ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #4 : Canival 03 :: Namimori’s Basketball Club

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.75K
      202
      29 ก.ค. 62

     

     

     

              วันที่ 3 ของการมาเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนนามิโมริก็ไม่มีอะไรมากนัก นอกจากการที่พวกเขาเริ่มสังเกตว่าผู้ดูแล (ขอเรียกงี้แล้วกัน จะให้เรียก นักเรียนที่รับหน้าที่ดูแลพวกเขาก็ดูจะยาวไปหน่อย) หมายถึง— พวกกลุ่มของซาวาดะ สึนะโยชิไม่ค่อยจะเข้าเรียนกันนัก จากที่เรียนในโรงเรียนทั้งหมด 7-8 คาบ พวกเขาโดดไปแล้ว 6 คาบ

     

              ถ้าจะมาเรียนแค่คาบเดียวก็ไม่ต้องมาเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ

     

              มันคือความคิดในใจของพวกเขาที่ไม่ได้พูดออกไป

     

              “วันนี้ซาซางาวะก็โดดเหรอ?” อาคาชิถามเรย์โอะ ลูกทีมจากราคุซันของเขาซึ่งมาแลกเปลี่ยนด้วยกันและอยู่ม.ปลายปี 3 ห้อง A ห้องเดียวกับซาซางาวะ เรียวเฮ จริงๆแล้วเขาจะเรียกซาซางาวะด้วยชื่อเหมือนที่เรียกเท็ตสึยะกับเรียวตะก็ได้ แต่ชายหนุ่มผมแดงกลับไม่เรียก

     

              มันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า แต่มันเป็นเพราะชายหนุ่มคิดว่าเขายังไม่ได้สนิทกันมากถึงขนาดนั้น

     

              ไม่สิ อย่าว่าแต่สนิทเลย เขากับรุ่นพี่คนนั้นแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ แหงล่ะ จากที่ดูมาก็รู้แล้วว่าคงไม่ใช่คนที่จะคุยกันรู้เรื่อง อีกฝ่ายค่อนข้าง— จะว่าไงดี? พลังงานเหลือล้นเกินไปหน่อย

     

              “ใช่แล้วล่ะเซย์จัง ตัวจริงปี 1 ของเราบอกว่าเด็กที่ชื่อแรมโบ้กับโคลมก็ไม่ได้เข้าเรียนเหมือนกัน”

     

              “งั้นเหรอ” ชายหนุ่มผู้มีฉายาว่าจักรพรรดิไร้พ่ายขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “แต่ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเลิกเรียกฉันว่าเซย์จังได้แล้วน่ะ”

     

              เรย์โอะยิ้มหวาน “ทำไมล่ะ~ ก็เซย์จังคือเซย์จังไม่ใช่เหรอ”

     

              อีกคนไม่ได้เรียกเขาแบบนั้นเพราะคิดว่าเขาน่ารักหรืออะไรหรอก

     

              แค่ตั้งใจกวนประสาทซะมากกว่า

     

              “เ ร ย์ โ อ ะ”

     

              “อุ๊ย ฉันจำได้ว่าอาจารย์เรียกพบล่ะ ไปก่อนนะ เ ซ ย์ จั ง” ชายร่างสูงผู้ชอบทำตัวเหมือนสายน้อยทำท่าทางปิดปากอย่างเสแสร้ง ก่อนที่จะยิ้มหวานแล้วรีบโบกไม้โบกมือลากัปตันทีมของตัวเองโดยเร็ว ทิ้งให้กัปตันหนุ่มผมแดงต้องยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกขุ่นมัวเล็กๆในอก

     

              ตั้งแต่เขาเปลี่ยนไป (หรือพูดให้ถูกคือกลับมาเป็นคนเดิม) ก็ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยเคารพเขาซักเท่าไหร่

     

              “ไม่เคารพกันเลยนะ”

     

              “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับอาคาชิคุง”

     

              “เท็ตสึยะ?” เขาเหลียวหลังไปมองร่างบางผมฟ้าซึ่งโผล่มาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ คิดๆดูแล้วเจ้าตัวก็คงจะเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแน่ๆถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

     

              “การที่เขาหยอกเล่นกับอาคาชิคุงแปลว่าพวกคุณสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่ในฐานะหัวหน้ากับลูกน้อง แต่เป็นในฐานะของเพื่อนร่วมทีม”

     

              อาคาชิคลี่ยิ้มบางกับคำพูดนั้น คนตัวเล็กที่เป็นคนเปลี่ยนความคิดของเขา มีอิทธิพลต่อใจของเขามากเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้ คนตัวเล็กที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาในตอนนี้

     

              “นั่นสินะ ขอบใจนะ เท็ตสึยะ”

     

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ จริงๆคุณก็ไม่ได้โกรธเขาจริงจังตั้งแต่แรกใช่มั้ยล่ะ?

     

              “หึ ก็ถูกขอนาย”

     

              ร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปตามทางเดินเพื่อกลับเข้าสู่ห้องเรียนของตัวเอง นัยน์ตาสองสีของอาคาชิเหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่แม้จะมีใบหน้านิ่งสนิทไร้อารมณ์ แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เจ้าตัวอารมณ์ดีมากเพียงใด คงเพราะ..เจ้าตัวใฝ่ฝันมานานว่าพวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกันแบบนี้ในซักวันหนึ่ง

     

              “คุโรชิน~” ร่างเล็กหันไปมองตามเสียงเรียก มุราซากิบาระยืนอยู่หน้าห้องเรียนพร้อมกับถุงขนมที่ไม่เหลืออะไรในนั้นอีกแล้ว

     

              “มีอะไรเหรอครับ?

     

              “มีขนมอีกมั้ย ฉันหิวอ่า”

     

              ร่างเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อย มองถุงขนมในมือใหญ่ของอีกฝ่าย “แต่ห่อนั้นผมพึ่งให้คุณไปเมื่อกี้เองนะครับมุราซากิบาระคุง”

     

              “ก็มันหิวนี่นา ห่อแค่นี้ฉันกินแปบเดียวก็หมดแล้ว”

     

              “ครับๆ ขนมอยู่ในกระเป๋าผม เดี๋ยวผมหยิบให้นะ” ร่างเล็กมองคนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าเหมือนทำใจเอาไว้แล้วว่าคำตอบคงเป็นแบบนี้ เขาผละตัวออกมาจากอาคาชิก่อนเดินเข้าไปในห้องเรียนโดยไม่ลืมดึงแขนมุราซากิบาระให้เดินตามเข้ามา

     

              คุโรโกะไม่มีทางเห็นได้เลยว่า ชายหนุ่มรูปร่างสูงคนนั้นมองอาคาชิด้วยสายตายังไงตอนที่ถูกดึงแขนกลับเข้าห้องเรียน

     

              มันเป็น—

     

              สายตาเหมือนคนที่แสดงความเหนือกว่า

     

              ชายหนุ่มผมแดงซึ่งถูกทิ้งให้ยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนเพียงลำพังแค่นหัวเราะ รู้สึกตลกดี ถึงแม้ว่าในฐานะนักบาสพวกเขาจะไม่ใช่ศัตรูกันแล้ว แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาสามารถใช้คุโรโกะร่วมกันได้

     

              “นายจะเล่นงี้ใช่มั้ย อัตสึชิ”

     

     

     

     

     

              “พวกนั้นเปิดศึกชิงนางกันรึไง?

     

              สึนะโยชิขมวดคิ้วพลางมองภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งติดอยู่ทั่วโรงเรียนด้วยสายตาอ่านยาก เด็กหนุ่มนั่งเท้าคาง นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย วิชาที่เรียนที่โรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่เขาและเหล่าพวกผู้พิทักษ์ล้วนเรียนจบตั้งแต่ปีที่แล้ว ความรู้ของพวกเขาในตอนนี้บางทีอาจจะเทียบเท่าพวกศาสตราจารย์เสียด้วยซ้ำ มันทำให้พวกเขาไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะเข้าไปนั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยมพวกนั้น

     

              อีกอย่าง— การนั่งอยู่ในห้องๆนี้มันก็สะดวกดี ว่าแล้วก็มองไปยังรอบๆห้องซึ่งมีลักษณะคล้ายกับห้องรับแขกที่ผู้พิทักษ์เมฆาเคยใช้เป็นห้องทำงานและห้องพักผ่อนตอนที่ยังเป็นเพียงกรรมการคุมกฎ เพียงแต่..ห้องนี้ใหญ่กว่ามาก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันกว่า

     

              มันเป็นห้องที่เดิมทีแล้วสร้างขึ้นเพื่อรีบอร์น

     

              แต่หลังสร้างเสร็จเจ้าตัวก็อยู่อิตาลีถาวรและไม่ได้เดินทางกลับมาที่นามิโมริอีกเลย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นห้องทำงานของเขา

     

              “คิดอยู่แล้วว่านายต้องมาอยู่ที่นี่”

     

              “ยามาโมโตะ?” คนที่เข้ามาภายในห้องคือร่างสูงของเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่มัธยมต้น รวมถึงเป็นทั้งผู้พิทักษ์พิรุณและมือซ้ายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาโดยตลอด นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มองตามการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงที่เดินเข้ามาบนโต๊ะทำงานของเขาอย่างถือวิสาสะ

     

              “นายใจกล้าขึ้นเยอะเลยนะยามาโมโตะ ไปทำตัวเนียนเหมือนเมื่อก่อนแล้วรึไง?” คนตัวสูงหัวเราะขำขันกับคำหยอกล้อนั้น

     

              “ถ้าเอาแต่เนียนไปเรื่อยก็เสียนายให้คนอื่นสิ” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “แบบนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอก”

     

              “ดีใจจัง แสดงว่าฉันเป็นคนสำคัญของนายสินะ” สึนะลุกขึ้นจากเก้าอี้หนัง เขาเดินอ้อมมาหน้าโต๊ะแล้วขยับเข้าไปใกล้ กายเล็กเบียดเสียดกับร่างสูงซึ่งยังคงนั่งอยู่บนนั้นแล้วมองเขาพร้อมคลี่ยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายเอื้อมมือดึงเขาเข้าไปกอด ก่อนกระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว

     

              “สำคัญสิ สำคัญ..ที่สุด”

     

              “ขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

              “อือ”

     

              ร่างเล็กกว่าผละตัวออกมาจากคนตัวสูง มือเรียวเล็กสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทอดสายตามองคนที่มอบหัวใจทั้งดวงให้กับตนด้วยสายตาอ่อนลง เขารู้ว่ายามาโมโตะเป็นคนแบบไหน เขารู้ว่ายามาโมโตะไม่มีวันที่จะโกหกหรือทรยศเขา เพราะอีกฝ่ายมอบทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองให้เขาหมดแล้ว

     

              “เล่นบทสวีทจบยังครับ คุฟุฟุ”

     

              ร่างทั้งสองผละออกจากกันทันทีที่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผู้มาใหม่ สึนะโยชิหัวเราะกับคำถามนั้น เขาเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานก่อนเท้าคางมองสองผู้พิทักษ์ที่เอาแต่เขม่นกันแบบไม่มีใครยอมใคร

     

              “นายเนี่ยชอบมาขัดบทสวีทของคนอื่นแบบหน้าด้านๆจังเลยนะมุคุโร่”

     

              “คุฟุฟุ ก็คุณเล่นไม่ซื่อนี่ครับยามาโมโตะ ทาเคชิ”

     

              “เล่นไม่ซื่อยังไง? นายกำลังพูดถึงตัวเองอยู่เหรอ? ตกลงกันแล้วไม่ใช่รึไงว่าจะไม่ไปขัดเวลาสึนะสวีทอยู่กับใครก็ตามน่ะ”

     

              “โอ๊ะ เคยตกลงอะไรแบบนั้นด้วยเหรอครับ จำไม่เห็นได้”

     

              “นี่นาย— “

     

              “เอาล่ะ พวกนายควรหยุดก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากผู้เป็นนภาทำให้ร่างทั้งสองร่างที่เอาแต่เถียงกันไปมาจำเป็นต้องรูดซิปปากให้สนิท แต่ก็ยังแอบเขม่นกันด้วยสายตาเวลาที่นภาแห่งวองโกเล่ไม่ทันสังเกต

     

              “ถ้าว่างนักก็ไปตีสนิทพวกนั้นสิ พวกนายจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”

     

              “แต่วองโกเล่— “

     

              “มุคุโร่” เจ้าของนัยน์ตาสองสีหุบปากฉับทันทีที่ได้รับสายตาจริงจังจากผู้เป็นนายเหนือหัว โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร แต่มนุษย์ทุกคนย่อมมีข้อยกเว้น และสำหรับผู้พิทักษ์สายหมอกแล้ว— สึนะโยชิคือคนๆนั้น

     

              “ก็ได้ครับ” ผู้พิทักษ์สายหมอกยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนที่จะหายตัวออกจากห้องไปเพื่อที่จะไปทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ ส่วนยามาโมโตะที่เจอรังสีกดดันของเขาก็ต้องยอมออกไปจับตามองพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนต่ออย่างช่วยไม่ได้ สึนะโยชิถอนหายใจหลังจากที่ทั้งสองเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

     

              ร่างเล็กเอนหลังลงจนแผ่นหลังแนบสนิทกับเบาะหนังสีดำสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เหม่อมองเพดานที่ว่างเปล่า

     

    หลังจากที่ขึ้นรับตำแหน่งนภาแห่งวองโกเล่อย่างเป็นทางการเขาก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองนี้บ่อยนัก หลายๆอย่างเปลี่ยนจนเขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เขาพึ่งจากไปเพื่อไปเรียนและทำงานต่อที่อิตาลีได้แค่ 2 ปี แม้แต่ The Black Carnival ที่เขาจัดแล้วกลายเป็นสิ่งเลื่องชื่อนักหนาในวองโกเล่ก็ยังไม่เคยจัดที่ญี่ปุ่นเลยซักครั้ง

     

    นี่เป็นครั้งแรก

     

    และอาจจะเป็นครั้งเดียว

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองบนโต๊ะที่มีเอกสารมากมายถูกคลี่ออกไม่ให้แต่ละแผ่นทับกันจนไม่เห็นข้อความของอีกแผ่น พวกนี้คือข้อมูลของทุกคนที่ถูกเลือกมาแลกเปลี่ยนที่นี่ เป็นข้อมูลเชิงลึก ทั้งอุปนิสัย ประวัติส่วนตัว ประวัติของพ่อแม่ งานการของครอบครัว ความสัมพันธ์ในครอบครัวและในวงศ์ตระกูล

     

    เชื่อเถอะ

     

    ว่าข้อมูลบางอย่างที่เขาได้มา มันลับซะจนบางทีแม้แต่เจ้าตัวเองคงไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

     

     

     

              “โห นี่โรงยิมซ้อมบาสเหรอ ฮ่าๆๆๆ ใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย” ทาคาโอะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ตอนแรกที่ได้ยินว่าที่นามิโมริมีสนามบาสก็ไม่ได้คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ อาจจะใหญ่ไม่เท่ากับโรงเรียนราคุซัน ชูโตคุ หรือเทย์โค แต่ก็ถือว่าใหญ่ใช้ได้สำหรับโรงเรียนที่ไม่ได้เอาดีด้านกีฬาบาสเก็ตบอล

     

              เนื่องจากพวกเขามาแลกเปลี่ยนในโครงการเกี่ยวกับกีฬาบาสเก็ตบอล ชมรมที่พวกเขาจะสามารถเลือกเข้าได้จึงมีเพียงชมรมบาสเก็ตบอลเท่านั้น แต่เชื่อเถอะ ต่อให้ไม่มีข้อบังคับแบบนี้พวกเขาก็ยังคงเลือกชมรมบาสอยู่ดี

     

              “พวกนายได้รับสิทธิ์พิเศษในการใช้ที่นี่เพื่อฝึกฝนตัวเองได้ทุกวันทุกเวลา ขอแค่มาบอกฉัน แล้วฉันจะเอากุญแจให้” โกคุเดระกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางหงุดหงิดนิดหน่อย คงเพราะเขามีงานต้องทำเมื่อคืนจนแทบจะไม่ได้นอน พอจะมานอนที่โรงเรียนก็ดันต้องมาพาคนพวกนี้มาดูชมรมอีก

     

              การอดหลับอดนอนนี่ล่ะภัยร้ายของมนุษยชาติ

     

              “เข้าใจแล้ว” ฮิวงะตอบกลับ พวกเขาพึ่งได้รู้ไม่นานว่าโกคุเดระกับแรมโบ้เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมบาสเก็ตบอลโดยมีซาวาดะเป็นหัวหน้า ยามาโมโตะเป็นหัวหน้าชมรมเบสบอล ส่วนซาซางาวะก็เป็นหัวหน้าชมรมมวย

     

              “จริงๆแล้วผมมีเรื่องจะขอร้องนิดหน่อย” เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้หันไปพูดกับฮิวงะซึ่งเป็นกัปตันทีมเซย์ริน

     

              “อะไรล่ะ?

     

              “ช่วยมาซ้อมแข่งกับพวกผมหน่อยได้มั้ยครับ” ใบหน้าเรียวคลี่ยิ้มหวานอย่างร่าเริง นัยน์ตาคมเป็นประกายทอระยิบระยับ

     

              “เอ๋ ซ้อมแข่งเหรอครับ” คุโรโกะเอียงคอถามด้วยท่าทางสงสัย

     

              “อื้อ! พอดีพวกฉันเป็นแฟนคลับพวกนายน่ะ ฉันกับโกคุเดระคุงเคยไปดูตอนพวกนายแข่งวินเทอร์คัพรอบชิงชนะเลิศด้วยนะ”

     

              “เห จริงเหรอเนี่ย” อิซึกิตาวาว “แล้วนายเป็นแฟนคลับใครเหรอซาวาดะ ฉันใช่มั้ย ฉันๆๆๆๆ”

     

              “ผมว่าไม่ใช่รุ่นพี่อิซึกิหรอกครับ ไม่คุโรโกะก็คงคางามินั่นแหละ” ฟุริฮาตะช่วยปรามความตื่นเต้นที่เกินเหตุของรุ่นพี่หนุ่ม สึนะโยชิหัวเราะแห้ง นึกขอบคุณเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ที่มาช่วยยับยั้งอีกฝ่ายไว้ทัน

     

              “โถ่ ลืมไปเลย” รุ่นพี่หนุ่มเจ้าของอีเกิ้ลอายแห่งทีมเซย์รินหน้าสลด

     

              “แต่จริงๆแล้วผมเป็นแฟนคลับอาคาชิคุงนะครับ” คำสารภาพของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลทำให้ทุกคนต้องหันไปมองกัปตันหนุ่มผมแดงจากราคุซันที่ดูเหมือนจะอึ้งกับคำตอบอยู่นิดหน่อย

     

              “แต่หลังการแข่งครั้งนั้นก็ชอบเซย์รินมากเลย เลยคิดว่าอยากแข่งด้วยซักครั้งน่ะ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไหลลื่น โดยมีโกคุเดระซึ่งยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันว่าเจ้าตัวก็อยากแข่งกับพวกเขาซักครั้งเหมือนกัน โค้ชสาวแห่งทีมเซย์รินมองไปยังเด็กหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเห็นว่าเป็นกัปตันของทีมบาสนามิโมริด้วยความลังเล ก่อนที่เธอจะให้คำตอบโดยการพยักหน้ารับเพื่อสื่อว่าทั้งสองทีมจะมีการซ้อมแข่งกันในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้

     

              ทั้งน้ำเสียงที่ร่าเริง ทั้งรอยยิ้มที่สดใส ไม่มีใครเอะใจเลยว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดมานั้นอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

     

              เขาไม่ได้ชอบเซย์รินมากขนาดนั้น ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟนคลับหรืออะไร ก็แค่ถูกใจ ถูกใจในสปิริตที่ไม่ยอมแพ้พวกนั้น

     

              พวกเขาไปเปลี่ยนชุดในห้องพักนักกีฬาที่ทางโรงเรียนนามิโมริได้จัดเตรียมทำความสะอาดเอาไว้ให้ เมื่อออกมาก็พบว่าซาวาดะและลูกทีมนั้นยืนรออยู่ข้างนอกกันก่อนแล้ว

     

              มีซาวาดะเป็นกัปตันทีม ใส่เสื้อเบอร์ 4 ตำแหน่งพ้อยท์การ์ดเช่นเดียวกับอิซึกิและอาคาชิ นอกนั้นสมาชิกทีมก็มีโกคุเดระ แรมโบ้ และเด็กหนุ่มอีก 2 คนที่พวกเขาไม่คุ้นหน้า คนหนึ่งมีผมสีแดง ส่วนอีกคนมีผมสีบลอนด์และนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล

     

              “นั่น โคซาโตะ เอ็นมะ กับบาจิลครับ พวกเขาอยู่ห้อง B คุณคงไม่คุ้นหน้า” แรมโบ้แนะนำตัวสมาชิกอีก 2 คนซึ่งจะเป็นตัวจริงในการซ้อมแข่งนี้

     

              ในการแข่งขัน มิโดริมะถูกเลือกให้เป็นกรรมการและเป็นคนโยนลูก การแข่งขันเริ่มต้นอย่างดุเดือด มันดูจริงจังมากกว่าที่จะเป็นการซ้อมแข่งธรรมดา ต้องยอมรับว่าการที่ต้องมาแข่งกับทีมบาสนามิโมริทำให้เซย์รินรู้สึกเล่นยากกว่าที่เคยนิดหน่อย ฝั่งนั้นมีทักษะแปลกๆที่พวกเขาไม่เคยเห็น เหมือนจะเป็นบาส— แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่บาส จะเรียกว่าไงดีล่ะ?

     

              เหมือนเป็นการประยุกต์ทักษะหลายๆอย่างจนกลายเป็นบาสในแบบของตัวเองขึ้นมา

     

     

     

              คุณคิดว่าผลมันจะเป็นแบบไหน?

     

              พวกสึนะจะชนะหรือเปล่า? เพราะพวกเขาเป็นมาเฟีย และคงเก่งในทุกๆด้าน (แน่นอนว่าความจริงข้อนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวพวกเขาเอง) หรือพวกเซย์รินจะชนะเพราะพวกเขาทุ่มเทกับกีฬาบาสมากและยังเป็นถึงแชมป์ในการแข่งขันวินเทอร์คัพ

     

              แน่นอนผลที่ออกมาไม่ใช่สิ่งที่ผิดคาดจากที่พวกอาคาชิคิดนัก

     

              เซย์รินชนะ นี่เป็นผลที่ตรงกับที่พวกเขาคิดเอาไว้

     

              แต่ชนะด้วยคะแนน 47 ต่อ 40 นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้แน่ๆ พวกเขาคาดเดาเอาไว้ว่าเซย์รินน่าจะคะแนนนำมากกว่านี้ บางคนคิดว่ามันเป็นเพราะเซย์รินไม่มีคางามิ ไม่สิ จริงๆแล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลที่สำคัญคือพวกซาวาดะทุกคนเก่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ การเล่นของพวกนั้นเป็นการเล่นแบบที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเล่นในแบบที่อยากเล่นได้

     

              หากประเมินคร่าวๆแล้ว ทักษะทางด้านกีฬาของพวกนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม ทั้งความเร็วและความแม่นยำรวมถึงพลังกายนั้นอยู่ในระดับเดียวกับนักกีฬาอย่างพวกเขา อาจจะไม่เทียบเท่าพวกรุ่นปาฏิหาริย์ แต่ก็ถือว่าเป็นนักกีฬาที่ไม่ธรรมดาเลย ทักษะและฝีมือก็พอๆกับพวกตัวจริงของเซย์ริน

     

              ที่สำคัญ— ในบรรดาตัวจริงพวกนั้น มีคนมองเห็นคุโรโกะ

     

              น่าสงสัยจริงๆ ฝีมือระดับนี้ก็ไม่ใช่ระดับไก่กา แต่ทำไมถึงไม่เป็นที่พูดถึงซ้ำยังไม่เคยลงแข่งการแข่งขันกีฬาเลยซักครั้ง? พวกเขาเชื่อว่าถ้าพวกซาวาดะลงแข่ง อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะผ่านรอบอินเตอร์ไฮระดับเขตไปได้

     

              นัยน์ตาทุกคู่มองตามหลังเหล่านักบาสตัวจริงของโรงเรียนนามิโมริที่เดินกลับเข้าห้องพักนักกีฬาไปหลังจากที่การซ้อมแข่งจบลง

     

     

     

              ภายในห้องพักนักกีฬาของเหล่านักบาสตัวจริงของโรงเรียนนามิโมริ นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดสายตามองผู้เป็นเพื่อนร่วมทีมด้วยสายตาอ่านยาก มือเรียวหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อของตัวเองเบาๆ เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย พวกเขาสูญเสียพลังงานไปมากพอสมควรกับการซ้อมแข่งครั้งนี้

     

    “ยากกว่าที่คิดนะครับ” แรมโบ้พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ ขนาดเป็นแค่การซ้อมแข่งกับเซย์ริน..แต่พวกเขากลับรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ที่สำคัญ นี่เป็นเซย์รินที่ไม่มี คางามิ ไทกะ

     

    “เราก็ทำเต็มที่แล้วน่า อย่างว่า พวกเราไม่ใช่นักบาสซักหน่อย ได้แค่นี้ก็เก่งสุดๆแล้ว” สึนะโยชิไหวไหล่ เขาดูไม่คิดมากกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบความพ่ายแพ้นัก

     

    ไม่สิ เกือบจะเรียกได้ว่าเกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำ

     

    “ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่ดี หงุดหงิดชะมัด”

     

    “เอาน่าโกคุเดระคุง”

     

    “ถ้ารุ่นที่สิบว่างั้น— ก็ได้ครับ ผมควรใจเย็นลงจริงๆ”

     

    มันเป็นอย่างที่สึนะโยชิพูด พวกเขาไม่ได้เป็นนักบาส ไม่ได้เอาดีด้านบาส พื้นฐานในกีฬาชนิดนี้ก็ไม่แน่น พูดตามตรง พวกเขาพึ่งเริ่มลองเล่นเมื่อ 3 เดือนที่แล้วด้วยซ้ำ พูดแบบบ้านๆก็คือเป็นแค่มือใหม่ นึกขอบคุณทักษะการต่อสู้ต่างๆและทักษะทางด้านกีฬาเบื้องต้นที่รีบอร์นเป็นคนสอน มันทำให้พวกเขาสามารถนำมาประยุกต์กับกีฬาชนิดนี้และพอจะถูๆไถๆไปได้

     

    แต่มันก็แค่นั้นล่ะ สุดท้ายก็แพ้อยู่ดี

     

    “ก็อย่างที่ท่านซาวาดะพูด พวกเราที่พึ่งเล่นบาสมาไม่นานแต่ทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้วครับ เพราะงั้นเลิกอารมณ์เสียแล้วเปลี่ยนชุดกันเถอะ”

     

    “รู้แล้วน่า” โกคุเดระยอมจำนน คงเป็นเพราะลึกๆแล้วเขาก็เห็นด้วยกับที่นภาของเขาและบาจิลพูด เขาทำดีที่สุดแล้ว เขาทำดีที่สุดแล้ว

     

    ได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้ว

     

             คนเราต่างมีความถนัดที่แตกต่างกัน

     

              สึนะโยชิถอนหายใจ

     

              ให้ตายสิ แค่สู้กับเซย์รินในตอนนี้ก็เหนื่อยแล้ว รู้ผลเลยว่าถ้าไปท้าแข่งบาสกับพวกรุ่นปาฏิหาริย์ ผลจะออกมาเป็นยังไง

     

     

             

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    คนเรามีความถนัดที่แตกต่างกันค่ะ!

     เม้นซักนิดเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ;-;

    เวลาเห็นคอมเม้นแล้วมันจะรู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจแต่งต่อแบบแปลกๆ

    ปล. ถ้าเราเขียนผิดอะไรยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ 

    ปล2 จะพยายามลงแบบวันเว้นวัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องดูเวลาว่างด้วยค่ะ TT 

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×