฉมเหล่านั้นล้วนหลุดร่วงดูน่าเกลียด
“เสร็จแล้วรีบไปเรียนซะ
พวกเจ้าล้วนเล่นหมากล้อมได้ไม่เก่งกันสักคน”
อิงเหมาผู้เป็นพี่ใหญ่และเป็นมือขวาของแม่เล้าจินเสริม คนของหอนี้ล้วนต้องอ่านออกเขียนได้
และยังพร้อมไปด้วยทักษะอื่น ๆ อีกมากมาย
“ข้าเกลียดหมากล้อม” เสวี่ยถิงบ่นอุบขณะย้ายจานชามไปบนถาดเตรียมยกเก็บเข้าครัวด้านหลัง
“เพราะเหตุนี้มู่ตานจึงแซงเจ้ามาตลอด”
จินเหลียนว่า นางเองกำลังช่วยกันกับเด็กหญิงอีกสองสามคนเช็ดโต๊ะอย่าแข็งขัน
“หอนั้นช่างเสียงดังเสียจริงเลย”
เด็กหญิงตัวเล็กข้างกันเริ่มบ่นเมื่อได้ยินโหวกเหวกของหอคณิกาข้าง ๆ
ถ้าไม่ทะเลาะกันเรื่องลูกค้าก็คงเพราะเรื่องเครื่องประดับที่เอามาอวดกันอยู่ร่ำไป
“ว่าแต่ผู้อื่น ตอนกินข้าวเจ้าน่ะเสียงดังที่สุดเลยนะ
เสี่ยวเจี้ยน” เสวี่ยถิงยกมือเข้าหยิกแก้มน้องสาวตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยอย่างหมั่นเขี้ยว
ก่อนจะเดินเอาชามไปวางไว้ในครัวและเอาข้าวเอาน้ำให้พวกไก่ พวกเป็ด
และหมูที่เลี้ยงไว้ทำอาหาร ใบหน้าของนางปรากฏรอยคล้ำนิด ๆ บริเวณใต้ตา
ด้วยกว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบเช้า อีกทั้งแผนที่นางคิดก็ไม่คืบหน้า
ขบวนใหญ่ขนาดนั้น
จะมีวิธีใดเข้าใกล้ฝ่าบาทได้เล่า...
“ข้าคงต้องเตรียมจัดเลี้ยงคนทั่วเมืองหลวงแล้วกระมัง
ฉลองให้กับความล้มเหลวของเจ้า” เสียงนิ่ง ๆ
ของแม่เล้าจินดังขึ้นเบื้องหลัง
นางสังเกตเห็นแววคิดไม่ตกของบุตรสาวอยู่นานแล้ว
“อย่าด่วนตัดสินใจสิเจ้าคะ
ถ้าคราวนี้ไม่ได้จริง ๆ คราวอื่นก็มีอีกเจ้าค่ะ”
เสวี่ยถิงเถียงโดยที่มือยังสาละวนกับการแยกไก่ที่กำลังตีกันเพราะอาหารออกอย่างทุลักทุเลในชุดรัดกายเพื่อสะดวกต่อการทำงาน
“ชีวิตเล็ก ๆ
ที่ไม่มีค่าเช่นเจ้าจะทำอะไรได้มากมายกัน ถิงเอ๋อร์ ใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดีก็เพียงพอแล้ว”
แม่เล้าจินตำหนิด้วยอดห่วงกับแผนการบ้าบอของเด็กสาวไม่ได้
“เพราะข้าโง่
ข้าเลยคิดได้เพียงเท่านี้แหละเจ้าค่ะ” เสวี่ยถิงบ่น
“อำนาจก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่จะทำให้ผู้คนหุบปาก
ทว่าเปลือกในทุกคนก็จะยังคงรังเกียจพวกเราอยู่เช่นเดิม” แม่เล้าจินเชิดหน้ามองฟ้า
นึกย้อนไปถึงเมื่อวัยเด็กที่นางปกปิดจนมิดชิด... “แต่จะลองก็ไม่เสียหาย ข้าเองก็อยากดูเจ้าสู้กับอำนาจอย่างโง่เง่า
เมื่อเจ้าเข้าสู่เส้นทางนั้นแล้ว เจ้าจะเสียใจ”
“การเป็นพระสนม
หรือแม้กระทั่งฮองเฮาไม่สามารถช่วยให้เจ้ารอดพ้นคำครหาและอุปสรรค
เจ้าจะตกลงมาเจ็บเจียนตายหากยังดื้อรั้นที่จะทำตามแผนไร้สาระของเจ้า”
แม่เล้าจินกล่าวเสริมเมื่อเห็นเสวี่ยถิงนั่งเงียบไปอยู่บนพื้นดินหน้าเล้าไก่ “ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฎสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น
จะดีจะชั่วก็ทำตัวเจ้าให้ดีก็พอ อย่าคิดอาจเอื้อมให้มากไปกว่านั้น”
“ข้าอยากจะล้อเล่นกับชะตาตัวเองดูสักครั้งเจ้าค่ะ”
เสวี่ยถิงเบนสายตากลับมามองแม่เล้าจินด้วยแววตาไม่มั่นคง
“เจ้ามีเวลาก่อนบ่ายที่จะเตรียมตัว
หากครั้งนี้พลาด เจ้าคงต้องรออีกนานเทียว” แม่เล้าจินเน้นหนักถึงกำหนดเวลา นางไม่เชื่อมั่น
แต่เพื่อสอนบทเรียนแล้ว ให้ประสบกับตนเองนั้นดีที่สุด
“...”
เสวี่ยถิงไม่ตอบจนกระทั่งนายหญิงแห่งหอเดินจากไป ตอนนี้ในหัวเครียดตึง
นางจริงจังกับมันมากเกินไปหรือไม่ ควรล้มเลิกแผนการบ้า ๆ นี่หรือไม่...
“คิดมากให้ปวดหัวทำไมนะเรา
แผนตื้น ๆ อาจจะสำเร็จก็ได้”
เสวี่ยถิงสะบัดหัวไล่ความคิดที่ตีกันถึงความเป็นไปได้ของแผนต่าง ๆ ที่รวนกันเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน
แผนง่าย ๆ ล้วนสำเร็จกันมานักต่อนัก แค่นางต้องเชื่อในตัวเองเท่านั้น !
แต่นางทำไม่ได้น่ะสิ
ฮือ...
ขาทั้งสองยืดตรงก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องโถงที่ทุกคนกำลังเตรียมการแสดงอย่างแข็งขัน
แม้วันนี้จะแปลกไปเพราะองค์ฮ่องเต้เองก็เสด็จผ่านทางเส้นนี้
ทุกคนจึงคึกคักและพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก แม้จะถูกดุด่าจากครูสอนก็ตาม
พอถึงช่วงเที่ยง
ร้านรวงต่าง ๆ ก็รีบเก็บข้าวของและออกมาจับจองพื้นที่หน้า ๆ
หวังได้เห็นพระพักตร์เจ้าชีวิตของตนกันอย่างเบียดเสียด เหล่าเจ้าของหอสูงที่เปิดเป็นร้านต่าง
ๆ ให้บริการก็ดีหน่อย เพราะยืนมองจากที่นี่เอาเสียก็ได้
เหล่าทหารออกมายืนเป็นกำแพงคนกั้นประชาชนให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนด
เว้นตรงกลางให้ขบวนเสด็จผ่านอย่างสะดวก
หน้าถมึงทึงของทหารที่ยืนกั้นทำให้ไม่มีใครเสนอหน้าตอแยหรือหยอกล้อเล่นกับเจ้าหน้าที่ให้ถูกบั่นคอเล่น
จนกระทั่งถึงยามอุ้ย (13.00-14.59) เสียงแตรขบวนเสด็จก็ดังแว่วมาจากหน้าประตูวัง
ราษฎรต่างยืนกันตัวตรงอย่างตื่นเต้น ในใจล้วนระทึกไม่แพ้กัน
แต่ที่ระทึกที่สุดคงจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังลุกลี้ลุกลนในชุดสีฟ้าที่แต่งเสริมเติมแต่งให้ดูสวยแบบไม่ตั้งใจที่สุด
“ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องจงหลีกทางไปให้พ้นขบวน...!”
เสียงทหารกว่าห้าร้อยนายสลับกันป้องปากตะโกน องครักษ์มามากกว่าที่หลายคนคาดคิดดังสลับบอกกันเป็นระยะ
ครั้งนี้จัดขึ้นเพราะองค์ไทเฮามีพระประสงค์ ทุกอย่างจึงเอิกเกริกไปหมด
ใครจะรู้ว่าข้างในเกี้ยวหรูนั้นว่างเปล่า...
เหล่านางกำนัลหน้าตาจิ้มลิ้มเดินขนาบข้างเกี้ยวกันเรียบร้อย
ก่อนที่จะมีคนหนึ่งหวีดร้องเมื่อเห็นตัวอะไรฟ้า ๆ กลิ้งหลุน ๆ มาแผ่หลาอยู่ด้านหน้าเกี้ยว
ขัดขบวนที่กำลังตรงมายังใจกลางตลาด
ทหารองครักษ์ล้วนชักดาบออกจากฝักและวิ่งไปควบคุมตัวของสิ่งที่เป็นต้นเหตุ
นั่นก็คือร่างหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวที่กำลังหอบหายใจหนัก เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
จินเสวี่ยถิง ผู้นั้น...
ความคิดเห็น