ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic : Harry Potter & Fantastic Beasts │Moon of Destiny.

    ลำดับตอนที่ #9 : 07 | Slap old hag.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      176
      29 พ.ย. 64







    07

    Slap old hag







                ซินเซียกะพริบตาพิจารณานิวท์ สคามันเดอร์อย่างเชื่องช้า อ่าห์—เขาช่างสุกสว่างชวนแสบตาดังเคยไม่มีผิด ผมสีน้ำขิง ใบหน้าตกกระกับรอยยิ้มของเขาทุกอย่างหลอมรวมเป็นความอบอุ่นที่ชวนให้ผ่อนคลาย  ยิ่งแสงอาทิตย์สีเหลืองนวลที่ลอดผ่านหน้าต่างทรงกลมสาดส่องอาบร่างของเขา ถ้าไม่รู้จักนิวท์มาก่อนละก็ ซินเซียคิดว่าเธอตื่นมาเจอเทพบุตรเสียอีก


                เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอมานั่งมองผู้ชายแบบนี้สิ เด็กสาวยกมือเคาะหัวตัวเองหลายครั้ง ยัยซินเซียเธอควรดึงสติกลับมาที่สถานที่ที่เธออยู่ก่อนนะ


                เด็กสาวเปลี่ยนมาเลื่อนสายตาสำรวจโดยรอบ ตอนนี้เธออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดไม่กว้างมากนัก กำแพงด้านข้างก็ทำจากแผ่นเหล็กหนาและมีหน้าต่างทรงกลมขนาดไม่ใหญ่เท่าไร พอให้แสงจากด้านนอกสาดส่องถึง จากการประมาณการณ์หลายๆสิ่ง เธอคิดว่าเธอมาอยู่บนเรือสำราญซะแล้ว


                “หืมม์!!?  ขณะที่ซินเซียกำลังใช้สมองใคร่ครวญ จู่ๆนิวท์ สคามันเดอร์ก็เอื้อมมือสองข้างมาจับใบหน้า เขาควบคุมให้หน้าของเธอหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังพิจารณาของมีค่าบางอย่าง เด็กสาวส่งเสียงอู้อี้ทักท้วงพร้อมทั้งจับมือหนาเป็นการบอกโดยนัยเพื่อให้เขาหยุดการกระทำ  “พี่นิวท์กำลังทำอะไรคะ”


                “โทษทีนะซินเซีย”  เขาเอ่ยอย่างสุภาพคละเหนียมอายดังเคย  “ผม....ผมแค่แปลกใจ”


                “แปลกใจอะไรเหรอคะ?


                “ตัวเธอไม่โปร่งใสแล้ว”  นิวท์พูดและผายมือไปที่ตัวเด็กสาว


                ซินเซียก้มมองทันที เธอยกแขนสองข้างชูขึ้นแล้วลูบๆวนๆกับใบหน้าและลำคอของตัวเอง จริงด้วย ตัวเธอไม่โปร่งใสจนมองทะลุได้แล้วตอนนี้เธอมีเนื้อหนังมังสาปกติไม่ต่างอะไรจากช่วงเวลาเดิมเลย  “พี่นิวท์!  เธอส่งสายตาเป็นประกายแล้วกระโดดกอดชายหนุ่มแน่น หวีดร้องด้วยความดีใจ


                “อะ อื้ม โอเค”  นิวท์เบิกตาโพลง ยืนแข็งค้าง มือไม้สองข้างชูเหนืออากาศ โดยที่ไม่รู้จะวางสองมือไว้ตรงไหน เขาจึงไพล่สองแขนไปด้านหลังไม่กล้าแม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวเธอ จากนั้นเขากระแอมไอ สะกิดให้เด็กสาวออกจากตัว  “อะแฮ่ม ซินเซีย—ก่อนจะดีใจ ผมคงต้องขออธิบายสถานที่ที่เราจะมุ่งไปหน่อยนะ 


                “อ้อ ได้เลยค่ะ”  เธอพยักหน้ารับ


                หลังจากชายหนุ่มอธิบายเสร็จสรรพ ซินเซียได้รู้สาเหตุที่ทำให้นิวท์ สคามันเดอร์มาเยือนนิวยอร์ก  เขาต้องการมาหานักผสมพันธุ์สัตว์วิเศษเพื่อให้เป็นของขวัญวันเกิดกับใครสักคน ก่อนตัวเขาจะมุ่งหน้าไปอาริโซน่าเพื่อปล่อยธันเดอร์เบิร์ดที่ชื่อว่าแฟรงค์อันเป็นเป้าหมายหลักในการเดินทาง


                “ยังมีเวลาอีกชั่วโมง” นิวท์กล่าวค่อยๆ “ผมว่าคุณลงมาอยู่ในนี้ดีกว่า เราจะได้คุยกันง่ายขึ้นด้วย”


                “ในนี้หมายถึงในไหนเหรอคะ” ซินเซียขมวดคิ้วสงสัย


                เขาไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่หยิบกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลออกมาจากใต้เตียง เปิดมันแล้วก็เดินลงไปในนั้น  “เคราเมอร์ลิน”  ซินเซียทำตาโตเมื่อเห็นร่างคนทั้งคนหายเข้าไปในปากกระเป๋าแคบๆ รู้หรอกนะว่านี่คือโลกเวทมนตร์ ต้องมีเรื่องอะไรประหลาดอีกมากแต่เธอก็ยังไม่คุ้นชินกับการใช้งานพวกอุปกรณ์วิเศษต่างๆ ที่นอกเหนือจากไม้กวาดได้เลย ถึงแม้ความจริงเธอจะเคยตกจากไม้กวาดก็เถอะ


              ซินเซียยึกยักอยู่นาน และในที่สุดเธอตัดสินใจลงไปในกระเป๋า โชคยังดีที่มีบันไดขนาดพอดีกับฝ่าเท้าให้เธอก้าวลงได้ แม้ใจจะภาวนาไม่ให้ตนเองเหยียบพลาดเพียงก้าวเดียวก็ตาม ทันทีที่เท้าเธอถึงพื้นไม้อย่างปลอดภัย สิ่งแรกที่เธอได้ยินผ่านประตูที่ถูกเปิดออกก็คือ เสียงร้องต่างๆ นานาของสัตว์วิเศษมากมาย


                “มาสิ”  นิวท์กวักมือเรียก เขาชะโงกหัวผ่านทางประตูแล้วส่งยิ้มละไม แม้ท่าทางของเขาจะรับประกันความปลอดภัยให้เด็กสาว แต่ซินเซียไม่ได้รู้สึกเบาใจขึ้นเลย


                ถึงกระนั้นขาของเธอก็เดินไปหาชายหนุ่มตามคำเรียก และเมื่อเธอก้าวขาพ้นจากประตู เธอสาบานเลยว่าหากไม่ออกมา เธอคงพลาดกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้ไปแล้ว ซินเซียยกมือปิดปากที่อ้าค้าง กลั้นเสียงหวีดร้องสุดเสียงเท่าที่ทำได้ ตอนนี้ใจเธอเต้นระรัวจากอาการตื่นเต้นที่กักเก็บแทบไม่อยู่


                “นี่หนูหลุดมาในเมืองลับแลที่ไหนอีกแล้วรึเปล่า”  เธอกล่าวลอยๆ มองสัตว์วิเศษรอบตัวกับอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลเกินจะเป็นด้านในกระเป๋าวิเศษธรรมดา คิดว่าชั้นใต้ดินบ้านของนิวท์น่าอัศจรรย์แล้ว แต่กระเป๋าใบนี้มีพื้นที่กว้างและหลากหลายแตกต่างจากที่บ้านมากกว่า


                มันมีทั้งด้วงยักษ์กลิ้งมูล ตัวด็อกซี่ที่บินเป็นฝูงราวใบไม้ที่ปลิวว่อนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตัวดิริคอว์ลขนสีฟ้าสวยหรือมักเกิ้ลมักเรียกพวกมันว่านกโดโด้วิ่งเตาะแตะผ่านนันดุไป  ใช่—ตัวนันดุสัตว์วิเศษที่กระทรวงเวทมนตร์จัดให้อยู่ในระดับ xxxxx เด็กสาวยืนแข็งค้าง เพราะตัวนันดุอันตรายถึงระดับเพชฌฆาต ลมหายใจของมันมีพิษที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ทั้งหมู่บ้าน


                ซินเซียทำหน้าเลิ่กลั่ก ชี้มือสั่นๆ ไปที่ตัวนันดุพลางส่งสายตาถามหาการการันตีความปลอดภัยจากนิวท์  “ผมรับรองว่ามันจะไม่ทำร้ายใคร มันค่อนข้างน่ารักนะ” ซึ่งเขาแค่ลูบบ่าเด็กสาวเบาๆ เป็นการปลอบขวัญด้วยดวงตาเป็นประกายเปี่ยมสุขที่ดูแตกต่างจากยามปกติ แล้วจัดแจงลากซินเซียเดินชมด้านในไม่ต่างอะไรกับไกด์พาทัวร์สวนสัตว์


                ทว่าความกังวลคละความกลัวถูกขจัดทิ้งไปไกล เมื่อซินเซียสัมผัสได้ถึงตัวอะไรบางอย่างที่มากระโดดเกาะบนไหล่ เธอพยายามหันเหศีรษะหามัน ตามองไม่เห็นก็จริงแต่ผิวกายยังรับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของขนที่โอบรัดรอบคอ เธอจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือ ตัวเดมิไกส์


                “เดมิไกส์น่ะ”  นิวท์พูดขึ้นพร้อมๆ กับความคิดของซินเซีย เขาเอ่ยเรียกชื่อมันด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย มันเป็นเสียงดุที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเกินกว่าที่ใครจะได้ยิน  “ดูเกิล อย่าแกล้งเธอสิ” พอพูดจบตัวเดมิไกส์ของเขาก็ปราฏกายออกมา ชายหนุ่มยืนมองเพื่อนของเขาใช้ขนสีเงินงดงามดุจแพรไหมถูไถเล่นหยอกเย้ากับเด็กสาว ปกติตัวเดมิไกส์นั้นเป็นสัตว์ที่รักสงบ แต่เพื่อนของเขาทุกตัวมักจะไม่คุ้นชินกับคนแปลกหน้า พวกมันมักจะระวังตัวเสมอ


                แต่กรณีของซินเซียคงเป็นข้อยกเว้นนับตั้งแต่ตอนที่เธอมาโผล่ที่บ้านของเขา พวกสัตว์นั้นมันไว้ใจเธอเสียจนน่าประหลาดราวกับว่าเธอมีสิ่งดึงดูด  ชายหนุ่มจ้องเด็กสาวที่กอดตัวเดมิไกส์กลม เขาคงไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังอมยิ้มด้วยสีหน้าแบบไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารับรู้คือ เธออบอุ่นชวนให้ใจสงบ


                พวกสัตว์เองก็คงรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้ง?


                “ขนมันนุ่มมากเลย”  ซินเซียหัวเราะ มือลูบคลำขนเดมิไกส์ จากนั้นเธอก็วกกลับมาถึงประเด็นที่ชายหนุ่มชักชวนเธอลงมาในกระเป๋า “แล้วสรุปพี่นิวท์จะคุยอะไรกับหนูเหรอคะ”


                “เปล่า—แต่ก็ไม่เชิง”  นิวท์พูดด้วยความสับสน  “คือ ผมก็แค่อยากให้คุณอยู่ในนี้จนกว่าผมจะกลับอังกฤษ”


                “ตายพอดี!!” ซินเซียร้อง อันดับแรกเธอรู้ว่าที่เขาขอให้เธออาศัยอยู่ในกระเป๋าวิเศษก็เพราะเพื่อความปลอดภัยของเธอส่วนหนึ่ง เนื่องจากเธอไม่ใช่คนของช่วงเวลานี้ แต่เธอก็ไม่ทราบช่วงเวลาที่เขาจะกลับอังกฤษ ที่แน่ๆ เธอเดาว่าอย่างต่ำที่เขาจะทำธุระเสร็จคงราวๆ หนึ่งถึงสองเดือนได้ อีกข้อคือซินเซียเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่า เธอจะย้อนกลับไปช่วงเวลาของเธอตอนไหน เพราะขนาดรอบที่แล้ว เธอยังต้องอยู่กับเขาเกือบอาทิตย์เลย


                “หนูไม่เอานะ!”  ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเสียงแข็ง เรื่องนอนไม่มีปัญหา แต่เขาจะมีเวลาหรือความจำมาพะวงกับการหาอาหารการกินให้เธอตลอดเวลารึเปล่า ซึ่งไม่อย่างแน่นอน


                “ถ้างั้นอดทนอยู่ในนี้จนกว่าผมจะผ่านด่านตรวจของพวกมักเกิ้ลได้ไหม?  นิวท์เสนอเงื่อนไข  “หลังจากนั้นผมจะให้คุณออกจากกระเป๋า แต่ก่อนหน้านั้น....”


                “ก่อนหน้านั้น?  เธอทวนคำ


                “ผมต้องจัดการกับเสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับยุคสมัยนั่น”  เขาพูดพลางพิจารณาเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็หยิบไม้กายสิทธิ์ที่เหน็บตรงกระเป๋ากางเกงขึ้นตวัดกลางอากาศ


                นิวท์ร่ายคาถาไร้เสียง ชุดนอนของซินเซียเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่เข้ากับช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง “แบบนี้น่าจะใช้ได้นะ” เขาไม่ค่อยถนัดเรื่องแฟชั่นของพวกผู้หญิงเท่าใดนัก สิ่งที่เสกออกมามันมาจากนิตยสารเสื้อผ้าของแม่ในความทรงจำ


                ซินเซียก้มมองเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไป เธอไม่ได้ใส่ชุดนอนสีขาวอีกแล้ว นิวท์เสกชุดกะลาสีแขนยาวสีแดงกับกระโปรงทรงพลีทสีขาวที่ยาวคลุมเข่า ถุงเท้าสีดำยาวและรองเท้าบูธคลุมข้อแบบไร้ส้น ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ชุดกะลาสียังคงเป็นรูปแบบเสื้อผ้าที่เหมาะกับเด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่นตอนต้นเสมอมา


                เสื้อผ้าของสาวๆ ยุคนี้มักจะคอลึกเพราะพวกเธอต้องการให้คอดูยาวเป็นระหง มาตรฐานความงามของสาวยุคปี 1910  เป็นต้นมานับสิบปีได้ แต่เสื้อผ้าส่วนอื่นๆ นั้นค่อนข้างหลวมโพรกไม่ให้เห็นสัดส่วนและผู้หญิงยุคนี้นิยมตัดผมสั้นกับสวมใส่หมวกมากกว่าเสียด้วย


                หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณหนึ่ง นิวท์ออกมาจากกระเป๋าวิเศษเพื่อเตรียมตัวก่อนที่เรือสำราญจะเทียบท่าบนฝั่งนิวยอร์ก เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กยาวที่ถูกตรึงไว้กับพื้นเรือ ตัวล็อกกระเป๋าวิเศษของเขาเด้งดังเป๊าะ “อีกนิดเดียวนะมาร์ตี้—ซินเซีย” เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา หยิบกระเป๋าขึ้นมากอดอย่างหวงแหน


                ไม่นานนัก เรือที่เขาโดยสารก็จอดเทียบท่า เขาต้องผ่านมักเกิ้ลเพื่อให้พวกเขาตรวจสอบหนังสือเดินทางเข้าประเทศ เป็นเวลาระทึกเกือบร่วมหลายนาทีที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นข้อมูลเคลือบแคลงความผิดปกติของกระเป๋าวิเศษ โชคดีที่กระเป๋าของเขามีระบบปกป้องการมองเห็นของมักเกิ้ล พวกเขาจะเห็นเพียงสัมภาระของใช้ทั่วไปเท่านั้น


                สำหรับเขาการผ่านด่านตรวจค้นคนเข้าเมืองมาได้ทำให้เขาหายใจหายคอสะดวก นิวท์อาศัยแฝงตัวไปยังที่ลับตาคนเพื่อให้เด็กสาวออกมาสูดอากาศนอกกระเป๋า


                “ฟู่ว ข้างนอกที่มีท้องฟ้ามันดีกว่าเยอะ”  ซินเซียพ่นลม ดื่มด่ำกับท้องฟ้าที่เป็นท้องฟ้าจริงๆ 


                “อย่าลืมที่เราสัญญากันเด็ดขาดนะ”  นิวท์ห้ามปรามความลิงโลดของเด็กสาว เขาย้ำเตือนถึงข้อตกลงที่คุยกันไว้


                “สัญญาค่ะ”  ซินเซียชูนิ้วก้อยขึ้น แล้วเอื้อมจับมือชายหนุ่มให้มาเกี่ยวก้อยกันเป็นการตอกย้ำข้อสัญญา “หนูจะอยู่กับพี่นิวท์ตลอดไม่ให้ห่าง ห้ามทำตัวโดดเด่นหรือน่าสงสัยให้พวกมือปราบรู้ตัว ห้ามใช้เวทมนตร์และหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาโชว์ข้างนอก หากมีอะไรผิดปกติให้รีบกลับเข้ากระเป๋าไปทันทีที่ทำได้”


                “ดีมากซินเซีย”  เขาลูบหัวเธอ


                จากนั้นเขาก็เดินเข้าเมืองอย่างฉับไวชนิดที่ซินเซียเดินตามแทบไม่ทัน เพราะกลัวพลัดหลงเด็กสาวจึงจับชายเสื้อโค้ทของเขาไว้ตลอด นิวท์ สคามันเดอร์รับรู้ถึงแรงดึงจากมือเล็ก เขาจึงชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้เธอสามารถเดินไปพร้อมกับเขาได้ พวกเราสองคนเดินมาถึงตึกที่ท่าทางเหมือนธนาคารของมักเกิ้ล หน้าตึกนั้นมีคนออเต็มไปหมดนอกเหนือจากคนที่มาใช้บริการในธนาคาร ตรงปลายบันไดมีหญิงวัยกลางคนกำลังปราศัยอยู่หน้าแผ่นป้ายเชื้อเชิญที่เขียนว่า NS.PS กลุ่มการกุศลซาเล็มที่สอง


                ระหว่างที่นิวท์ถูกแกนนำที่เป็นหญิงวัยกลางคนเรียก แล้วกลายเป็นจุดรวมสายตานับตั้งแต่ที่มีคนเดินสะดุดกระเป๋าของเขาและล้มลงไป  สายตาของซินเซียก็สะกิดเข้ากับเจ้าตัวนิฟเฟลอร์ที่กำลังพยายามแหวกกระเป๋าออกมา เธอพุ่งตัวทันทีเพื่อหมายจะจับมันยัดกลับเข้ากระเป๋า แต่ดูเหมือนมันไวกว่าเธอหลายเท่า เจ้าตัวนิฟเฟลอร์มันกระโดษออกมาเรียบร้อย โผล่อีกทีมันก็คว้าหมวกของขอทานที่เต็มไปด้วยเหรียญแวววาวและหายตัวไป


                ซวยแล้ว นั่นคือคำที่ผุดขึ้นมาในหัว ที่นี่คือธนาคารและเธอไม่อยากคิดเลยว่าเจ้าตัวจ้อยนั่นจะก่อความวุ่นวายขนาดไหน


                ซินเซียวิ่งแหวกคนมุงด้านหน้าเพื่อตามเจ้านิฟเฟลอร์ตัวแสบกลับมาให้ไวที่สุด เธอรีบวิ่งขึ้นบันไดหินอ่อน แต่เวรเจ้ากรรมขาดันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาขัดแล้วตัวเธอก็กลิ้งหลุนๆกระแทกกับเด็กหนุ่มที่ยืนแจกใบปลิวอยู่ เธอกับเขาล้มระเนระนาดบนถนนฟุตบาท ใบปลิวของกลุ่มการกุศลซาเล็มที่สองปลิวว่อนเกลื่อนถนน หมวกของชายหนุ่มคนนั้นหล่นมาปิดทับใบหน้าเธอ พอมาคิดดีๆ แล้ว นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอกลิ้งตกจากบันไดในช่วงเวลาอื่น


                “อูย—“  เด็กสาวร้องซี้ดด้วยความเจ็บแสบตรงหัวเข่า  ซินเซียรีบกระเด้งตัวจากพื้น นิวท์หายไปแล้ว เขาคงรู้สึกตัวว่าเจ้านิฟเฟลอร์มันหลุดออกจากกระเป๋า ยังดีที่เธอไม่ต้องห่วงว่าเจ้าสัตว์วิเศษที่ชอบของเป็นประกายจะถูกมนุษย์พบ ทว่าตอนนี้เธอกลับถูกผู้ใหญ่บริเวณนั้นรายล้อมมามุงถามว่าเป็นอะไรไหมไปต่างๆ นานาแทน


                ดูเหมือนเธอจะละเมิดสัญญาข้อแรกที่ให้ไว้กับนิวท์ สคามันเดอร์ไปโดยปริยาย  “หนูขอโทษนะคะพี่นิวท์” เธอบ่นอุบอิบ


                หนูกลายเป็นจุดสนใจซะแล้วค่ะ


                “แม่หนูเป็นอะไรรึเปล่า?”  หญิงวัยกลางคนที่ประกาศเรื่องแม่มดเข้ามาดูเธอ


                “ไม่เป็นอะไรค่ะ”  เธอส่ายหน้าแล้วก็หันไปหาเด็กหนุ่มที่กลิ้งตกมาพร้อมกับเธอ ซินเซียเอื้อมมือไปให้ ซึ่งเขาทำหน้าลังเลเพียงครู่ก่อนจะส่งยื่นมือตอบกลับให้เธอฉุดรั้งเขาขึ้นยืน “เฮ้ นายเป็นอะไรไหม?”


                “มะ ไม่” เขาตอบเสียงตะกุกตะกัก ไม่แม้แต่จะสบตาคู่สนทนา “ขา....เธอ”


                ซินเซียก้มมองขาตน โอ้ว—ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงแสบสุดๆ ขาเธอเป็นแผลถึงขนาดที่ถุงเท้าขาดเป็นรูเหวอะเลยล่ะ


                “แล้วนี่หนูมาจากไหน แล้วพอแม่หนูล่ะ”  เป็นอีกครั้งที่หญิงวัยกลางคนถาม


                ซินเซียกำลังอ้าปากตอบ ทว่าจู่ๆภายในธนาคารก็มีเสียงอึกทึก ดูเหมือนมันจะเป็นสัญญาณกันขโมยของธนาคาร ผู้คนในตึกเริ่มวิ่งกรูออกมา  “มากับฉัน เด็กๆไปเร็ว!!” หญิงวัยกลางคนคนนั้นจับข้อมือและก็ลากเธอเผ่นแนบออกมาจากตรงนั้นด้วยแรงมหาศาล ความชุลมุนวุ่นวายของผู้คนจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลราวกับหนีตายออกจากธนาคาร ทำให้เธอไม่อาจขัดขืนหรือหนีออกมาจากฝูงชนได้เลย


                รู้ตัวอีกที ซินเซียก็มาอยู่ในโบสถ์เก่าๆ เธอคิดว่าเป็นโบสถ์ที่ดูเหมือนสถานสงเคราะห์ หรือบางทีนี่อาจเป็นสมาคมของคนคลั่งศาสนาอะไรบางอย่าง หากเป็นโบสถ์มันควรมีเก้าอี้ยาวที่สามารถให้ผู้คนมาสวดภาวนาได้ ไม่รู้สิ—เธอเองก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน


                “โอ๊ย!” เธอร้องลั่น ก้มมองเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังทำแผลให้ในห้องนอนของเขา ส่วนที่ต้องมาในห้องนอนของผู้ชายก็เพราะข้างล่างเต็มไปด้วยเด็กกำพร้ากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ และเธอไม่คิดว่าแอลกอฮอลล์ของยุคนี้มันจะแสบกว่ายุคของเธอหลายเท่า นี่มันแสบเสียจนพานให้น้ำตาไหล เธอไม่ได้ลิ้มรสการทำแผลแบบคนปกติที่ไม่ใช่วิธีของผู้วิเศษมานาน


                “ขะ ขอโทษ”  เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย


                “ขอโทษทำไม ไม่ต้องขอโทษหรอก”


                “คือผม....”


                “นายจะบอกว่านายอยากขอโทษที่เป็นคนขัดขาฉันใช่ไหม?”  ซินเซียจ้องหน้าเขาที่ดูเหมือนตกใจว่าเธอรู้ได้อย่างไร  เธอไม่รู้หรอกว่าเขาทำยังไงหรือใช้อะไรที่สามารถขัดขาเธอได้โดยที่ไม่แม้แต่จะขยับตัว รู้แต่ว่าพอเธอวิ่งผ่านตัวเขาขึ้นบันไดไปได้แค่ก้าวเดียว ตัวเธอก็ลอยหวือนอนแผ่บนถนนนั่นแหละ


                พอเห็นเด็กหนุ่มรูปงามที่ตัวโตกว่านั่งทำหน้าหงอย ตาปริบๆ ซินเซียกลับรู้สึกผิดเสียแทน “เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าถ้าอยากจะขอโทษฉัน หลังจากทำแผลเสร็จแล้วก็ช่วยฉันออกตามหาพี่ชายด้วย โอเคนะ”


                “ได้” เขาพยักหน้า


                “ทีนี้ตาฉันทำแผลให้นายบ้าง ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ ฉันซินเซียนะ ซินเซีย มัลฟอย” ซินเซียหยิบขวดแก้วแอลกอฮอลล์พร้อมทั้งเอ่ยปากถามและแนะนำตัวเอง


                “ผมครีเดนซ์ แบร์โบน” ครีเดนซ์ตอบเสียงดังมากขึ้น เขาดูสดใสมากกว่าเดิมเล็กน้อย


                “โอ้ว ชื่อครีเดนซ์นี่เอง ฉันขอเรียกนายว่าครีเดนซ์แทนนามสกุลได้ไหม แล้วนายก็ต้องเรียกฉันว่าซินเซียด้วยนะ”


                ครีเดนซ์พยักหน้าหงึกหงัก เขานั่งงุดหน้าไม่แม้แต่จะพูดอะไรต่อหรือสบตาเด็กสาวข้างกัน เขายินยอมให้เธอทำแผลโดยง่าย เด็กหนุ่มเหลือบตาแอบมองซินเซีย ในความคิดของเขา เธอดูมีอะไรบางอย่าง แต่ก็เป็นคนที่สดใสมาก ช่างพูด ชวนคุยเก่งและดูน่าไว้ใจเสียจนแปลกประหลาด แถมมือของเธอตอนทำแผลก็เบาราวกับขนนก


                มันเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตที่เขาเคยได้รับแล้ว หากเธอไม่เลื่อนแขนเสื้อเขาขึ้น “อย่า!” เขาร้อง ดีดตัวยืนและผลักเด็กสาว ถกแขนเสื้อลงแล้วยืนห่ออย่างระมัดระวังตัว


                ซินเซียทำหน้าเหวอ แต่ที่เหวอไม่ใช่เพราะว่าถูกครีเดนซ์ผลักอะไรหรอกนะ เธอตกใจกับรอยแผลหลังแขนเสื้อพวกนั้น มันเป็นแผลนูนแดงบวมเป่ง เนื้อของเขาปริแตกไม่ได้รับการรักษาหรือทำแผลอย่างถูกต้องด้วยซ้ำ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรที่ทำให้เขาต้องได้รับแผลพวกนี้ แต่เธอก็พอรู้ว่ามันเป็นแผลจากการโดนตี


                “ครีเดนซ์” เธอกระซิบเสียงเบา เดินแช่มช้าไปลูบบ่าเขาปลอบ “ไม่เป็นไรนะ ขอฉันดูแผลนายได้ไหม”


                ครีเดนซ์หนีบตัวแนบชิดติดกำแพง สายตาหวาดระแวงไม่ต่างอะไรกับสัตว์เล็กตื่นกลัว ภาพทารุณกรรมจากแมรี่ ลู แบร์โบนหรือแม่เลี้ยงของเขาแล่นสู่โสทประสาท เสียงก่นด่าสาปแช่ง สายตารังเกียจที่ส่งตรงมายังเขา มือที่ใช้เข็มขัดทุบตีไม่หยุด  เขาคลุ้มคลั่งจนต้องนั่งขดตัวกับพื้นไม้ ร่างกายของเขาหดเกร็ง ปากของเขาอ้าพะงาบขาดอากาศไม่ต่างอะไรกับปลาขาดน้ำ


                ครีเดนซ์เกือบจะหวีดร้องโวยวายขาดสติ ทว่าร่างกายของเขากลับสงบนิ่ง เมื่อซินเซียพุ่งมากอดเขา แขนอันอบอุ่นที่โอบรัดรอบคอ มือข้างหนึ่งของเธอลูบท้ายทอยด้วยความแผ่วเบา เสียงกระซิบกระซาบที่กระเส่าเจือด้วยความแหบแห้งราวกับกำลังร้องไห้ไปด้วยกัน มันเหมือนว่าเธอรับรู้ความทรมานของเขา


                “ครีเดนซ์ ไม่เป็นไรนะ มันไม่มีอะไร ชู่ว์—ฉันอยู่นี่” พอเธอปลอบเขา ครีเดนซ์สะอื้นมากกว่าเดิมถึงขั้นฟูมฟาย  เขาใช้วงแขนโอบกอดเธอแน่น สองมือหนาขยำเสื้อเธอแรงจนรับรู้ได้ผ่านแผ่นหลัง


                “เกิดอะไรขึ้น”  แมรี่ได้ยินเสียงร้องจึงวิ่งจากด้านล่างขึ้นมา  วินาทีที่เธอเห็นลูกเลี้ยงของตนนั่งกอดเด็กผู้หญิงกลม ความคลั่งศาสนาแบบหัวโบราณก็เข้ามาฉกชิงสติสัมปชัญญะ เธอหวีดเสียงตวาดที่ทำให้คนได้ยินแสบแก้วหูดังลั่น “ครีเดนซ์!!!


                “มานี่เดี๋ยวนี้!!”  หญิงวัยกลางคนกระชากแขนครีเดนซ์ เธอจัดแจงลากลูกชายออกมา แหกปากบังคับให้เขาถอดเข็มขัด


                ซินเซียรีบตามไปทันทีที่ทำได้ เธอเห็นครีเดนซ์ยืนแข็งค้าง ตัวเขายังคงสะอื้นไม่หยุด เขาเริ่มมีอาการชักเกร็งอีกครั้ง เธอมองเข็มขัดในมือของแมรี่ แบร์โบน เสียงตวัดขวับของเข็มขัดดังลอดเข้าหู  แค่เห็นลูกชายนั่งกอดผู้หญิงโดยที่ไม่ถามที่มา มันถึงกับต้องลงไม้ลงมือทำโทษด้วยการตีด้วยเข็มขัดเลยเหรอ?


                นึกถึงบาดแผลที่ครีเดนซ์ได้รับ ความกรุ่นโกรธภายในจิตใจเริ่มแล่นปะทุ ซินเซียคัดสินใจหลับตาลง ผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็วิ่งเต็มฝีเท้า “หยุดนะยัยมนุษย์ป้า!!!” ตะโกนพร้อมทั้งถีบแมรี่ ลู แบร์โบนเต็มแรง  ร่างของหญิงวัยกลางคนกลิ้งขลุกชนกับราวกั้นบันไดอย่างแรง


                ใจจริงเธออยากจะเสกหนองพุพองไปทั่วร่างหรือเสกลมซัดยัยป้านี่อยู่หรอก ถ้าเธอไม่สัญญากับนิวท์ไว้ว่าห้ามใช้เวทมนตร์หรือก่อความวุ่นวาย (ถึงแม้ว่าจริงๆ เธอจะก่อความวุ่นวายแล้วก็ตาม) เธอจิกตาใส่แมรี่ชนิดกินเลือดกินเนื้อขณะที่เจ้าตัวยังนั่งจุกปนมึนงงที่ถูกถีบอยู่ตรงพื้น


                “ไปเหอะครีเดนซ์”  ก่อนที่ยัยป้าจะตั้งตัว เธอจัดการจูงมือครีเดนซ์แล้วพาเขาวิ่งหนีออกมาจากโบสถ์ทั้งแบบนั้น เราสองคนวิ่งออกมาเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย วิ่งมาไกลมากพอจนมั่นใจว่ายัยป้าจะตามมาไม่ได้อีก  ซินเซียหอบหายใจ เอนหลังพิงกับกำแพงอิฐแดงที่ผุพัง ลอบมองครีเดนซ์ที่หอบไม่ต่างกัน


                “ขอดูแผลหน่อย”  เธอถือวิสาสะเข้าไปดึงแขนและหยิบไม้กายสิทธิ์มาร่ายคาถา “เอพิสกี้”  เสกคาถาที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ แผลบนแขนของเด็กหนุ่มจางหายไปและดีขึ้นทันตาเห็น  หากถามว่าทำไมเธอถึงกล้าฉีกสัญญาที่รักษาไว้กับนิวท์เรื่องการใช้คาถาต่อหน้ามักเกิ้ลละก็


                ต้องขอเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกของตนเองเป็นประกันเลยว่า ครีเดนซ์ แบร์โบนต้องไม่ใช่คนปกติธรรมดาหรือมักเกิ้ลแน่นอน ดูจากที่เขาสามารถขัดขาเธอได้โดยไม่ได้ขยับตัวน่ะ ฮะ ฮะ—แต่เอาเข้าจริง เธอก็แค่ใช้สัญชาตญาณเดาสุ่มเท่านั้นเอง เธอแค่สัมผัสได้เฉยๆว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ดูแตกต่าง หากเธอเดาผิดละก็ เธอจะยอมกินยาบำรุงร่างกายสีเขียวเหม็น รสชาติสุดแสนจะห่วยแตกเกินพรรณนาของอาเซปเลย


                “ซินเซีย”  ครีเดนซ์ทำตาโต สีหน้าดูบื้อใบ้ “คุณเป็นพวกนั้นเหรอ”


                “พวกนั้น?”  คำนั้นทำให้เธอได้คำตอบที่ถูกต้องตามที่คาดการณ์ โอ้วเมอร์ลิน! ขอบคุณที่ทำให้เธอเดาถูก รอดแล้วๆ ไม่ต้องกินยารสห่วยชวนอ้วกของอาเซปแล้ว!!!  จากการที่ครีเดนซ์พูดแบบนั้นแสดงว่าเขาต้องเคยพบเจอหรือต้องคลุกคลีกับผู้วิเศษมาบ้าง


                “พ่อมดน่ะ”  ครีเดนซ์พูดเสียงเบา


                “ใช่ ฉันเป็นแม่มด แม่มดที่ร้ายกาจสุดๆ ไปเลยล่ะ แฮร่!!”  เธอตอบพลางเก็บไม้กายสิทธิ์ ทำท่าขู่เหมือนพวกแวมไพร์ยุคเก่าซึ่งมันทำให้ครีเดนซ์ขำแทบบ้า


                “เธอทำให้ผมขำ ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย” มันเป็นการหัวเราะอย่างสนุกสนานครั้งแรกตั้งแต่ที่มีชีวิตมา เธอบอกว่าเธอคือแม่มดที่ร้ายกาจ ทว่าสำหรับเขา เธอคือแม่มดคนที่สองที่ใจดีกับเขาแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา เธอไม่มีแม้แต่ความร้ายกาจ เสียงเธอฟังแล้วไม่น่ารังเกียจ อยู่กับเธอเขามีความสุขมาก ถึงกระนั้น— “แต่ผมต้องกลับไป”


                “นายจะไม่เป็นอะไรเหรอ” ซินเซียถามอย่างเป็นห่วง ถ้าเขากลับไป เขาก็ต้องถูกทำโทษจากยัยมนุษย์ป้าน่ะสิ


                “ผมชินแล้วและไม่มีที่ไป แต่ก่อนหน้านั้น ผมอยากให้คุณเจอคนคนหนึ่ง เขาเป็นเหมือนคุณ” ครีเดนซ์บอก เขามั่นใจมากว่าคนคนนั้นต้องช่วยให้เธอเจอพี่ชายที่พลัดลงกันได้อย่างแน่นอน


                “จริงเหรอ!”  เธอกู่ร้องด้วยความดีใจ ยังพอมีหวังที่จะกลับไปหานิวท์ ทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวในกระเป๋าของเขาโดยที่ไม่ออกมาซ่าข้างนอกเสียที แต่ความดีใจต้องถูกปัดทิ้งไปไกล ซินเซียเม้มปาก มองครีเดนซ์ด้วยความห่วงหาจากใจ


                เธอห่วงเขาจริงๆนะ ไม่อยากให้เขากลับไปเผชิญกับอะไรแบบนี้อีก


                “ผมยังมีบางอย่างที่ต้องทำ เพื่อตอบแทนคนคนนั้น”  เขากำมือแน่นอย่างฝืนทน  “ไปเถอะ มันใกล้เวลานัดของผมกับเขาคนนั้นแล้ว” 


                ครีเดนซ์เดินจูงมือเด็กสาว แล้วพากลับไปที่โบสถ์หลังนั้น เขายังไม่ได้กลับเข้าไปด้านใน แต่พามาข้างโบสถ์อันไร้ผู้คนที่มีท่ออับชื้นกับกองขยะ สะท้อนถึงชีวิตอีกสถานภาพของชนชั้นบุคคลในเมืองนิวยอร์กอย่างดี เด็กหนุ่มมองเด็กสาวด้วยสาตาละห้อย มันคงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบแม่มดที่แสนวิเศษคนนี้


                “เราคงต้องแยกกันแล้ว”  เขาพูดโดยที่ยังไม่ปล่อยมือเล็กที่อบอุ่น “ลาก่อน จากนี้ผมว่าเราคงมีโอกาสได้พบกันบ้าง”


                “คิดว่า”  ซินเซียอมยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเศร้าคละลำบากใจที่ต้องเห็นเด็กหนุ่มรูปงามทำหน้าเหมือนหมาหงอยที่ต้องจากกันขนาดนี้ ไปไหมครีเดนซ์—ไปอยู่ช่วงเวลาเธอไหม เธอจะเลี้ยงเขาอย่างดีเลย


                โอ๊ย!! อกอีแป้นจะแตกแล้วเมอร์ลิน ถ้าในอดีตจะมีคนน่ารักเยอะแยะขนาดนี้ ได้โปรดอย่าส่งเธอมาจะได้ไหม พอผูกพันแล้วมันทำใจลำบาก!!


                “ครีเดนซ์”


                ขณะที่พวกเราสองคนกำลังร่ำลา เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ที่คลับคล้ายจะคุ้นหูแทรกขึ้น ครีเดนซ์รีบปล่อยมือเธอทันที เขาวิ่งไปหาเจ้าของเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว ซินเซียหันเหศีรษะมองตามทิศทางที่เด็หนุ่มวิ่งไป แค่เห็นคนคนนั้นที่ครีเดนซ์ว่า มันทำให้ซินเซียอ้าปากตกใจเสียจนตาค้าง  ถ้าตาถลนออกจากเบ้าได้มันคงหลุดออกมาทั้งยวงแน่


                ชายคนนั้นที่ครีเดนซ์รู้จัก ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ เนื้อเสียง มันเหมือนกันไม่มีผิด เพียงแต่แตกต่างตรงที่ยุคสมัยของเสื้อผ้ากับการพูดจาที่ควรฟังแล้วนุ่มนวลละมุนละไมเสนาะหูกลับเคลือบแฝงด้วยจุดประสงค์คละความเย็นชา ไม่ผิดแน่นอน—ถ้าเธอไม่ได้บ๊องเพี้ยน เธอมั่นใจว่าชายตรงหน้าคือ เพอร์ซิวาล เกรฟส์ ให้ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ตะแคงยัน ตีลังกายัน


                เธอคิดว่าเขาคือตาลุงจอมฉวยโอกาสคนนั้นไม่ผิดแน่นอน!!


                “คุณเกรฟส์ เธอยืนอยู่ตรงนั้น”  ครีเดนซ์เอ่ยเรียกเสียงค่อย เขาสาธยายเรื่องราวต่างๆ ให้เกรฟส์ฟัง


                “สาวน้อย”  เกรฟส์กล่าวอย่างสุภาพ เดินไปหาเด็กสาวเมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่ครีเดนซ์อธิบายให้ฟัง แต่เด็กผู้หญิงที่ชื่อซินเซีย มัลฟอยกลับยืนเหม่อราวกับวิญญาณหรือสติหลุดลอยไป เขาพิจารณาเพียงครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิกพวงแก้มนุ่มนิ่มจนเด็กสาวเปลี่ยนมาขมวดหน้ายู่ ค้อนตาขวับไม่พอใจ  “สาวน้อย ฉันกำลังสนทนากับเธอนะ”


                “ว่าไงคุณหนูซินเซีย มัลฟอย ฉันเพอร์ซิวาล เกรฟส์ ตอนนี้คุณพอจะดึงสติกลับมาที่ฉันหน่อยได้ไหม?”  เขาใช้สองมือบังคับให้หน้าของเด็กสาวเชิดขึ้นจนสายตาของเธอเปลี่ยนมาจ้องเขม็ง


                ซินเซียพยายามผลักไสมือหนาที่ยังคงไม่หยุดบี้แก้มเธอ หากเขารู้ว่าเธอหยุดเหม่อแล้ว เจ้าตัวก็ควรเลิกหยิกแก้มเธอซะที!!  เหมือน เหมือนมาก เหมือนยันเงา เหมือนกระทั่งชื่อ


                และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือมือไม้ไวเหมือนอิตาลุงเพอร์ซิวาล เกรฟส์ในช่วงเวลาของเธอเลย!!



            จะถามว่าคิดถึงไรต์รึเปล่ากะ กะ กะก็เกรงใจรีดเดอร์ (หายไปนานมักๆ กรี๊ดดดด ขอโทษค้าบบบ) สาเหตุที่หายไปก็คืออาการปวดหลังที่ไม่สามารถทำให้นั่งพิมพ์นานๆได้ค่ะ และส่วนตัวไรต์เฟลชนิดรุนแรงถึงการถอดบทกรินเดลวัลด์ของป๋าเดปป์อย่างไม่เป็นธรรมค่ะ ถึงจะชอบเฮียแมดมาก แต่เราติดภาพจำป๋าไปแล้ว แถมตัวละครนี้ ป๋าก็มีส่วนในการเสนอคอสตูมรวมถึงคาร์แร็คเตอร์รูปลักษณ์เองด้วยนะคะ ไม่ว่าจะตาสองสี สีผมหรือการสวมใส่กางเกงหนัง  ป๋าเป็นคนเสนอไอเดียทั้งหมดค่ะ อ้อนผู้กำกับกับทีมคอสตูมจนได้กรินเดลวัลด์ฉบับที่เราได้เห็นกัน

            สุดท้ายตอนนี้จัดให้ยาวๆ แบบจุใจเลยค่ะ ก็ไม่มีอะไรมาก มีแค่ความเปิ่นของน้องเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือผู้น้องเพิ่มขึ้นค่ะ ช่วงเวลาอดีตนี้ใครจะอยู่ใกล้น้องก็ได้ เดรกคงมาห้ามไม่ได้ (เอ๊ะ อะไรพุ่งมาน่ะ) 

            ด้านล่างเป็นแบบชุดที่น้องใส่ ผู้หญิงยุคนี้เน้นอวดคอจนถึงช่วงหลังค่ะ ถ้าเป็นวัยผู้ใหญ่หรือวัยที่บรรลุนิติภาวะแล้วจะใส่ชุดออกงานสังคมจะประมาณตามแบบภาพยนตร์นั่นแหละค่ะ ชุดธรรมดาก็อวดคออยู่ดีถึงจะไม่ได้แหวกให้คอลึกจนเห็นอกก็เถอะ ถ้าช่วงวัยรุ่นจะใส่ประมาณนี้

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×