คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Canival 01 :: What Does This Mean?
เสียงการกระทบกันของลูกบาสกับพื้นสนามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหล่านักกีฬาชมรมบาสเก็ตบอลแห่งโรงเรียนเซย์รินที่พึ่งชนะเลิศการแข่งขันวินเทอร์คัพไปเมื่อปีที่แล้วกำลังตั้งใจฝึกฝน
เพื่อพิชิตการแข่งขันอินเตอร์ไฮที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หลังจากที่ได้ครองแชมป์วินเทอร์คัพ
ชมรมบาสของพวกเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในทันที นั่นเป็นสาเหตุให้มีนักเรียนมากมายที่เลือกเข้าโรงเรียนนี้เพื่อที่จะเข้าชมรมบาส
และถึงแม้จะไม่มี คางามิ ไทกะ
ที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเอาดีด้านกีฬาบาสโดยเฉพาะ กับ คิโยชิ เทปเปย์
ที่ไปต่างประเทศเช่นกันเพื่อรักษาตัวให้หายดี
แต่พวกเขาก็ยังสามารถซ้อมแข่งกับนักกีฬาจากโรงเรียนชูโตคุได้อย่างสูสี
นั่นคือผลจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอของพวกเขา
เพราะเป้าหมายต่อไปที่ผู้เป็นโค้ชอย่าง
ไอดะ ริโกะ ตั้งเอาไว้ ก็คือการครองแชมป์ 2 สมัยซ้อน และหากทำไม่ได้
ผลที่ตามมาก็คือการวิ่งแก้ผ้าบอกรักคนที่แอบชอบรอบโรงเรียน!
“เอาล่ะพวกปีหนึ่งทั้งหลาย! บอกเป้าหมายที่จะทำในปีนี้เสียงดังๆให้ได้ยินชัดๆจากตรงนี้ซะ!!” โค้ชสาวซึ่งขึ้นปี 3 เข้าไปแล้วพูดจาเสียงดังฟังชัด ก่อนผายมือไปยังด้านล่างซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนโรงเรียนเซย์รินที่กำลังทำกิจกรรมตอนเช้าอยู่ในสนาม
“แต่นี่มันบนดาดฟ้านะครับโค้ช!”
“เถียงเหรอเจ้าปีหนึ่ง!?
รู้มั้ยว่าการทำแบบนี้จะทำให้พวกนายมีกำลังใจในการแข่งมากขึ้น
ดูพวกปีสองกับปีสามสิ นี่แหละคือสาเหตุที่เราชิงแชมป์วินเทอร์คัพปีที่แล้วได้!!”
“อ
เอ๋” เด็กปีหนึ่งราวๆยี่สิบคนโอดครวญ หากทำตามที่ประกาศออกไปไม่ได้ล่ะก็—
แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม
ท้ายที่สุดเหล่าเด็กปีหนึ่งผู้เข้าใหม่ทั้งหลายก็ยอมเรียงแถวตะโกนเป้าหมายในปีนี้ของตัวเองเสียงดังจนกลบเสียงของอาจารย์ที่ยืนถือไมค์อยู่หน้าแถวไปจนหมด
เด็กหนุ่มผมฟ้าซึ่งยืนเข้าแถวอยู่ในสนามเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงตะโกนเหล่านั้น
“ให้ตายสิ
โค้ชเอาอีกแล้ว..นายไม่ไปห้ามหน่อยเหรอคุโรโกะ”
ฟุริฮาตะซึ่งยืนอยู่แถวข้างๆเหลียวหน้ามาถาม คุโรโกะ เท็ตสึยะ ส่ายศีรษะ
“ขนาดกัปตันยังห้ามไม่ได้
แล้วผมจะห้ามได้ไงล่ะครับฟุริฮาตะคุง”
“อา
นึกถึงปีที่แล้วก็อายแปลกๆแฮะ” เด็กหนุ่มเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความรู้สึกอับอายยามนึกย้อนไปถึงความหลัง
ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงชิวาว่าที่ไม่รู้ประสีประสา
ยังไม่ทันได้ฝึกฝนตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ส่วนในตอนนี้น่ะเหรอ?
ก็ชิวาว่าเหมือนเดิมนั่นล่ะ
ฮ่าๆๆ
“ไม่ต้องอายไปหรอกครับฟุริฮาตะคุง
ผมว่าพวกเราค่อยอายตอนรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ไม่ได้ดีกว่า
ยังไม่อยากวิ่งเปลือยรอบโรงเรียนน่ะครับ”
“อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นซี่คุโรโกะ!”
พวกเขาพูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน
ชีวิตเด็กมัธยมปลายปีสองก็ไม่ได้แย่มากนัก แม้คางามิจะไม่อยู่แล้ว..แต่พวกเขาก็ยังพัฒนาตัวเองไม่หยุดหย่อน
นอกจากการเรียนที่หนักขึ้นนิดหน่อยก็มีการฝึกซ้อมนอกสถานที่มากขึ้น
โรงเรียนที่เห็นว่าชมรมได้สร้างชื่อเสียงให้จึงสร้างหลายสิ่งหลายอย่างให้ชมรมของเรา
ไม่ว่าจะสนามซ้อมที่ใหญ่ขึ้น ห้องเปลี่ยนชุดที่ใหญ่ขึ้น ห้องน้ำที่สวยขึ้น หรือแม้แต่อาคาร
2 ชั้นที่มีไว้เผื่อในกรณีที่นักกีฬาอยู่ซ้อมหรือเข้าค่ายฝึกซ้อมที่โรงเรียน
ไม่เห็นปีที่แล้วจะสนใจแบบนี้เลย
คุโรโกะคิดในใจ
แถมเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ในปีนี้ก็มีฝีมืออยู่หลายคนนัก
ในบรรดาตัวจริงที่ถูกเลือกขึ้นมาใหม่ ก็มีรุ่นพี่ฮิวงะที่เป็นกัปตันทีม
รุ่นพี่อิซึกิ รุ่นพี่มิโตเบะ คุโรโกะ ฟุริฮาตะ และเด็กปี 1
อีกหนึ่งคนที่มีแววว่าอาจจะมีสิทธิ์ได้เป็นตัวจริงตอนแข่งขัน
“แย่แล้วครับ! เมื่อกี้ผมเห็นโค้ชกำลังโดดดึ๋งๆมาที่โรงยิมล่ะ!” ฟุคุดะ
เพื่อนร่วมรุ่นของคุโรโกะและฟุริฮาตะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงยิม
โดยมีรุ่นพี่โคงาเนะผู้มีหน้าตาคล้ายแมวพยักหน้ารับหงึกๆเนื่องจากเห็นมากับตาเช่นกัน
“โดดดึ๋งๆ? แล้วยังไงเหรอครับ?”
“หายนะน่ะ”
ฮิวงะตอบคำถามของเด็กปีหนึ่งคนนั้นแทบจะในทันที
เหล่านักกีฬาปีสามปีสองซึ่งต่างรู้กิตติศัพท์ของการกระโดดดึ๋งๆของโค้ชสาวดีหน้าซีดฉับพลัน
ปัง!
“สวัสดีทุกคน~” หญิงสาวผู้เข้าสู่มัธยมปลายปี 3
แล้วทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนชูเอกสารบางอย่างในมือไปมา
เธอวิ่งมาหาพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มแป้นดูอารมณ์ดี
แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่ค่อยไว้วางใจนัก
“มีอะไรเหรอครับโค้ช”
คุโรโกะเอียงคอด้วยท่าทีฉงน
นัยน์ตาสีอะความารีนซึ่งปกติจะไร้ประกายดูเฉยชาฉายแววงุนงง(ปนกังวลนิดหน่อย)อย่างปิดไม่มิด
โค้ชสาวฉีกยิ้มปากกว้างกว่าเดิมในทันทีที่ถูกถาม
เธอชูเอกสารขึ้นมาเหมือนจะบอกเป็นนัยว่านี่ล่ะคือสิ่งที่เธอภูมิใจจะนำเสนอนักหนา
หญิงสาวกระแอมเสียงดังสองสามทีก่อนเปิดเอกสารออกมาสรุปเนื้อหาเสียงดังฟังชัดให้เหล่านักกีฬาตัวจริงและตัวสำรองที่ซ้อมอยู่ได้ยินกันอย่างทั่วถึง
“ให้สรุปแบบสั้นๆก็คือ
ทีมนักกีฬาบาสตัวจริงของโรงเรียนเซย์รินจะเป็นหนึ่งในทีมที่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนและทัศนศึกษาที่ต่างเมือง!”
“ต่างเมือง?”
“เรียนแลกเปลี่ยน?”
“เดี๋ยวนะโค้ช
ไอเรียนแลกเปลี่ยนเนี่ย..มันมีแลกเปลี่ยนระหว่างโรงเรียนด้วยเหรอ?”
“นั่นสิครับ”
ฟุริฮาตะให้การสนับสนุนคำถามของรุ่นพี่อิซึกิ
มันคือคำถามที่ใครหลายๆคนต่างกำลังข้องใจ
พวกเขาเคยได้ยินแต่การไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ
แต่การไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างเมืองแบบนี้— ไม่เห็นเคยจะได้ยินแฮะ
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะน่า
ไม่ดีใจรึไง? ได้เที่ยวเชียวนะ ได้เที่ยว!”
“ไม่ใช่เที่ยวซักหน่อย
มันเป็นการเรียนแลกเปลี่— “
“หุบปากไปอิซึกิ! พวกนายรู้มั้ยว่านี่เป็นโอกาสทองมาแค่ไหน?
มันเป็นโอกาสที่สมาคมนักกีฬาแห่งชาติของญี่ปุ่นมอบให้เราเลยนะ! อีกอย่างถ้าพวกนายไป
หลังกลับมาพวกนายก็สามารถยื่นขอโควตานักกีฬาเพื่อเข้ามหาลัยที่อยากเข้าได้ด้วย
ไม่ดีรึไง?”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผู้เป็นกัปตันทีมขมวดคิ้ว
“ฉันไม่คิดว่าสมาคมนักกีฬานั่นจะมีงบขนาดนั้นนา อีกอย่าง
ที่เธอบอกว่าพวกเราเป็นหนึ่งในทีมที่ได้ไป
นั่นก็หมายถึงมีทีมตัวจริงจากโรงเรียนอื่นอีกใช่มั้ยล่ะ?
มันมีงบมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็จริงนะครับโค้ช”
“คุโรโกะคุง?”
“ผมว่านี่มันก็แปลกไปหน่อย
มันเป็นโครงการที่ให้ผลประโยชน์กับพวกเรามากเกินไปด้วยซ้ำ คิดในแง่ของผลประโยชน์
การทำแบบนี้สมาคมนักกีฬาแทบจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ”
ริโกะพยักหน้ารับเหตุผลของลูกทีมผมฟ้าพลางพยายามคิดตามเงียบๆ
มันก็จริงอย่างที่คุโรโกะกับฮิวงะบอก พูดตามตรงแล้ว
นี่ออกจะเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
แค่งบสำหรับการจัดการแข่งขันอินเตอร์ไฮและวินเทอร์คัพนั่นก็มากโขแล้ว
แล้วนี่ยังเป็นกิจกรรมส่งทีมบาสจากหลายโรงเรียนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน?
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ..
“แต่พวกนายปฏิเสธมันไม่ได้หรอกนะ”
“เอ๋?”
“เพราะว่าเอกสารนี้มันไม่ใช่การเชิญให้พวกนายไป”
“....”
“แต่มันเป็นการบังคับว่าพวกนายต้องไป”
แบบนี้ก็ได้เหรอวะครับ!?
และด้วยเหตุการณ์นี้เอง..ที่ทำให้ในวันต่อมาเด็กหนุ่มผมฟ้าต้องมารวมตัวกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อีกครั้ง
ในวันนี้ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังที่เขาเคยมาทานกับคู่หูของตัวเองอย่างคางามิ
ไทกะอยู่บ่อยๆนั้นครึกครื้นไปด้วยผู้คน ในยาม 5
โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เหล่านักเรียนนักศึกษาจะเดินออกจากรั้วสถานศึกษาเพื่อมาพักผ่อนกลับกลุ่มเพื่อนสนิท
ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ทั่วร้าน คุโรโกะกำลังนั่งดื่มวนิลาเชคของโปรดตรงโต๊ะริมกระจก
นัยน์ตาสีอะความารีนมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้ง 5 ที่เอาแต่จ้องกันและกันโดยไม่พูดอะไร
“เอ่อ
ไหนๆก็ไม่ได้เจอกันเกือบ 3 เดือนแล้ว ไม่คิดจะพูดอะไรกันหน่อยเหรอครับ?” ร่างบางเอ่ยปากขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นรอบโต๊ะของพวกเขา
โดยมี คิเสะ เรียวตะ รีบช่วยผสมโรงอย่างไวเหมือนคิดไว้นานแล้วแต่ไม่กล้าพูด
“นั่นสิฮะ! แบบนี้มันน่าอึดอัดจะตาย!”
“เงียบไปเรียวตะ”
“อะ—
“ รีบหุบปากโดยฉับพลันเหมือนสั่งได้ ทั้งโต๊ะต่างเหลือบมองไปยัง อาคาชิ
เซย์จูโร่
อดีตกัปตันของรุ่นปาฏิหาริย์ที่เจอกันครั้งสุดท้ายหลังจากงานฉลองที่สามารถเอาชนะทีมต่างชาติที่นำโดย
แนช โกลด์ จูเนียร์ สำเร็จ
หลังจากตอนนั้นบุคลิกของอาคาชิก็เริ่มกลับมาสมดุลมากขึ้น
เพราะทั้งสองบุคลิกต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือสาเหตุที่ว่าแม้บางครั้งจะใจดีและอ่อนโยน(โดยเฉพาะกับคุโรโกะ)
แต่ในบางคราก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี
แม้จะน่ากลัวน้อยกว่าปีที่แล้วที่เอากรรไกรมาถือเป็นว่าเล่นก็เถอะ
“พวกนายรู้เรื่องการเรียนแลกเปลี่ยนรึเปล่า?” ท้ายที่สุดแล้วอดีตกัปตันทีมของพวกเขาก็เป็นคนเปิดหัวข้อสนทนา
ทุกคนพยักหน้ารับ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุโรโกะแปลกใจไม่น้อย
เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาทุกคน(ถูกบังคับ)ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างเมืองเหมือนกัน
“เท่าที่ฉันรู้
ก็เหมือนว่าจะมี 6 โรงเรียน” มิโดริมะ ชินทาโร่
ใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้นด้วยความเคยชิน
นัยน์ตาคมเหลือบมองเพื่อนร่วมโต๊ะก่อนหยุดที่คุโรโกะเป็นคนสุดท้าย
คิดยังไงๆนี่ก็ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ
“เมืองที่พวกเราต้องไปก็คือเมืองนามิโมริ
ระยะเวลาการแลกเปลี่ยนก็คือ 5 เดือน”
“นี่มันเกือบเท่ากับระยะเวลาการไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศเลยนา
มิโดชินไปรู้เรื่องพวกนี้จากไหนเหรอ”
“อ่านในเอกสารน่ะสิ
นี่อย่าบอกนะว่านายไม่ได้อ่านน่ะมุราซากิบาระ”
มุราซากิบาระ
อัตสึชิ ปิดปากหาวแล้วตอบเสียงยานคางตามปกติ “ก็มันขี้เกียจนี่นา..”
“เชื่อนายเลยจริงๆ
แต่ก็— ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
มือชู้ตแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ไหวไหล่ก่อนอุ้มตุ๊กตาหมีสีชมพูขึ้นมาวางไว้บนตัก
เขาพอจะรู้นิสัยของทุกคนในที่นี้ดี ดังนั้นจึงพอจะเดาได้ว่านอกจากเขา คุโรโกะ
และอาคาชิ คงไม่มีใครได้อ่านเอกสารนั่นแน่ๆ
“นี่มิโดริมะ
ฉันถามแกจริงๆนะ ตุ๊กตานั่นมันอะไร? ของนำโชค?”
“วันนี้รายการโอฮาอาสะทำนายว่าช่วงนี้ราศีกรกฎจะต้องโชคร้ายหากมีการเดินทางไปในที่ๆไม่อยากไป
เพราะงั้นนี่คือสิ่งที่จะแก้ดวงของฉัน นายน่าจะรู้อยู่แล้วนี่ จะถามทำไมอีกอาโอมิเนะ
งี่เง่าซะจริง”
“หา!?” อาโอมิเนะ ไดกิ คิ้วกระตุก
รู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดคำจาของเพื่อนสมัยมัธยมต้นของตัวเองอย่างน่าประหลาด
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนจะได้โวยวายอะไรให้มากความ
บรรยากาศมาคุเล็กๆที่แผ่ออกมาจากตัวของกัปตันหนุ่มผมแดงก็ทำให้เขาต้องเงียบไปเสียก่อน
“งั้นดูเหมือน
คนที่ต้องไปก็คือนักกีฬาบาสตัวจริงของโรงเรียนราคุซัน เซย์ริน ไคโจ โทโอ ชูโตคุ
และโยเซ็นสินะ”
“ครับอาคาชิคุง
แล้วก็ดูเหมือนว่าต้องเลือกระหว่างโค้ชกับผู้จัดการทีมว่าใครจะตามไป”
“นายอ่านเอกสารพวกนั้นสินะคุโรโกะ
ก็สมแล้วที่เป็นนาย ไม่เหมือนพวกบ้าแถวนี้” ว่าแล้วนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็เหล่มองสามแสบที่แทบจะสำลักน้ำในทันทีที่รู้ว่าตัวเองถูกพาดพิง
“มิโดริมัจจินี่ใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะ”
“นายมีปัญหารึไง?”
“ก็เปล่าหรอก
อย่ามองด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นซี่”
บรรยากาศโดยรอบโต๊ะเริ่มกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
คุโรโกะยิ้มบางก็เหตุการณ์ตรงหน้า ตั้งแต่หลังจากจบมัธยมต้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
ไหนจะปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงมัธยมปลายปีหนึ่งทำให้ก็ห่างหายกันไปพร้อมสมควร
ถึงแม้จะได้เจอและใช้เวลาร่วมกันในวันเกิดของเขาและงานเลี้ยงฉลองหลังแข่งชนะทีมต่างชาติในครั้งนั้น
แต่นั่นมันก็เป็นเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
ก็คิดถึงบรรยากาศแบบนี้อยู่ไม่น้อย
และทุกคนก็คงคิดเหมือนกัน
สังเกตได้จากรอยยิ้มเล็กๆที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าแม้พวกเขาจะเถียงกันไปมา
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนตอนม.ต้นสินะ”
อาคาชิเท้าคางกับโต๊ะ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กๆที่ชวนให้นึกถึงเจ้าตัวที่เคยอ่อนโยนอยู่เสมอก่อนที่จะเปลี่ยนไปตอนขึ้นมัธยมต้นปี
3
“นั่นสิครับ”
อีก 1 สัปดาห์พวกเขาจะเดินทางไปยังนามิโมริ
นี่อาจจะเป็น—
โอกาสที่จะได้ชดเชยช่วงเวลาที่เสียไปในตอนนั้น
โอกาสที่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
ใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง
คุโรโกะแย้มยิ้มบาง
“อีก
5 เดือนต่อจากนี้ ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
พวกเขาต่างคาดหวังการใช้ช่วงเวลาที่แสนสงบสุขร่วมกัน
ไปกินไอศกรีมกันหลังเลิกเรียน แล้วหลังจากนั้นก็ไปเล่นสตรีทบาสกันต่อ กิน เที่ยว
หัวเราะด้วยกัน
น่าเสียดายนัก
ที่ชีวิตต่อจากนี้ของพวกเขาจะแตกต่างกับสิ่งที่พวกเขาคิดโดยสิ้นเชิง
----------|----------|----------|----------|----------
ภายในงานเลี้ยงเต้นรำขนาดใหญ่ของวองโกล่
เหล่าผู้ได้รับการเชื้อเชิญต่างพากันมาวาดลวดลายการเต้นรำบนฟลอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกเว้นไว้ตรงกลางของห้องโถง
ภายนอกคือปราสาทขนาดใหญ่ และภายในก็ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรามีรสนิยม
เพียงแค่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ซักครั้ง..ความสวยงามตระการตาของมันก็จะติดอยู่ในใจคนผู้นั้นตลอดไป
“แด่วองโกเล่รุ่นที่
10” ชายหนุ่มคนหนึ่งชูแก้วไวน์ในมือขึ้น
ก่อนที่คนอื่นๆซึ่งละสายตาจากฟลอร์เต้นรำจะชูขึ้นตาม พวกเขาพูดอย่างพร้อมเพรียง
“แด่วองโกเล่รุ่นที่
10”
ผู้คนเหล่านี้คือบรรดาหัวหน้ากลุ่มมาเฟีย
ยากูซ่า คนสำคัญขององค์กรลับ หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์จากต่างประเทศที่มาเพื่อแสดงความยินดีแก่การดำรงตำแหน่งนภาอย่างเป็นทางการครบรอบ
1 ปีของวองโกเล่รุ่นที่ 10
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางในชุดสูทสีดำสนิทที่ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียด
แสงไฟจากโคมไฟระย้าราคากว่าหลายล้านดอลลาร์สาดส่องลงมายังอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี
เผยให้เห็นโครงหน้าหล่อหวานที่ประดับด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่มีประกายราวกับอัญมณี
ริมฝีปากบางเฉียบที่กำลังยิ้มรับการแสดงความยินดีของแขกผู้มาเยือนอย่างเป็นธรรมชาติ
นี่คือนภาผู้งดงามของวองโกเล่
ซาวาดะ สึนะโยชิ
นภาผู้ที่ทำให้วองโกเล่เข้าสู่ยุครุ่งเรื่องราวกับได้ย้อนกลับไปในสมัยวองโกเล่รุ่นที่
1
“ยินดีด้วยนะสึนะ”
“ขอบคุณครับคุณดีโน่” ร่างเล็กยิ้มรับ แก้วทรงสูงซึ่งบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงชนกันเบาๆเพื่อเป็นการแสดงความยินดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในงานล้วนแต่อยู่ในสายตาของเหล่าผู้พิทักษ์ที่แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆของห้องโถง ส่วนหนึ่งก็เพื่อกระจายความสนใจของแขก และอีกส่วนก็เพื่อจับตามองบรรดาผู้มาเยือนที่อาจจะมีคนประสงค์ร้ายปะปนอยู่
ซึ่งคนที่ดูจะรู้วิธีเข้าสังคมดีที่สุดก็คงไม่พ้นโกคุเดระและยามาโมโตะ
มือขวาและมือซ้ายของผู้เป็นนภา
ในส่วนของโกคุเดระนั้น..เพราะเจ้าตัวเกิดในตระกูลที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียและอำนาจมืด
จึงไม่แปลกที่จะสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนยามาโมโตะนั้นเป็นคนยิ้มเก่ง แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์หรืออะไรมากนัก
แต่เขาก็สามารถยิ้มไว้ก่อนแล้วถูๆไถๆไปได้
คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คงจะเป็น..
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้สบเข้ากับดวงเนตรสีดำขลับของชายคนหนึ่งซึ่งเอาแต่เอนหลังพิงเสาพร้อมแผ่บรรยากาศมาคุออกมารอบตัวไม่หยุด
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ฮิบาริ
อีกฝ่ายเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องไม่ชอบการสุมหัว
ทั้งยังนิยมความรุนแรงและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งหมด
เช่นเดียวกับผู้พิทักษ์อีกคนหนึ่ง
ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก
มุคุโร่
อีกฝ่ายนั้นเกลียดมาเฟียเข้ากระดูกดำ
ที่ยอมมาเข้าแฟมิลี่นี่ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสุดๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าชายหนุ่มเจ้าของเนตรสองสีคนนี้จะไม่เกิดคลั่งขึ้นมา
เพราะแบบนั้นสึนะจึงอนุญาตให้มุคุโร่ลอบมองเหตุการณ์ทุกอย่างจากที่อื่นได้โดยไม่ต้องเข้ามาปะปนกับฝูงชน
“ยินดีด้วยครับ
วองโกเล่”
“ผมได้ข่าวว่าคาสิโนที่คุณเปิดใหม่เป็นที่พูดถึงมากในบรรดาพวกคนมีเงินในยุโรป
นี่เป็นความสำเร็จที่งดงาม”
“ดิฉันพอใจกับของขวัญคราวก่อนมากค่ะ
ไว้จะตอบแทนนะคะ”
“คุณสนใจร่วมลงทุนการสร้างรีสอร์ทที่ครอบคลุมทั้งเกาะกับผมมั้ย
แม้มันจะใช้งบเยอะหน่อย แต่โอกาสที่จะได้กำไรคุ้มทุนก็มีสูง”
“จะว่าไปคุณก็ยังไม่มีคู่หมั้นใช่มั้ยคะ? ดิฉันมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง— “
“ลูกสาวของผมรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเลยนะ
เธอสวยมากและมารยาทดี คิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณ”
นัยน์ตาสีมรกตของผู้พิทักษ์วายุฉายแววไม่พอใจนัก
แรกๆที่มาแสดงความยินดีนู่นนี่หรือมาขอร่วมลงทุนยังพอว่า แต่ไอการเสนอลูกสาวของตัวเองให้นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ!? ว่าแล้วก็เหลือบมองผู้เป็นนายเหนือหัวของตนผู้ทำเพียงยิ้มรับโดยไม่ได้พูดอะไร
มันคือการปฏิเสธทางอ้อม เขารู้ดี ถึงอย่างนั้นก็ยังอดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
หากแต่ทั้งเขาแล้วก็เหล่าผู้พิทักษ์ที่ลอบมองผู้เป็นนภาอยู่ก็ต้องชะงัก
เมื่อมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งดูแล้วก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเดินมุ่งตรงไปหาชายที่ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่มามุงล้อม
“ท่านวองโกเล่”
เสียงหวานใสนั้นตราตรึงใจใครหลายคนที่ได้พบ
ผมสีบลอนด์ทองถูกเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย ถ้าจำไม่ผิด
เธอคนนี้คือผู้สืบสายเลือดของนภาแห่งวองโกเล่รุ่นที่ 5
แม้แต่ในตอนนี้ครอบครัวของเธอก็ยังมีอิทธิพลในแฟมิลี่อยู่มาก
เพราะถือเป็นหนึ่งในตระกูลอาวุโสที่เคยทำให้วองโกเล่รุ่งเรื่องในยุคหนึ่ง
การปรากฎตัวของเธอทำให้เหล่าผู้มาเจรจาเพื่อเสนอบุตรสาวของตัวเองให้เป็นนายหญิงของวองโกเล่คนต่อไปต้องพับเก็บคำพูดเหล่านั้นแทบจะในทันที
ในวงการของมาเฟียมีข่าวลือมากมาย และหนึ่งในนั้นคือข่าวลือที่ว่า มาเรีย
เกรฟยาร์ด ได้ถูกจองตัวให้ขึ้นเป็นนายหญิงคนต่อไปของวองโกเล่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่านั่นน่ะ
ไม่จริงเลยซักนิด!!
เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหลายขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆกับการที่ต้องมองนภาของพวกเขาถูกหญิงสาวคนนั้นพาไปเต้นรำที่กลางฟลอร์
พวกเขาล้วนรู้ดีว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อนสนิท สำหรับสึนะแล้วมาเรียถือเป็นไม้กันหมาชั้นเยี่ยมที่ทำให้เขาไม่ต้องแต่งงานกับบรรดาบุตรสาวที่พวกผู้ใหญ่แทบจะถวายให้เช้าเย็น
และสำหรับมาเรีย สึนะก็มีความหมายกับเธอในลักษณะเดียวกัน
เธอไม่ต้องการที่จะตกไปเป็นเหยื่อของการแกร่งแย่งอำนาจภายในหมู่พวกผู้อาวุโสของวองโกเล่
อีกอย่าง
ถ้าพูดถึงซาวาดะ สึนะโยชิในแง่ของความเป็นเพื่อน
ก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดี
“นายชักจะจัดเทศกาลนั่นบ่อยขึ้นนะ ครั้งนี้นานเท่าไหร่ล่ะ?”
ร่างโปร่งยิ้ม
“5 เดือน”
“หืม? นานไม่ใช่ย่อย สนใจใครเป็นพิเศษรึเปล่า น่าเสียดายนะที่คางามิ ไทกะ
คงไม่ได้เข้าร่วม ตอนนี้หมอนั่นอยู่อเมริกา ไม่ได้อยู่เซย์ริน” เธอกระซิบก่อนที่จะหมุนตัวไปตามจังหวะเพลงแล้วกลับมาอยู่ในท่าเดิมอีกครั้ง
“ต่อให้ไม่มีคางามิ
ก็ยังมีคนอื่นที่น่าสนใจนี่”
“แล้วทำไมถึงจัดนานนักล่ะ
ถ้าอยากได้..ก็เร่งรัดให้พวกนั้นมาเข้าแฟมิลี่เร็วๆซะสิ” เธอเลิกคิ้ว
“ก็จริงอยู่
แต่มันก็ต้องทดสอบก่อนสิ
ว่าพวกนั้นคู่ควรพอจะเข้าแฟมิลี่เหมือนที่ฉันคาดหวังไว้รึเปล่า”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้พราวระยับราวกับดวงดาวที่เปล่งแสง มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยนั่นเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนกับหญิงสาวว่าเหตุผลที่จับตาดูคนพวกนั้นต้องไม่ใช่แค่เหตุผลบ้านๆอย่างพวกนั้นน่าสนใจแน่ๆ
มันจะต้องมีเหตุผลอื่น..
“ฉันหวังจริงๆนะมาเรีย
ว่าคนพวกนั้นจะไม่ทำให้ฉันหมดความสนใจไปซะก่อน”
และไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน
เธอก็ยังคงคิดว่าใครก็ตามที่ตัดสินใจจะเป็นศัตรูกับชายคนนี้ ถือว่าได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไปแล้ว
----------|----------|----------|----------|----------
ตอนหน้าทั้งสองฝ่ายได้เจอกันแน่ค่ะ!!
มาเรีย เกรฟยาร์ด เป็นคนดีนะคะ ฟีลแบบเพื่อนที่มีความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาอาศัย
พูดง่ายๆก็คือคบกันเพราะหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็เก่ง + มีอำนาจด้วยกันทั้งคู่
รูปนี้คือรูปที่ตรงกับ มาเรีย เกรฟยาร์ด ในความคิดเราที่สุดค่ะ แหะๆ
ความคิดเห็น