ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #5 : Canival 04 :: The Strongest Guardian

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.51K
      190
      30 ก.ค. 62

     

     

     

              หลังจากการซ้อมแข่งบาสกันเมื่อวาน มันทำให้พวกเขาและกลุ่มเพื่อนของสึนะโยชิสนิทกันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรียวเฮและยามาโมโตะ สองคนนั้นเป็นนักกีฬา มันทำให้พวกเขาสามารถพูดคุยเรื่องกีฬาแต่ละอย่างโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นบาสเท่านั้นได้ทั้งวันทั้งคืน

     

              อย่างเช่นเมื่อวานที่ทั้งคู่ไปนอนห้องเดียวกับพวกฮิวงะ แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมในระดับหนึ่ง

     

              คุยกันถูกคอจนแทบไม่ได้นอน นี่คือคำบอกเล่าของฟุริฮาตะที่พักอยู่ห้องนั้นด้วยเช่นกัน

     

              วันนี้เป็นวันเสาร์ พวกเขาจึงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการนอนอืดอยู่บนเตียง บางคนก็ไปซ้อมบาสที่โรงยิมเพราะกลัวว่าฝีมือจะขึ้นสนิม ในขณะที่บางคนที่บ้ากีฬามากๆอย่างอาโอมิเนะและคิเสะกลับตอบรับคำชวนการไปวิ่งรอบเมืองช่วงเช้าของผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่เสียอย่างนั้น

     

              ก๊อกๆ

     

              มิโดริมะเดินไปเปิดประตูตรงห้องรับแขก ก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลฟู่ฟ่องซึ่งรับหน้าที่เป็นคนดูแลพวกเขากำลังยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าประตู ข้างกายเจ้าตัวมีชายตาสองสีเจ้าของผมทรงสับปะรดและหญิงสาวผู้มีผมทรงเดียวกันขนาบข้าง

     

              “มีอะไรเหรอซาวาดะ”

     

              “แหะ คือว่า— ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย?

     

              “อ้อ” มิโดริมะทำหน้าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะเปิดประตูให้บุคคลทั้งสามเข้ามา “เข้ามาสิ”

     

              สามหน่อซึ่งมารบกวนห้องของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีอายุพอๆกันหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาสีเทาอ่อนซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับแขก ในโซนหลังบาร์ซึ่งเป็นห้องครัวขนาดย่อมมีคุโรโกะและอาคาชิกำลังช่วยกันชงกาแฟให้พวกเขาเพื่อเป็นการรับแขก ในขณะที่มุราซากิบาระนั้นกำลังนอนเอื่อยอยู่ในห้องนอนของตัวเองซึ่งเปิดประตูทิ้งเอาไว้

     

              “หืม แล้วอีกสองคนล่ะครับ คุฟุฟุ”

     

              “หมายถึงคิเสะคุงกับอาโอมิเนะคุงสินะครับ เห็นว่ายามาโมโตะกับรุ่นพี่ซาซางาวะชวนไปวิ่งรอบโรงเรียนน่ะ” คุโรโกะว่าก่อนวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะรับแขกทรงสี่เหลี่ยม นัยน์ตาสีฟ้าอะความารีนมองหน้าเพื่อนร่วมห้องอย่างสึนะโยชิซึ่งกำลังมีสีหน้าครุ่นคิด

     

              “มีอะไรรึเปล่าครับ?

     

              “อ้อ— “ เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คิดว่าจะชวนไปเยี่ยมชมศาลเจ้านามิโมริน่ะ มาอยู่เมืองนี้อย่างน้อยก็ควรไปซักครั้ง”

     

              “เห” ชายหนุ่มผมแดงผู้มีฉายาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งราคุซันลากเสียงด้วยความสนใจ เขาอ้อมมาทางด้านหลังโซฟาก่อนหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาล นัยน์ตาสองสีเป็นประกายระยับ

     

              “ฉันค่อนข้างสนใจอะไรพวกนี้น่ะ ไปด้วยกันมั้ย เท็ตสึยะ ชินทาโร่”

     

              “ไม่เอาล่ะ วันนี้ดวงราศีกรกฎไม่ถูกกับศาลเจ้า ฉันขอบาย” มือชู้ตอันดับหนึ่งแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ปฏิเสธแทบจะในทันที ในหัวก็นึกย้อนไปถึงคำทำนายของรายการโอฮาอาสะเมื่อเช้า แขนแกร่งหยิบยางมัดผมสีชมพูขึ้นมาคล้องไว้ที่ข้อมือ ท่ามกลางสายตาที่มองมายังเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดของชายผู้ทำผมทรงสับปะรด

     

              “นั่นอะไรเหรอคะ?” คนที่ถามไม่ใช่มุคุโร่ แต่เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องนี้ โคลมเอียงคอมองด้วยความสงสัย นัยน์ตาข้างเดียวที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยผ้าปิดตานั้นหลุบตาต่ำลงมองยางมัดผมอย่างสนใจ

     

              “ลักกี้ไอเทมของราศีกรกฎน่ะ”

     

              “ฉันมีอยู่เยอะเลย สนใจมั้ยคะ?” เธอเปิดกระเป๋าสะพายออก เผยให้เห็นยางมัดผมหลากสีซึ่งถูกบรรจุอยู่ในถุงเล็กๆ มิโดริมะแสร้งดันแว่นขึ้นเหมือนไม่สนใจตามประสาคนปากแข็ง นัยน์ตาสีเขียวเหล่มองไปทางอื่น

     

              “ก็ไม่ได้สนใจ แต่ถ้าให้— ฉันจะรับไว้แล้วกัน”

     

              “จริงๆก็คือมิโดชินอยากได้ใจจะขาด แค่วางฟอร์มน่ะ” มุราซากิบาระซึ่งเดินออกมาจากห้องนอนตัวเองเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบพูดเสียงยาน ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งข้างอาคาชิ (เนื่องจากที่นั่งข้างคุโรโกะมีอาคาชิกับมิโดริมะขนาบข้างอยู่แล้ว)

     

              “ฉันไม่ได้ซึนเดเระ!!

     

              “อา ฉันยังไม่ได้พูดคำนั้นออกมาเลยนะมิโดชิน..”

     

              !!!!” ชายหนุ่มสวมแว่นที่พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองปล่อยไก่ตัวโตออกมาเสียแล้วหน้าขึ้นสี เหลือบมองไปยังคุโรโกะก็เห็นเจ้าตัวแอบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นขำ ไอการทำให้คนที่ตัวเองชอบยิ้มหรือหัวเราะได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบ..

     

             ขายขี้หน้าโคตรๆ!

     

              “เอาเป็นว่าพวกเราไป แต่ขอเวลาเตรียมตัวหน่อยนะ” อาคาชิหันมาตอบสึนะ ถึงแม้ว่ามิโดริมะจะไม่อยากไป..แต่เขาคิดว่าเขาสามารถลากเจ้าตัวไปด้วยกันได้ ส่วนคุโรโกะกับมุราซากิบาระก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่

     

              สึนะหันมายิ้มให้พวกเขา “งั้นฉันไปชวนคนอื่นๆก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่ชั้นล่างเลย”

     

              หลังจากรู้จักกันมา 3 ถึง 4 วัน พวกเขาก็สนิทกันขึ้นมาก จนตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดกับเขาด้วยสรรพนามแบบเป็นทางการนั่นแล้ว

     

              “โอเคครับ” สิ้นการตอบกลับของคุโรโกะ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลและเพื่อนอีก 2 คนก็เดินออกไปจากห้อง กัปตันทีมราคุซันหันมามองรูมเมทของตนด้วยสายตาอ่านยาก

     

              “พวกนายจะไปกับฉันใช่มั้ย?

     

              “เฮ้อ— นายตอบรับไปขนาดนั้นแล้ว จะมาถามอะไรฉันเอาตอนนี้อาคาชิ”

     

              “ผมไปอยู่แล้วล่ะครับ”

     

              “ถ้าคุโรชินไปฉันก็ไป”

     

              อาคาชิคลี่ยิ้มร้ายกาจ

     

              “ฉันนึกอยู่แล้วว่าพวกนายต้องพูดแบบนี้”

     

     

     

     

     

              การเดินทางครั้งนี้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น อาจจะเพราะคนส่วนใหญ่คงไม่ชื่นชอบการตั้งขึ้นบันไดเพื่อไปยังศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนภูเขานัก นอกจากสึนะ มุคุโร่ โคลม และซาซางาวะ เคียวโกะ น้องสาวของเรียวเฮแล้ว ก็มีกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 10 คน ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นคนที่สึนะพอจะสนิทด้วยในระดับหนึ่ง มีทั้งคุโรโกะ อาคาชิ มิโดริมะ มุราซากิบาระ ฮิมุโระ ฮิวงะ ทาคาโอะ ริโกะ โมโมอิ แล้วก็ฮายามะ โคทาโร่ หนึ่งในสมาชิกทีมบาสราคุซัน

     

              จริงๆแล้วมีอิซึกิอีกคนที่ดั้นด้นจะมาให้ได้

     

              น่าเสียดายที่เจ้าตัวท้องเสียกะทันหัน สุดท้ายก็ต้องนอนพักอยู่ที่หอโดยมีมิโตเบะและฟุริฮาตะคอยดูแล

     

              “เขาจะไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ” เคียวโกะหันไปถามโค้ชสาวของทีมด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง

     

              “ฮ่าๆๆ อย่างหมอนั่นไม่ได้ตายง่ายๆหรอก”

     

              “แต่เขาดูท้องเสียหนักอยู่นะ”

     

              “ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก หมอนั่นมันดูแลตัวเองได้อยู่แล้วล่ะ” โค้ชสาวปีสามหัวเราะร่วนราวกับเห็นมันเป็นเรื่องตลก ในขณะที่คุโรโกะและฮิวงะซึ่งรู้ว่าต้นเหตุของอาการท้องเสียของผู้มีอีเกิ้ลอายแห่งทีมเซย์รินเป็นฝีมือใครก็ได้แต่หน้าซีด

     

              ที่หมอนั่นเป็นแบบนั้นก็ฝีมือเธอไม่ใช่เรอะ กัปตันหนุ่มแห่งทีมเซย์รินคิดในใจ

     

              แต่ก็นะ ใครจะไปคิดว่าอาหารหน้าตารับประทานนั่นจะเป็นฝีมือของริโกะ

     

              ก็เกือบชิมไปแล้ว แต่พอเห็นสภาพอิซึกิก็ยั้งมือไว้ได้ทัน

     

             อาการมาทันทีที่อาหารลงถึงกระเพาะ

     

              แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว

     

              สึนะโยชิและมุคุโร่ที่อยู่ในเหตุการณ์การท้องเสียกะทันหันของรุ่นพี่คนนั้นยิ้มค้าง ตั้งปณิธานไว้ในใจว่าจะไม่มีวันแตะต้องอาหารที่โค้ชสาวคนนั้นทำเป็นอันขาด

     

              การเดินทางมายังศาลเจ้านั้นคุ้มค่ากว่าที่พวกเขาคิดไว้ นั่นคงเพราะศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำนุบำรุงและซ่อมแซมจนสวยงามดูใหม่เอี่ยม และเนื่องจากมันอยู่บนเขา ทำให้เมื่อมองลงไปด้านล่างก็สามารถเห็นวิวของเมืองนามิโมริอันแสนสงบสุขได้อย่างทั่วถึง

     

              น่าเสียดาย หากได้มาดูเวลาพระอาทิตย์ตกดินคงจะสวยไม่น้อย

     

              “ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดที่หนึ่งของนามิโมริครับ คนนิยมมากันมากช่วง 6 โมงเย็น แต่วิวตอนเช้าแบบนี้ก็สวยเหมือนกัน”

     

              สึนะโยชิอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มหวานน่าฟัง เจ้าตัวผายมือไปยังตัวศาลเจ้าด้านในซึ่งดูใหม่กว่า 2 ปีที่แล้วมาก นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอดสายตามองพื้นที่รอบๆ ความทรงจำมากมายตอนอยู่มัธยมต้นหลั่งไหลเข้ามาในหัว

     

              “แล้วก็ศาลเจ้านั่น ว่ากันว่าขึ้นชื่อเรื่องความรักและการเรียน ถ้าอยากขอพรก็เชิญได้เลยนะครับ” หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มแยกย้ายกันไปดูส่วนต่างๆของศาลเจ้าและภูเขาลูกนี้ สึนะเดินกับกลุ่มอาคาชิ ในขณะที่มุคุโร่และโคลมเดินอยู่กับทาคาโอะ ฮิมุโระ ฮิวงะ แล้วก็โคทาโร่ และเคียวโกะเดินอยู่กับโมโมอิและริโกะ

     

              “แล้วพวกคุโรโกะคุงไม่ไปขอพรกันเหรอ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมองด้วยความฉงน

     

              “ผมอยากชมวิวก่อนน่ะครับ” คุโรโกะเป็นคนตอบ

     

              “ส่วนพวกฉันก็ตามใจเท็ตสึยะ”

     

              “เห..”

     

             ศึกชิงนางจริงๆนั่นล่ะ

     

              บอสหนุ่มของวองโกเล่คิดในใจ

     

              “จะว่าไป เวลากลางคืนก็น่าจะวิวสวยนี่นา เนอะอาคาชิน” มุราซากิบาระว่าพลางมองวิวของเมืองนามิโมริที่ปรากฎแก่สายตา อาคาชิพยักหน้าเล็กน้อย ถ้าเป็นในเวลากลางคืนที่มีทั้งแสงดาวและแสงไฟจากเมืองเบื้องล่าง วิวในเวลานั้นคงจะสวยอย่างหาได้ยากเลยทีเดียว

     

              “พวกนายจะมาศาลเจ้าเวลานั้นกันรึไง” มิโดริมะขมวดคิ้ว

     

              “ทำไมเหรอชินทาโร่ หรือนายกลัวผี?

     

              “ผีไม่มีจริงอาคาชิ”

     

              “อ้อ เหรอครับ” คุโรโกะว่าพลางลากเสียงยาวเหมือนกำลังหยอกล้อ ชายหนุ่มผมเขียวยกมือขึ้นปิดใบหน้า เจ้าตัวคงจะมองเขาออกจนทะลุปรุโปร่งว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกๆในใจของเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเรื่องผีไปเสียทีเดียว

     

              “จริงแล้ววิวเวลานั้นก็สวยจริงๆนั่นล่ะ แต่ฉันไม่แนะนำหรอกนะ” สึนะคลี่ยิ้มบาง คำพูดนั้นทำให้หนุ่มนักบาสผมหลากสีหันมามองเขาด้วยความฉงน

     

              “ที่นี่เวลากลางคืนค่อนข้างอันตรายน่ะ มันเปลี่ยว แถมยังอยู่บนภูเขา ถ้าถูกปล้นหรือถูกทำร้ายก็คงไม่มีใครบังเอิญผ่านมาช่วยหรอก”

     

              “ที่ซาวาดะคุงพูดก็มีเหตุผลอยู่นะครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้ามีสีหน้าครุ่นคิด เจ้าตัวกำลังคิดตามคำเตือนของเพื่อนใหม่ซึ่งรู้จักเมืองนี้ดีกว่าพวกเขา เช่นเดียวกับอาคาชิและมิโดริมะที่กำลังคิดตามเช่นกัน ในขณะที่คนตัวสูงใหญ่อีกคนนั้นกลับเอาแต่หยิบขนมเข้าปากโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว

     

              Rrrrr

     

              เด็กหนุ่มผมน้ำตาลชะงักไปเมื่อโทรศัพท์ของตนซึ่งถูกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่น เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนมองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างชั่งใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มองพวกเขาเล็กน้อย

     

              “ฉันขอตัวก่อนนะ เชิญพวกนายตามสบายเลย”

     

              หลังจากได้รับการพยักหน้าเป็นการตอบกลับแล้ว เด็กหนุ่มผมน้ำตาลผู้มีตำแหน่งเป็นถึงนภาแห่งวองโกเล่ก็ปลีกตัวออกมาอยู่ในป่าซึ่งเป็นจุดอับคน ไม่ค่อยมีใครสนใจมาเดินที่นี่นัก เด็กหนุ่มกดรับสายก่อนแนบมันกับหู

     

              “ไงบาจิล”

     

              [ท่านซาวาดะ ข่าวร้ายครับ]

     

              “ข่าวร้าย?

     

              [เกี่ยวกับพวกอันธพาลที่ท่านโกคุเดระไปอัดจนเละเมื่อวันก่อนน่ะครับ คือ— ดูเหมือนว่าพวกมันจะเกี่ยวข้องกับยากูซ่าที่พวกผู้อาวุโสหมายหัวอยู่]

     

              นภาแห่งวองโกเล่ขมวดคิ้ว “แล้วพวกตาแก่นั่นว่าไง”

     

              [พวกเขาบอกให้คุณกำจัดทิ้ง..ครับ]

     

              “ให้ตายสิ บอกพวกนั้นว่าเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

     

              [รับทราบครับท่านซาวาดะ ข้อมูลของเหยื่อผมจะส่งเมลล์ไปให้นะครับ]

     

              “เข้าใจแล้ว บาย”

     

             ตื้ด—

     

              เขากดตัดสายทันทีที่บอกลาคนปลายสายเรียบร้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอประกายวาวโรจน์ แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกขัดช่วงเวลาอันสงบสุขที่สุดแสนจะน้อยนิด แต่การลุกขึ้นมาต่อต้านก็ไม่ใช่วิถีทางที่ฉลาดนัก พวกตาแก่หัวโบราณนั่นน่าเบื่อเป็นบ้า

     

              สวบ

     

              ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านหลัง มือเรียวเอื้อมไปจับมีดสั้นซึ่งถูกซ่อนอยู่ในกระเป๋าของตัวเองไว้แน่น เมื่อสัมผัสได้ว่าผู้มาใหม่นั้นคงอยู่ใกล้ตนเพียงแค่เอื้อม ร่างเล็กก็หมุนตัวพร้อมกับเหวี่ยงของมีคมในมือเพื่อป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณทันที

     

              “โอ๊ะ อันตรายๆ”

     

             รุ่นพี่ซาซางาวะ?

     

              “รุ่นพี่ซาซางาวะ?” ผู้พิทักษ์อรุณหนุ่มแห่งวองโกเล่ยิ้มร่าอย่างสดใส ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเด็กหนุ่มผู้เป็นนภาก็ปล่อยมีดออกจากมือ เช่นเดียวกับที่ร่างสูงปล่อยข้อมือของนายเหนือหัวของตนทันที

     

              “เรียกคุณพี่เหมือนเดิมก็ได้”

     

              “อ้อ ขอโทษครับ พอดีอยู่กับพวกเขานานเลยติดเรียกแบบนั้นน่ะ” พวกเขาที่ว่าก็หมายถึงพวกนักบาสพวกนั้นนั่นเอง เพราะเวลาอยู่ที่โรงเรียนจะทำให้ใครรู้ว่าสถานะของพวกเขาเป็นเจ้านายกับลูกน้องไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาแทนตัวเองเหมือนตอนม.ต้นอีกครั้ง แต่ตอนที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยเหมือนตอนนี้..พวกเขาก็จะกลับมาพูดจากันอย่างสนิทสนมโดยไม่มีสถานะรุ่นพี่รุ่นน้องเข้ามาเกี่ยว

     

              “ว่าแต่มีธุระอะไรเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้คุณพี่ต้องไปวิ่งรอบเมืองกับยามาโมโตะ อาโอมิเนะคุงแล้วก็คิเสะคุงเหรอ?

     

              “ก็นะ พอดีมีคนส่งข่าวน่าสนุกมาให้น่ะ เลยคิดว่าเอามาบอกนายก่อนน่าจะดีกว่า”

     

              “ข่าวน่าสนุก?

     

              ผู้พิทักษ์อรุณแห่งวองโกเล่คลี่ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูสดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่เจิดจรัสเช่นทุกที มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าตัวจะยิ้มออกมาด้วยซ้ำ

     

              แต่อย่างว่า..

     

              เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน

     

              “ไอหมอนั่น— ฮิบาริกลับมาแล้วนะ”

     

     

     

     

     

             ฉัวะ!!

     

              มีดสั้นสีเงินแทงทะลุลำคอของชายหนุ่มผู้โชคร้ายอย่างแม่นยำ ท่ามกลางความมืดมิดในยามเที่ยงคืนของนามิโมริ แสงจันทร์สาดส่องลงมายังหยาดเลือดที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นตัวหนอนในบริเวณตีนเขาหน้าศาลเจ้านามิโมริ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของผู้ก่อเหตุมองร่างไร้ชีวิตซึ่งแน่นิ่งอยู่แทบเท้าด้วยสายตาเรียบเฉย

     

              ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอชีวิต

     

              ร่างไร้ลมหายใจของชายฉกรรจ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นคนๆเดียวกับที่วิ่งไล่โกคุเดระเมื่อวันก่อน เขาสะบัดเลือดออกจากมีดสั้นใบโปรดก่อนเก็บมันเข้ากระเป๋า เดินเข้าไปใกล้ชายผู้โชคร้ายก่อนย่อตัวลงนั่งข้างๆพร้อมกับใช้มือที่แสนเรียวบางของตนพลิกหน้าของชายคนนั้นไปมา

     

              “โทษตัวเองซะเถอะที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาราวกับกำลังกระซิบ นัยน์ตาคมฉายแววอ่านยากในขณะที่เหลือบมองร่างโชกเลือดของผู้ร้ายซึ่งล้วนถูกตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอทุกคน

     

              มันคือวิชาการลอบฆ่าที่เขาฝึกมากับรีบอร์น

     

              ต้องรวดเร็วและแม่นยำ

     

              ต้องแข็งแกร่งและไม่มีความลังเล

     

              ถ้าคนพวกนี้เป็นแค่อันธพาลที่วิ่งไล่ยิกโกคุเดระเพราะถูกเดินชนก็คงไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้ มันควรจะจบไปตั้งแต่ตอนที่ถูกผู้พิทักษ์วายุของเขาจัดการแล้ว แต่ เพราะคนพวกนี้มันไม่เจียมตัว สายของเขาส่งข่าวรายงานมาว่าพวกนี้เป็นอันธพาลในสังกัดของยากูซ่าที่ต่อต้านวองโกเล่แฟมิลี่ และพวกมันกำลังจะไปขอกำลังสนับสนุนจากยากูซ่าพวกนั้น

     

              จริงๆก็เป็นแค่กลุ่มยากูซ่านอกคอก ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือมีกำลังพลมากอะไร เขาจะไม่ใส่ใจพวกมันก็ได้ แต่ว่า—

     

              พวกตาแก่งี่เง่— หมายถึง พวกผู้อาวุโสในวองโกเล่ต้องการให้กำจัดกลุ่มยากูซ่านั่นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกนั้นคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟที่วองโกเล่ถูกหัวหน้าของพวกมันหยามหน้าเมื่อเดือนก่อน

     

             ฉันบอกให้กำจัดก็ต้องกำจัดสิ!!’

     

              เสียงของหนึ่งในผู้อาวุโสพวกนั้นดังขึ้นมาในความคิด ร่างเล็กแค่นหัวเราะในลำคอ รู้สึกหงุดหงิดอย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่คิดจะขัดสิ่งที่ตาแก่พวกนั้นพูดแต่อย่างใด

     

             รู้แล้วล่ะน่า

     

             จัดการให้แล้วนี่ไง

     

    คนแก่นี่ต้องหัวร้อนง่ายทุกคนเลยรึเปล่านะ

     

              เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น นัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นแสงลงพลางมองไปยังร่างไร้วิญญาณพวกนั้นอย่างเหม่อลอย เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่คิดที่จะหยิบมีดหรือปืนขึ้นมาป้องกันตัวเองเผื่อในกรณีฉุกเฉินแต่อย่างใด เพราะเขารู้อยู่แล้ว

     

              รู้อยู่แล้วว่าใครที่กำลังเดินเข้ามา

     

              “ผมนึกว่าคุณจะกลับมาถึงตั้งแต่เที่ยงซะอีก คุณช้านะครับ”

     

              ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีกลุ่มผมสีดำราวกับปีกอีกายืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขา แม้จะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง แต่ร่างบางก็รู้ว่านัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นคงกำลังจ้องมองเขาอยู่

     

              มือใหญ่สัมผัสลงบนไหล่เล็กของผู้เป็นนภาแห่งวองโกเล่แผ่วเบา

     

              “คุณคิดว่าอิตาลีกับญี่ปุ่นมันใกล้กันมากรึไง คุณดูโง่ลงนะสึนะโยชิ”

     

              และนี่คือประโยคแรกที่ ฮิบาริ เคียวยะ เอ่ยกับเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบหนึ่งเดือน

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    ท่านฮิไม่อ่อนโยนเลย!!

    สงสัยหงุดหงิดน่ะค่ะ ชื่อบทก็บอกอยู่ว่าเป็นตอนของพี่แก แต่โผล่มาแค่ประโยคเดียว— /โดนเตะ

    ค่าตัวท่านฮิเค้าแพงค่ะ (ฮา)

    เจอกันอีกทีวันเสาร์นะคะ เม้นซักนิดจิตแจ่มใสค่า เลิฟๆ

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×