ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #3 : Canival 02 :: Namimori High School

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 62


     

     

     

             ในตอนแรกคิเสะต้องยอมรับว่าเขาคิดว่านามิโมริจะเป็นเมืองเล็กๆในแถบชนบทที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ทว่าดูเหมือนเขาจะคิดผิด นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมองออกไปนอกรถโดยสารคันใหญ่ซึ่งถูกเหมาไว้สำหรับนักบาสตัวจริงและผู้จัดการ(หรือโค้ช)ของทั้ง 6 โรงเรียนที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้

     

    เมืองนี้เจริญกว่าที่เขาคิดมากนัก แม้จะเป็นเมืองที่ใหญ่อยู่พอสมควรแต่ก็มีระบบจราจรที่ดี อาจจะเพราะประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ไม่ได้หนาแน่นเหมือนโตเกียวด้วยล่ะมั้ง

     

              เป็นเมืองที่หากดูโดยรวมแล้วก็น่าอยู่ ไม่ได้แออัด แต่ก็เจริญและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายดูน่าจับจ่ายซื้อของ บ้านโดยส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีตึกสูงๆที่น่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ไม่ก็บริษัทต่างๆตั้งอยู่ประปราย

     

              น่าเสียดาย อยากให้รุ่นพี่คาซามัตสึได้มาเห็นชะมัด!!

     

              ในที่สุดรถโดยสารที่พวกเขานั่งมาจากสนามบินก็จอดลงเทียบฟุตบาทตึกสูงๆแห่งหนึ่ง ดูจากสภาพภายนอกแล้วก็บอกได้เลยว่ามันเป็นที่พักสำหรับ 5 เดือนที่ดีกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากนัก มันไม่เหมือนหอพักด้วยซ้ำ ดูๆแล้วน่าจะเป็นคอนโดเสียมากกว่า แต่เพราะตั้งอยู่ในเขตและถูกบริหารจัดการโดยโรงเรียนนามิโมริ แถมยังมีนักเรียนจำนวนมากมายที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ควรจะเรียกว่าหอพักสินะ?

     

              “นี่มันสูงกี่ชั้นกันล่ะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงเกือบ 10 ชั้นตรงหน้า มีเด็กวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขาเดินเข้าออกอยู่บ้างไม่มากนัก คงเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่คงกำลังเรียนอยู่

     

              “แล้วพวกเราจะได้เริ่มเรียนเมื่อไหร่นะ?” อิซึกิถามพลางสอดส่องมองไปยังบริเวณรอบๆหอพักอย่างพิจารณา

     

             ใหญ่จริง ใหญ่จัง ใหญ่จริงจัง!—

     

              โป๊ก!!

     

              “นายกำลังคิดมุกอะไรบ้าๆอยู่ใช่มั้ยอิซึกิ!!

     

              “ถึงกับเขกหัวกันเลยเหรอ ใจร้ายไปแล้วนะฮิวงะ!!

     

              “เริ่มเรียนวันพุธนี้ ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะนะ” ชายร่างสูงผู้เป็นมือชู้ตอันดับหนึ่งของรุ่นปาฏิหาริย์รวมถึงโรงเรียนชูโตคุดันแว่นขึ้นก่อนตอบคำถามโดนเมินทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันเหมือนเด็กปฐม

     

    พวกเขารออยู่ตรงนั้นไม่นานก็มีชายในชุดสูทเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มใจดีบนใบหน้า ผมสีบลอนด์ถูกตัดสั้นรับกับใบหน้าหล่อคมคาย อีกฝ่ายเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับเอกสารในมือที่ดูคร่าวๆแล้วก็น่าจะเป็นรายชื่อของผู้ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

     

              ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นทั้งๆที่ไม่มีอะไรวางเกะกะขวางทาง..

     

              คนเราจะสะดุดพื้นเรียบๆได้จริงๆน่ะหรือ?

     

              ดูเหมือนวันนี้พวกเขาจะได้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว

     

              “สวัสดีทุกคน ฮะๆ ฉันชื่อดีโน่ จะมาเป็นคนที่รับผิดชอบและคอยดูแลพวกเธอระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ อ้อ เห็นหน้าเด็กแบบนี้แต่ฉันก็ 25 แล้วนะ ฮ่าๆๆๆ”

     

              เป็นผู้ชายวัยยี่สิบห้าที่ป้ำๆเป๋อๆ ดูไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด

     

              “เรื่องโรงเรียนเดี๋ยวฉันจะให้นักเรียนที่ฉันรู้จักมาช่วยแนะนำให้นะ แต่ก่อนอื่นก็ต้องขออธิบายกฎและกติกาการเข้าพักและอยู่ที่นี่ก่อน” ดีโน่พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดีและเป็นมิตร นัยน์ตาอำพันไล่มองนักเรียนทุกคนก่อนมาหยุดอยู่ที่โค้ชสาวอย่างริโกะซึ่งยืนอยู่ท้ายสุด

     

              “ขอพูดเรื่องห้องเรียนก่อนก็แล้วกันนะ พวกนายทุกคนจะถูกแบ่งตามชั้นปีที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิม พวกปีสามก็อยู่ปีสามห้อง A พวกปีสองก็อยู่ปีสองห้อง A พวกปีหนึ่งก็อยู่ห้องปีหนึ่งห้อง A ส่วนเรื่องชมรม พวกนายทุกคนจะต้องเข้าชมรมบาส นอกนั้นจะใช้สนามเพื่อซ้อมหรืออะไรก็ตามแต่พวกนาย”

     

              “...”

     

              “ส่วนเรื่องที่พัก ฉันต้องบอกนายไว้ก่อนว่าชั้น 3-7 เป็นหอพักของนักเรียนทั่วไป ชั้น 1 มีห้องสปากับสระว่ายน้ำและโรงยิมขนาดกลาง ชั้นสองจะเป็นห้องอาหาร ส่วนห้องของพวกนายจะอยู่ที่ชั้น 8 และ 9 เป็นห้องขนาดใหญ่นะ ให้อยู่กันได้ห้องละ 6 คน ส่วนชั้น 10 จะเป็นห้องพักชั่วคราวของนักเรียนที่ฉันไหว้วานให้ดูแลพวกนายน่ะ”

     

              “6 คน? มันเป็นห้องแบบไหนเหรอครับ?” คุโรโกะเอียงคอมองตาใส

     

              “เป็นห้องสูท ก็คล้ายๆกับห้องในคอนโดแหละ ภายในห้องก็มีห้องรับแขกและโซนห้องครัวเล็กๆ ในห้องนั้นก็จะมีห้องนอนอีก 2 ห้องอยู่ข้างใน ห้องนึงนอนได้ 3 คน จะมีเตียงนึงเป็นเตียงสองชั้น อีกเตียงเป็นเตียงเดี่ยว ซึ่งจะอยู่กับใครยังไงเดี๋ยวฉันจะแจ้งรายชื่ออีกที”

     

              “...”

     

              “แล้วก็เรื่องกฎกติกา กลับห้องก่อน 4 ทุ่ม แล้วก็อย่าไปสร้างปัญหาต่อยตีกับพวกอันธพาลเจ้าถิ่น ก็มีแค่นี้ล่ะ”

     

              หลังจากอธิบายเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่อีกเล็กน้อย ดีโน่ก็ปล่อยให้เหล่านักเรียนในการดูแลของตนเข้าไปพักผ่อน มันเป็นเหมือนที่ดีโน่บอก ห้องที่นี่ใหญ่มาก เป็นลักษณะของห้องสูทที่มีสองห้องนอนอยู่ในตัว ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำให้ดูสวยแบบโมเดิร์น แม้แต่เตียงนอนก็นุ่มซะจนไม่อยากลุกไปไหน

     

              คุโรโกะที่ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงชั้นล่างภายในห้องของตนแล้วหยัดตัวลุกขึ้น เพื่อร่วมห้อง 027 ของเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรุ่นปาฏิหาริย์ทั้ง 5 คนรวมกับเขาอีกหนึ่งเป็น 6 คน ผลจากการจับฉลากทำให้เด็กหนุ่มได้นอนห้องเดียวกับคิเสะและอาคาชิ

     

              “ผมนอนเตียงนี้นะครับ” บอกผู้มาใหม่ด้วยใบหน้านิ่งสนิท หากทว่านัยน์ตาที่เป็นประกายแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มผมฟ้าอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

     

              “งั้นอาคาชิจจิจะนอนไหนเหรอฮะ ฉันนอนไหนก็ได้นะ”

     

              ชายหนุ่มผมแดงมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะวางกระเป๋าของตนเองบนเตียงเดี่ยวที่อยู่ฝั่งระเบียงเงียบๆ คิเสะยิ้มร่าก่อนรีบปีนขึ้นไปนอนบนเตียงที่อยู่ด้านบนของเตียงคุโรโกะ นายแบบหนุ่มกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างอารมณ์ดี ที่เมืองนี้ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ในทางกลับกัน..มันน่าสนุกมาก นั่นคือสาเหตุที่เขาเริ่มตื่นเต้นและอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกเร็วๆ

     

             ก๊อกๆๆ

     

              เหมือนมีคนรู้ใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับมิโดริมะที่โผล่ศีรษะออกมาผ่านประตูที่แง้มออก นัยน์ตาสีเขียวมรกตภายในกรอบแว่นมองทุกคนในห้อง

     

              “พวกนายสนใจไปเดินเล่นกันมั้— ”

     

              “ไปๆๆๆๆ ฉันไป!” ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ คิเสะลุกพรวดจากเตียงทันทีทั้งๆที่มือชู้ตแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ยังพูดไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ ตามด้วยอาคาชิและคุโรโกะที่พยักหน้าตอบรับคำเชิญนั้นโดยไม่พูดอะไร

     

              การเดินทางครั้งนี้มีพวกเขา 4 คน รวมถึงอาโอมิเนะที่พรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วตะโกนเสียงดังว่าจะไปด้วยให้ได้ ในขณะที่มุราซากิบาระนั้นเลือกที่จะนอนกินขนมอยู่ในห้องพักของตัวเองมากกว่า

     

    พวกเขาเดินออกนอกเขตโรงเรียนไปตามทางเท้าข้างถนน อากาศที่นี่ดีกว่าที่พวกเขาคิดมากนัก การจราจรไม่ติดขัดจนดูน่าอึดอัด อีกทั้งยังมีไม่ค่อยมีควันจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือรถยนต์ ผู้คนก็ดูใจดีและเป็นมิตร ครู่หนึ่งที่มันทำให้พวกเขารู้สึกว่า..การมาแลกเปลี่ยนที่นี่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร

     

              “ทำไมถึงมีแค่นายกับอาโอมิเนะที่ได้เดินข้างคุโรโกะล่ะอาคาชิ?” กัปตันหนุ่มผมแดงหัวเราะในลำคอกับคำถามนั้น

     

              “เพราะเท็ตสึยะเป็นของฉันน่ะสิ จริงๆฉันอยากให้เท็ตสึยะเดินข้างฉันคนเดียวด้วยซ้ำ” ว่าแล้วก็ส่งสายตาเชือดเฉือนไปทางหนุ่มร่างสูงผิวแทนที่ทำเป็นเดินผิวปากหันหน้าไปทางอื่น

     

              “ผมไม่ใช่ของใครทั้งนั้นครับ”

     

              “งั้นแสดงว่าคุโรโกจจิเป็นของฉันใช่ม้า?

     

              “ไม่ใช่ของคิเสะคุงด้วยครับ”

     

              “คุโรโกจจินี่ใจร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยน๊า”

     

              สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่พวกเขาเองก็ไม่ได้พบมานานแล้วตั้งแต่หลังจากที่อาโอมิเนะเริ่มเปลี่ยนไปตอนม.ต้น แล้วทุกคนก็ค่อยๆเปลี่ยนไป คุโรโกะหยุดฝีเท้าที่กำลังเดินลง มองภาพแผ่นหลังของคนสำคัญของเขาที่กำลังยืนต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ด้วยความรู้สึกอุ่นวาบที่กลางอก น่าเสียดายนักที่คนตัวสูงอีกคนกับอดีตผู้จัดการทีมสาวไม่ได้มาเดินด้วยกัน

     

              ในขณะเดียวกันนั้นเอง

     

              ผลั่ก!

     

    ใครบางคนก็วิ่งมาชนร่างเล็กเข้าอย่างแรงจนเด็กหนุ่มผมฟ้าแทบจะปลิวไปชนกำแพงตึก คุโรโกะหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความงุนงง รู้สึกเหมือนตัวเองเจ็บระบมไปทั้งร่าง มันเจ็บพอๆกับตอนที่เล่นบาสช่วงแรกๆแล้วถูกผู้เล่นที่มีพละกำลังมากกว่าชนจนตัวปลิว

     

              “เฮ้ย! เท็ตสึ! เป็นไรมากมั้ย!?” อาโอมิเนะคือคนแรกที่รีบรุดเข้ามาช่วยพยุงเขา ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดทำให้เคลื่อนมาเร็วกว่าคนอื่น ชายที่วิ่งชนเขาชะลอความเร็วก่อนวนกลับมาดูสภาพของเขาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

     

              “โธ่เว้ย! นี่นายเป็นอะไรมากมั้ย!?” คนที่วิ่งมาชนเขานั้นเป็นชายร่างสูงโปร่ง ผมสีควันบุหรี่ยาวละต้นคอ นัยน์ตาสีมรกตมีแววแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลลึกๆ อีกฝ่ายดูเหมือนพวกนักเรียนเกเรที่ชอบไปสิงสถิตอยู่ตามร้านเกมหรือร้านเหล้า บางมุมก็ชวนให้นึกถึงใครอีกคนที่พวกเขารู้จัก

     

             เห็นหน้าแล้วก็แอบนึกถึงไฮซากิ

     

              พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของคนกลุ่มหนึ่ง รวมถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งมาทางนี้ นัยน์ตาสีเขียวของชายแปลกหน้าดูล่อกแล่ก ก่อนที่เจ้าตัวจะยัดพลาสเตอร์ยาปิดแผลใส่มือคุโรโกะลวกๆ เอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งจากไป

     

              “อะไรของเขา” มิโดริมะชักสีหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าการกระทำแบบนั้นมันช่างไร้มารยาทอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มโยนพลาสเตอร์ในมือของคุโรโกะทิ้งไป ก่อนล้วงพลาสเตอร์ยาอันใหม่ที่ตนพกติดตัวเพราะเป็นลักกี้ไอเทมออกมาจากกระเป๋ากางเกง

     

              “อันนั้นมันเก่าแล้ว ใช้อันนี้ไปละกัน” มือใหญ่บรรจงแปะพลาสเตอร์ให้เด็กหนุ่มร่างบางอย่างระมัดระวัง

     

              “มิโดริมัจจิอ่อนโยนล่ะ! น่าเหลือเชื่อเป็นบ้า!!

     

              แล้วคนแซวอย่างคิเสะก็ถูกมิโดริมะถีบเข้าที่กลางหลังในทันที

     

     

     

     

              อีกฝั่งหนึ่ง โกคุเดระ ฮายาโตะ ก็สามารถวิ่งหนีพวกชายฉกรรจ์เข้าไปในโกดังร้างที่ไร้ผู้คนได้สำเร็จ เขาปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งสงบและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นัยน์ตาสีมรกตกวาดสายตามองพวกอันธพาลที่มาหาเรื่องเขาที่ร้านเกมจนเขาต้องวิ่งมายังที่นี่ด้วยแววตาอ่านยาก

     

              ผมสีควันบุหรี่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกแนบลู่ใบหน้าและลำคอ ล้อมกรอบใบหน้าหล่อคมให้ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น โกคุเดระถอยหลังจนแผ่นหลังแนบกับลังไม้เก่าๆ เขาจ้องไปยังชายฉกรรจ์ทั้ง 6 คนตรงหน้าก่อนเหยียดยิ้มมุมปาก นัยน์ตาคมทอประกายวาววับราวกับอัญมณียามต้องแสง

     

              “รุ่นที่สิบไม่อยากให้ฉันก่อเรื่องใหญ่โต สำนึกบุญคุณของท่านซะเถอะ ที่ทำให้ฉันไม่อัดแกที่ร้านเกมต่อหน้าคนเยอะๆพวกนั้น”

     

              เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี มองมายังคนพวกนั้นด้วยความสมเพชเวทนาเสียเต็มประดา นัยน์ตาสีเขียวฉายแววแข็งกร้าว

     

              ก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลื่อนตัวมาอยู่ระหว่างกลุ่มคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว แม้เหล่าชายฉกรรจ์จะมีไม้เบสบอลเป็นอาวุธครบมือ แต่กลับไม่สามารถปกป้องตัวเองจากชายเพียงคนเดียวได้ ทั้งทักษะการเตะ ทักษะการต่อย ทักษะการต่อสู้ ชายคนนี้อยู่เหนือค่าเฉลี่ย ดูเพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ผ่านการฝึกต่อสู้มาจนชำนาญ ไม่ใช่แค่อันธพาลข้างถนนที่ทำกร่างไปวันๆ

     

              “แก— แกมันปีศาจ!!

     

              โกคุเดระเหยียดยิ้ม

     

              “เออ ฉันก็รู้ตัวเองดีอยู่”

     

              แล้วการต่อสู้ก็จบลง โกคุเดระไม่แม้แต่จะได้ชักปืนที่เหน็บอยู่ตรงกางเกงออกมาใช้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต่อสู้แล้วชนะมาได้อย่างสบายๆ ชายหนุ่มเช็ดกำปั้นที่เปื้อนเลือดของตัวเองกับเสื้อผ้าของหนึ่งในคนพวกนั้น ใบหน้าของเขานิ่งสนิทไร้อารมณ์ เขาถุยน้ำลายลงกับพื้น นี่คือความต่างของพลัง..มันคือความต่างของคนที่ผ่านการฝึกต่อสู้และเฉียดพบความตายมานับครั้งไม่ถ้วนกับคนที่เพียงแค่เหวี่ยงอาวุธไปมาเพื่อข่มขู่คนอื่น

     

             แปะๆๆ

     

              เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันไปมองก่อนชักสีหน้าแทบจะในทันทีที่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใคร นัยน์ตาสองสีคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยแววตาคล้ายจะชื่นชมแต่ก็เหมือนจะประชดประชัน

     

              “ว้าว เก่งสุดๆไปเลยครับ สมกับเป็นมือขวาของวองโกเล่”

     

              “หุบปากแกไว้กินข้าวเถอะมุคุโร่”  มุคุโร่ไหวไหล่

     

              “แหม ใจร้ายจริง นี่คุณเห็นผมเป็นสนามอารมณ์รึไงกัน”

     

              “แกมีธุระอะไร?” สิ้นคำถามของผู้พิทักษ์วายุ ชายหนุ่มผมทรงสับปะรดฉีกยิ้มชวนให้รู้สึกน่าขนลุก นัยน์ตาสองสีเป็นประกาย “พอดีวองโกเล่แค่อยากให้ผมมาเตือนคุณเกี่ยวกับเรื่องวันพุธนี้ว่าอย่าลืมย้ายไปอยู่หอด้วย อ้อ เขาฝากบอกด้วยว่าคุณมันห่วยแตก”

     

              “ไอประโยคหลังนั่นแกพูดเองชัดๆ!

     

              “ผมแค่ล้อเล่นน่ะครับ คุฟุฟุ หัวร้อนง่ายเกินไปแบบนี้ ระวังตำแหน่งมือขวาจะตกเป็นของผมนะ” ผู้พิทักษ์สายหมอกว่าดังนั้น ก่อนที่จะหายตัวไป โกคุเดระกำหมัดแน่น รู้สึกเหมือนความขุ่นมัวที่กักเก็บไว้ใกล้จะปะทุ นัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์

     

              ไอหมอนี่— ชายหนุ่มกัดฟันกรอด

     

              ใครจะไปยกตำแหน่งมือขวาของรุ่นที่สิบให้แกกันวะ!!!

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

     

     

     

              เหล่านักบาสซึ่งตื่นเช้ามาในวันพุธเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนต่างพากันปิดปากหาวกันถ้วนหน้า ในบรรดาทั้งหมดคงมีเพียงอาคาชิและมิโดริมะที่สามารถอดทนต่อความง่วงงุนได้ พวกเขาลงมารับประทานอาหารเช้ากันที่ชั้นสอง ถ้าตามปกติพวกเขาคงจะนั่งแยกกันตามโรงเรียน แต่หลังจากที่ถูกจับแยกห้องนอนจนเริ่มสนิทกับคนอื่นๆ ก็กลายเป็นว่าดันนั่งกินข้าวจับกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องซะอย่างงั้น

     

              ซึ่งคุโรโกะก็เช่นกัน เขานั่งอยู่กับอาคาชิ คิเสะ อาโอมิเนะ มุราซากิบาระ และมิโดริมะ โดยมีหญิงสาวผมชมพูอย่างโมโมอิมานั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกคน เธอเป็นอดีตผู้จัดการทีมของชมรมบาสเทย์โค และในปัจจุบันก็เป็นผู้จัดการทีมของชมรมบาสโทโอที่อาโอมิเนะอยู่ เธอถูกเลือกมาแลกเปลี่ยนที่นี่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากโค้ชของโทโอไม่สามารถที่จะมาดูแลได้

     

              “เดี๋ยว..นั่นน่ะ”

              “พวกเขากลับมาแล้วเหรอ? ฉันนึกว่าลาออกไปแล้วซะอีก”

              “ว้าว นั่นมัน”

              “พวกนั้นอยู่หอนี่ด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้เลย”

              “ไม่เห็นหน้าตั้งแต่หลังขึ้นม.ต้นปี 3 ตอนนี้กลับมาเรียนที่นี่แล้ว?

              “นั่นซาวาดะใช่รึเปล่า เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะ”

     

              เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้พวกเขาต้องเงยหน้าขึ้นจากอาหารตรงหน้าแล้วหันไปมองยังจุดที่เหล่านักเรียนโรงเรียนนามิโมริต่างให้ความสนใจ เมื่อเพ่งสายตามองไปยังจุดความสนใจของนักเรียนโรงเรียนนามิโมริที่พักในหอนี้ดีๆก็พบว่าตรงนั้นคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง

     

              คนที่เดินนำเข้ามาในห้องเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งบาง ดูจากหน้าตาแล้วก็คิดว่าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เปล่งประกายยามสนทนากับเพื่อนในกลุ่มที่เดินมาด้วยกัน พวกเขามีกันประมาณ 7 คน โดยใน 7 คนนี้มีผู้หญิงอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

     

              “คนนั้นมัน..” คุโรโกะพึมพำ มองไปยังชายผู้มีผมสีควันบุหรี่ยาวละต้นคอ คนๆนั้นเป็นคนเดียวกับที่ชนเขาแล้วยัดพลาสเตอร์ยาใส่มือเขาลวกๆก่อนวิ่งออกไป

     

              “คนที่วิ่งชนนายนี่เท็ตสึ?

     

              “รู้สึกว่าจะใช่นะครับ”

     

              พวกเขาทั้งหมดชะงักไปเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองมาทางพวกเขา อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนก้าวขาฉับๆมาทางโต๊ะที่พวกเขารวมถึงนักบาสคนอื่นๆที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั่งอยู่ในทันที

     

              “พวกคุณ— นักเรียนแลกเปลี่ยนใช่มั้ยครับ?

     

              “อา ใช่แล้วล่ะ ทำไมเหรอ” มุราซากิบาระถามเสียงเอื่อย เด็กหนุ่มที่เข้ามาทักทายทำเพียงยิ้มก่อนก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือเรียวข้างหนึ่งประทับลงบนอกของตัวเอง นัยน์ตาเรียวเป็นประกาย เขาพูดแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

     

              “ผมชื่อ ซาวาดะ สึนะโยชิ ครับ อยู่ม.ปลายปี 2 ห้อง A เป็นคนที่อาจารย์ดีโน่ขอให้มาดูแลพวกคุณ” ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ดูไม่มีพิษมีภัย

     

              สึนะโยชิผายมือไปทางกลุ่มเพื่อนของเขาที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว “ส่วนทางนั้นคือเพื่อนของผมเอง พวกเขาจะมาช่วยดูแลพวกคุณเหมือนกัน”

     

              อีกฝ่ายและผองเพื่อนเดินถือจานอาหารเช้ามานั่งที่โต๊ะว่างใกล้ๆพวกเขา ถึงแม้จะมีบางคนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรและออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ถือว่าไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร การแนะนำตัวจบลงอย่างเรียบง่าย พวกเขาทำความรู้จักกันได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ส่วนหนึ่งคงเพราะความมนุษย์สัมพันธ์ดีที่ทำให้เข้ากับคนได้ง่ายของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล

     

              “จริงๆแล้วกลุ่มผมมีคุณฮิบาริอีกคนนะครับ แต่เขาติดธุระกับทางครอบครัวที่ต่างประเทศเลยต้องหยุดเรียน” เด็กหนุ่มอธิบายเสียงใสระหว่างที่เดินนำพวกเขาเยี่ยมชมอาคารเรียนของโรงเรียนนามิโมริ ซึ่ง— แน่นอนว่านั่นน่ะโกหก แต่ไม่มีใครรู้นอกจากกลุ่มเพื่อนของเจ้าตัว

     

              โรงเรียนนามิโมริเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ จริงๆต้องพูดว่าใหญ่มากกกกกกกก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอยู่พอสมควร ความกว้างน่าจะพอๆกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในแถบเกียวโตอย่างโรงเรียนราคุซันได้

     

              นอกจากโรงเรียนนี้จะกว้างมากๆแล้ว ก็ยังมีสถานที่อำนวยความสะดวกที่เยอะมากราวกับโรงเรียนนานาชาติอีกต่างหาก ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าภายในตัว (แม้จะไม่ใช่ห้างที่ใหญ่อะไรมากก็ตาม) มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีสนามบาส สนามเบสบอล สนามฟุตซอล และสนามเทนนิส แล้วก็อย่างที่บอกไปในก่อนหน้านี้..โรงเรียนนี้มีหอพัก(ซึ่งอยู่เหมือนคอนโด)อยู่ภายในโรงเรียนด้วย

     

              “โรงเรียนเราได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจหลายฝ่ายน่ะ ทำให้มีงบประมาณมากพอที่จะขยายอาณาเขตโรงเรียนไปได้เรื่อยๆ” ผู้ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อ ยามาโมโตะ ทาเคชิ ว่า ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นคนสไตล์สบายๆที่ไม่ค่อยเครียดกับอะไรในชีวิต

     

              “ถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะซาวาดะ” เรียวเฮเอ่ยเตือนหลังจากที่พวกเขากำลังจะเยี่ยมชมอาคารที่ถูกเรียกว่า อาคาร 7 เป็นอาคารสุดท้าย สึนะก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วหันมายิ้มแหย่ให้กับเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนที่เดินตามเขาอยู่ในตอนนี้ ปกติแล้วพวกเขาต้องเข้าเรียนเวลา 8 โมงครึ่งเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ แต่เพราะวันนี้พวกเขาได้รับการอนุโลมให้สามารถเดินเยี่ยมชมโรงเรียนได้ก่อนใน 1 ชั่วโมงแรก โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าต้องเข้าเรียนเวลา 10 โมงโดยห้ามสายแม้แต่นาทีเดียว

     

              “จริงด้วย งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะครับ ปีสามให้ตามรุ่นพี่ซาซางาวะไปได้เลย ปีหนึ่งให้ตามแรมโบ้กับโคลมไป ส่วนปีสองจะมีผม โกคุเดระคุง ยามาโมโตะ และมุคุโร่เป็นเพื่อนร่วมห้องครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ ยังไงพวกผมก็ต้องดูแลพวกคุณจนกว่าการแลกเปลี่ยนจะจบลงอยู่แล้ว”

     

              สิ้นคำนั้นพวกเขาก็แยกย้ายออกเป็นกลุ่มๆ ในความคิดของฝั่งสึนะ พวกเขานึกอิจฉาแรมโบ้กับโคลมนิดหน่อย เพราะมีเพียงตัวจริงของชมรมบาสเท่านั้นที่ได้มาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ และในบรรดาตัวจริงของทุกโรงเรียน..ก็มีนักเรียนม.ปลายปีหนึ่งอยู่เพียงแค่หยิบมือเห็นจะได้ ส่วนใหญ่มักไปกองอยู่ที่ปีสองปีสามกันหมด

     

              นั่นหมายความว่าแรมโบ้กับโคลมจะสบายกว่าใครเพื่อน เพราะไม่มีใครให้ดูแลมากนัก สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง

     

              ในทางกลับกัน ฝั่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือฝั่งม.ปลายปี 3 ที่ปกติแล้วคนที่ดูแลควรจะเป็นผู้พิทักษ์อรุณและผู้พิทักษ์เมฆา ซึ่งมันก็— จะว่าไงดีล่ะ

     

              โคตรของความชิบหายเลย

     

              จองโลงให้พวกนักบาสปี 3 ล่วงหน้าเลยได้มั้ยนะ ผู้ดูแลคนนึงก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง(?) ส่วนอีกคนก็จ้องแต่จะขย้ำคนอื่นอยู่ท่าเดียว

     

              “ห้องเรียนใหม่จะเป็นยังไงนะ”

              “มุโระชินจะตื่นเต้นเกินไปแล้ว”

              “ใครสนเรื่องห้องเรียนใหม่กัน..”

              “ฮ่าๆๆ ชินจัง นายตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ใช่มะ”

              “คุโรโกจจิ~ นั่งโต๊ะข้างๆกันนะฮะ”

              “เท็ตสึต้องนั่งกับฉันต่างหาก เจ้าบ้าคิเสะ”

              “เลิกตีกันซักทีได้มั้ย ไดกิ เรียวตะ”

              “ผมไม่นั่งกับใครทั้งนั้นครับ”

              “อ เอ่อ ทุกคนใจเย็นๆกันก่อน— “

     

              ความวุ่นวายขนาดย่อมเกิดขึ้นในระหว่างทางที่เด็กหนุ่มผมน้ำตาลกำลังนำทางนักเรียนแลกเปลี่ยนปี 2 ไปยังห้องเรียน พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บ้างก็มีเถียงกันบ้าง โดยมีฟุริฮาตะเป็นคนคอยห้ามปรามแกมขอร้องให้ทุกคนอย่าพึ่งตีกันตอนนี้

     

    อย่างน้อยก็ช่วยรักษาภาพพจน์กันหน่อยเถอะ ชิวาว่าหนุ่มขอร้องในใจ 

     

    สึนะโยชิเหลือบมองสถานการณ์ด้านหลังอยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครหลงทาง ในขณะที่หูทั้งสองข้างก็เก็บข้อมูลจากสิ่งที่พวกนั้นพูดเป็นระยะๆ

     

              ก่อนที่นัยน์ตาสีเปลือกไม้จะเหลือบตามองเด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งบางเจ้าของกลุ่มผมสีฟ้าและนัยน์ตาสีอะความารีนที่มักจะยืนอยู่กลางวงล้อมของพวกนักบาสอยู่เสมอ คุโรโกะ เท็ตสึยะ ผู้เล่นที่สุดแสนจะจืดจางและเป็นไพ่ลับของเซย์ริน

     

              ดูเหมือนว่า— จะเป็นคนที่พวกรุ่นปาฏิหาริย์รวมถึงพวกนักบาสคนอื่นๆให้ความสำคัญอยู่พอตัว

     

              “เอ่อ มองผมแบบนั้น มีอะไรรึเปล่าครับซาวาดะคุง?” ร่างโปร่งบางผู้ครองตำแหน่งนภาวองโกเล่รุ่นที่ 10 ส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม นัยน์ตาคมฉายแววอ่านยากอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ

     

              “ไม่มีอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากๆ”

     

              อย่างที่คิดเลย

     

    น่าสนใจ น่าสนใจมากจริงๆ

     

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    ไม่อยากพูดแบบนี้เลยค่ะ แต่แพลนที่เราวางเอาไว้คือเรื่องนี้จะมีประมาณ 50 ตอน—

    /ไม่รู้รีดเดอร์ที่รักจะรอจนรากงอกก่อนหรือคนเขียนอย่างเราจะตายก่อนนะคะ (ฮา)

    แต่เอาจะมีการลดจำนวนตอนลงมาค่ะ คงมากกว่า 30 แต่ไม่เกิน 50 แน่ๆ

    จะพยายามมาอัพให้อย่างสม่ำเสมอ (อาทิตย์ละ 2-3 ตอน)

    สุดท้ายนี้ เม้นซักนิดจิตแจ่มใสค่า~

    ปล. ถ้านับตามจริงแล้วมุคุโร่ต้องอยู่ม.ปลายปี 3 เหมือนเรียวเฮค่ะ เพราะอายุเท่ากัน (เท่ากับเบียคุรันด้วย ตอนที่สึนะกลับมาจากอนาคต เบียคุรันอายุแค่ 15 ปีค่ะ คือมากกว่าสึนะอยู่ 1 ปี)

    ส่วนท่านฮิคือต้องขึ้นมหาลัยปี 1 ไปแล้ว และแรมโบ้จะพึ่งอายุได้ 9 ขวบ

    แต่เรารู้สึกว่าแบบนั้นมันจะวางแนวทางเรื่องยากนิดนึง เลยสมมติว่าแรมโบ้อายุน้อยกว่าสึนะแค่ปีเดียวนะคะ ;-; ส่วนมุคุโร่อายุเท่าเดิมค่ะ แค่โกงอายุเพื่อมาอยู่ชั้นเดียวกับสึนะเฉยๆ ท่านฮิก็โกงอายุเหมือนกัน

    /ท่านฮินี่โกงอายุตั้งนานแล้วมั้ย เอาจริงๆ ตอนที่สึนะขึ้นม.ต้นปี 2 ท่านฮิควรเรียนจบไปแล้ว แต่เหมือนกลับมาเรียนม.ต้นปี 3 ใหม่เพราะอยากเฝ้าโรงเรียน(?) 

     

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×