คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Canival 03 :: Namimori’s Basketball Club
วันที่ 3 ของการมาเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนนามิโมริก็ไม่มีอะไรมากนัก
นอกจากการที่พวกเขาเริ่มสังเกตว่าผู้ดูแล (ขอเรียกงี้แล้วกัน จะให้เรียก ‘นักเรียนที่รับหน้าที่ดูแลพวกเขา’ ก็ดูจะยาวไปหน่อย)
หมายถึง— พวกกลุ่มของซาวาดะ สึนะโยชิไม่ค่อยจะเข้าเรียนกันนัก จากที่เรียนในโรงเรียนทั้งหมด
7-8 คาบ พวกเขาโดดไปแล้ว 6 คาบ
ถ้าจะมาเรียนแค่คาบเดียวก็ไม่ต้องมาเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ
มันคือความคิดในใจของพวกเขาที่ไม่ได้พูดออกไป
“วันนี้ซาซางาวะก็โดดเหรอ?” อาคาชิถามเรย์โอะ
ลูกทีมจากราคุซันของเขาซึ่งมาแลกเปลี่ยนด้วยกันและอยู่ม.ปลายปี 3 ห้อง A ห้องเดียวกับซาซางาวะ เรียวเฮ
จริงๆแล้วเขาจะเรียกซาซางาวะด้วยชื่อเหมือนที่เรียกเท็ตสึยะกับเรียวตะก็ได้
แต่ชายหนุ่มผมแดงกลับไม่เรียก
มันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า
แต่มันเป็นเพราะชายหนุ่มคิดว่าเขายังไม่ได้สนิทกันมากถึงขนาดนั้น
ไม่สิ
อย่าว่าแต่สนิทเลย เขากับรุ่นพี่คนนั้นแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ แหงล่ะ
จากที่ดูมาก็รู้แล้วว่าคงไม่ใช่คนที่จะคุยกันรู้เรื่อง อีกฝ่ายค่อนข้าง— จะว่าไงดี? พลังงานเหลือล้นเกินไปหน่อย
“ใช่แล้วล่ะเซย์จัง
ตัวจริงปี 1 ของเราบอกว่าเด็กที่ชื่อแรมโบ้กับโคลมก็ไม่ได้เข้าเรียนเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ”
ชายหนุ่มผู้มีฉายาว่าจักรพรรดิไร้พ่ายขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“แต่ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเลิกเรียกฉันว่าเซย์จังได้แล้วน่ะ”
เรย์โอะยิ้มหวาน
“ทำไมล่ะ~
ก็เซย์จังคือเซย์จังไม่ใช่เหรอ”
อีกคนไม่ได้เรียกเขาแบบนั้นเพราะคิดว่าเขาน่ารักหรืออะไรหรอก
แค่ตั้งใจกวนประสาทซะมากกว่า
“เ
ร ย์ โ อ ะ”
“อุ๊ย
ฉันจำได้ว่าอาจารย์เรียกพบล่ะ ไปก่อนนะ เ ซ ย์ จั ง”
ชายร่างสูงผู้ชอบทำตัวเหมือนสายน้อยทำท่าทางปิดปากอย่างเสแสร้ง
ก่อนที่จะยิ้มหวานแล้วรีบโบกไม้โบกมือลากัปตันทีมของตัวเองโดยเร็ว
ทิ้งให้กัปตันหนุ่มผมแดงต้องยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกขุ่นมัวเล็กๆในอก
ตั้งแต่เขาเปลี่ยนไป
(หรือพูดให้ถูกคือกลับมาเป็นคนเดิม)
ก็ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยเคารพเขาซักเท่าไหร่
“ไม่เคารพกันเลยนะ”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับอาคาชิคุง”
“เท็ตสึยะ?”
เขาเหลียวหลังไปมองร่างบางผมฟ้าซึ่งโผล่มาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้
คิดๆดูแล้วเจ้าตัวก็คงจะเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแน่ๆถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
“การที่เขาหยอกเล่นกับอาคาชิคุงแปลว่าพวกคุณสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ
ไม่ใช่ในฐานะหัวหน้ากับลูกน้อง แต่เป็นในฐานะของเพื่อนร่วมทีม”
อาคาชิคลี่ยิ้มบางกับคำพูดนั้น
คนตัวเล็กที่เป็นคนเปลี่ยนความคิดของเขา มีอิทธิพลต่อใจของเขามากเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้
คนตัวเล็กที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาในตอนนี้
“นั่นสินะ
ขอบใจนะ เท็ตสึยะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
จริงๆคุณก็ไม่ได้โกรธเขาจริงจังตั้งแต่แรกใช่มั้ยล่ะ?”
“หึ
ก็ถูกขอนาย”
ร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปตามทางเดินเพื่อกลับเข้าสู่ห้องเรียนของตัวเอง
นัยน์ตาสองสีของอาคาชิเหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่แม้จะมีใบหน้านิ่งสนิทไร้อารมณ์
แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เจ้าตัวอารมณ์ดีมากเพียงใด
คงเพราะ..เจ้าตัวใฝ่ฝันมานานว่าพวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกันแบบนี้ในซักวันหนึ่ง
“คุโรชิน~” ร่างเล็กหันไปมองตามเสียงเรียก
มุราซากิบาระยืนอยู่หน้าห้องเรียนพร้อมกับถุงขนมที่ไม่เหลืออะไรในนั้นอีกแล้ว
“มีอะไรเหรอครับ?”
“มีขนมอีกมั้ย
ฉันหิวอ่า”
ร่างเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อย
มองถุงขนมในมือใหญ่ของอีกฝ่าย “แต่ห่อนั้นผมพึ่งให้คุณไปเมื่อกี้เองนะครับมุราซากิบาระคุง”
“ก็มันหิวนี่นา
ห่อแค่นี้ฉันกินแปบเดียวก็หมดแล้ว”
“ครับๆ
ขนมอยู่ในกระเป๋าผม เดี๋ยวผมหยิบให้นะ”
ร่างเล็กมองคนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าเหมือนทำใจเอาไว้แล้วว่าคำตอบคงเป็นแบบนี้
เขาผละตัวออกมาจากอาคาชิก่อนเดินเข้าไปในห้องเรียนโดยไม่ลืมดึงแขนมุราซากิบาระให้เดินตามเข้ามา
คุโรโกะไม่มีทางเห็นได้เลยว่า
ชายหนุ่มรูปร่างสูงคนนั้นมองอาคาชิด้วยสายตายังไงตอนที่ถูกดึงแขนกลับเข้าห้องเรียน
มันเป็น—
สายตาเหมือนคนที่แสดงความเหนือกว่า
ชายหนุ่มผมแดงซึ่งถูกทิ้งให้ยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนเพียงลำพังแค่นหัวเราะ
รู้สึกตลกดี ถึงแม้ว่าในฐานะนักบาสพวกเขาจะไม่ใช่ศัตรูกันแล้ว
แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาสามารถใช้คุโรโกะร่วมกันได้
“นายจะเล่นงี้ใช่มั้ย
อัตสึชิ”
“พวกนั้นเปิดศึกชิงนางกันรึไง?”
สึนะโยชิขมวดคิ้วพลางมองภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งติดอยู่ทั่วโรงเรียนด้วยสายตาอ่านยาก
เด็กหนุ่มนั่งเท้าคาง นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย
วิชาที่เรียนที่โรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่เขาและเหล่าพวกผู้พิทักษ์ล้วนเรียนจบตั้งแต่ปีที่แล้ว
ความรู้ของพวกเขาในตอนนี้บางทีอาจจะเทียบเท่าพวกศาสตราจารย์เสียด้วยซ้ำ
มันทำให้พวกเขาไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะเข้าไปนั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยมพวกนั้น
อีกอย่าง—
การนั่งอยู่ในห้องๆนี้มันก็สะดวกดี
ว่าแล้วก็มองไปยังรอบๆห้องซึ่งมีลักษณะคล้ายกับห้องรับแขกที่ผู้พิทักษ์เมฆาเคยใช้เป็นห้องทำงานและห้องพักผ่อนตอนที่ยังเป็นเพียงกรรมการคุมกฎ
เพียงแต่..ห้องนี้ใหญ่กว่ามาก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันกว่า
มันเป็นห้องที่เดิมทีแล้วสร้างขึ้นเพื่อรีบอร์น
แต่หลังสร้างเสร็จเจ้าตัวก็อยู่อิตาลีถาวรและไม่ได้เดินทางกลับมาที่นามิโมริอีกเลย
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นห้องทำงานของเขา
“คิดอยู่แล้วว่านายต้องมาอยู่ที่นี่”
“ยามาโมโตะ?” คนที่เข้ามาภายในห้องคือร่างสูงของเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่มัธยมต้น รวมถึงเป็นทั้งผู้พิทักษ์พิรุณและมือซ้ายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาโดยตลอด
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มองตามการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงที่เดินเข้ามาบนโต๊ะทำงานของเขาอย่างถือวิสาสะ
“นายใจกล้าขึ้นเยอะเลยนะยามาโมโตะ
ไปทำตัวเนียนเหมือนเมื่อก่อนแล้วรึไง?” คนตัวสูงหัวเราะขำขันกับคำหยอกล้อนั้น
“ถ้าเอาแต่เนียนไปเรื่อยก็เสียนายให้คนอื่นสิ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “แบบนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“ดีใจจัง
แสดงว่าฉันเป็นคนสำคัญของนายสินะ” สึนะลุกขึ้นจากเก้าอี้หนัง
เขาเดินอ้อมมาหน้าโต๊ะแล้วขยับเข้าไปใกล้ กายเล็กเบียดเสียดกับร่างสูงซึ่งยังคงนั่งอยู่บนนั้นแล้วมองเขาพร้อมคลี่ยิ้มมุมปาก
อีกฝ่ายเอื้อมมือดึงเขาเข้าไปกอด
ก่อนกระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว
“สำคัญสิ สำคัญ..ที่สุด”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อือ”
ร่างเล็กกว่าผละตัวออกมาจากคนตัวสูง
มือเรียวเล็กสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาอย่างอ่อนโยน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอดสายตามองคนที่มอบหัวใจทั้งดวงให้กับตนด้วยสายตาอ่อนลง
เขารู้ว่ายามาโมโตะเป็นคนแบบไหน เขารู้ว่ายามาโมโตะไม่มีวันที่จะโกหกหรือทรยศเขา
เพราะอีกฝ่ายมอบทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองให้เขาหมดแล้ว
“เล่นบทสวีทจบยังครับ
คุฟุฟุ”
ร่างทั้งสองผละออกจากกันทันทีที่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผู้มาใหม่
สึนะโยชิหัวเราะกับคำถามนั้น
เขาเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานก่อนเท้าคางมองสองผู้พิทักษ์ที่เอาแต่เขม่นกันแบบไม่มีใครยอมใคร
“นายเนี่ยชอบมาขัดบทสวีทของคนอื่นแบบหน้าด้านๆจังเลยนะมุคุโร่”
“คุฟุฟุ
ก็คุณเล่นไม่ซื่อนี่ครับยามาโมโตะ ทาเคชิ”
“เล่นไม่ซื่อยังไง? นายกำลังพูดถึงตัวเองอยู่เหรอ?
ตกลงกันแล้วไม่ใช่รึไงว่าจะไม่ไปขัดเวลาสึนะสวีทอยู่กับใครก็ตามน่ะ”
“โอ๊ะ
เคยตกลงอะไรแบบนั้นด้วยเหรอครับ จำไม่เห็นได้”
“นี่นาย—
“
“เอาล่ะ
พวกนายควรหยุดก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”
เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากผู้เป็นนภาทำให้ร่างทั้งสองร่างที่เอาแต่เถียงกันไปมาจำเป็นต้องรูดซิปปากให้สนิท
แต่ก็ยังแอบเขม่นกันด้วยสายตาเวลาที่นภาแห่งวองโกเล่ไม่ทันสังเกต
“ถ้าว่างนักก็ไปตีสนิทพวกนั้นสิ
พวกนายจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
“แต่วองโกเล่—
“
“มุคุโร่”
เจ้าของนัยน์ตาสองสีหุบปากฉับทันทีที่ได้รับสายตาจริงจังจากผู้เป็นนายเหนือหัว
โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร แต่มนุษย์ทุกคนย่อมมีข้อยกเว้น
และสำหรับผู้พิทักษ์สายหมอกแล้ว— สึนะโยชิคือคนๆนั้น
“ก็ได้ครับ”
ผู้พิทักษ์สายหมอกยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนที่จะหายตัวออกจากห้องไปเพื่อที่จะไปทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ
ส่วนยามาโมโตะที่เจอรังสีกดดันของเขาก็ต้องยอมออกไปจับตามองพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนต่ออย่างช่วยไม่ได้
สึนะโยชิถอนหายใจหลังจากที่ทั้งสองเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ร่างเล็กเอนหลังลงจนแผ่นหลังแนบสนิทกับเบาะหนังสีดำสนิท
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เหม่อมองเพดานที่ว่างเปล่า
หลังจากที่ขึ้นรับตำแหน่งนภาแห่งวองโกเล่อย่างเป็นทางการเขาก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองนี้บ่อยนัก
หลายๆอย่างเปลี่ยนจนเขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่เขาพึ่งจากไปเพื่อไปเรียนและทำงานต่อที่อิตาลีได้แค่ 2 ปี แม้แต่ The
Black Carnival ที่เขาจัดแล้วกลายเป็นสิ่งเลื่องชื่อนักหนาในวองโกเล่ก็ยังไม่เคยจัดที่ญี่ปุ่นเลยซักครั้ง
นี่เป็นครั้งแรก
และอาจจะเป็นครั้งเดียว
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองบนโต๊ะที่มีเอกสารมากมายถูกคลี่ออกไม่ให้แต่ละแผ่นทับกันจนไม่เห็นข้อความของอีกแผ่น
พวกนี้คือข้อมูลของทุกคนที่ถูกเลือกมาแลกเปลี่ยนที่นี่ เป็นข้อมูลเชิงลึก
ทั้งอุปนิสัย ประวัติส่วนตัว ประวัติของพ่อแม่ งานการของครอบครัว
ความสัมพันธ์ในครอบครัวและในวงศ์ตระกูล
เชื่อเถอะ
ว่าข้อมูลบางอย่างที่เขาได้มา
มันลับซะจนบางทีแม้แต่เจ้าตัวเองคงไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ
----------|----------|----------|----------|----------
“โห นี่โรงยิมซ้อมบาสเหรอ ฮ่าๆๆๆ
ใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย” ทาคาโอะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ตอนแรกที่ได้ยินว่าที่นามิโมริมีสนามบาสก็ไม่ได้คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้
อาจจะใหญ่ไม่เท่ากับโรงเรียนราคุซัน ชูโตคุ หรือเทย์โค แต่ก็ถือว่าใหญ่ใช้ได้สำหรับโรงเรียนที่ไม่ได้เอาดีด้านกีฬาบาสเก็ตบอล
เนื่องจากพวกเขามาแลกเปลี่ยนในโครงการเกี่ยวกับกีฬาบาสเก็ตบอล
ชมรมที่พวกเขาจะสามารถเลือกเข้าได้จึงมีเพียงชมรมบาสเก็ตบอลเท่านั้น แต่เชื่อเถอะ
ต่อให้ไม่มีข้อบังคับแบบนี้พวกเขาก็ยังคงเลือกชมรมบาสอยู่ดี
“พวกนายได้รับสิทธิ์พิเศษในการใช้ที่นี่เพื่อฝึกฝนตัวเองได้ทุกวันทุกเวลา
ขอแค่มาบอกฉัน แล้วฉันจะเอากุญแจให้”
โกคุเดระกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางหงุดหงิดนิดหน่อย คงเพราะเขามีงานต้องทำเมื่อคืนจนแทบจะไม่ได้นอน
พอจะมานอนที่โรงเรียนก็ดันต้องมาพาคนพวกนี้มาดูชมรมอีก
การอดหลับอดนอนนี่ล่ะภัยร้ายของมนุษยชาติ
“เข้าใจแล้ว” ฮิวงะตอบกลับ
พวกเขาพึ่งได้รู้ไม่นานว่าโกคุเดระกับแรมโบ้เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมบาสเก็ตบอลโดยมีซาวาดะเป็นหัวหน้า
ยามาโมโตะเป็นหัวหน้าชมรมเบสบอล ส่วนซาซางาวะก็เป็นหัวหน้าชมรมมวย
“จริงๆแล้วผมมีเรื่องจะขอร้องนิดหน่อย”
เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้หันไปพูดกับฮิวงะซึ่งเป็นกัปตันทีมเซย์ริน
“อะไรล่ะ?”
“ช่วยมาซ้อมแข่งกับพวกผมหน่อยได้มั้ยครับ”
ใบหน้าเรียวคลี่ยิ้มหวานอย่างร่าเริง นัยน์ตาคมเป็นประกายทอระยิบระยับ
“เอ๋ ซ้อมแข่งเหรอครับ”
คุโรโกะเอียงคอถามด้วยท่าทางสงสัย
“อื้อ!
พอดีพวกฉันเป็นแฟนคลับพวกนายน่ะ
ฉันกับโกคุเดระคุงเคยไปดูตอนพวกนายแข่งวินเทอร์คัพรอบชิงชนะเลิศด้วยนะ”
“เห จริงเหรอเนี่ย” อิซึกิตาวาว
“แล้วนายเป็นแฟนคลับใครเหรอซาวาดะ ฉันใช่มั้ย ฉันๆๆๆๆ”
“ผมว่าไม่ใช่รุ่นพี่อิซึกิหรอกครับ
ไม่คุโรโกะก็คงคางามินั่นแหละ”
ฟุริฮาตะช่วยปรามความตื่นเต้นที่เกินเหตุของรุ่นพี่หนุ่ม สึนะโยชิหัวเราะแห้ง
นึกขอบคุณเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ที่มาช่วยยับยั้งอีกฝ่ายไว้ทัน
“โถ่ ลืมไปเลย”
รุ่นพี่หนุ่มเจ้าของอีเกิ้ลอายแห่งทีมเซย์รินหน้าสลด
“แต่จริงๆแล้วผมเป็นแฟนคลับอาคาชิคุงนะครับ”
คำสารภาพของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลทำให้ทุกคนต้องหันไปมองกัปตันหนุ่มผมแดงจากราคุซันที่ดูเหมือนจะอึ้งกับคำตอบอยู่นิดหน่อย
“แต่หลังการแข่งครั้งนั้นก็ชอบเซย์รินมากเลย
เลยคิดว่าอยากแข่งด้วยซักครั้งน่ะ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไหลลื่น โดยมีโกคุเดระซึ่งยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันว่าเจ้าตัวก็อยากแข่งกับพวกเขาซักครั้งเหมือนกัน
โค้ชสาวแห่งทีมเซย์รินมองไปยังเด็กหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเห็นว่าเป็นกัปตันของทีมบาสนามิโมริด้วยความลังเล
ก่อนที่เธอจะให้คำตอบโดยการพยักหน้ารับเพื่อสื่อว่าทั้งสองทีมจะมีการซ้อมแข่งกันในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้
ทั้งน้ำเสียงที่ร่าเริง
ทั้งรอยยิ้มที่สดใส ไม่มีใครเอะใจเลยว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดมานั้นอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
เขาไม่ได้ชอบเซย์รินมากขนาดนั้น
ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟนคลับหรืออะไร ก็แค่ถูกใจ ถูกใจในสปิริตที่ไม่ยอมแพ้พวกนั้น
พวกเขาไปเปลี่ยนชุดในห้องพักนักกีฬาที่ทางโรงเรียนนามิโมริได้จัดเตรียมทำความสะอาดเอาไว้ให้
เมื่อออกมาก็พบว่าซาวาดะและลูกทีมนั้นยืนรออยู่ข้างนอกกันก่อนแล้ว
มีซาวาดะเป็นกัปตันทีม ใส่เสื้อเบอร์ 4
ตำแหน่งพ้อยท์การ์ดเช่นเดียวกับอิซึกิและอาคาชิ นอกนั้นสมาชิกทีมก็มีโกคุเดระ
แรมโบ้ และเด็กหนุ่มอีก 2 คนที่พวกเขาไม่คุ้นหน้า คนหนึ่งมีผมสีแดง
ส่วนอีกคนมีผมสีบลอนด์และนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล
“นั่น โคซาโตะ เอ็นมะ กับบาจิลครับ
พวกเขาอยู่ห้อง B คุณคงไม่คุ้นหน้า” แรมโบ้แนะนำตัวสมาชิกอีก 2
คนซึ่งจะเป็นตัวจริงในการซ้อมแข่งนี้
ในการแข่งขัน
มิโดริมะถูกเลือกให้เป็นกรรมการและเป็นคนโยนลูก การแข่งขันเริ่มต้นอย่างดุเดือด
มันดูจริงจังมากกว่าที่จะเป็นการซ้อมแข่งธรรมดา ต้องยอมรับว่าการที่ต้องมาแข่งกับทีมบาสนามิโมริทำให้เซย์รินรู้สึกเล่นยากกว่าที่เคยนิดหน่อย
ฝั่งนั้นมีทักษะแปลกๆที่พวกเขาไม่เคยเห็น เหมือนจะเป็นบาส— แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่บาส
จะเรียกว่าไงดีล่ะ?
เหมือนเป็นการประยุกต์ทักษะหลายๆอย่างจนกลายเป็นบาสในแบบของตัวเองขึ้นมา
คุณคิดว่าผลมันจะเป็นแบบไหน?
พวกสึนะจะชนะหรือเปล่า? เพราะพวกเขาเป็นมาเฟีย
และคงเก่งในทุกๆด้าน (แน่นอนว่าความจริงข้อนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวพวกเขาเอง)
หรือพวกเซย์รินจะชนะเพราะพวกเขาทุ่มเทกับกีฬาบาสมากและยังเป็นถึงแชมป์ในการแข่งขันวินเทอร์คัพ
แน่นอนผลที่ออกมาไม่ใช่สิ่งที่ผิดคาดจากที่พวกอาคาชิคิดนัก
เซย์รินชนะ
นี่เป็นผลที่ตรงกับที่พวกเขาคิดเอาไว้
แต่ชนะด้วยคะแนน 47 ต่อ 40 นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้แน่ๆ
พวกเขาคาดเดาเอาไว้ว่าเซย์รินน่าจะคะแนนนำมากกว่านี้
บางคนคิดว่ามันเป็นเพราะเซย์รินไม่มีคางามิ ไม่สิ จริงๆแล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่เหตุผลที่สำคัญคือพวกซาวาดะทุกคนเก่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
การเล่นของพวกนั้นเป็นการเล่นแบบที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเล่นในแบบที่อยากเล่นได้
หากประเมินคร่าวๆแล้ว
ทักษะทางด้านกีฬาของพวกนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม ทั้งความเร็วและความแม่นยำรวมถึงพลังกายนั้นอยู่ในระดับเดียวกับนักกีฬาอย่างพวกเขา
อาจจะไม่เทียบเท่าพวกรุ่นปาฏิหาริย์ แต่ก็ถือว่าเป็นนักกีฬาที่ไม่ธรรมดาเลย
ทักษะและฝีมือก็พอๆกับพวกตัวจริงของเซย์ริน
ที่สำคัญ— ในบรรดาตัวจริงพวกนั้น มีคนมองเห็นคุโรโกะ
น่าสงสัยจริงๆ
ฝีมือระดับนี้ก็ไม่ใช่ระดับไก่กา
แต่ทำไมถึงไม่เป็นที่พูดถึงซ้ำยังไม่เคยลงแข่งการแข่งขันกีฬาเลยซักครั้ง? พวกเขาเชื่อว่าถ้าพวกซาวาดะลงแข่ง
อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะผ่านรอบอินเตอร์ไฮระดับเขตไปได้
นัยน์ตาทุกคู่มองตามหลังเหล่านักบาสตัวจริงของโรงเรียนนามิโมริที่เดินกลับเข้าห้องพักนักกีฬาไปหลังจากที่การซ้อมแข่งจบลง
ภายในห้องพักนักกีฬาของเหล่านักบาสตัวจริงของโรงเรียนนามิโมริ
นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดสายตามองผู้เป็นเพื่อนร่วมทีมด้วยสายตาอ่านยาก
มือเรียวหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อของตัวเองเบาๆ
เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย พวกเขาสูญเสียพลังงานไปมากพอสมควรกับการซ้อมแข่งครั้งนี้
“ยากกว่าที่คิดนะครับ”
แรมโบ้พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
ขนาดเป็นแค่การซ้อมแข่งกับเซย์ริน..แต่พวกเขากลับรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ที่สำคัญ
นี่เป็นเซย์รินที่ไม่มี คางามิ ไทกะ
“เราก็ทำเต็มที่แล้วน่า
อย่างว่า พวกเราไม่ใช่นักบาสซักหน่อย ได้แค่นี้ก็เก่งสุดๆแล้ว” สึนะโยชิไหวไหล่
เขาดูไม่คิดมากกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้
ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบความพ่ายแพ้นัก
ไม่สิ
เกือบจะเรียกได้ว่าเกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำ
“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่ดี
หงุดหงิดชะมัด”
“เอาน่าโกคุเดระคุง”
“ถ้ารุ่นที่สิบว่างั้น—
ก็ได้ครับ ผมควรใจเย็นลงจริงๆ”
มันเป็นอย่างที่สึนะโยชิพูด
พวกเขาไม่ได้เป็นนักบาส ไม่ได้เอาดีด้านบาส พื้นฐานในกีฬาชนิดนี้ก็ไม่แน่น
พูดตามตรง พวกเขาพึ่งเริ่มลองเล่นเมื่อ 3 เดือนที่แล้วด้วยซ้ำ
พูดแบบบ้านๆก็คือเป็นแค่มือใหม่ นึกขอบคุณทักษะการต่อสู้ต่างๆและทักษะทางด้านกีฬาเบื้องต้นที่รีบอร์นเป็นคนสอน
มันทำให้พวกเขาสามารถนำมาประยุกต์กับกีฬาชนิดนี้และพอจะถูๆไถๆไปได้
แต่มันก็แค่นั้นล่ะ
สุดท้ายก็แพ้อยู่ดี
“ก็อย่างที่ท่านซาวาดะพูด
พวกเราที่พึ่งเล่นบาสมาไม่นานแต่ทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้วครับ เพราะงั้นเลิกอารมณ์เสียแล้วเปลี่ยนชุดกันเถอะ”
“รู้แล้วน่า”
โกคุเดระยอมจำนน คงเป็นเพราะลึกๆแล้วเขาก็เห็นด้วยกับที่นภาของเขาและบาจิลพูด
เขาทำดีที่สุดแล้ว เขาทำดีที่สุดแล้ว
ได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
คนเราต่างมีความถนัดที่แตกต่างกัน
สึนะโยชิถอนหายใจ
ให้ตายสิ
แค่สู้กับเซย์รินในตอนนี้ก็เหนื่อยแล้ว รู้ผลเลยว่าถ้าไปท้าแข่งบาสกับพวกรุ่นปาฏิหาริย์
ผลจะออกมาเป็นยังไง
----------|----------|----------|----------|----------
คนเรามีความถนัดที่แตกต่างกันค่ะ!
ปล. ถ้าเราเขียนผิดอะไรยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ
ปล2 จะพยายามลงแบบวันเว้นวัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องดูเวลาว่างด้วยค่ะ TT
ความคิดเห็น