คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Canival 02 :: Namimori High School
ในตอนแรกคิเสะต้องยอมรับว่าเขาคิดว่านามิโมริจะเป็นเมืองเล็กๆในแถบชนบทที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ทว่าดูเหมือนเขาจะคิดผิด นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมองออกไปนอกรถโดยสารคันใหญ่ซึ่งถูกเหมาไว้สำหรับนักบาสตัวจริงและผู้จัดการ(หรือโค้ช)ของทั้ง
6 โรงเรียนที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้
เมืองนี้เจริญกว่าที่เขาคิดมากนัก
แม้จะเป็นเมืองที่ใหญ่อยู่พอสมควรแต่ก็มีระบบจราจรที่ดี
อาจจะเพราะประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ไม่ได้หนาแน่นเหมือนโตเกียวด้วยล่ะมั้ง
เป็นเมืองที่หากดูโดยรวมแล้วก็น่าอยู่
ไม่ได้แออัด แต่ก็เจริญและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก
สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายดูน่าจับจ่ายซื้อของ บ้านโดยส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว
ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีตึกสูงๆที่น่าจะเป็นโรงแรม คอนโด
ไม่ก็บริษัทต่างๆตั้งอยู่ประปราย
น่าเสียดาย
อยากให้รุ่นพี่คาซามัตสึได้มาเห็นชะมัด!!
ในที่สุดรถโดยสารที่พวกเขานั่งมาจากสนามบินก็จอดลงเทียบฟุตบาทตึกสูงๆแห่งหนึ่ง
ดูจากสภาพภายนอกแล้วก็บอกได้เลยว่ามันเป็นที่พักสำหรับ 5
เดือนที่ดีกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากนัก มันไม่เหมือนหอพักด้วยซ้ำ
ดูๆแล้วน่าจะเป็นคอนโดเสียมากกว่า
แต่เพราะตั้งอยู่ในเขตและถูกบริหารจัดการโดยโรงเรียนนามิโมริ
แถมยังมีนักเรียนจำนวนมากมายที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ควรจะเรียกว่าหอพักสินะ?
“นี่มันสูงกี่ชั้นกันล่ะเนี่ย
ฮ่าๆๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงเกือบ 10
ชั้นตรงหน้า
มีเด็กวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขาเดินเข้าออกอยู่บ้างไม่มากนัก
คงเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่คงกำลังเรียนอยู่
“แล้วพวกเราจะได้เริ่มเรียนเมื่อไหร่นะ?” อิซึกิถามพลางสอดส่องมองไปยังบริเวณรอบๆหอพักอย่างพิจารณา
ใหญ่จริง ใหญ่จัง ใหญ่จริงจัง!—
โป๊ก!!
“นายกำลังคิดมุกอะไรบ้าๆอยู่ใช่มั้ยอิซึกิ!!”
“ถึงกับเขกหัวกันเลยเหรอ
ใจร้ายไปแล้วนะฮิวงะ!!”
“เริ่มเรียนวันพุธนี้
ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะนะ”
ชายร่างสูงผู้เป็นมือชู้ตอันดับหนึ่งของรุ่นปาฏิหาริย์รวมถึงโรงเรียนชูโตคุดันแว่นขึ้นก่อนตอบคำถามโดนเมินทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันเหมือนเด็กปฐม
พวกเขารออยู่ตรงนั้นไม่นานก็มีชายในชุดสูทเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มใจดีบนใบหน้า
ผมสีบลอนด์ถูกตัดสั้นรับกับใบหน้าหล่อคมคาย
อีกฝ่ายเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับเอกสารในมือที่ดูคร่าวๆแล้วก็น่าจะเป็นรายชื่อของผู้ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นทั้งๆที่ไม่มีอะไรวางเกะกะขวางทาง..
คนเราจะสะดุดพื้นเรียบๆได้จริงๆน่ะหรือ?
ดูเหมือนวันนี้พวกเขาจะได้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว
“สวัสดีทุกคน
ฮะๆ ฉันชื่อดีโน่
จะมาเป็นคนที่รับผิดชอบและคอยดูแลพวกเธอระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ อ้อ
เห็นหน้าเด็กแบบนี้แต่ฉันก็ 25 แล้วนะ ฮ่าๆๆๆ”
เป็นผู้ชายวัยยี่สิบห้าที่ป้ำๆเป๋อๆ
ดูไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด
“เรื่องโรงเรียนเดี๋ยวฉันจะให้นักเรียนที่ฉันรู้จักมาช่วยแนะนำให้นะ
แต่ก่อนอื่นก็ต้องขออธิบายกฎและกติกาการเข้าพักและอยู่ที่นี่ก่อน” ดีโน่พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดีและเป็นมิตร
นัยน์ตาอำพันไล่มองนักเรียนทุกคนก่อนมาหยุดอยู่ที่โค้ชสาวอย่างริโกะซึ่งยืนอยู่ท้ายสุด
“ขอพูดเรื่องห้องเรียนก่อนก็แล้วกันนะ
พวกนายทุกคนจะถูกแบ่งตามชั้นปีที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิม
พวกปีสามก็อยู่ปีสามห้อง A พวกปีสองก็อยู่ปีสองห้อง A
พวกปีหนึ่งก็อยู่ห้องปีหนึ่งห้อง A ส่วนเรื่องชมรม
พวกนายทุกคนจะต้องเข้าชมรมบาส นอกนั้นจะใช้สนามเพื่อซ้อมหรืออะไรก็ตามแต่พวกนาย”
“...”
“ส่วนเรื่องที่พัก
ฉันต้องบอกนายไว้ก่อนว่าชั้น 3-7 เป็นหอพักของนักเรียนทั่วไป ชั้น 1
มีห้องสปากับสระว่ายน้ำและโรงยิมขนาดกลาง ชั้นสองจะเป็นห้องอาหาร
ส่วนห้องของพวกนายจะอยู่ที่ชั้น 8 และ 9 เป็นห้องขนาดใหญ่นะ ให้อยู่กันได้ห้องละ 6
คน ส่วนชั้น 10 จะเป็นห้องพักชั่วคราวของนักเรียนที่ฉันไหว้วานให้ดูแลพวกนายน่ะ”
“6
คน? มันเป็นห้องแบบไหนเหรอครับ?” คุโรโกะเอียงคอมองตาใส
“เป็นห้องสูท
ก็คล้ายๆกับห้องในคอนโดแหละ ภายในห้องก็มีห้องรับแขกและโซนห้องครัวเล็กๆ
ในห้องนั้นก็จะมีห้องนอนอีก 2 ห้องอยู่ข้างใน ห้องนึงนอนได้ 3 คน
จะมีเตียงนึงเป็นเตียงสองชั้น อีกเตียงเป็นเตียงเดี่ยว ซึ่งจะอยู่กับใครยังไงเดี๋ยวฉันจะแจ้งรายชื่ออีกที”
“...”
“แล้วก็เรื่องกฎกติกา
กลับห้องก่อน 4 ทุ่ม แล้วก็อย่าไปสร้างปัญหาต่อยตีกับพวกอันธพาลเจ้าถิ่น ก็มีแค่นี้ล่ะ”
หลังจากอธิบายเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่อีกเล็กน้อย
ดีโน่ก็ปล่อยให้เหล่านักเรียนในการดูแลของตนเข้าไปพักผ่อน
มันเป็นเหมือนที่ดีโน่บอก ห้องที่นี่ใหญ่มาก เป็นลักษณะของห้องสูทที่มีสองห้องนอนอยู่ในตัว
ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำให้ดูสวยแบบโมเดิร์น
แม้แต่เตียงนอนก็นุ่มซะจนไม่อยากลุกไปไหน
คุโรโกะที่ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงชั้นล่างภายในห้องของตนแล้วหยัดตัวลุกขึ้น
เพื่อร่วมห้อง 027 ของเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรุ่นปาฏิหาริย์ทั้ง
5 คนรวมกับเขาอีกหนึ่งเป็น 6 คน
ผลจากการจับฉลากทำให้เด็กหนุ่มได้นอนห้องเดียวกับคิเสะและอาคาชิ
“ผมนอนเตียงนี้นะครับ”
บอกผู้มาใหม่ด้วยใบหน้านิ่งสนิท หากทว่านัยน์ตาที่เป็นประกายแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มผมฟ้าอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“งั้นอาคาชิจจิจะนอนไหนเหรอฮะ
ฉันนอนไหนก็ได้นะ”
ชายหนุ่มผมแดงมีสีหน้าครุ่นคิด
ก่อนที่เขาจะวางกระเป๋าของตนเองบนเตียงเดี่ยวที่อยู่ฝั่งระเบียงเงียบๆ
คิเสะยิ้มร่าก่อนรีบปีนขึ้นไปนอนบนเตียงที่อยู่ด้านบนของเตียงคุโรโกะ นายแบบหนุ่มกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างอารมณ์ดี
ที่เมืองนี้ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ในทางกลับกัน..มันน่าสนุกมาก
นั่นคือสาเหตุที่เขาเริ่มตื่นเต้นและอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกเร็วๆ
ก๊อกๆๆ
เหมือนมีคนรู้ใจ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับมิโดริมะที่โผล่ศีรษะออกมาผ่านประตูที่แง้มออก นัยน์ตาสีเขียวมรกตภายในกรอบแว่นมองทุกคนในห้อง
“พวกนายสนใจไปเดินเล่นกันมั้—
”
“ไปๆๆๆๆ
ฉันไป!” ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ
คิเสะลุกพรวดจากเตียงทันทีทั้งๆที่มือชู้ตแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ยังพูดไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ
ตามด้วยอาคาชิและคุโรโกะที่พยักหน้าตอบรับคำเชิญนั้นโดยไม่พูดอะไร
การเดินทางครั้งนี้มีพวกเขา
4 คน รวมถึงอาโอมิเนะที่พรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วตะโกนเสียงดังว่าจะไปด้วยให้ได้
ในขณะที่มุราซากิบาระนั้นเลือกที่จะนอนกินขนมอยู่ในห้องพักของตัวเองมากกว่า
พวกเขาเดินออกนอกเขตโรงเรียนไปตามทางเท้าข้างถนน
อากาศที่นี่ดีกว่าที่พวกเขาคิดมากนัก การจราจรไม่ติดขัดจนดูน่าอึดอัด
อีกทั้งยังมีไม่ค่อยมีควันจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือรถยนต์ ผู้คนก็ดูใจดีและเป็นมิตร
ครู่หนึ่งที่มันทำให้พวกเขารู้สึกว่า..การมาแลกเปลี่ยนที่นี่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร
“ทำไมถึงมีแค่นายกับอาโอมิเนะที่ได้เดินข้างคุโรโกะล่ะอาคาชิ?” กัปตันหนุ่มผมแดงหัวเราะในลำคอกับคำถามนั้น
“เพราะเท็ตสึยะเป็นของฉันน่ะสิ
จริงๆฉันอยากให้เท็ตสึยะเดินข้างฉันคนเดียวด้วยซ้ำ”
ว่าแล้วก็ส่งสายตาเชือดเฉือนไปทางหนุ่มร่างสูงผิวแทนที่ทำเป็นเดินผิวปากหันหน้าไปทางอื่น
“ผมไม่ใช่ของใครทั้งนั้นครับ”
“งั้นแสดงว่าคุโรโกจจิเป็นของฉันใช่ม้า?”
“ไม่ใช่ของคิเสะคุงด้วยครับ”
“คุโรโกจจินี่ใจร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยน๊า”
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่พวกเขาเองก็ไม่ได้พบมานานแล้วตั้งแต่หลังจากที่อาโอมิเนะเริ่มเปลี่ยนไปตอนม.ต้น
แล้วทุกคนก็ค่อยๆเปลี่ยนไป คุโรโกะหยุดฝีเท้าที่กำลังเดินลง
มองภาพแผ่นหลังของคนสำคัญของเขาที่กำลังยืนต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ด้วยความรู้สึกอุ่นวาบที่กลางอก
น่าเสียดายนักที่คนตัวสูงอีกคนกับอดีตผู้จัดการทีมสาวไม่ได้มาเดินด้วยกัน
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
ผลั่ก!
ใครบางคนก็วิ่งมาชนร่างเล็กเข้าอย่างแรงจนเด็กหนุ่มผมฟ้าแทบจะปลิวไปชนกำแพงตึก
คุโรโกะหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความงุนงง รู้สึกเหมือนตัวเองเจ็บระบมไปทั้งร่าง
มันเจ็บพอๆกับตอนที่เล่นบาสช่วงแรกๆแล้วถูกผู้เล่นที่มีพละกำลังมากกว่าชนจนตัวปลิว
“เฮ้ย! เท็ตสึ! เป็นไรมากมั้ย!?” อาโอมิเนะคือคนแรกที่รีบรุดเข้ามาช่วยพยุงเขา
ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดทำให้เคลื่อนมาเร็วกว่าคนอื่น ชายที่วิ่งชนเขาชะลอความเร็วก่อนวนกลับมาดูสภาพของเขาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“โธ่เว้ย! นี่นายเป็นอะไรมากมั้ย!?”
คนที่วิ่งมาชนเขานั้นเป็นชายร่างสูงโปร่ง ผมสีควันบุหรี่ยาวละต้นคอ นัยน์ตาสีมรกตมีแววแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลลึกๆ
อีกฝ่ายดูเหมือนพวกนักเรียนเกเรที่ชอบไปสิงสถิตอยู่ตามร้านเกมหรือร้านเหล้า
บางมุมก็ชวนให้นึกถึงใครอีกคนที่พวกเขารู้จัก
เห็นหน้าแล้วก็แอบนึกถึงไฮซากิ
พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของคนกลุ่มหนึ่ง
รวมถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งมาทางนี้ นัยน์ตาสีเขียวของชายแปลกหน้าดูล่อกแล่ก
ก่อนที่เจ้าตัวจะยัดพลาสเตอร์ยาปิดแผลใส่มือคุโรโกะลวกๆ เอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งจากไป
“อะไรของเขา”
มิโดริมะชักสีหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าการกระทำแบบนั้นมันช่างไร้มารยาทอย่างน่าประหลาด
ชายหนุ่มโยนพลาสเตอร์ในมือของคุโรโกะทิ้งไป
ก่อนล้วงพลาสเตอร์ยาอันใหม่ที่ตนพกติดตัวเพราะเป็นลักกี้ไอเทมออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อันนั้นมันเก่าแล้ว
ใช้อันนี้ไปละกัน” มือใหญ่บรรจงแปะพลาสเตอร์ให้เด็กหนุ่มร่างบางอย่างระมัดระวัง
“มิโดริมัจจิอ่อนโยนล่ะ! น่าเหลือเชื่อเป็นบ้า!!”
แล้วคนแซวอย่างคิเสะก็ถูกมิโดริมะถีบเข้าที่กลางหลังในทันที
อีกฝั่งหนึ่ง
โกคุเดระ ฮายาโตะ
ก็สามารถวิ่งหนีพวกชายฉกรรจ์เข้าไปในโกดังร้างที่ไร้ผู้คนได้สำเร็จ
เขาปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งสงบและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นัยน์ตาสีมรกตกวาดสายตามองพวกอันธพาลที่มาหาเรื่องเขาที่ร้านเกมจนเขาต้องวิ่งมายังที่นี่ด้วยแววตาอ่านยาก
ผมสีควันบุหรี่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกแนบลู่ใบหน้าและลำคอ
ล้อมกรอบใบหน้าหล่อคมให้ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น โกคุเดระถอยหลังจนแผ่นหลังแนบกับลังไม้เก่าๆ
เขาจ้องไปยังชายฉกรรจ์ทั้ง 6 คนตรงหน้าก่อนเหยียดยิ้มมุมปาก
นัยน์ตาคมทอประกายวาววับราวกับอัญมณียามต้องแสง
“รุ่นที่สิบไม่อยากให้ฉันก่อเรื่องใหญ่โต
สำนึกบุญคุณของท่านซะเถอะ ที่ทำให้ฉันไม่อัดแกที่ร้านเกมต่อหน้าคนเยอะๆพวกนั้น”
เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
มองมายังคนพวกนั้นด้วยความสมเพชเวทนาเสียเต็มประดา นัยน์ตาสีเขียวฉายแววแข็งกร้าว
ก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลื่อนตัวมาอยู่ระหว่างกลุ่มคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
แม้เหล่าชายฉกรรจ์จะมีไม้เบสบอลเป็นอาวุธครบมือ
แต่กลับไม่สามารถปกป้องตัวเองจากชายเพียงคนเดียวได้ ทั้งทักษะการเตะ ทักษะการต่อย
ทักษะการต่อสู้ ชายคนนี้อยู่เหนือค่าเฉลี่ย
ดูเพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ผ่านการฝึกต่อสู้มาจนชำนาญ
ไม่ใช่แค่อันธพาลข้างถนนที่ทำกร่างไปวันๆ
“แก—
แกมันปีศาจ!!”
โกคุเดระเหยียดยิ้ม
“เออ
ฉันก็รู้ตัวเองดีอยู่”
แล้วการต่อสู้ก็จบลง
โกคุเดระไม่แม้แต่จะได้ชักปืนที่เหน็บอยู่ตรงกางเกงออกมาใช้ด้วยซ้ำ
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต่อสู้แล้วชนะมาได้อย่างสบายๆ
ชายหนุ่มเช็ดกำปั้นที่เปื้อนเลือดของตัวเองกับเสื้อผ้าของหนึ่งในคนพวกนั้น
ใบหน้าของเขานิ่งสนิทไร้อารมณ์ เขาถุยน้ำลายลงกับพื้น นี่คือความต่างของพลัง..มันคือความต่างของคนที่ผ่านการฝึกต่อสู้และเฉียดพบความตายมานับครั้งไม่ถ้วนกับคนที่เพียงแค่เหวี่ยงอาวุธไปมาเพื่อข่มขู่คนอื่น
แปะๆๆ
เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง
เขาหันไปมองก่อนชักสีหน้าแทบจะในทันทีที่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใคร นัยน์ตาสองสีคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยแววตาคล้ายจะชื่นชมแต่ก็เหมือนจะประชดประชัน
“ว้าว
เก่งสุดๆไปเลยครับ สมกับเป็นมือขวาของวองโกเล่”
“หุบปากแกไว้กินข้าวเถอะมุคุโร่”
มุคุโร่ไหวไหล่
“แหม
ใจร้ายจริง นี่คุณเห็นผมเป็นสนามอารมณ์รึไงกัน”
“แกมีธุระอะไร?” สิ้นคำถามของผู้พิทักษ์วายุ
ชายหนุ่มผมทรงสับปะรดฉีกยิ้มชวนให้รู้สึกน่าขนลุก นัยน์ตาสองสีเป็นประกาย
“พอดีวองโกเล่แค่อยากให้ผมมาเตือนคุณเกี่ยวกับเรื่องวันพุธนี้ว่าอย่าลืมย้ายไปอยู่หอด้วย
อ้อ เขาฝากบอกด้วยว่าคุณมันห่วยแตก”
“ไอประโยคหลังนั่นแกพูดเองชัดๆ!”
“ผมแค่ล้อเล่นน่ะครับ
คุฟุฟุ หัวร้อนง่ายเกินไปแบบนี้ ระวังตำแหน่งมือขวาจะตกเป็นของผมนะ”
ผู้พิทักษ์สายหมอกว่าดังนั้น ก่อนที่จะหายตัวไป โกคุเดระกำหมัดแน่น
รู้สึกเหมือนความขุ่นมัวที่กักเก็บไว้ใกล้จะปะทุ นัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์
ไอหมอนี่—
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
ใครจะไปยกตำแหน่งมือขวาของรุ่นที่สิบให้แกกันวะ!!!
----------|----------|----------|----------|----------
เหล่านักบาสซึ่งตื่นเช้ามาในวันพุธเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนต่างพากันปิดปากหาวกันถ้วนหน้า
ในบรรดาทั้งหมดคงมีเพียงอาคาชิและมิโดริมะที่สามารถอดทนต่อความง่วงงุนได้
พวกเขาลงมารับประทานอาหารเช้ากันที่ชั้นสอง
ถ้าตามปกติพวกเขาคงจะนั่งแยกกันตามโรงเรียน
แต่หลังจากที่ถูกจับแยกห้องนอนจนเริ่มสนิทกับคนอื่นๆ
ก็กลายเป็นว่าดันนั่งกินข้าวจับกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องซะอย่างงั้น
ซึ่งคุโรโกะก็เช่นกัน
เขานั่งอยู่กับอาคาชิ คิเสะ อาโอมิเนะ มุราซากิบาระ และมิโดริมะ
โดยมีหญิงสาวผมชมพูอย่างโมโมอิมานั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกคน
เธอเป็นอดีตผู้จัดการทีมของชมรมบาสเทย์โค
และในปัจจุบันก็เป็นผู้จัดการทีมของชมรมบาสโทโอที่อาโอมิเนะอยู่ เธอถูกเลือกมาแลกเปลี่ยนที่นี่ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากโค้ชของโทโอไม่สามารถที่จะมาดูแลได้
“เดี๋ยว..นั่นน่ะ”
“พวกเขากลับมาแล้วเหรอ? ฉันนึกว่าลาออกไปแล้วซะอีก”
“ว้าว นั่นมัน”
“พวกนั้นอยู่หอนี่ด้วยเหรอ
ไม่เห็นรู้เลย”
“ไม่เห็นหน้าตั้งแต่หลังขึ้นม.ต้นปี 3 ตอนนี้กลับมาเรียนที่นี่แล้ว?”
“นั่นซาวาดะใช่รึเปล่า
เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะ”
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้พวกเขาต้องเงยหน้าขึ้นจากอาหารตรงหน้าแล้วหันไปมองยังจุดที่เหล่านักเรียนโรงเรียนนามิโมริต่างให้ความสนใจ
เมื่อเพ่งสายตามองไปยังจุดความสนใจของนักเรียนโรงเรียนนามิโมริที่พักในหอนี้ดีๆก็พบว่าตรงนั้นคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
คนที่เดินนำเข้ามาในห้องเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งบาง
ดูจากหน้าตาแล้วก็คิดว่าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เปล่งประกายยามสนทนากับเพื่อนในกลุ่มที่เดินมาด้วยกัน
พวกเขามีกันประมาณ 7 คน โดยใน 7 คนนี้มีผู้หญิงอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“คนนั้นมัน..”
คุโรโกะพึมพำ มองไปยังชายผู้มีผมสีควันบุหรี่ยาวละต้นคอ
คนๆนั้นเป็นคนเดียวกับที่ชนเขาแล้วยัดพลาสเตอร์ยาใส่มือเขาลวกๆก่อนวิ่งออกไป
“คนที่วิ่งชนนายนี่เท็ตสึ?”
“รู้สึกว่าจะใช่นะครับ”
พวกเขาทั้งหมดชะงักไปเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองมาทางพวกเขา
อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนก้าวขาฉับๆมาทางโต๊ะที่พวกเขารวมถึงนักบาสคนอื่นๆที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั่งอยู่ในทันที
“พวกคุณ—
นักเรียนแลกเปลี่ยนใช่มั้ยครับ?”
“อา
ใช่แล้วล่ะ ทำไมเหรอ” มุราซากิบาระถามเสียงเอื่อย
เด็กหนุ่มที่เข้ามาทักทายทำเพียงยิ้มก่อนก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
มือเรียวข้างหนึ่งประทับลงบนอกของตัวเอง นัยน์ตาเรียวเป็นประกาย
เขาพูดแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“ผมชื่อ
ซาวาดะ สึนะโยชิ ครับ อยู่ม.ปลายปี 2 ห้อง A เป็นคนที่อาจารย์ดีโน่ขอให้มาดูแลพวกคุณ”
ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ดูไม่มีพิษมีภัย
สึนะโยชิผายมือไปทางกลุ่มเพื่อนของเขาที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว
“ส่วนทางนั้นคือเพื่อนของผมเอง พวกเขาจะมาช่วยดูแลพวกคุณเหมือนกัน”
อีกฝ่ายและผองเพื่อนเดินถือจานอาหารเช้ามานั่งที่โต๊ะว่างใกล้ๆพวกเขา
ถึงแม้จะมีบางคนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรและออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อย
แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ถือว่าไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร การแนะนำตัวจบลงอย่างเรียบง่าย
พวกเขาทำความรู้จักกันได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
ส่วนหนึ่งคงเพราะความมนุษย์สัมพันธ์ดีที่ทำให้เข้ากับคนได้ง่ายของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล
“จริงๆแล้วกลุ่มผมมีคุณฮิบาริอีกคนนะครับ
แต่เขาติดธุระกับทางครอบครัวที่ต่างประเทศเลยต้องหยุดเรียน”
เด็กหนุ่มอธิบายเสียงใสระหว่างที่เดินนำพวกเขาเยี่ยมชมอาคารเรียนของโรงเรียนนามิโมริ
ซึ่ง— แน่นอนว่านั่นน่ะโกหก แต่ไม่มีใครรู้นอกจากกลุ่มเพื่อนของเจ้าตัว
โรงเรียนนามิโมริเป็นโรงเรียนที่ใหญ่
จริงๆต้องพูดว่าใหญ่มากกกกกกกก
จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอยู่พอสมควร
ความกว้างน่าจะพอๆกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในแถบเกียวโตอย่างโรงเรียนราคุซันได้
นอกจากโรงเรียนนี้จะกว้างมากๆแล้ว
ก็ยังมีสถานที่อำนวยความสะดวกที่เยอะมากราวกับโรงเรียนนานาชาติอีกต่างหาก
ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าภายในตัว (แม้จะไม่ใช่ห้างที่ใหญ่อะไรมากก็ตาม)
มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีสนามบาส สนามเบสบอล สนามฟุตซอล และสนามเทนนิส
แล้วก็อย่างที่บอกไปในก่อนหน้านี้..โรงเรียนนี้มีหอพัก(ซึ่งอยู่เหมือนคอนโด)อยู่ภายในโรงเรียนด้วย
“โรงเรียนเราได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจหลายฝ่ายน่ะ
ทำให้มีงบประมาณมากพอที่จะขยายอาณาเขตโรงเรียนไปได้เรื่อยๆ”
ผู้ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อ ยามาโมโตะ ทาเคชิ ว่า
ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นคนสไตล์สบายๆที่ไม่ค่อยเครียดกับอะไรในชีวิต
“ถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะซาวาดะ”
เรียวเฮเอ่ยเตือนหลังจากที่พวกเขากำลังจะเยี่ยมชมอาคารที่ถูกเรียกว่า ‘อาคาร 7’ เป็นอาคารสุดท้าย สึนะก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วหันมายิ้มแหย่ให้กับเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนที่เดินตามเขาอยู่ในตอนนี้
ปกติแล้วพวกเขาต้องเข้าเรียนเวลา 8 โมงครึ่งเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ
แต่เพราะวันนี้พวกเขาได้รับการอนุโลมให้สามารถเดินเยี่ยมชมโรงเรียนได้ก่อนใน 1
ชั่วโมงแรก โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าต้องเข้าเรียนเวลา 10 โมงโดยห้ามสายแม้แต่นาทีเดียว
“จริงด้วย
งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะครับ ปีสามให้ตามรุ่นพี่ซาซางาวะไปได้เลย
ปีหนึ่งให้ตามแรมโบ้กับโคลมไป ส่วนปีสองจะมีผม โกคุเดระคุง ยามาโมโตะ
และมุคุโร่เป็นเพื่อนร่วมห้องครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้
ยังไงพวกผมก็ต้องดูแลพวกคุณจนกว่าการแลกเปลี่ยนจะจบลงอยู่แล้ว”
สิ้นคำนั้นพวกเขาก็แยกย้ายออกเป็นกลุ่มๆ
ในความคิดของฝั่งสึนะ พวกเขานึกอิจฉาแรมโบ้กับโคลมนิดหน่อย
เพราะมีเพียงตัวจริงของชมรมบาสเท่านั้นที่ได้มาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้
และในบรรดาตัวจริงของทุกโรงเรียน..ก็มีนักเรียนม.ปลายปีหนึ่งอยู่เพียงแค่หยิบมือเห็นจะได้
ส่วนใหญ่มักไปกองอยู่ที่ปีสองปีสามกันหมด
นั่นหมายความว่าแรมโบ้กับโคลมจะสบายกว่าใครเพื่อน
เพราะไม่มีใครให้ดูแลมากนัก สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง
ในทางกลับกัน
ฝั่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือฝั่งม.ปลายปี 3
ที่ปกติแล้วคนที่ดูแลควรจะเป็นผู้พิทักษ์อรุณและผู้พิทักษ์เมฆา ซึ่งมันก็—
จะว่าไงดีล่ะ
โคตรของความชิบหายเลย
จองโลงให้พวกนักบาสปี
3 ล่วงหน้าเลยได้มั้ยนะ ผู้ดูแลคนนึงก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง(?) ส่วนอีกคนก็จ้องแต่จะขย้ำคนอื่นอยู่ท่าเดียว
“ห้องเรียนใหม่จะเป็นยังไงนะ”
“มุโระชินจะตื่นเต้นเกินไปแล้ว”
“ใครสนเรื่องห้องเรียนใหม่กัน..”
“ฮ่าๆๆ
ชินจัง นายตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ใช่มะ”
“คุโรโกจจิ~ นั่งโต๊ะข้างๆกันนะฮะ”
“เท็ตสึต้องนั่งกับฉันต่างหาก
เจ้าบ้าคิเสะ”
“เลิกตีกันซักทีได้มั้ย
ไดกิ เรียวตะ”
“ผมไม่นั่งกับใครทั้งนั้นครับ”
“อ
เอ่อ ทุกคนใจเย็นๆกันก่อน— “
ความวุ่นวายขนาดย่อมเกิดขึ้นในระหว่างทางที่เด็กหนุ่มผมน้ำตาลกำลังนำทางนักเรียนแลกเปลี่ยนปี
2 ไปยังห้องเรียน พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บ้างก็มีเถียงกันบ้าง โดยมีฟุริฮาตะเป็นคนคอยห้ามปรามแกมขอร้องให้ทุกคนอย่าพึ่งตีกันตอนนี้
อย่างน้อยก็ช่วยรักษาภาพพจน์กันหน่อยเถอะ
ชิวาว่าหนุ่มขอร้องในใจ
สึนะโยชิเหลือบมองสถานการณ์ด้านหลังอยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครหลงทาง
ในขณะที่หูทั้งสองข้างก็เก็บข้อมูลจากสิ่งที่พวกนั้นพูดเป็นระยะๆ
ก่อนที่นัยน์ตาสีเปลือกไม้จะเหลือบตามองเด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งบางเจ้าของกลุ่มผมสีฟ้าและนัยน์ตาสีอะความารีนที่มักจะยืนอยู่กลางวงล้อมของพวกนักบาสอยู่เสมอ
คุโรโกะ เท็ตสึยะ ผู้เล่นที่สุดแสนจะจืดจางและเป็นไพ่ลับของเซย์ริน
ดูเหมือนว่า—
จะเป็นคนที่พวกรุ่นปาฏิหาริย์รวมถึงพวกนักบาสคนอื่นๆให้ความสำคัญอยู่พอตัว
“เอ่อ
มองผมแบบนั้น มีอะไรรึเปล่าครับซาวาดะคุง?”
ร่างโปร่งบางผู้ครองตำแหน่งนภาวองโกเล่รุ่นที่ 10 ส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม
นัยน์ตาคมฉายแววอ่านยากอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ
อย่าคิดมากๆ”
อย่างที่คิดเลย
น่าสนใจ
น่าสนใจมากจริงๆ
----------|----------|----------|----------|----------
ไม่อยากพูดแบบนี้เลยค่ะ
แต่แพลนที่เราวางเอาไว้คือเรื่องนี้จะมีประมาณ 50 ตอน—
/ไม่รู้รีดเดอร์ที่รักจะรอจนรากงอกก่อนหรือคนเขียนอย่างเราจะตายก่อนนะคะ
(ฮา)
แต่เอาจะมีการลดจำนวนตอนลงมาค่ะ
คงมากกว่า 30 แต่ไม่เกิน 50 แน่ๆ
จะพยายามมาอัพให้อย่างสม่ำเสมอ
(อาทิตย์ละ 2-3 ตอน)
สุดท้ายนี้
เม้นซักนิดจิตแจ่มใสค่า~
ปล. ถ้านับตามจริงแล้วมุคุโร่ต้องอยู่ม.ปลายปี 3 เหมือนเรียวเฮค่ะ เพราะอายุเท่ากัน (เท่ากับเบียคุรันด้วย ตอนที่สึนะกลับมาจากอนาคต เบียคุรันอายุแค่ 15 ปีค่ะ คือมากกว่าสึนะอยู่ 1 ปี)
ส่วนท่านฮิคือต้องขึ้นมหาลัยปี 1 ไปแล้ว และแรมโบ้จะพึ่งอายุได้ 9 ขวบ
แต่เรารู้สึกว่าแบบนั้นมันจะวางแนวทางเรื่องยากนิดนึง เลยสมมติว่าแรมโบ้อายุน้อยกว่าสึนะแค่ปีเดียวนะคะ ;-; ส่วนมุคุโร่อายุเท่าเดิมค่ะ แค่โกงอายุเพื่อมาอยู่ชั้นเดียวกับสึนะเฉยๆ ท่านฮิก็โกงอายุเหมือนกัน
/ท่านฮินี่โกงอายุตั้งนานแล้วมั้ย เอาจริงๆ ตอนที่สึนะขึ้นม.ต้นปี 2 ท่านฮิควรเรียนจบไปแล้ว แต่เหมือนกลับมาเรียนม.ต้นปี 3 ใหม่เพราะอยากเฝ้าโรงเรียน(?)
ความคิดเห็น