ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KHR & KNB] The Black Carnival | all27 & all x kuroko

    ลำดับตอนที่ #2 : Canival 01 :: What Does This Mean?

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 62


     

     

     

             เสียงการกระทบกันของลูกบาสกับพื้นสนามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่านักกีฬาชมรมบาสเก็ตบอลแห่งโรงเรียนเซย์รินที่พึ่งชนะเลิศการแข่งขันวินเทอร์คัพไปเมื่อปีที่แล้วกำลังตั้งใจฝึกฝน เพื่อพิชิตการแข่งขันอินเตอร์ไฮที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

     

              หลังจากที่ได้ครองแชมป์วินเทอร์คัพ ชมรมบาสของพวกเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในทันที นั่นเป็นสาเหตุให้มีนักเรียนมากมายที่เลือกเข้าโรงเรียนนี้เพื่อที่จะเข้าชมรมบาส และถึงแม้จะไม่มี คางามิ ไทกะ ที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเอาดีด้านกีฬาบาสโดยเฉพาะ กับ คิโยชิ เทปเปย์ ที่ไปต่างประเทศเช่นกันเพื่อรักษาตัวให้หายดี แต่พวกเขาก็ยังสามารถซ้อมแข่งกับนักกีฬาจากโรงเรียนชูโตคุได้อย่างสูสี

     

              นั่นคือผลจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอของพวกเขา

     

              เพราะเป้าหมายต่อไปที่ผู้เป็นโค้ชอย่าง ไอดะ ริโกะ ตั้งเอาไว้ ก็คือการครองแชมป์ 2 สมัยซ้อน และหากทำไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือการวิ่งแก้ผ้าบอกรักคนที่แอบชอบรอบโรงเรียน!

     

              “เอาล่ะพวกปีหนึ่งทั้งหลาย! บอกเป้าหมายที่จะทำในปีนี้เสียงดังๆให้ได้ยินชัดๆจากตรงนี้ซะ!!” โค้ชสาวซึ่งขึ้นปี 3 เข้าไปแล้วพูดจาเสียงดังฟังชัด ก่อนผายมือไปยังด้านล่างซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนโรงเรียนเซย์รินที่กำลังทำกิจกรรมตอนเช้าอยู่ในสนาม

     

              “แต่นี่มันบนดาดฟ้านะครับโค้ช!

     

              “เถียงเหรอเจ้าปีหนึ่ง!? รู้มั้ยว่าการทำแบบนี้จะทำให้พวกนายมีกำลังใจในการแข่งมากขึ้น ดูพวกปีสองกับปีสามสิ นี่แหละคือสาเหตุที่เราชิงแชมป์วินเทอร์คัพปีที่แล้วได้!!

     

              “อ เอ๋” เด็กปีหนึ่งราวๆยี่สิบคนโอดครวญ หากทำตามที่ประกาศออกไปไม่ได้ล่ะก็— แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเสียแล้ว

     

              อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเหล่าเด็กปีหนึ่งผู้เข้าใหม่ทั้งหลายก็ยอมเรียงแถวตะโกนเป้าหมายในปีนี้ของตัวเองเสียงดังจนกลบเสียงของอาจารย์ที่ยืนถือไมค์อยู่หน้าแถวไปจนหมด เด็กหนุ่มผมฟ้าซึ่งยืนเข้าแถวอยู่ในสนามเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงตะโกนเหล่านั้น

     

              “ให้ตายสิ โค้ชเอาอีกแล้ว..นายไม่ไปห้ามหน่อยเหรอคุโรโกะ” ฟุริฮาตะซึ่งยืนอยู่แถวข้างๆเหลียวหน้ามาถาม คุโรโกะ เท็ตสึยะ ส่ายศีรษะ

     

              “ขนาดกัปตันยังห้ามไม่ได้ แล้วผมจะห้ามได้ไงล่ะครับฟุริฮาตะคุง”

     

              “อา นึกถึงปีที่แล้วก็อายแปลกๆแฮะ” เด็กหนุ่มเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความรู้สึกอับอายยามนึกย้อนไปถึงความหลัง ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงชิวาว่าที่ไม่รู้ประสีประสา ยังไม่ทันได้ฝึกฝนตัวเองเลยด้วยซ้ำ

     

              ส่วนในตอนนี้น่ะเหรอ?

     

              ก็ชิวาว่าเหมือนเดิมนั่นล่ะ ฮ่าๆๆ

     

              “ไม่ต้องอายไปหรอกครับฟุริฮาตะคุง ผมว่าพวกเราค่อยอายตอนรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ไม่ได้ดีกว่า ยังไม่อยากวิ่งเปลือยรอบโรงเรียนน่ะครับ”

     

              “อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นซี่คุโรโกะ!

     

              พวกเขาพูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน ชีวิตเด็กมัธยมปลายปีสองก็ไม่ได้แย่มากนัก แม้คางามิจะไม่อยู่แล้ว..แต่พวกเขาก็ยังพัฒนาตัวเองไม่หยุดหย่อน นอกจากการเรียนที่หนักขึ้นนิดหน่อยก็มีการฝึกซ้อมนอกสถานที่มากขึ้น โรงเรียนที่เห็นว่าชมรมได้สร้างชื่อเสียงให้จึงสร้างหลายสิ่งหลายอย่างให้ชมรมของเรา ไม่ว่าจะสนามซ้อมที่ใหญ่ขึ้น ห้องเปลี่ยนชุดที่ใหญ่ขึ้น ห้องน้ำที่สวยขึ้น หรือแม้แต่อาคาร 2 ชั้นที่มีไว้เผื่อในกรณีที่นักกีฬาอยู่ซ้อมหรือเข้าค่ายฝึกซ้อมที่โรงเรียน

     

             ไม่เห็นปีที่แล้วจะสนใจแบบนี้เลย

     

              คุโรโกะคิดในใจ

     

              แถมเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ในปีนี้ก็มีฝีมืออยู่หลายคนนัก ในบรรดาตัวจริงที่ถูกเลือกขึ้นมาใหม่ ก็มีรุ่นพี่ฮิวงะที่เป็นกัปตันทีม รุ่นพี่อิซึกิ รุ่นพี่มิโตเบะ คุโรโกะ ฟุริฮาตะ และเด็กปี 1 อีกหนึ่งคนที่มีแววว่าอาจจะมีสิทธิ์ได้เป็นตัวจริงตอนแข่งขัน

     

              “แย่แล้วครับ! เมื่อกี้ผมเห็นโค้ชกำลังโดดดึ๋งๆมาที่โรงยิมล่ะ!” ฟุคุดะ เพื่อนร่วมรุ่นของคุโรโกะและฟุริฮาตะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงยิม โดยมีรุ่นพี่โคงาเนะผู้มีหน้าตาคล้ายแมวพยักหน้ารับหงึกๆเนื่องจากเห็นมากับตาเช่นกัน

     

              “โดดดึ๋งๆ? แล้วยังไงเหรอครับ?

     

              “หายนะน่ะ” ฮิวงะตอบคำถามของเด็กปีหนึ่งคนนั้นแทบจะในทันที เหล่านักกีฬาปีสามปีสองซึ่งต่างรู้กิตติศัพท์ของการกระโดดดึ๋งๆของโค้ชสาวดีหน้าซีดฉับพลัน

     

              ปัง!

     

              “สวัสดีทุกคน~” หญิงสาวผู้เข้าสู่มัธยมปลายปี 3 แล้วทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนชูเอกสารบางอย่างในมือไปมา เธอวิ่งมาหาพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มแป้นดูอารมณ์ดี แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่ค่อยไว้วางใจนัก

     

              “มีอะไรเหรอครับโค้ช” คุโรโกะเอียงคอด้วยท่าทีฉงน นัยน์ตาสีอะความารีนซึ่งปกติจะไร้ประกายดูเฉยชาฉายแววงุนงง(ปนกังวลนิดหน่อย)อย่างปิดไม่มิด โค้ชสาวฉีกยิ้มปากกว้างกว่าเดิมในทันทีที่ถูกถาม เธอชูเอกสารขึ้นมาเหมือนจะบอกเป็นนัยว่านี่ล่ะคือสิ่งที่เธอภูมิใจจะนำเสนอนักหนา หญิงสาวกระแอมเสียงดังสองสามทีก่อนเปิดเอกสารออกมาสรุปเนื้อหาเสียงดังฟังชัดให้เหล่านักกีฬาตัวจริงและตัวสำรองที่ซ้อมอยู่ได้ยินกันอย่างทั่วถึง

     

              “ให้สรุปแบบสั้นๆก็คือ ทีมนักกีฬาบาสตัวจริงของโรงเรียนเซย์รินจะเป็นหนึ่งในทีมที่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนและทัศนศึกษาที่ต่างเมือง!

     

              “ต่างเมือง?

     

              “เรียนแลกเปลี่ยน?

     

              “เดี๋ยวนะโค้ช ไอเรียนแลกเปลี่ยนเนี่ย..มันมีแลกเปลี่ยนระหว่างโรงเรียนด้วยเหรอ?

     

              “นั่นสิครับ” ฟุริฮาตะให้การสนับสนุนคำถามของรุ่นพี่อิซึกิ มันคือคำถามที่ใครหลายๆคนต่างกำลังข้องใจ พวกเขาเคยได้ยินแต่การไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ แต่การไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างเมืองแบบนี้— ไม่เห็นเคยจะได้ยินแฮะ

     

              “ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะน่า ไม่ดีใจรึไง? ได้เที่ยวเชียวนะ ได้เที่ยว!

     

              “ไม่ใช่เที่ยวซักหน่อย มันเป็นการเรียนแลกเปลี่— “

     

              “หุบปากไปอิซึกิ! พวกนายรู้มั้ยว่านี่เป็นโอกาสทองมาแค่ไหน? มันเป็นโอกาสที่สมาคมนักกีฬาแห่งชาติของญี่ปุ่นมอบให้เราเลยนะ! อีกอย่างถ้าพวกนายไป หลังกลับมาพวกนายก็สามารถยื่นขอโควตานักกีฬาเพื่อเข้ามหาลัยที่อยากเข้าได้ด้วย ไม่ดีรึไง?

     

              “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผู้เป็นกัปตันทีมขมวดคิ้ว “ฉันไม่คิดว่าสมาคมนักกีฬานั่นจะมีงบขนาดนั้นนา อีกอย่าง ที่เธอบอกว่าพวกเราเป็นหนึ่งในทีมที่ได้ไป นั่นก็หมายถึงมีทีมตัวจริงจากโรงเรียนอื่นอีกใช่มั้ยล่ะ? มันมีงบมากขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

              “ก็จริงนะครับโค้ช”

     

              “คุโรโกะคุง?

     

              “ผมว่านี่มันก็แปลกไปหน่อย มันเป็นโครงการที่ให้ผลประโยชน์กับพวกเรามากเกินไปด้วยซ้ำ คิดในแง่ของผลประโยชน์ การทำแบบนี้สมาคมนักกีฬาแทบจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ”

     

              ริโกะพยักหน้ารับเหตุผลของลูกทีมผมฟ้าพลางพยายามคิดตามเงียบๆ มันก็จริงอย่างที่คุโรโกะกับฮิวงะบอก พูดตามตรงแล้ว นี่ออกจะเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แค่งบสำหรับการจัดการแข่งขันอินเตอร์ไฮและวินเทอร์คัพนั่นก็มากโขแล้ว แล้วนี่ยังเป็นกิจกรรมส่งทีมบาสจากหลายโรงเรียนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน?

     

              แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ..

     

              “แต่พวกนายปฏิเสธมันไม่ได้หรอกนะ”

     

              “เอ๋?

     

              “เพราะว่าเอกสารนี้มันไม่ใช่การเชิญให้พวกนายไป”

     

              “....”

     

              “แต่มันเป็นการบังคับว่าพวกนายต้องไป”

     

              แบบนี้ก็ได้เหรอวะครับ!?

     

     

     

     

              และด้วยเหตุการณ์นี้เอง..ที่ทำให้ในวันต่อมาเด็กหนุ่มผมฟ้าต้องมารวมตัวกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อีกครั้ง ในวันนี้ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังที่เขาเคยมาทานกับคู่หูของตัวเองอย่างคางามิ ไทกะอยู่บ่อยๆนั้นครึกครื้นไปด้วยผู้คน ในยาม 5 โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เหล่านักเรียนนักศึกษาจะเดินออกจากรั้วสถานศึกษาเพื่อมาพักผ่อนกลับกลุ่มเพื่อนสนิท ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ทั่วร้าน คุโรโกะกำลังนั่งดื่มวนิลาเชคของโปรดตรงโต๊ะริมกระจก นัยน์ตาสีอะความารีนมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้ง 5 ที่เอาแต่จ้องกันและกันโดยไม่พูดอะไร

     

              “เอ่อ ไหนๆก็ไม่ได้เจอกันเกือบ 3 เดือนแล้ว ไม่คิดจะพูดอะไรกันหน่อยเหรอครับ?” ร่างบางเอ่ยปากขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นรอบโต๊ะของพวกเขา โดยมี คิเสะ เรียวตะ รีบช่วยผสมโรงอย่างไวเหมือนคิดไว้นานแล้วแต่ไม่กล้าพูด

     

              “นั่นสิฮะ! แบบนี้มันน่าอึดอัดจะตาย!

     

              “เงียบไปเรียวตะ”

     

              “อะ— “ รีบหุบปากโดยฉับพลันเหมือนสั่งได้ ทั้งโต๊ะต่างเหลือบมองไปยัง อาคาชิ เซย์จูโร่ อดีตกัปตันของรุ่นปาฏิหาริย์ที่เจอกันครั้งสุดท้ายหลังจากงานฉลองที่สามารถเอาชนะทีมต่างชาติที่นำโดย แนช โกลด์ จูเนียร์ สำเร็จ หลังจากตอนนั้นบุคลิกของอาคาชิก็เริ่มกลับมาสมดุลมากขึ้น เพราะทั้งสองบุคลิกต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือสาเหตุที่ว่าแม้บางครั้งจะใจดีและอ่อนโยน(โดยเฉพาะกับคุโรโกะ) แต่ในบางคราก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี แม้จะน่ากลัวน้อยกว่าปีที่แล้วที่เอากรรไกรมาถือเป็นว่าเล่นก็เถอะ

     

              “พวกนายรู้เรื่องการเรียนแลกเปลี่ยนรึเปล่า?” ท้ายที่สุดแล้วอดีตกัปตันทีมของพวกเขาก็เป็นคนเปิดหัวข้อสนทนา ทุกคนพยักหน้ารับ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุโรโกะแปลกใจไม่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาทุกคน(ถูกบังคับ)ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างเมืองเหมือนกัน

     

              “เท่าที่ฉันรู้ ก็เหมือนว่าจะมี 6 โรงเรียน” มิโดริมะ ชินทาโร่ ใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้นด้วยความเคยชิน นัยน์ตาคมเหลือบมองเพื่อนร่วมโต๊ะก่อนหยุดที่คุโรโกะเป็นคนสุดท้าย

     

              คิดยังไงๆนี่ก็ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ

     

              “เมืองที่พวกเราต้องไปก็คือเมืองนามิโมริ ระยะเวลาการแลกเปลี่ยนก็คือ 5 เดือน”

     

              “นี่มันเกือบเท่ากับระยะเวลาการไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศเลยนา มิโดชินไปรู้เรื่องพวกนี้จากไหนเหรอ”

     

              “อ่านในเอกสารน่ะสิ นี่อย่าบอกนะว่านายไม่ได้อ่านน่ะมุราซากิบาระ”

     

              มุราซากิบาระ อัตสึชิ ปิดปากหาวแล้วตอบเสียงยานคางตามปกติ “ก็มันขี้เกียจนี่นา..”

     

              “เชื่อนายเลยจริงๆ แต่ก็— ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” มือชู้ตแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ไหวไหล่ก่อนอุ้มตุ๊กตาหมีสีชมพูขึ้นมาวางไว้บนตัก เขาพอจะรู้นิสัยของทุกคนในที่นี้ดี ดังนั้นจึงพอจะเดาได้ว่านอกจากเขา คุโรโกะ และอาคาชิ คงไม่มีใครได้อ่านเอกสารนั่นแน่ๆ

     

              “นี่มิโดริมะ ฉันถามแกจริงๆนะ ตุ๊กตานั่นมันอะไร? ของนำโชค?

     

              “วันนี้รายการโอฮาอาสะทำนายว่าช่วงนี้ราศีกรกฎจะต้องโชคร้ายหากมีการเดินทางไปในที่ๆไม่อยากไป เพราะงั้นนี่คือสิ่งที่จะแก้ดวงของฉัน นายน่าจะรู้อยู่แล้วนี่ จะถามทำไมอีกอาโอมิเนะ งี่เง่าซะจริง”

     

              “หา!?อาโอมิเนะ ไดกิ คิ้วกระตุก รู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดคำจาของเพื่อนสมัยมัธยมต้นของตัวเองอย่างน่าประหลาด

     

              แต่ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนจะได้โวยวายอะไรให้มากความ บรรยากาศมาคุเล็กๆที่แผ่ออกมาจากตัวของกัปตันหนุ่มผมแดงก็ทำให้เขาต้องเงียบไปเสียก่อน

     

              “งั้นดูเหมือน คนที่ต้องไปก็คือนักกีฬาบาสตัวจริงของโรงเรียนราคุซัน เซย์ริน ไคโจ โทโอ ชูโตคุ และโยเซ็นสินะ”

     

              “ครับอาคาชิคุง แล้วก็ดูเหมือนว่าต้องเลือกระหว่างโค้ชกับผู้จัดการทีมว่าใครจะตามไป”

     

              “นายอ่านเอกสารพวกนั้นสินะคุโรโกะ ก็สมแล้วที่เป็นนาย ไม่เหมือนพวกบ้าแถวนี้” ว่าแล้วนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็เหล่มองสามแสบที่แทบจะสำลักน้ำในทันทีที่รู้ว่าตัวเองถูกพาดพิง

     

              “มิโดริมัจจินี่ใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะ”

     

              “นายมีปัญหารึไง?

     

              “ก็เปล่าหรอก อย่ามองด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นซี่”

     

              บรรยากาศโดยรอบโต๊ะเริ่มกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง คุโรโกะยิ้มบางก็เหตุการณ์ตรงหน้า ตั้งแต่หลังจากจบมัธยมต้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไป ไหนจะปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงมัธยมปลายปีหนึ่งทำให้ก็ห่างหายกันไปพร้อมสมควร ถึงแม้จะได้เจอและใช้เวลาร่วมกันในวันเกิดของเขาและงานเลี้ยงฉลองหลังแข่งชนะทีมต่างชาติในครั้งนั้น แต่นั่นมันก็เป็นเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว

     

              ก็คิดถึงบรรยากาศแบบนี้อยู่ไม่น้อย

     

              และทุกคนก็คงคิดเหมือนกัน สังเกตได้จากรอยยิ้มเล็กๆที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าแม้พวกเขาจะเถียงกันไปมา

     

              “ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนตอนม.ต้นสินะ” อาคาชิเท้าคางกับโต๊ะ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กๆที่ชวนให้นึกถึงเจ้าตัวที่เคยอ่อนโยนอยู่เสมอก่อนที่จะเปลี่ยนไปตอนขึ้นมัธยมต้นปี 3

     

              “นั่นสิครับ”

     

              อีก 1 สัปดาห์พวกเขาจะเดินทางไปยังนามิโมริ

     

             นี่อาจจะเป็น— โอกาสที่จะได้ชดเชยช่วงเวลาที่เสียไปในตอนนั้น

     

             โอกาสที่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง

     

              คุโรโกะแย้มยิ้มบาง

     

              “อีก 5 เดือนต่อจากนี้ ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

     

              พวกเขาต่างคาดหวังการใช้ช่วงเวลาที่แสนสงบสุขร่วมกัน ไปกินไอศกรีมกันหลังเลิกเรียน แล้วหลังจากนั้นก็ไปเล่นสตรีทบาสกันต่อ กิน เที่ยว หัวเราะด้วยกัน

     

              น่าเสียดายนัก ที่ชีวิตต่อจากนี้ของพวกเขาจะแตกต่างกับสิ่งที่พวกเขาคิดโดยสิ้นเชิง

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

     

     

     

              ภายในงานเลี้ยงเต้นรำขนาดใหญ่ของวองโกล่ เหล่าผู้ได้รับการเชื้อเชิญต่างพากันมาวาดลวดลายการเต้นรำบนฟลอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกเว้นไว้ตรงกลางของห้องโถง ภายนอกคือปราสาทขนาดใหญ่ และภายในก็ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรามีรสนิยม เพียงแค่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ซักครั้ง..ความสวยงามตระการตาของมันก็จะติดอยู่ในใจคนผู้นั้นตลอดไป

     

              “แด่วองโกเล่รุ่นที่ 10” ชายหนุ่มคนหนึ่งชูแก้วไวน์ในมือขึ้น ก่อนที่คนอื่นๆซึ่งละสายตาจากฟลอร์เต้นรำจะชูขึ้นตาม พวกเขาพูดอย่างพร้อมเพรียง

     

              “แด่วองโกเล่รุ่นที่ 10”

     

              ผู้คนเหล่านี้คือบรรดาหัวหน้ากลุ่มมาเฟีย ยากูซ่า คนสำคัญขององค์กรลับ หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์จากต่างประเทศที่มาเพื่อแสดงความยินดีแก่การดำรงตำแหน่งนภาอย่างเป็นทางการครบรอบ 1 ปีของวองโกเล่รุ่นที่ 10

     

    ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางในชุดสูทสีดำสนิทที่ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียด แสงไฟจากโคมไฟระย้าราคากว่าหลายล้านดอลลาร์สาดส่องลงมายังอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี เผยให้เห็นโครงหน้าหล่อหวานที่ประดับด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่มีประกายราวกับอัญมณี ริมฝีปากบางเฉียบที่กำลังยิ้มรับการแสดงความยินดีของแขกผู้มาเยือนอย่างเป็นธรรมชาติ

     

              นี่คือนภาผู้งดงามของวองโกเล่

     

              ซาวาดะ สึนะโยชิ

     

              นภาผู้ที่ทำให้วองโกเล่เข้าสู่ยุครุ่งเรื่องราวกับได้ย้อนกลับไปในสมัยวองโกเล่รุ่นที่ 1

     

              “ยินดีด้วยนะสึนะ”

     

              “ขอบคุณครับคุณดีโน่” ร่างเล็กยิ้มรับ แก้วทรงสูงซึ่งบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงชนกันเบาๆเพื่อเป็นการแสดงความยินดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในงานล้วนแต่อยู่ในสายตาของเหล่าผู้พิทักษ์ที่แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆของห้องโถง ส่วนหนึ่งก็เพื่อกระจายความสนใจของแขก และอีกส่วนก็เพื่อจับตามองบรรดาผู้มาเยือนที่อาจจะมีคนประสงค์ร้ายปะปนอยู่

     

              ซึ่งคนที่ดูจะรู้วิธีเข้าสังคมดีที่สุดก็คงไม่พ้นโกคุเดระและยามาโมโตะ มือขวาและมือซ้ายของผู้เป็นนภา ในส่วนของโกคุเดระนั้น..เพราะเจ้าตัวเกิดในตระกูลที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียและอำนาจมืด จึงไม่แปลกที่จะสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนยามาโมโตะนั้นเป็นคนยิ้มเก่ง แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์หรืออะไรมากนัก แต่เขาก็สามารถยิ้มไว้ก่อนแล้วถูๆไถๆไปได้

     

             คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คงจะเป็น..

     

              นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้สบเข้ากับดวงเนตรสีดำขลับของชายคนหนึ่งซึ่งเอาแต่เอนหลังพิงเสาพร้อมแผ่บรรยากาศมาคุออกมารอบตัวไม่หยุด ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ฮิบาริ

     

              อีกฝ่ายเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องไม่ชอบการสุมหัว ทั้งยังนิยมความรุนแรงและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งหมด เช่นเดียวกับผู้พิทักษ์อีกคนหนึ่ง

     

             ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก

     

              มุคุโร่

     

              อีกฝ่ายนั้นเกลียดมาเฟียเข้ากระดูกดำ ที่ยอมมาเข้าแฟมิลี่นี่ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสุดๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าชายหนุ่มเจ้าของเนตรสองสีคนนี้จะไม่เกิดคลั่งขึ้นมา เพราะแบบนั้นสึนะจึงอนุญาตให้มุคุโร่ลอบมองเหตุการณ์ทุกอย่างจากที่อื่นได้โดยไม่ต้องเข้ามาปะปนกับฝูงชน

     

              “ยินดีด้วยครับ วองโกเล่”

              “ผมได้ข่าวว่าคาสิโนที่คุณเปิดใหม่เป็นที่พูดถึงมากในบรรดาพวกคนมีเงินในยุโรป นี่เป็นความสำเร็จที่งดงาม”

              “ดิฉันพอใจกับของขวัญคราวก่อนมากค่ะ ไว้จะตอบแทนนะคะ”

              “คุณสนใจร่วมลงทุนการสร้างรีสอร์ทที่ครอบคลุมทั้งเกาะกับผมมั้ย แม้มันจะใช้งบเยอะหน่อย แต่โอกาสที่จะได้กำไรคุ้มทุนก็มีสูง”

              “จะว่าไปคุณก็ยังไม่มีคู่หมั้นใช่มั้ยคะ? ดิฉันมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง— “

              “ลูกสาวของผมรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเลยนะ เธอสวยมากและมารยาทดี คิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณ”

     

              นัยน์ตาสีมรกตของผู้พิทักษ์วายุฉายแววไม่พอใจนัก แรกๆที่มาแสดงความยินดีนู่นนี่หรือมาขอร่วมลงทุนยังพอว่า แต่ไอการเสนอลูกสาวของตัวเองให้นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ!? ว่าแล้วก็เหลือบมองผู้เป็นนายเหนือหัวของตนผู้ทำเพียงยิ้มรับโดยไม่ได้พูดอะไร มันคือการปฏิเสธทางอ้อม เขารู้ดี ถึงอย่างนั้นก็ยังอดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

     

              หากแต่ทั้งเขาแล้วก็เหล่าผู้พิทักษ์ที่ลอบมองผู้เป็นนภาอยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งดูแล้วก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเดินมุ่งตรงไปหาชายที่ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่มามุงล้อม

     

    “ท่านวองโกเล่” เสียงหวานใสนั้นตราตรึงใจใครหลายคนที่ได้พบ ผมสีบลอนด์ทองถูกเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย ถ้าจำไม่ผิด เธอคนนี้คือผู้สืบสายเลือดของนภาแห่งวองโกเล่รุ่นที่ 5 แม้แต่ในตอนนี้ครอบครัวของเธอก็ยังมีอิทธิพลในแฟมิลี่อยู่มาก เพราะถือเป็นหนึ่งในตระกูลอาวุโสที่เคยทำให้วองโกเล่รุ่งเรื่องในยุคหนึ่ง

     

    การปรากฎตัวของเธอทำให้เหล่าผู้มาเจรจาเพื่อเสนอบุตรสาวของตัวเองให้เป็นนายหญิงของวองโกเล่คนต่อไปต้องพับเก็บคำพูดเหล่านั้นแทบจะในทันที ในวงการของมาเฟียมีข่าวลือมากมาย และหนึ่งในนั้นคือข่าวลือที่ว่า มาเรีย เกรฟยาร์ด ได้ถูกจองตัวให้ขึ้นเป็นนายหญิงคนต่อไปของวองโกเล่เรียบร้อยแล้ว

     

    แน่นอนว่านั่นน่ะ ไม่จริงเลยซักนิด!!

     

              เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหลายขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆกับการที่ต้องมองนภาของพวกเขาถูกหญิงสาวคนนั้นพาไปเต้นรำที่กลางฟลอร์ พวกเขาล้วนรู้ดีว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อนสนิท สำหรับสึนะแล้วมาเรียถือเป็นไม้กันหมาชั้นเยี่ยมที่ทำให้เขาไม่ต้องแต่งงานกับบรรดาบุตรสาวที่พวกผู้ใหญ่แทบจะถวายให้เช้าเย็น และสำหรับมาเรีย สึนะก็มีความหมายกับเธอในลักษณะเดียวกัน

     

              เธอไม่ต้องการที่จะตกไปเป็นเหยื่อของการแกร่งแย่งอำนาจภายในหมู่พวกผู้อาวุโสของวองโกเล่

     

              อีกอย่าง ถ้าพูดถึงซาวาดะ สึนะโยชิในแง่ของความเป็นเพื่อน

     

              ก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดี

     

              “นายชักจะจัดเทศกาลนั่นบ่อยขึ้นนะ ครั้งนี้นานเท่าไหร่ล่ะ?

     

              ร่างโปร่งยิ้ม “5 เดือน

     

              “หืม? นานไม่ใช่ย่อย สนใจใครเป็นพิเศษรึเปล่า น่าเสียดายนะที่คางามิ ไทกะ คงไม่ได้เข้าร่วม ตอนนี้หมอนั่นอยู่อเมริกา ไม่ได้อยู่เซย์ริน” เธอกระซิบก่อนที่จะหมุนตัวไปตามจังหวะเพลงแล้วกลับมาอยู่ในท่าเดิมอีกครั้ง

     

              “ต่อให้ไม่มีคางามิ ก็ยังมีคนอื่นที่น่าสนใจนี่”

     

              “แล้วทำไมถึงจัดนานนักล่ะ ถ้าอยากได้..ก็เร่งรัดให้พวกนั้นมาเข้าแฟมิลี่เร็วๆซะสิ” เธอเลิกคิ้ว

     

              “ก็จริงอยู่ แต่มันก็ต้องทดสอบก่อนสิ ว่าพวกนั้นคู่ควรพอจะเข้าแฟมิลี่เหมือนที่ฉันคาดหวังไว้รึเปล่า” นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้พราวระยับราวกับดวงดาวที่เปล่งแสง มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยนั่นเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนกับหญิงสาวว่าเหตุผลที่จับตาดูคนพวกนั้นต้องไม่ใช่แค่เหตุผลบ้านๆอย่างพวกนั้นน่าสนใจแน่ๆ

     

             มันจะต้องมีเหตุผลอื่น..

     

              “ฉันหวังจริงๆนะมาเรีย ว่าคนพวกนั้นจะไม่ทำให้ฉันหมดความสนใจไปซะก่อน”

     

              และไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เธอก็ยังคงคิดว่าใครก็ตามที่ตัดสินใจจะเป็นศัตรูกับชายคนนี้ ถือว่าได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไปแล้ว

     

     

     

     

     

    ----------|----------|----------|----------|----------

    ตอนหน้าทั้งสองฝ่ายได้เจอกันแน่ค่ะ!!

    มาเรีย เกรฟยาร์ด เป็นคนดีนะคะ ฟีลแบบเพื่อนที่มีความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาอาศัย 

    พูดง่ายๆก็คือคบกันเพราะหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็เก่ง + มีอำนาจด้วยกันทั้งคู่ 



    รูปนี้คือรูปที่ตรงกับ มาเรีย เกรฟยาร์ด ในความคิดเราที่สุดค่ะ แหะๆ 

     

     

     

     

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×