คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Turn 00 - Awaken the Queen
ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำงานให้องค์กรแบบสู้ตายถวายหัว
‘นิโคลัส โฮลเกอร์’ กล้ายืนยัน
ณ ตรงนี้เลย เขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนักล่ามือฉมังแรงค์ซิลเวอร์ในองค์กรแวมไพร์ฮันเตอร์ชื่อดังสาขาโมลันเทีย
ในวันนี้กลับกลายเป็นยามเฝ้าประตูที่ต้องคอยก้มหัวทักทายนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นอย่างเคารพนอบน้อม
ทั้งที่ใจจริงอยากจะฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆเสียด้วยซ้ำ
น่าหงุดหงิด
น่าหงุดหงิดที่สุด
เงินเดือนของเขามันควรอยู่ที่
7 หมื่นไนร่า[1]
ทว่าในยามนี้กลับเหลือเพียงสี่หมื่นกว่าๆเท่านั้น
“พวกแกเฝ้าไว้ให้ดีล่ะ
อย่าให้ใครเข้าไปได้ อ้อ ส่งซักคนไปเฝ้าในนั้น จำไว้— ห้ามแตะต้องอะไรเด็ดขาด”
นักวิทยาศาสตร์ชายวัยกลางคนกำชับเสียงเข้ม ดวงตาคู่นั้นมองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม
เขาอยู่ในองค์กรในฐานะสมาชิกคนหนึ่ง
ไม่ใช่ขี้ข้าของพวกมันซักหน่อย
ทั้งแบบนั้นกลับทำได้เพียงขบกรามแน่นแล้วค้อมศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาสีฟ้าอ่อนมองตามแผ่นหลังของเหล่าหัวกะทิในองค์กรที่พากันเดินออกไปหาอะไรทานข้างนอกด้วยแววตาว่างเปล่า
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเย็นๆก่อนมองเพื่อนร่วมงานอีก 3-4
คนที่มีสภาพน่าอดสูไม่ต่างกัน
พวกนักวิทยาศาตร์นั่นบอกว่าต้องการสมาชิกองค์กรฝีมือดีมาช่วยเหลือ
ทางพวกระดับสูงจึงจัดพวกเขาซึ่งเป็นระดับท็อปมาให้
ทว่าสิ่งที่พวกมันทำกลับเป็นการให้พวกเขาเป็นยามเฝ้าประตูห้องทดลองลับที่อยู่ใต้ดิน
งานน่าเบื่อนั่นยังพอว่า แต่กล้าลดเงินเดือนพวกเขาได้ยังไง!?
“น่ารำคาญพวกมันชะมัด”
“ถ้าไม่ใช่คำสั่งพวกเบื้องบนฉันไม่มาทำงานนี้แน่ๆ”
“สาบานได้เลย
ถ้าเสร็จภารกิจนี่ฉันจะยิงหัวพวกมันทิ้ง”
เพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสามบ่นเสียงดังคล้ายไม่กลัวใครได้ยิน
นิโคลัสไม่กล่าวอะไร เขาไหวไหล่พลางเช็ดปืนบรรจุกระสุนเงินในมือ
เขาหมดอารมณ์จะพูดคุยกับใครเสียแล้ว
“คงต้องมีพวกเราซักคนเฝ้าข้างในสินะ”
พวกเขามองกันไปมา ไม่กล้าตกลงกันเองในเมื่อนิโคลัสซึ่งอายุมากที่สุดยังไม่พูดอะไร
ชายหนุ่มกลอกตาไปมา หากให้นั่งอยู่เฉยๆตรงนี้นั้นก็ออกจะน่าเบื่อเกินไปเสียหน่อย
อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ต้องการเพื่อนมาเสวนาอะไรอยู่แล้ว
“ฉันไปเอง
อยากแอบงีบซักหน่อย” เขาว่าด้วยน้ำเสียงติดตลก พลางขยิบตาให้เพื่อนร่วมงาน
“ถ้าพวกบ้านั่นมาก็เคาะประตูเตือนฉันด้วยนะ”
“เข้าใจแล้ว”
ในความคิดของพวกนั้น
คงคิดว่าดีเหมือนกัน—
เพราะพวกเขาก็ไม่ได้อยากแยกตัวไปอยู่คนเดียวในห้องมืดๆนั่นซักเท่าไหร่
นิโคลัสไขกุญแจเข้าไปข้างใน นัยน์ตาสีฟ้าแซฟไฟร์กวาดมองรอบห้องที่มืดสนิท
เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟจนภายในห้องมีแสงสว่างจ้า
ที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจนัก
นอกจากอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้คนนอกองค์กรล้วนไม่เคยเห็น
กับอาวุธในตู้กระจกที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาก่อนนำมาให้องค์กรใช้
ไม่สิ..
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน
มองตรงกลางห้องซึ่งมีผ้าคลุมสีทึบคลุมบางสิ่งเอาไว้คล้ายต้องการปิดซ่อนมันไม่ให้ใครเห็น
เขาขยับเท้าเข้าไปไกล มองอย่างลังเลว่าควรจะแง้มมันดูดีรึเปล่า
‘เปิดสิ เปิดเลย’
คล้ายได้ยินเสียงใสกังวานของใครซักคนกระซิบที่ข้างหู
เขาค่อยๆแง้มม่านสีทึบออกอย่างไรสติ
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่เงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าสิ่งที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในก็คือร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในตู้กระจกที่มีลักษณะคล้ายตู้ปลา
ภายในมีน้ำสีฟ้าใสบรรจุอยู่จนเต็ม
อีกทั้งยังมีสายอะไรซักอย่างระโยงระยางจากร่างของเด็กคนนั้นสู่ภายนอกเต็มไปหมด
เขานิ่งงันไป
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเห็นการทดลองมนุษย์
เขาเห็นเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเพราะงั้นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรนัก
แต่ที่คาดไม่ถึงคือร่างของเด็กสาวภายในนั้นที่ดูราวกับกำลังมีชีวิต
ทั้งผิวที่ยังขาวผ่องสดใสไม่เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ผมสีขาวโพลนประกายเงินที่สยายไปตามน้ำชวนให้นึกถึงนางเงือกในนิทานปรับปรา
ทั้งแพขนตาหนา จมูกรั้น ริมฝีปากรูปกระจับ และใบหน้าอ่อนเยาว์ที่งดงามกว่าหญิงสาวคนใดที่เขาเคยพบเห็น
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเธอคล้ายเด็กสาวอายุราวๆ 19-20 ปี ไม่มากไปกว่านั้น
เธออาจจะเป็นมนุษย์ทดลองที่พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นสร้างขึ้น
ไม่ก็เป็นแวมไพร์ซักตนที่พวกนักวิทยาศาสตร์นั่นได้มา จะอะไรก็ตามแต่
สิ่งเดียวที่นิโคลัสมั่นใจคือเธอไม่ใช่มนุษย์
ไม่ใช่
และไม่มีวันใช่
แค่ผมสีขาวประกายเงินนั่นก็ไม่ใช่แล้ว
อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เขาเคยล่าแวมไพร์มาก็มากมาย ทว่าก็ไม่เคยพบเห็นแวมไพร์ตนใดมีผมสีนี้มาก่อน
เขาไม่เคยเห็นนางฟ้า
ไม่เคยเห็นสรวงสวรรค์
แต่เขากลับมั่นใจว่าหากนางฟ้าที่ว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ—
ก็คงไม่ต่างจากเธอนัก
มือกร้านที่ผ่านการจับดาบจับปืนฆ่าแวมไพร์มานับไม่ถ้วนสัมผัสบนกระจกใสที่กั้นกลางระหว่างเขาและเธออย่างแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยกันข้างนอกนั้น
ประตูบานใหญ่ถูกเคาะเบาๆพอให้เขาได้ยิน
มันเป็นสัญญาณว่าพวกนักวิทยาศาสตร์คงใกล้กลับมาแล้ว
นิโคลัสได้สติ
เขารีบปิดม่านสีทึบไว้ดังเดิมและเดินไปนั่งยืนพิงผนังอยู่ตรงใกล้ทางเข้า รอให้นักวิทยาศาสตร์พวกนั้นกลับมา
โดยที่เขาไม่รู้ตัว
เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้น
เผยให้เห็นดวงตาสีแดงเรืองรองราวกับดวงตาของสัตว์ป่าที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด
ในยามนั้นท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมีพายุฝนลูกใหญ่โหมกระหน่ำ
เสียงสายฟ้าดังกัมปนาทสั่นสะเทือนฟ้าดิน
แสงสีแดงและขาวพวยพุ่งจากพื้นดินสู่ท้องนภาบังเกิดเมฆฝนสีหม่นที่ปรากฎออร่าสีแดงเป็นระยะ
สร้างความประหลาดใจให้แก่เผ่าพันธุ์แวมไพร์เป็นอย่างยิ่ง
สำหรับแวมไพร์—
นี่คือนิมิตรหมาย
ในปราสาทหลังใหญ่โตที่อยู่ใจกลางป่าทึบในอาณาเขตศูนย์กลางของดินแดนแวมไพร์
ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งยืนจดจ้องบัลลังก์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนขั้นบันไดด้วยดวงตาสีเหลืองอำพันที่ทอประกายอ่านยาก
ด้านหลังมีชายวัยชราคนหนึ่งสวมอาภรณ์ยาวกรอมเท้า
ปากเหี่ยวย่นอ้าออกพึมพำบางสิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนที่ร่างง้องุ้มจะสะดุ้งจนตัวโยน
เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาสั่นระริก
ชายหนุ่มร่างสูงละสายตาจากบัลลังก์ตรงหน้ามามองชายชรา
“ท่านสัมผัสอะไรได้บ้างหรือไม่”
“นายท่าน
นายท่าน”
“ว่าอย่างไร”
“นางตื่นแล้วครับ
นางตื่นจากการหลับใหลนับหมื่นปีแล้ว”
ชายหนุ่มในชุดเนื้อผ้าชั้นดีที่ถูกเรียกว่านายท่านขมวดคิ้วดูไม่เข้าใจนัก
แต่เพียงครู่เดียวก็คลายออก
มือแกร่งยกขึ้นเสยผมสีน้ำตาลทองเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นสลักอย่างเต็มๆตา
ชายหนุ่มคิดว่า..เขารู้แล้วว่าชายชราผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้าโหรหลวงพูดถึงเรื่องอะไร
“พวกเราเคยได้รับคำพยากรณ์เกี่ยวกับเด็กสาวจากต่างโลกที่จะทำให้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ของเราล่มสลาย
พวกเราไม่เคยพบหนทางแก้ไข..”
“....”
“แต่ในยามนี้ทุกสิ่งมันเปลี่ยนไปแล้วครับ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นฉายแววปีติ
“ราชินีผู้ครองบัลลังก์แห่งเผ่าพันธุ์
จะเป็นผู้นำพาเผ่าพันธุ์อันทรงเกียรติของพวกเราให้รอดพ้นจากการล่มสลาย”
ขอเพียงหาตัว ‘ราชินี’ เจอเท่านั้น
ความคิดเห็น