นักบุญมหากาฬ - นิยาย นักบุญมหากาฬ : Dek-D.com - Writer
×

    นักบุญมหากาฬ

    ความฝันของชินคือการเป็นฮันเตอร์ก็ต้องผ่านการการทดสอบที่ยากลำบาก แต่เมื่อได้รู้ถึงเส้นทางใหม่ที่จะนำเขาสู่บางสิ่งที่ไม่คาดคิด พอรู้ตัวอีกที ความเป็นไปของมนุษยชาติก็อยู่ภายใต้มือของเขาไปเสียแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    1,080

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    43

    ผู้เข้าชมรวม


    1.08K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    88
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  63 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 ส.ค. 67 / 20:41 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    นักบุณมหากาฬ

    ถ้าภาพหน้าปกไม่ชัดก็ขออภัยด้วยครับ นี่เป็นฉบับมีไปก่อน หากอยากดูเต็มๆ ก็สามารถไปที่twitter ผมได้ครับ @LTavakup 

    นี่เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมเขียนขึ้นแล้วเผยแพร่เป็นสาธารณะ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นำเสนอโลกที่ผมได้สร้างขึ้น

    ผมได้ลองเขียนนิยายมาตั้งแต่สมัยม.3 เห็นจะได้ ชื่อเรื่อง 1:4 ซึ่งไม่เคยได้ให้คนอื่นเห็นเลย จำได้ว่าตัวผมเขียนไปได้หนึ่งร้อยก็เริ่มท้อจนบอกลาไปเขียนเรื่องใหม่ซึ่งก็คือเรื่องนักบุณมหากาฬนั้นเอง

    เดิมทีผมเคยปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ผมสามารถเขียนจนจบได้แล้วก็เผยแพร่ไปรอบหนึ่งใน รอร. จนพอเวลาผ่านไปได้ไม่นานผมก็ได้กลับมาดูใหม่ก็พบเนื้อหาที่ผมเขียนเมื่อตอนนั้นช่างเลอะเทอะเอามากๆ เลยครับ

    ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะเขียนอะไรแบบนั้นออกไปได้ ทำให้ผมต้องหยุดเผยแพร่ไปแล้วกลับมาแก้เนื้อหาใหม่ จนได้มาเป็นฉบับปัจจุบัน ถึงจะไม่ค่อยภูมิใจว่าสมบูรณ์แล้วเพราะการที่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติมส่วนต่างๆ จะทำให้โครงเรื่องของผมเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้ว่าเวอร์ชั่นนี้จะไม่อุบาทเท่าอันเก่า (ถ้าผู้อ่านสนใจว่าฉบับนั้นเป็นอย่างไร ผมก็สามารถเผยแพร่ให้ได้นะครับ ถ้าต้องการ)

    เอาล่ะ กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อ   ผมจะขอชี้แจงรายละเอียดของเรื่องนี้คร่าวๆ นะครับ

    1.นี่คือเรื่องราวระยะยาวที่จะแบ่งออกเป็นหลายๆ พาร์ท หลายๆ ตัวละคร  ทำให้การดำเนินเรื่องนั้นจะไม่ได้มีแค่พระเอกเพียงคนเดียว แต่ทุกตัวละครสมทบก็จะมีบทบาทของมันเอง ทุกการกระทำของตัวละครจะส่งผลถึงกันและกัน เพราะงั้นก็ขอให้ตั้งใจอ่านนะครับ จะได้ไม่งงในตอนท้าย

    2.เนื้อหาในแต่ละตอนจะมีความยาวอยู่ประมาณ 12,000 - 17,000 ตัวอักษร หรือราวๆ  3000 - 4000 คำนะครับ   ทำให้เนื้อหาค่อนข้างอัดแน่นและก็ยืดเยื้อในบางจุดด้วยเพื่อไม่ให้ทุกอย่างดูรีบเกินไป   ถ้าเกิดรู้สึกขัดใจหรืออยากให้ปรับปรุงก็แจ้งได้นะครับ

    3.ย้ำว่านี่เป็นนิยายเรื่องแรกๆ ของผม เพราะงั้นภาษาและสำนวนของคำก็อาจจะยังดูติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่ผมก็จะพยายามทำให้มันลื่นไหลมากที่สุดนะครับ ผมจะพัฒนา!!!

    4.นิยายเรื่องนี้จะค่อนข้างเข้าใจยากอยู่ในช่วงแรกของเรื่อง ตั้งแต่ อุบัตการณ์หอคอยบาเบล จนไปถึงช่วง สงครามเกมฤดูเหมันต์ เพราะอีกครั้ง นี่เป็นนิยายระยะยาว ผมอยากจะให้ทุกคนได้รู้ว่าสภาพเหตุการณ์ที่เหล่าตัวเอกได้เจออยู่นั้นเป็นเช่นไร เลยต้องทำการปูไว้ก่อน เพื่อให้ทุกคนทราบกันอย่างชัดเจน จะได้เมื่อถึงช่วงสู้กันจริงๆ จะได้อินตาม

    5.ด้วยความที่การเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกของผม ไม่ได้เขียนเพื่อหารายได้ (ในตอนนี้อะนะ) บวกกับตอนนี้ผมเรียนมหาลัยอยู่ก็อาจทำให้ความถี่ในการลงไม่เท่ากันนัก   ละก็   การลงนิยายของผมจะลงแบบเขียนเสร็จได้หนึ่งเล่มแล้วก็ลง   เพราะงั้นหลังจากจบไปบทหนึ่งผมอาจหายไปบ้าง สักเดือนสองเดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งเรื่องนี้ เพราะงั้นยังไงก็ตามผมก็จะกลับมาเขียนต่อให้จบ


    ผมขอแปะบทนำไว้ในตอนนี้ก่อนนะครับ เพราะผมเผลอไปพิมพ์บทนำไว้ในตอนใหม่ที่ยังไม่ได้เผยแพร่เลยทำให้ย้ายไม่ได้


    โลกที่พวกเราอยู่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

    นี่อาจเป็นการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าโทษฐานที่มนุษย์ไม่เชื่อในตัวพระองค์อีกแล้ว หรือไม่ก็มนุษย์ชอบทำสงครามมากเกินไปจนแผ่นดินที่เขียวชอุ่มหนึ่งเดียวในระบบสุริยะจะพินาศ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกอย่างก็มาบรรจบลงในชะตากรรมเดียวกัน

    นั่นคือการล่มสลายของอารยธรรมอันก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติยังไงล่ะ

    ต้องเท้าความกลับไปในช่วงเวลาหนึ่งของสงครามเย็น การรบกันทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตได้สร้างเหตุการณ์มากมายที่ทั้งหมดจะนำไปสู่ยุคต่อไป ทั้งการสร้างกำแพงเบอร์ลิน การไปสู่อวกาศอันเวิ้งว้างของยูริ กาการินเป็นต้น

    ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะยังไงซะทุกอย่างก็ไร้ความหมายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ปรากฏบนท้องฟ้าที่กว้างไกล มันคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียนามว่าเอริก อีวานคอฟ เรียกว่าลีเจี้ยน

    ลีเจี้ยนหรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่าภัยพิบัติลีเจี้ยน หรือบางศาสนาก็เรียกว่ากัฟ มันคือประตูมิติทรงสี่เหลี่ยมขนาดมหึมา มีความกว้างความยาวเท่ากันคือ 500 กิโลเมตรและมีความสูง 0.029 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำสนิท ไม่สามารถส่องไฟดูอีกฟากของประตูมิติได้เสมือนกับแสงถูกดูดกลืนทั้งหมดจนมองเห็นเป็นสีดำ

    มันปรากฏขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียวซึ่งคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 เหนือท้องฟ้าของขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้พร้อมกับนำพาสิ่งมีชีวิตลึกลับมายังโลก

    มันคือสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ มีสองแขนและสองขา ผิวหนังเป็นสีดำเหมือนแอสฟอลต์ (ยางมะตอย) ไร้ใบหน้าและยังปล่อยสารบางอย่างออกมาจากร่างกายที่เรียกว่า ละอองดำ

    ดร. เอริก อีวานคอฟ หรือผู้ค้นพบภัยพิบัติลีเจี้ยนได้ตั้งชื่อให้สิ่งมีชีวิตสีดำเหล่านี้ว่า ‘เทวทูต’

    เทวทูตเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่ปรากฏตัวออกมาจากประตูมิติ พวกมันร่วงลงมาจากความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดราวกับเทวดาตกสวรรค์ เข้าจู่โจมส่วนต่างๆ ของโลกอย่างบ้าคลั่งพร้อมส่งเสียงร้องคำรามประหลาด

    ข้อมูลบันทึกของดร. เอริก ได้บอกไว้ว่าในหนึ่งชั่วโมงแรกของวันที่ภัยพิบัติปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เทวทูตได้เดินทางมายังโลกด้วยจำนวนราว 3.1 ล้านตน และในช่วงเวลาหนึ่งวันก็เพิ่มมาเป็น 74.4 ล้านตน

    ประเทศที่อยู่บริเวณอาร์กติกของขั้วโลกเหนืออย่าง กรีนแลนด์, รัสเซีย, ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, และสวีเดน ได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง จำนวนประชากรของแต่ละประเทศลดฮวบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางประเทศได้ล่มสลายไปในเวลาไม่กี่ปีหลังจากเหตุการณ์นั้น

    ขณะเดียวกันที่อีกด้านของโลก กลับเป็นโชคดีของประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลกใต้ เพราะพื้นที่ตรงนั้นคือแอนตาร์กติกา พื้นที่ที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต มีแค่หิมะขาวปกคลุมประมาณ 14 ล้านตารางกิโลเมตร ทำให้ประเทศที่ถือครองดินแดนแอนตาร์กติกาอย่าง นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, นอเวย์, สหราชอาณาจักร, ชิลี, และอาร์เจนตินา มีเวลารับมือกับกองทัพเทวทูต

    ถึงแม้จะมีเวลาเตรียมตัวเผชิญกับฝูงห่าสิ่งมีชีวิตสีดำนับสิบล้าน แต่จะให้บอกว่าไม่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้เลยก็ดูเกินจริงไปมาก ประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังอยู่ในช่วงสงครามภายในถูกจู่โจมเข้าได้ง่ายๆ แล้วก็ล่มสลายไปอย่างน่าใจหาย

    และแม้ประตูมิติที่นำพาเทวทูตจะหายไปหลังจากนั้นไม่กี่วัน แต่สิ่งที่มันได้ทิ้งคือหายนะที่จะนำพาจุดจบมาสู่มวลมนุษย์

    อย่างที่บอกไปว่าเทวทูตจะปล่อยสารที่ชื่อละอองดำออกมาจากร่างกาย ดร. เอริก อีวานคอฟ บอกไว้ว่าละอองดำที่เทวทูตปล่อยออกมาจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ รวมเข้ากับละอองน้ำจำนวนมหาศาลของก้อนเมฆ จนพอถึงระดับนึงก็จะตกลงมาสู่พื้นโลกในรูปแบบของน้ำฝน

    ฝนที่ปนเปื้อนละอองดำเป็นสสารอันตราย เมื่อน้ำฝนเหล่านั้นสัมผัสดินก็จะทำให้ดินเน่าเสีย ป่าไม้ใบหญ้าจะเน่าเปื่อยแล้วตายไป ทำให้บริเวณที่ฝนปนเปื้อนละอองดำตกกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีพืชเติบโต ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีเพียงดินเน่าสีน้ำตาลอมเขียวกับอากาศเป็นพิษ และเมื่อฝนปนเปื้อนละอองดำตกที่ทะเลก็จะทำให้น้ำทะเลเน่า ปลาจำนวนมากจะตายและอาจถึงขั้นสูญพันธุ์ได้ ซึ่งเมื่อเทียบจำนวนเทวทูตและปริมาณละอองดำแล้วก็ทำให้ทราบว่าในอีกไม่ถึงสิบห้าปี แผ่นดินและมหาสมุทรกว่าครึ่งโลกจะกลายเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้

    แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ที่แย่ที่สุด เมื่อละอองดำที่ลอยปนกับกลุ่มเมฆมีจำนวนรวมกันมากพอในระดับหนึ่งก็จะมีโอกาสเกิดภัยพิบัติขึ้นอีกรอบได้ ทว่าในความโหดร้ายของมันก็ยังโชคดีที่ว่า ประตูมิติที่เกิดจากละอองดำจะมีขนาดเล็กอยู่ที่ความกว้างและความยาวไม่เกิน 5 กิโลเมตร

    นั่นจึงนำมาสู่การเกิดอาชีพใหม่ขึ้นจากกลุ่มคนที่ชอบการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ จากการล่ากวาง สิงโต นอแรด งาช้างหรือฮิปโปโปเตมัส ที่ผู้คนส่วนใหญ่พยายามผลักดันให้ยกเลิกเพื่อรักษาธรรมชาติที่มีอยู่แต่เดิมก็แปรเปลี่ยนเป็นการล่าเทวทูตแทน โดยเริ่มขึ้นจากกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์จนไปถึงสมาคมระดับชาติ

    เมื่อนำความละโมบ ทักษะการเอาตัวรอด และเทวทูต มารวมกันก็จะได้อาชีพใหม่ขึ้นซึ่งคือ แองเจิ้ล ฮันเตอร์/นักล่าสวรรค์ หรือที่คนปกติเรียกว่า ฮันเตอร์

    อาชีพฮันเตอร์เป็นที่นิยมมากในหมู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความท้าทายและความเร้าใจในชีวิตหรือไม่ก็จากความแค้นที่เทวทูตได้ทำไว้กับโลก

    อาชีพฮันเตอร์ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยความที่แต่เดิมมนุษย์ล่าสัตว์เพื่อกระทังชีวิตตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนมาถึงจุดที่ล่าสัตว์เพื่อหารายได้จากอวัยวะของสัตว์หายาก ผู้คนที่ต่างประณามความชั่วร้ายของอาชีพนายพรานก็ต้องพากันเงิบเมื่อฮันเตอร์ได้ถือกำเนิดขึ้น

    ฮันเตอร์ล่าเทวทูต ไม่ใช่เพราะเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เพราะต้องการโลกที่เคยเป็น พวกเขาทำไปเพียงเพื่อความสนุกและวัตถุดิบจากพวกมัน เช่น ผิวหนัง เลือดและอวัยวะภายใน

    ฮันเตอร์จะนำวัตถุเหล่าไปขายให้กับคนในแวดวงเดียวกันหรือขายให้กับมหาอำนาจบางคน ไม่มีใครทราบว่าวัตถุดิบเหล่านี้สามารถนำมาใช้ทำอะไรได้บ้างนอกจากของตกแต่งที่สามารถหามาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งได้มีใครบางคนเข้าทำธุรกิจอย่างเปิดเผย

    องค์กรเจเนซิส เป็นองค์กรที่ดร. เอริก อีวานคอฟ จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักคือการศึกษาภัยพิบัติลีเจี้ยนและเทวทูต ละอองดำกับผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งก็เป็นการร่วมมือกันที่หาได้ยากของสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ประธานาธิบดีคนที่สี่สิบแห่งสหรัฐฯ อย่าง โรนัลด์ เรแกน เป็นคนออกทุนให้กับองค์กรเจเนซิสในการค้นคว้าวิจัยและยังช่วยเป็นแรงผลักดันในการขยายเครือข่ายไปทั่วโลก

    องค์กรเจเนซิสรับซื้อวัตถุดิบจากฮันเตอร์เพื่อนำมาวิจัยค้นหาสิ่งที่จะสามารถกวาดล้างเทวทูตได้หมดสิ้น ส่วนฮันเตอร์ก็ได้ทั้งเงินและเจตจำนงที่จะล่าเทวทูตอย่างสุดหัวใจ พวกเขาซื้อขายแบบนี้กันนานหลายปีจนมาถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ

    อาชีพฮันเตอร์ได้ถูกรวบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเจเนซิสอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้การล่าเทวทูตได้กลายเป็นอาชีพอย่างเป็นทางการ เพราะจริงๆ แล้วฮันเตอร์เกิดจากการร่วมมือกันของกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีฐานะอะไรมาก เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาที่ชอบการล่า แต่ว่าในตอนนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว

    เมื่อฮันเตอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งองค์กรระดับโลก อาวุธและชุดที่ใช้ก็ถูกอัปเกรดให้เหมาะสมกับชื่อระดับโลก

    จากปืนลูกตะกั่วที่สร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยต่อเทวทูตก็เปลี่ยนเป็นปืนกระสุนพลังงานกับกระสุนเหล็กกล้าที่สร้างจากเทวทูต

    ชุดเกราะกันกระสุนที่ไม่สามารถทนรับกรงเล็บแหลมคมของพวกมันได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดเกราะสมัยใหม่ที่มีไฟเบอร์ชื่อดิพาล์ผสมกับโลหะ สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีและมีน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการต่อสู้ที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

    ฮันเตอร์กลุ่มแรกที่ได้รับหน้าที่เป็นหน่วยล่าเทวทูตมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘แอนติบอดี้’ มีสมาชิกอยู่ราวห้าสิบชีวิตที่ต้องคอยต่อสู้กับเทวทูตนับสิบล้าน

    ชื่อเสียงของหน่วยแอนติบอดี้ก็ได้รับการกล่าวขานอย่างมากโข ผู้คนจำนวนมากที่มีพวกเขาเป็นแรงบรรดาลใจก็เริ่มผันตัวเองไปเป็นฮันเตอร์ โดยที่องค์กรเจเนซิสจะเปิดรับสมัครฮันเตอร์อยู่เป็นระยะๆ จนผ่านไปไม่กี่ปี หน่วยล่าเทวทูตที่มีอยู่แค่หนึ่งก็แพร่ขยายไปเป็นร้อยเป็นหมื่นหน่วย

    เวลาผ่านไปยี่สิบปี จำนวนเทวทูตหลังจากเริ่มก่อตั้งหน่วยล่าเทวทูตก็ลดลงอย่างน่าพอใจ ประชากรโลกเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดนิ่งนานหลายสิบปี หน่วยล่าเทวทูตเริ่มมีการสร้างกิลด์ขึ้นโดยมีองค์กรเจเนซิสเป็นผู้ถือครองจึงทำให้มีศูนย์รวมเหล่าฮันเตอร์ได้มาแลกเปลี่ยนและพูดคุยกัน เกิดการก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮันเตอร์ขึ้นครั้งแรกชื่อ ‘มหาวิทยาอีวานคอฟ’ พร้อมกับหลักสูตรฮันเตอร์ที่เริ่มมีในมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกในอีกสองปีต่อมา

    ในปี 2008 หลังการศึกษาค้นคว้ากว่ายี่สิบสีปี่ ดร. เอริก อีวานคอฟ ในวัย 56 ปีได้ค้นพบสิ่งที่จะสามารถเอาชนะเทวทูตได้นับสิบล้านตนได้ภายในเวลาไม่ถึงปี สิ่งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งของมนุษยชาติ

    การตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์โดยการนำยีนของเทวทูตมาดัดแปลงให้เข้ากับร่างกายคน สิ่งนั้นจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ใหญ่ที่สุด

    โปรเจ็ค ‘เซนต์

    เป็นโปรเจ็คที่เกิดจากการร่วมมือกันอีกครั้งของสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย โดยมีองค์กรเจเนซิสเป็นแกนนำให้เกิดการร่วมมือนี้ขึ้น ผู้นำของการทดลองนี้คือดร. เอริก อีวานคอฟ

    เขาได้ร้องขอให้ประธานาธิบดีคนที่สี่สิบเอ็ดแห่งสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช นำนักโทษประหารจากเรือนจำทั่วประเทศมาทำการทดลอง แม้จะมีการถกเถียงขึ้นเล็กน้อยแต่การดำเนินงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    นักโทษประหารจำนวนหนึ่งร้อยคนได้เข้าร่วมโปรเจ็คเซนต์ในฐานะหนูทดลอง

    สิ่งที่ดร. เอริก อีวานคอฟ ได้นำมาทดลองกับนักโทษคือเลือดของเทวทูตที่ผ่านการดัดแปลงให้เข้ากับดีเอ็นเอมนุษย์ แม้จะเคยทดลองกับสัตว์จำพวกหนูหรือลิงชิมแปนซีมาแล้ว แต่ทุกตัวที่ฉีดสสารนี้เข้าร่างกายจะเกิดอาการชักแล้วเลือดไหลออกจากทุกรูของร่างกายก่อนจะตายไป นั่นทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าหากทดลองกับมนุษย์จะมีผลลัพธ์เหมือนกันไหม

    ทว่าผลที่ได้กลับตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้ นักโทษที่ได้รับสสารนี้เข้าเส้นเลือด ไม่เกิดอาการชักหรือเลือดไหลออกจากร่างกาย กลับเป็นว่าพวกเขาได้เปลี่ยนไปอย่างไม่มีหวนคืน

    ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถบอกได้ว่าเป็นการกลายพันธุ์ระดับโครโมโซมในระดับเหนือธรรมชาติ กล่าวคือ มีร่างกายถึกทนเกินมนุษย์ การตอบสนองที่ไวในระดับความเร็วเสียง

    รูปร่างทางรูปธรรมเปลี่ยนแปลง คือ มีสีผมที่ผิดธรรมชาติ เช่น ผมสีเขียว สีน้ำเงิน สีแดงเลือดหมู สีม่วง สีขาว และชมพู

    รูปร่างทางนามธรรมเปลี่ยนแปลงหรือคือการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น การเกิดพลังวิเศษขึ้น ทั้งการลอยตัว เหาะเหินเดินอาการ การปล่อยลำแสงออกจากตา การควบคุมทางจิตจำพวกเทเลไคเนซิสและไซโคไคเนซิส หรือไม่ก็พวกการสร้างพลังงานจากธรรมชาติ

    ด้วยพลังที่เหมือนได้รับการบันดาลจากสวรรค์ทำให้พวกเขาเหล่านี้ได้กลายเป็นกองทัพแนวหน้าในการต่อสู่กับเทวทูตนับสิบล้าน โดยมีการควบคุมและจับตาดูอยู่ตลอดเวลา

    ดร. เอริก อีวานคอฟได้กล่าวสุนทรพจน์หนึ่งเมื่อเขาได้ให้การสัมภาษณ์กับทีวีไว้ว่า

     

    “จักหาความเป็นอมนุษย์คือเนื้อแท้ที่สรรหาโดยผู้ยิ่งใหญ่ การกระทำอันเหนือสันดานคนที่อยู่ในตัวเป็นทางเข้าสู่สวนเอเดน และเพื่อความเท่าเทียมของจิตมนุษย์ที่กลายเป็นเศษอาหารในจานข้าวหรู เหล่าคนบาปที่คิดอยากกลับตัวจึงกลายเป็นวีรชนผู้กอบกู้อย่างเลี่ยงไม่ได้”

     

    มันคือคำกล่าวที่ทำให้เขาโด่งดังในชั่วพริบตา มีการตั้งคำถามกับการกระทำของตัวดร. ว่าเขาทำถูกแล้วหรือที่นำมนุษย์มาทดลอง ไม่ก็ ศีลธรรมอันดีงามหายไปไหน

    ทว่าเขากลับไม่สนใจการโต้ตอบของผู้คนมากนัก คงเพราะเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะพูดแก้ตัวยังไง ก็ไม่มีทางหยุดสิ่งที่ทำอยู่ได้

    หลังจบศึกนับครั้งไม่ถ้วนกับเทวทูตด้วยนักโทษพลังเหนือมนุษย์ ในที่สุด ดร. เอริก อีวานคอฟ ก็เริ่มก่อตั้งศูนย์วิจัยเพื่อผลิตเซนต์ขึ้นอย่างจริงจัง ในเวลาไม่ถึงสิบปีก็มีศูนย์วิจัยมากกว่าหมื่นแห่งทั่วรัสเซียและอีกพันแห่งทั่วเอเชีย แต่กลับไม่มีศูนย์วิจัยของอีวานคอฟที่ยุโรปหรืออเมริกาเลย เพราะดร. เอริก รับรู้ได้ว่าหากนำเซนต์ที่เปรียบได้กับความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติไปให้กับประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา ซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วละก็...มันจะเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน ฉะนั้นดร. เอริก อีวานคอฟจึงคิดที่จะยังไม่สร้างศูนย์วิจัยที่นั่นในเร็วๆ นี้

    แต่ใช่ว่าอเมริกาจะรออยู่เฉยๆ หรือพยายามซื้อใจรัสเซีย

    อเมริกาได้เริ่มคิดแผนการใหญ่ที่เกี่ยวกับการบุกเข้าไปชิงผลวิจัยของดร. เอริก อีวานคอฟ แต่แล้วแผนที่ว่าก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เซนต์ที่ดร. ส่งไปได้จัดการหน่วยสอดแนมทั้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วได้โต้ตอบการกระทำที่ชั่วร้ายของอเมริกาด้วยการประกาศขึ้นสื่อออนไลน์ทั้งหมดในทุกแพลต์ฟอร์ม

    เมื่ออเมริกาได้เห็นความอับอายของตัวเองฉายขึ้นหน้าจอทั่วโลก พวกเขาเลยหน้ามืดตามัว ไม่คิดจะโจมตีอยู่แค่ในเงาอีกต่อไปจนนำพาความโกรธแค้นนี้ไปสู่การโจมตีเต็มกำลัง

    เกิดเป็นสงครามที่เรียกว่า สงครามรัสเซีย-อเมริกา ซึ่งกินเวลายาวนานราว 12 ปี ผลสรุปคือ อเมริกาได้ผลวิจัยของดร. เอริก อีวานคอฟ แล้วในอีกไม่กี่วันต่อมาตัวเขาก็จากไปด้วยวัย 74 ปีในปี 2028

    องค์กรเจเนซิสเกิดความขัดแย้งภายในจนนำมาสู่การล่มสลายแล้วแตกกระจายและก่อร่างสร้างตัวเป็นองค์กรแยกย่อยต่างๆ ได้แก่

    องค์เอเดน องค์กรออริจินอลซิน และองค์กรลองกินุส

    ทั้งสามได้แตกขยายแล้วยึดครองพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อได้กลายเป็นจุดสูงสุดของกันและกัน แล้วเกิดเป็นสงครามความเชื่อ โดยมีเซนต์เป็นกำลังรบหลักในการต่อสู้ ในช่วงสงครามได้มีการรวมตัวกันของเซนต์เจ็ดคนจากองค์กรออริจินอลซินพร้อมเรียกขานตัวเองว่า เจ็ดมหาบาป

    องค์กรเอเดนก็สร้างหน่วยเซนต์ขึ้นครั้งแรกโดยมีสมาชิกจำนวนสิบคน ซึ่งจะเป็นจำนวนสมาชิกขั้นพื้นฐานต่อเซนต์หนึ่งหน่วยในการปกครองพื้นที่ต่างๆ ในอนาคต

    ส่วนทางลองกินุสก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก

    สงครามที่ทั้งสามสู้กันนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการที่ค่อนข้างติดตลกว่า ปัญหาสามพี่น้อง ซึ่งกินเวลานาน 24 ปี แล้วตามด้วย สงครามไร้คำบอก ที่กินเวลาราว 34 ปี

    เมื่อนำระยะเวลาของทั้งสามสงครามมารวมกันก็ได้ช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วไปหรือแม้แต่ฮันเตอร์มากมายยังบอกว่าเป็นยุคที่อันตรายที่สุดขึ้น โหดหินที่สุดและคร่าประชากรโลกมากที่สุดแถมไม่ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ

    ยุคแห่งสามสงครามมีชื่อว่า 70 ปีแห่งหายนะ

    70 ปี ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย...จะว่าแบบนั้นก็ไม่ใช่ซะหมด เพราะจริงๆ ก็มีการเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างอยู่ แต่แค่ผู้คนไม่สนใจเฉยๆ

    ถ้าให้พูดก็ต้องเริ่มด้วยการล่มสลายของประเทศบางประเทศในแทบเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ มันเป็นผลจากสงครามไร้คำบอก ตามตัวเลย มันไม่มีเอกสารหรือข้อมูลยืนยันเพื่อบอกว่าทำไมประเทศเหล่านี้หายไปไหนหรือถูกทำลายได้อย่างไร และแถมยังไม่สามารถบอกได้ว่าประเทศอะไรบ้างที่หายไป

    คงเพราะด้วยเหตุนั้นเลยทำให้ผู้คนที่เหลือรอดจากสงครามจึงเริ่มการก่อตัวรวมกันเป็นเอกราชขึ้น เป็นอาณาจักรที่ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาใคร มีการแต่งตั้งกษัตริย์และขุนนางขึ้นแล้วปกครองกันเอง

    และเพราะเหตุที่ว่าไม่ขึ้นกับใครและเป็นประเทศที่เกิดจากการรวมกันของผู้คนของประเทศเก่าเลยทำให้การแทรกแซงเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ประเทศเหล่านี้มีการปกครองที่ค่อนข้างสะเปะสะปะและส่วนใหญ่ประชาชนของประเทศแบบนี้ก็ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ปกครองสักเท่าไหร่

    องค์กรเอเดนจึงกลายเป็นตัวแปรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา พร้อมกับขนส่งหน่วยเซนต์ให้ไปประจำการที่เหล่านั้น เพื่อปกป้องและสอดส่องหาร่องรอยขององค์กรออริจินอลซินที่อาจจะแฝงตัวอยู่

    เมื่อเครือข่ายอำนาจขององค์กรเอเดนแผ่ขยายจนเกือบครองเอเชียได้ ทำให้องค์กรออริจินอลซินตระหนักได้ว่าหากยังสู้ต่อไปมีหวังล่มสลายเหมือนกับองค์กรเจเนซิสเป็นแน่ พวกเขาเลยร้องขอให้ทำพันธสัญญาระหว่างกันเพื่อยุติสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

    ส่วนฝั่งองค์กรลองกินุสก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

    หากคิดว่าความสงบได้มาเยือนโลกอีกครั้งในรอบร้อยปีละก็...

    คิดผิดแล้วล่ะ

    แม้จะมีการลงพันธสัญญาสงบศึกไว้ แต่ทั้งสององค์กรก็ยังคิดวางแผนสร้างอาวุธและปัญญาประดิษฐ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการก่อสงครามครั้งถัดไป

    มีทั้งโปรเจ็ค ‘Altered Human’ (มนุษย์ดัดแปลง) ซึ่งเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์กับเทวทูตชนิดพิเศษที่ยังไม่มีใครรู้, การวิจัยเรื่องสสารที่ขจัดออกมาจากเทวทูตระดับเข้มข้นอย่าง เอ-13, และโครงการ ‘เบอร์เซิกเกอร์’

    ช่วงเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงของการพัฒนาของสององค์ยักษ์ใหญ่ ทั้งในเรื่องอาวุธและงานวิจัย เป็นความสงบเล็กๆ ที่ผู้คนบนพื้นโลกเรียกร้องอ้อนวอนมาตั้งแต่หนึ่งร้อยปีที่แล้ว ไม่มีการโจมตีซึ่งๆ หน้าหรือการประกาศอพยพจากรัฐบาลท้องถิ่น หรือไม่มีแม้แต่เทวทูตออกมาอาละวาดใส่ประชาชน

    ยุคแห่งความเงียบสงบก่อนพายุใหญ่นี้มีชื่อเรียกว่า ‘ช่วงสมรภูมิทมิฬ’ กินเวลาราว 27 ปี

     

    ซึ่งนั่นก็คือสองปีก่อน ยุคสมัยแห่งความสงบกำลังสั่นครอนอีกครั้งเมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้พบเข้ากับเหตุการณ์ประหลาดซึ่งจะนำประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ใหญ่ที่สุด

    เรื่องราวนับสิบร้อยที่ถูกปิดไว้กำลังจะได้รับการเปิดเผย ทั้งความจริงและหลอกลวง  หากต้องการรู้บทต่อไปของประวัติศาสตร์มนุษย์แล้วละก็...มาเริ่มกันที่

    LEGION:Chapter 01/Traitor, Enemy and Savage

    นักบุญมหากาฬ บทที่หนึ่ง / ภัยร้ายจากภายใน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น