NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #4 : White Rose 03 : นิยามความรัก [Re]

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 66


    White Rose 03

    นิยามความรัก


    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    "มนุษย์มีนิยาม 'ความรัก' ซึ่งมาจากทรรศนะที่มีต่อการตอบสนองตนเองทั้งสิ้น ถ้าหากนิยามของความรักคือความเสียสละเพื่อที่ว่าซักวันหนึ่งจะได้รับความรักตอบกลับมา แล้วมันจะต่างอะไรกันกับความรักที่เห็นแก่ตัวกันล่ะ"

     

     

    TW : Incest (การร่วมประเวณีในครอบครัวและญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน) , Rape/Non-con (การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ยินยอม เป็นการกล่าวถึงในอดีต) , Blood (เลือด) , Violence (ความรุนแรง) , Abusive relationship (ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย การใช้ความรุนแรงต่อกัน) , Toxic relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายด้อยค่า เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ไม่มีความสุข) , Mental illness (อาการป่วยทางจิต) , Manipulation (การโน้มน้าว ล่อลวง ปรับเปลี่ยน และปลูกฝังความคิดบางอย่างให้อีกฝ่ายเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ) , Romanticizing (การทำให้สิ่งหนึ่งหรือการกระทำหนึ่งดูดีทั้งที่ความจริงแล้วเป็นสิ่งไม่ถูกต้องในที่นี้หมายถึงทัศนคติตัวละครบิดเบี้ยว) , Mentioned Domestic Violence (การกล่าวถึงความรุนแรงในครอบครัว) , Child grooming (การเข้าไปตีสนิทหรือทำความรู้จักกับเด็ก สร้างความสัมพันธ์ทางใจให้เด็กจนคุ้นชินจนยอมให้ล่วงละเมิดทางเพศ ในที่นี้เป็นการกล่าวถึงในอดีต) , Pedophilia (โรคใคร่เด็ก เป็นความผิดปกติทางจิตที่ผู้ใหญ่หรือผู้ที่อยู่ในวัยรุ่นตอนปลายมีความต้องการทางเพศกับเด็กที่มีอายุก่อนวัยเริ่มเจริญพันธุ์ซึ่งอายุไม่เกิน 13 ปี ในที่นี้กล่าวถึงในอดีต)

     

     

    ตอนนี้ผมตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

     

     

    ตัวผมในวัยเด็กหลังจากที่เสียท่านพ่อไปในสงครามพันปีกับพวกต้นตระกูลและท่านแม่ที่ตรอมใจตายด้วยหัวใจที่แหลกสลาย สงครามระหว่างราชันย์แวมไพร์กับพวกต้นตระกูลก็มาถึงจุดสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของคาร์ลไฮนซ์และพันธมิตรพร้อมกับการกระทำอันโหดร้ายต่อพวกต้นตระกูลที่เหลืออยู่ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    คาร์ลไฮนซ์ร่ายเวทมนตร์ครอบคลุมปราสาทจับขังพวกต้นตระกูลที่เหลือเอาไว้ปล่อยให้ตายอย่างทรมานด้วยโรคแห่งจุดจบ ช่างเป็นตอนจบที่ไม่สวยหรูและน่าอภิรมย์เหมือนนิทานปรัมปราที่หลอกเด็กก่อนนอนทุกครั้งว่ามันจบอย่างมีความสุขทั้งที่จริงแล้วมันคือความรุนแรงผ่านการกระทำอันโหดเหี้ยมที่ผู้คนต่างคิดว่ามันคือความดีงามและความชอบธรรม

     

     

    ทำอย่างไรได้ในเมื่อขึ้นชื่อว่า 'สงคราม' ผู้ชนะคือความถูกต้องและมีสิทธิ์กำหนดชะตาของผู้พ่ายแพ้สงคราม ประวัติศาสตร์ที่ถูกขีดเขียนจากปลายปากกาของผู้ชนะนั้นมักเอาทัศนคติของตนเป็นที่ตั้งโดยละทิ้งความจริงที่ว่าผู้ชนะนั้นได้ทิ้งเศษซากแห่งหายนะให้แก่ผู้สูญเสียที่ทุกข์ทรมานจากผลลัพธ์ที่ตามมาเสมอ

     

     

    คริสต้าในวัยเด็กนอกจากจะสูญเสียท่านพ่อไปแล้วยังมาสูญเสียท่านแม่ตามนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอย่างเปิดเผย ผมไม่สามารถห้ามธารน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาสีทับทิมคู่งามของเธอได้จึงทำได้เพียงแค่โอบกอดและปลอบประโลมในฐานะพี่ชายผู้ที่ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นเสาหลักให้แก่เธอ ให้เธอร้องออกมาเต็มที่ระบายความรู้สึกออกมาโดยไม่สนแม้ว่าเสื้อผ้าเนื้อดีนั้นเปียกชื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาแม้แต่น้อย

     

     

    "ทะ...ทำไม ท่านพี่ ฮึก! ไม่ร้องไห้เลยท่านพ่อท่านแม่ตายล่ะ ฮะ...ฮึก! ปกติต้องร้องไห้ออกมาไม่ใช่เหรอ...?" คริสต้าช้อนตามองถามผมด้วยน้ำเสียงสะอื้น

     

     

    "ทุกคนมีวิธีแสดงออกถึงความเสียใจแตกต่างกันไปการที่พี่ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าพี่ไม่เสียใจกับการจากไปของพวกท่านหรอกนะ คริสต้า" ผมลูบหัวคริสต้าอย่างอ่อนโยน ตอบคำถามของเธอด้วยความจริงครึ่งหนึ่งและความเท็จครึ่งหนึ่ง

     

     

    ความจริง ผมเสียใจกับการตายของท่านแม่แต่ผมไม่สามารถร้องออกมาได้เพราะตอนผมยังเคยเป็นมนุษย์ผมพานพบสูญเสียมามากมายเสียจนแทบไม่มีน้ำตาให้จะร้องอีกแล้วต่อให้เจ็บปวดรวดร้าวมากแค่ไหนก็ตาม

     

     

    ความเท็จ ผมไม่เสียใจกับการตายของท่านพ่อเลยอาจจะมีอาลัยอาวรณ์บ้างในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดผมแต่ในเมื่อผมรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้รักและผูกพันธ์กับพวกเราจริงสิ่งที่แสดงออกมาเป็นเพียงเปลือกกลวงที่ซุกซ่อนทำคำว่า หน้าที่ อยู่ภายใน

     

     

    ดังนั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาโศกเศร้าเสียใจกับผู้ชายคนนี้มากนัก แต่ผมจำต้องโกหกน้องสาวของตนเองเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้

     

     

    "ท่านพี่มิไฮนซ์..." คริสต้าเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ท่านพี่อย่าจากคริสต้าไปอีกคนเลยนะ คริสต้าเหลือแค่พี่แล้วถ้าพี่ไม่อยู่คริสต้าก็ไม่เหลือใครแล้ว..."

     

     

    "มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่พี่จะอยู่ดูแลน้องตลอดไปเพราะซักวันหนึ่งน้องต้องมีชีวิตเป็นของตนเองและพี่เองก็ต้องมีชีวิตเป็นของตนเองเช่นกัน พี่ไม่สามารถอยู่กับคริสต้าได้ตลอดไปหรอก..." ผมเอ่ยคำพูดที่ดูเหมือนจะใจร้ายออกมาแต่ก่อนที่คริสต้าจะสะอื้นร้องไห้หนักเข้าผมจึงกล่าวต่อไปอีกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนคอยปลอบประโลมเธอเหมือนดังเช่นเคย

     

     

    "แต่ว่าพี่จะอยู่ข้างคริสต้าเสมอจนกว่าคริสต้าอยู่ได้ด้วยตนเองและไม่ต้องการพี่อีกแล้ว"

     

     

    "สัญญานะ..." ดวงตาสีแดงทับทิมจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาเว้าวอนคล้ายต้องการความมั่นคงทางจิตใจ ผมจึงยกนิ้วก้อยของตนเองเพื่อเกี้ยวก้อยสัญญาและเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ

     

     

    "พี่สัญญา" ผมกับคริสต้าเกี้ยวก้อยสัญญากันว่าพวกเราจะดูแลและอยู่เคียงข้างกันเสมอจนกว่าพวกเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีชีวิตเป็นของตนเอง แต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูกที่น่ารัก และมีหลานให้คอยดูแล บางครั้งต่างฝ่ายต่างไปเยี่ยมเยือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันแต่พวกเราก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ

     

     

    แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าหลังลมสงบจะมีพายุโหมกระหน่ำทำลายคำสัญญาของพวกเรา

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    "อะไรนะครับ...? ท่านพี่คาร์ลไฮนซ์"

     

     

    "ฉันบอกว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องมาอยู่ที่ปราสาทเอเดน มิไฮนซ์"

     

     

    การปรากฏตัวอย่างสายฟ้าแลบของคาร์ลไฮนซ์พร้อมกับคำพูดราวกับสายฟ้าฟาดกลางหัวของผม ร่างกายที่ผมคิดว่าไร้ซึ่งความอบอุ่นแล้วยังสามารถเย็นเฉียบได้มากยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกและอวัยวะข้างในของผมปั่นป่วนกระอักกระอวนไปจนหมดคล้ายถูกสูบโหวงเหมือนเกิดหลุมดำอยู่ภายในร่างของผมอย่างเฉียบพลันไม่ทันตั้งตัว

     

     

    "ตะ...แต่ว่าคริสต้าล่ะ? จะให้ผมทิ้งเธอได้อย่างไรกัน ท่านพี่"

     

     

    "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ก่อนพ่อเธอจะตายเขาได้ฝากให้ฉันดูแลคอยอบรมสั่งสอนเธอในฐานะผู้นำตระกูลคนต่อไปเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของฉันต่อจากพ่อของเธอ ทางคริสต้าเองฉันส่งคนที่ไว้ใจได้ให้ดูแลเรียบร้อยแล้วในฐานะคุณหนูผู้เพียบพร้อมของตระกูล" คาร์ลไฮนซ์ส่งยิ้มหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูแต่ผมไม่อยากได้ความเอ็นดูจากเขาเลยซักนิด

     

     

    ท่านพ่อกับคาร์ลไฮนซ์คิดจะทำอะไรกันแน่? อันนี้ผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ การจับผมกับคริสต้าแยกกันมันต้องมีอะไรซักอย่าง

     

     

    ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะปฏิเสธน้ำใจอันจอมปลอมของอีกฝ่าย

     

     

    "เรื่องเตรียมพร้อมการเป็นผู้นำน่ะก็แค่ส่งคนมาอบรมสั่งสอนก็ได้ไม่จำเป็นต้องลำบากท่านพี่คาร์ลไฮนซ์หรอกครับ และผมเป็นห่วงความรู้สึกของคริสต้าเพราะเธอเพิ่งเสียท่านแม่ไปแล้วถ้าผมไปจากเธออีก คริสต้าคงเสียใจหนักยิ่งกว่าเดิม" ผมพยายามตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวลและสุภาพมากที่สุดทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกว่า นั่นมันท่านพ่อไม่ใช่ผมเรื่องการเตรียมการอะไรนั่นน่ะแค่ส่งคนที่ไว้ใจได้มาช่วยดูก็เกินพอแล้ว

     

     

    แต่ผมไม่ทำเพราะมันเป็นการหักหน้าอีกฝ่ายซึ่งเป็นถึงราชันย์แวมไพร์ที่เพิ่งชนะสงครามพันปีกับพวกต้นตระกูลมาและผมไม่โง่พอที่จะทิ้งชีวิตตนเองด้วยการหักหน้าคาร์ลไฮนซ์ ถึงแม้ว่ามันจะน่าเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายมากไปกว่านี้ได้ก็ตาม

     

     

    ผมรู้ว่าคาร์ลไฮนซ์นั้นไว้ใจไม่ได้และเลือดเย็นผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสุขุมและอ่อนโยน ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรมากนอกจากสวมหน้ากากเสแสร้งว่าผมทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าสู้อีกฝ่าย ทำเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังคุมเกมทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ 

     

     

    พวกเรานั้นไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคุมเกมแต่เป็นต่างฝ่ายต่างพยายามคุมเกมซึ่งกันและกันจนกว่าจะมีใครเป็นผู้ชนะคุมเกมให้อีกฝ่ายเดินตามไปด้วย

     

     

    "หืม..." ดวงตาสีทองของผู้มีศักดิ์หรี่ลง รอยยิ้มที่อ่านไม่ได้จุดขึ้นที่ริมฝีปากมองมายังร่างของผมทว่าผมสัมผัสถึงความโกรธเบาบางของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีเมื่อผมทำตัวสุภาพอ่อนน้อมคล้ายจะเชื่อฟังทว่าดื้อดึงไม่โอนอ่อนให้ง่ายๆ

     

     

    "เป็นพี่ชายที่ดีจังเลยนะ มิไฮนซ์" คาร์ลไฮนซ์กล่าวจากนั้นหยิบดอกกุหลาบขาวที่ปักอยู่ในแจกันออกมาดวงตาสีเหลืองอำพันเป็นประกายจ้องมองมันคล้ายเชยชมความงามของกุหลาบขาวในมือ 

     

     

    "แต่ไม่ว่าอย่างไร 'คำสั่ง' ก็คือ 'คำสั่ง' อยู่ดีนั่นแหละ พ่อของเธอ แม่ของเธอ ตระกูลของเธอให้คำสัตย์สาบานว่าจงรักภักดีต่อฉันเพียงผู้เดียว เธอผู้มีสายเลือดของตระกูลนี้ย่อมรู้และตระหนักในหน้าที่นี้ดีด้วย"

     

     

    "แล้วเรื่องคริส..." ผมจะพยายามแย้งกลับด้วยเหตุผลร้อยแปดเท่าที่มีกันเขาไม่ให้แยกผมกับคริสต้าไป

     

     

    แต่คิดเหรอว่าคนที่เป็นถึงราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์จะสนเรื่องนั้น คาร์ลไฮนซ์ไม่สน เขาก็ยังคงพูดยืนยันความคิดของตนเองต่อไป

     

     

    "เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจให้เธอย้ายมาที่ปราสาทเอเดนของฉันสัปดาห์หน้าก็แล้วกัน ฉันผิดเองแหละที่อยู่ๆ ก็มาเร่งรัดเธอกับน้องสาวทั้งที่พวกเธอทั้งคู่เพิ่งเสียพ่อแม่เมื่อไม่นานมานี้เอง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ" รอยยิ้มของคาร์ลไฮนซ์กว้างขึ้นในขณะที่ดวงตาสีทองอำพันมีประกายดำมืดแฝงอยู่ น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เหมือนถูกควบคุมไม่ให้แสดงอารมณ์ข้างในออกมา 

     

     

    องค์ประกอบเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกได้ดีเลยว่าผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอีกฝ่ายได้แล้ว มีแต่ต้องเดินไปตามเกมของอีกฝ่ายเท่านั้นถึง

     

     

    น่าเจ็บใจ...น่าเจ็บใจยิ่งนัก! ถึงแม้ว่าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าตัวผมในตอนนี้ไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้แต่มันก็ยังคงเจ็บใจอยู่ดี ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้อยู่เรื่อยแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ ถ้าผมขัดขืนมันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไม้ซีกงัดไม้ซุงเป็นการกระทำที่โง่เขลาเป็นอย่างมากอาจจะทำให้คริสต้าพลอยเดือดร้อนไปด้วยก็ได้และผมไม่ยอมให้คริสต้าเป็นอะไรไปแน่

     

     

    ดังนั้น ผมจึงจำใจกัดฟันตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก 

     

     

    "รับทราบครับ ท่านพี่คาร์ลไฮนซ์..."

     

     

    "พ่อของเธอมักจะบอกว่าเธอเป็นเด็กที่ชาญฉลาด รักครอบครัว และมีเหตุผลพอตัวเลย ถ้าฉันไม่ได้เห็นด้วยตาแบบนี้ก็คงคิดว่าพ่อของเธอยกยอเธอเกินจริงไป" บรรยากาศกดดันรอบตัวของชายตรงหน้านี้หายไปกลับกลายเป็นบรรยากาศเงียบสงบแบบเดิม เขาเอ่ยชมผมด้วยน้ำเสียงเรียบเอื่อยก่อนนำกุหลาบขาวที่หยิบออกมาจากแจกันนานแล้วมาเด็ดก้านออกนำมาติดอกผมซ้ายของผม

     

     

    และเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่มีวันลืมไปจนวันตาย... 

     

     

    "เธอน่ะเหมาะกับ 'กุหลาบขาว' มากที่สุด เหมาะมากยิ่งกว่าใครเลย...มิไฮนซ์ที่รักของฉัน"

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    กุหลาบสีขาวในตอนนั้น...สิ่งที่คาร์ลไฮนซ์หมายถึงคือสีขาวแห่ง 'ความบริสุทธิ์' หรือสีขาวแห่ง 'ความโสมม' กันแน่นะ?

     

     

    แต่ถ้าให้ผมเดาว่าเป็นสีขาวแบบไหนผมว่าผมคงเป็นอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก... 

     

     

    เปลือกตาสีขาวไข่มุกขยับลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าเผยดวงตาสีม่วงอัญมณีฉายแสงออกมาหยอกล้อแสงจันทร์ท่ามกลางอนาธการอันมืดมิดของโลกปีศาจ สัมผัสอันอ่อนโยนอันแสนจะน่ารังเกียจเกลี่ยอยู่บนผิวแก้มปัดเส้นผมสีขาวทัดใบหูคล้ายต้องการปัดป้องไม่ให้เส้นผมสีขาวยาวเหล่านั้นปรกบนใบหน้าที่กำลังพริ้มหลับอย่างสงบ

     

     

    เพราะไม่อยากได้รับสัมผัสจากผู้ชายน่ารังเกียจอย่างคาร์ลไฮนซ์ผมจึงขยับตัวออกห่างทว่าความเจ็บปวดช่วงล่างลวดแล่นเข้ามาคล้ายเอ่ยราตรีสวัสดิ์ต้อนรับสู่ช่วงรัตติกาลของแวมไพร์มันทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหวนคืนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    ยามร่างกายถูกจับโยกไหวเปลี่ยนท่วงท่าราวกับผมเป็นแค่ตุ๊กตาไม่มีชีวิตให้ผู้อื่นจับเล่นตามอำเภอใจและแต่ละครั้งไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่เคยได้เลือดเลย ร่างกายแทบทุกส่วนมีทั้งรอยดูดเม้มขบกัดไปทั่วรวมถึงรอยมือบีบเค้นโดยเฉพาะบริเวณสะโพกที่ตอนนี้ช้ำจนน่ากลัวกว่าเก่าที่เคยได้รับครั้งก่อน 

     

     

    ขนาดผมโดนกระทำจนสลบแล้วเขาไม่เคยแม้แต่จะหยุดเลยแม้แต่นิดเดียว คาร์ลไฮนซ์ในตอนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งใดจนผมที่คิดว่าจะไม่ร้องขอความเมตตาถึงขนาดหลงลืมเผลอร้องขอความเมตตาออกมา และนั่นแหละยิ่งกระตุ้นให้ราชันย์แวมไพร์ผู้มักมากในกามอารมณ์กระทำย่ำยีมากกว่าเดิมเพียงเพราะผมอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาตอนที่เขากำลังมอบบทลงทัณฑ์อันแสนสาหัสแก่ผม

     

     

    เลวร้ายแบบสุดๆ คาร์ลไฮนซ์ไม่เคยคิดปรานีผมเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    "คืนนี้เป็นคืนที่งดงามดีนะว่าไหม? มิไฮนซ์คุง..."

     

     

    ผมตวัดมองคนพูดทันควัน เพราะใบหน้าของผมกระซิบใกล้หูผมทำให้ริมฝีปากเผลอสัมผัสลงริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจจนผมรีบหันกลับไปทันที ดวงตาสีอำพันงดงามของคาร์ลไฮนซ์ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนฉายประกายกระชับอ้อมกอดอย่างทะนุถนอมสูดดมกลิ่นเส้นผมสีขาวยาวบริเวณหลังคอจากนั้นกดจุมพิตตรงนั้นจนผมหดคอกลั้นเสียงร้องของตนเองสะกดกลั้นความรู้สึกคลื่นเหียนจนอยากอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ

     

     

    คาร์ลไฮนซ์กัดหลังคอผมจนเป็นแผลเหวอะหวะราวกับหมาบ้าไม่ปานนั้นแถมยังไม่ยอมให้ร่างกายผมรักษาตัวเองอีกเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่รู้สึกเจ็บแผล

     

     

    "เมื่อไหร่จะหยุด" ผมถามเสียงนิ่งดีนะที่อีกฝ่ายแค่ทำให้แผลและร่องรอยตามตัวหายช้าไม่ได้ทำให้เสียงผมหายแหบพร่าช้าลงไปด้วยไม่อย่างนั้นผมคงเจ็บคอแน่จากการกรีดร้องครวญครางยามถูกบังคับให้อยู่ใต้ร่างอีกฝ่ายซึ่งแน่นอนว่าผมรังเกียจเป็นที่สุด

     

     

    "จนกว่าฉันจะตายล่ะมั้ง? แต่ก่อนถึงตอนนั้นฉันยังคงตักตวงความสุขและมอบความความรักให้แก่เธอได้อีกนานแสนนานเลยทีเดียว" ผู้มีศักดิ์ราชันย์แวมไพร์กระซิบพลางกำชับอ้อมกอดแน่นขึ้นยามผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเขาถึงแม้ว่าจะเป็นอ้อมกอดที่เหล่าแวมไพร์ตนอื่นต้องการก็ตาม

     

     

    "สุบารุจะไม่ถูกทำโทษใช่ไหม?" ผมเอ่ยถามเสียงเข้มเปลี่ยนเรื่องทว่ายามผมถามจบร่างกายถูกพลิกกลับมาประจัญหน้ากับคาร์ลไฮนซ์ เขาฉุดแขนผมจัดท่านั่งให้ผมนั่งบนตักของเขาแผ่นหลังของผมชนกับแผ่นอกกว้างโดยไม่สนว่าร่างกายผมยังคงเจ็บปวดจากบทลงโทษของเขาหรือไม่ โอบกอดผมแน่นเปลี่ยนตนเองเป็นกรงขังพันธนาการไม่ให้ผมหนีไปจากเขาไปไหน 

     

     

    ยังดีที่ผมคว้าผ้าห่มมาปิดร่างกายอันน่าสังเวชของผมได้ทันไม่เช่นนั้นผมคงจะโกรธเกลียดสมเพชเวทนาตนเองมากกว่านี้แน่

     

     

    "มันน่าน้อยใจนะ เวลาฉันบอกรักเธอแต่เธอกลับสนแต่คนอื่น" อีกฝ่ายเกยคางบนบ่าที่เต็มไปด้วยรอยดูดเม้มปะปนกับรอยกัดพูดจาคล้ายเง้างอนผม

     

     

    "สุบารุเป็นลูกของคุณกับคริสต้ารวมถึงหลานของผมด้วย เขาไม่ใช่คนอื่น!" ผมตอบตามความจริงด้วยน้ำเสียงเจือด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พูดเหมือนสุบารุไม่ใช่ลูกตนเองและไม่ใช่หลานของผม ถึงแม้ว่าหลานชายผมคนนี้จะเกิดมาจากความสัมพันธ์อันน่ารังเกียจและผิดศีลธรรมในสายตาผมก็ตาม

     

     

    "ผมไม่อยากได้ยินคำว่า 'รัก' จากปากของคุณเพราะคุณมันไม่มีหัวใจ คุณมันเห็นแก่ตัว และไม่เคยรักใครมา...!" ไม่ทันพูดจบมือขาวซีดของคนที่ถูกผมต่อว่าจับที่ลำคออย่างรวดเร็วพลันนั้นเสียงของผมหายไปทันทีเหมือนม้วนเทปคาสเซ็ทที่เสียไปแล้ว

     

     

    นี่เขากล้าดีอย่างไรถึงมาขโมยเสียงของผม?! 

     

     

    "ทั้งที่ยังทำตัวน่ารักอยู่แท้ๆ กลับมาไม่น่ารักอีกแล้วนะ มิไฮนซ์คุง" น้ำเสียงที่เคยพูดจากเง้างอนแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ผมมองอีกฝ่ายด้วยหางตาไม่ใช่เพราะต้องการเหยียดอีกฝ่ายแต่เพราะผมไม่กล้าสบดวงตาสีทองเรืองรองดั่งอสรพิษของราชันย์แวมไพร์ที่กำลังปะทุด้วยความเกรี้ยวโกรธอยู่ตอนนี้ 

     

     

    ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ รับฟังคาร์ลไฮนซ์พูดเท่านั้น ในเมื่อตัวผมในตอนนี้ไม่มีเสียงแล้วก็คงพูดคุยหรือเถียงอีกฝ่ายไม่ได้ คิดแล้วน่าสมเพชตัวเองชะมัดเลย...

     

     

    "เป็นเพราะเธอเองนะ ที่ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำจุดเริ่มต้นมันก็คือตัวเธอทั้งนั้นเลย มิไฮนซ์"

     

     

    "..." เพราะผม? เป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อไอ้แผนการบ้าๆ นั่นมันมีแต่ก่อนที่ผมจะก้าวเข้ามาอยู่ที่ปราสาทเอเดน ไม่สิ ต้องบอกว่าแผนการนั่นมันมีมาก่อนที่ผมจะเกิดมาบนโลกนี้ด้วยซ้ำแล้วไม่ใช่หรือ?

     

     

    "เธอเคยบอกกับฉันแบบนี้ใช่ไหม ความรักคือการกระทำและการกระทำคือหน้าที่ของความรัก ความรักคือการสานสัมพันธ์แล้วเจริญเติบโตไปด้วยกันศึกษาธรรมชาติระหว่างกันโดยไม่ตอบสนองตนเอง ความรักนั้นเริ่มจากการรักและเห็นคุณค่าตนเอง รับรู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเอง ก้าวผ่านขอบเขตของตนเองด้วยการไม่ตอบสนองความสุขความพึงพอใจส่วนตน รับรู้ขอบเขตของคนที่รักโดยไม่เฝ้ามองข้อเสียและนำความปรารถนาของตนเองเป็นที่ตั้ง"

     

     

    "..." ก็ใช่ ผมเคยพูดแบบนี้กับคาร์ลไฮนซ์มาก่อนเพราะเขาเป็นฝ่ายถามผมว่าความรักในความหมายของผมมันคืออะไร ตอนแรกผมนึกว่ามันไม่มีอะไรมากก็เลยตอบตามความจริงตามมุมมองของเขาที่มีต่อความรักออกไป

     

     

    แต่ผมไม่นึกเลยว่ามันจะทำให้คาร์ลไฮนซ์หมกมุ่นกับความหมายของ 'ความรัก' แบบนี้

     

     

    "แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะฉันไม่มีทางเหมือนและไม่มีทางกลายเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์หรอก ทว่ากับเธอ...เธอนั้นเหมือน 'มนุษย์' มากเกินไปจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอเป็นแวมไพร์แน่หรือเปล่า? ทำไมถึงมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ได้ทั้งที่ปีศาจอย่างพวกเราไม่เคยเป็นแบบเธอเลย"

     

     

    "..."

     

     

    "แผนการนั่นน่ะ...เดิมทีฉันแค่หาทางหยุดยั้งโรคแห่งจุดจบที่มีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าจะฆ่าล้างทุกชีวิตเท่านั้นต่อให้ต้องสังเวยทุกชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ก็ตาม แต่พอมีเธออยู่ข้างฉัน พูดคุยแลกเปลี่ยนกับฉัน และการได้สัมผัสรับรู้ตัวตนของเธอทำให้เป้าหมายของแผนการที่มีมาแต่เดิมเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฉันอยากให้เผ่าพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นนี้มีพลังดั่งปีศาจทว่ามีจิตใจเหมือนมนุษย์เหมือนอย่างเธอ มันเป็นแผนใหม่สำหรับตัวฉันที่ไม่สามารถเป็นอดัมได้และในขณะเดียวกัน 'ผู้หญิงคนนั้น' ก็ไม่สามารถเป็นอีฟให้ฉันได้เช่นกัน"

     

     

    "..." ผู้หญิงคนนั้นหมายถึงคอร์เดเลียสินะ...ก็แน่ล่ะเพราะการที่คอร์เดเลียถือกำเนิดมานั้นล้วนเป็นแผนการของผู้ชายน่ารังเกียจที่ขโมยเสียงของผมไปทั้งสิ้น

     

     

    คาร์ลไฮนซ์วางแผนทำการ Child grooming คอร์เดเลียตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ เขาตั้งใจจะให้คอร์เดเลียเป็นอีฟส่วนตนเป็นอดัมมาตั้งแต่แรกแต่เพราะการสอนแบบผิดๆ ของคาร์ลไฮนซ์บวกกับความเป็นปีศาจในตัวคอร์เดเลียนั้นสูงเกินไปทำให้คอร์เดเลียหมดคุณสมบัติของอีฟทำให้แผนการแรกพังไม่เป็นท่า

     

     

    สุดท้ายความซวยก็เลยมาลงที่บรรดาลูกชายทั้งหกคนของคาร์ลไฮนซ์นั่นเอง

     

     

    การที่คริสต้าเกิดมารวมไปถึงการแต่งงานระหว่างคริสต้ากับคาร์ลไฮนซ์ที่ผมไม่เคยยินยอมและไม่มีวันยินยอมอย่างเด็ดขาดนั่นเป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้นแล้วเพราะเขาต้องการสร้างเด็กที่เกิดมาจากพี่น้องสายเลือดเดียวกันเพื่อเอาในใช้เป็นหนูทดลองในการทดลองอันแสนวิปลาสนี้

     

     

    แต่ดูเหมือนสิ่งผิดพลาดในแผนการก็คือการที่ผมเกิดมาพร้อมกันกับคริสต้านี่แหละที่อยู่เหนือความคาดหมายของคาร์ลไฮนซ์

     

     

    "เพราะอย่างนั้นฉันถึงแสดงในสิ่งที่ฉันคิดว่ามันใกล้เคียงกับ ความรัก ในแบบของตนเองออกมา ฉันไม่สามารถรักเธอในแบบมนุษย์ได้แต่ฉันสามารถรักเธอในแบบปีศาจได้นะ ความรักของปีศาจนั้นบ้าคลั่งรุนแรงมากทำให้เธอที่มีจิตใจเหมือนมนุษย์รับไม่ไหวจนถูกมองว่ามันเป็นรักที่ตอบสนองตนเองและเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวไร้หัวใจมากที่สุด ฉันรู้ดีว่าเธอไม่ชอบความรักแบบนี้เพราะเธอมองว่ามันไม่ใช่ความรัก"

     

     

    น้ำเสียงของราชันย์แวมไพร์อ่อนลง คาร์ลไฮนซ์ละมือออกจากคอของผมแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่คืนเสียงของผมเหมือนไม่ต้องการให้ผมพูดอะไร ต้องการให้ผมมีหน้าที่ฟังเขาพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นส่วนหน้าที่อย่างอื่นไม่มีสิทธิ์

     

     

    และคำพูดต่อจากนั้นผมทำให้ตกตะลึงเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคาร์ลไฮนซ์ที่ผมเกลียดชังพูดคำพูดแบบนี้ออกมา...

     

     

    "แต่...ฉันก็อยากรักเธอนะ มิไฮนซ์ อยากรักเธอมากจริงๆ เพราะอย่างนั้นอย่าบอกว่าฉันไม่เคยรักเธอเลยนะ"

     

     

                ทั้งที่ตนเองบอกว่ารักผมแบบมนุษย์ไม่ได้แต่ก็ยังอยากจะรักผมถึงแม้ว่าเป็นความรักที่บ้าคลั่งราวกับคนเสียสติอย่างนั้นเหรอ?

     

     

              ต่อให้พยายามโน้มน้าวอ้างด้วยเหตุผลอันสวยหรูมากเพียงใดแต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเรานั้นเป็นพี่น้องกันอยู่ดีถึงแม้ว่าสายเลือดพวกเราจะไม่เข้มข้นเหมือนพี่น้องท้องเดียวกันก็ตามสุดท้ายแล้วมันก็คือสายสัมพันธ์อันแสนพิกลพิการและน่ารังเกียจสิ้นดี...

     

     

    ผมนิ่งเงียบฟังอีกฝ่ายพร่ำเพ้อต่อไปราวกับคนย้ำคิดย้ำทำเสียสติไม่ปานนั้น ไม่สิ...คงจะเรียกแบบนั้นไม่ได้เพราะตอนนี้เสียงของผมถูกช่วงชิงไปทำให้ผมไม่สามารถพูดอะไรได้เลยจนต้องนิ่งเงียบฟังอีกฝ่ายพร่ำเพ้อเสียมากกว่า

     

     

    พอได้ยินแบบนี้มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า 'ความรัก' ที่ผมกล่าวถึงกับ 'ความรัก' ที่คาร์ลไฮนซ์กล่าวถึงนั้นอย่างใดมันควรไม่ควรกันแน่ ถ้าหากไม่นับเรื่องที่ผมกับอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีสายเลือดเดียวกันแล้วล่ะก็ผมไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าฝ่ายใดถูกผิด บางทีคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดอาจจะไม่ใช่คาร์ลไฮนซ์ที่ไม่สามารถรักแบบมนุษย์ได้แต่เป็นตัวผมตะหากที่เห็นแก่ตัว

     

     

    ตัวผมที่เห็นแก่ตัว...ที่เผลอยัดเยียดความคิดความรู้สึกแบบมนุษย์ให้คาร์ลไฮนซ์จนเขากลายเป็นคนเสียสติพร่ำเพ้อถึงความรักในอุดมคติที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้ของตนเองแบบนี้

     

     

    แต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่เรื่องสมมติอยู่ดี ตัวผมที่ยังคงมีเศษเสี้ยวสายเลือดเดียวกันกับราชาแวมไพร์ไม่มีวันยอมรับความคิดอันแสนวิปลาสผิดศีลธรรมนี้อย่างเด็ดขาด ผมจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุดจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหายไปจากโลกนี้

     

     

    ทว่าตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน...พักสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อย่างไรซะตอนนี้ผมก็ต่อต้านอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อยู่ดี

     

     

    ผมหลับตานิ่งปล่อยให้คาร์ลไฮนซ์นั่งกอดผมทำตามอำเภอใจตนเองอยู่อย่างนั้นจนกว่าเขาจะพอใจและปล่อยผมไปเอง ตัวผมในตอนนี้น่ะไม่มีอำนาจในการขัดขืนอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว

     

     

    ซึ่งมันเป็นเวลาอีกนานเลยทีเดียวกว่าที่ราชันย์แวมไพร์ผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งรักจนถึงจุดแห่งความคลั่งที่เรียกว่าความบ้าคลั่งปล่อยผมออกมาเป็นอิสระเหมือนดั่งเคย

     

     

    อิสระที่อยู่ได้เพียงภายในกรงนกอันวิปลาสขนาดใหญ่แห่งนี้เท่านั้นเอง....

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ผมจัดการทำความสะอาดแต่งกายให้เรียบร้อยเหมือนดังเคย ผมสีขาวยาวถูกปล่อยสยายไม่มีการมัดรวบแบบลวกๆ ตามเคยเพราะผมไม่ต้องการให้ใครมาเห็นรอยกัดรอยขบเม้มต่างๆ โดยเฉพาะรอยกัดหลังคอราวกับไปฟัดกับหมาบ้ายิ่งไม่ยอมให้ใครเห็นเป็นอันขาด 

     

     

    ตอนแรกผมไม่ค่อยชอบผมยาวเกะกะน่ารำคาญของตนเองเท่าไหร่นักอยากจะตัดให้มันสั้นด้วยซ้ำแต่ท่านพ่อกับท่านแม่ขอเอาไว้เนื่องจากคาร์ลไฮนซ์อยากให้ผมไว้ผมยาวเหมือนเขา ผมก็เลยยอมทำตามคำสั่งเพราะไม่อยากทำตัวขบถต่ออีกฝ่ายจนนำความเดือดร้อนมาให้ตนเองและคนรอบข้าง 

     

     

    ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าผมต้องมาขอบคุณผมสีขาวยาวสุดแสนพะรุงพะรังแทบจะนับญาติกับราพันเซลแบบนี้

     

     

    "เบียคุยะ..."

     

     

    น้ำเสียงแผ่วเบาแสนเหงาหงอยผสมกับความเศร้าใจเอ่ยขึ้นตรงหน้าเอ่ยนามของผมออกมา ผมหยุดมองสบกับเจ้าของเสียงนั้นทันที เจ้าของเสียงแสนโดดเดี่ยวนี้เป็นของเด็กชายตัวเล็กผมสีม่วงเหมือนกับภรรยาคนแรกของราชันย์แวมไพร์ทว่าสว่างไสวกว่าเฉดเดียวกับสีของดวงตากลมโตพร้อมกอดตุ๊กตาหมีเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเด็กชายอีกสองคนซึ่ง

     

     

    เด็กคนแรกเป็นพี่ใหญ่ของเด็กอีกสองคน(ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเกิดมาทีหลังสุดก็ตามแต่ดูเหมือนว่าที่นี่มีธรรมเนียมที่ว่าฝาแฝดที่เกิดมาเป็นคนสุดท้ายนั้นคือลูกคนโต) เขามีผมสีแดงและดวงตาสีเขียวถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ทว่าดวงตาเขานั้นใสบริสุทธิ์มากกว่าซึ่งตอนนี้ฉายแววตัดพ้อน้อยใจออกมา เด็กคนต่อมามีเอกลักษณ์เป็นผมสีน้ำตาลแดงและดวงตาสีเขียวฉายแววขี้เล่นซุกซนพร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายทว่าตอนนี้กลับไม่ปรากฏรอยยิ้มดวงตาสีเขียวเองฉายแววเหมือนกับเด็กผู้เป็นพี่ไม่มีผิดเพี้ยน

     

     

    "เบียคุยะ ผิดสัญญา..." เด็กชายผมสีม่วงคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดพลันทำให้ใจผมอ่อนยวบรู้สึกผิดที่ทำตามคำสัญญาที่เคยมอบให้กับเด็กสองคนนี้ไม่ได้

     

     

    เพราะเด็กสามคนนี้น้อยใจผมเรื่องที่ผมเป่าโอคาริน่าให้สุบารุซึ่งผมเพิ่งรู้ว่าพวกเขาแอบมองผมกับสุบารุอยู่ด้วยกันบนทางเดินหอคอย ผมเลยสัญญากับพวกเขาว่าจะถ้าวันไหนว่างจากงานเมื่อไหร่แล้วเป่าโอคาริน่าให้ฟังแต่ดูเหมือนว่าคาร์ลไฮนซ์กักตัวผมไว้นานเกินเมื่อรวมกับความเจ็บปวดระคนเหนื่อยล้าแล้วมันกลายเป็นว่าตอนนี้ค่อนข้างดึกเลยทีเดียว

     

     

    ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเพราะครั้งนี้ผมผิดจริงๆ ทำได้เพียงแค่เข้าใกล้คุกเข่าให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับพวกเขาส่งยิ้มบางแสดงความรู้สึกผิด "ผมขออภัยนายน้อยคานาโตะ นายน้อยอายาโตะ แล้วก็นายน้อยไลโตะด้วยนะขอรับ"

     

     

               เด็กชายผมแดงมองผมชะงักเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำท่าเหมือนดมกลิ่นใกล้บริเวณลำคอจนผมสะดุ้งถอยออกมาเผลอจับแผลตนเองที่คอคล้ายกันไม่ให้เขามองเห็นในสิ่งที่เด็กไม่สมควรจะเห็น

     

     

    ดวงตาสีเขียวที่เคยมองมาที่ผมอย่างน้อยเนื้อต่ำใจแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยด้วยความเจ็บปวดแทน "กลิ่นเลือด? เบียคุยะโดนท่านพ่อ 'ทำร้าย' มาอีกแล้วเหรอ..."

     

     

    ตอนแรกผมจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ไม่นึกว่าจมูกของเด็กชายผมแดง 'อายาโตะ' จะดีขนาดนี้ พอเมื่อเด็กชายทั้งสามรู้ว่าผมถูกคาร์ลไฮนซ์พ่อของพวกเขาทำร้ายผมจากดวงตาที่เคยตัดพ้อน้อยใจก็แปรเปลี่ยนไปด้วยความเจ็บปวดเหมือนกัน

     

     

    มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขารู้ว่าผมถูกคาร์ลไฮนซ์ลงโทษและมันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมถูกคาร์ลไฮนซ์ลงโทษแบบนี้เช่นกัน เด็กทั้งสามคนนี้ ไม่สิ...ลูกทุกคนของคาร์ลไฮนซ์ไม่สมควรรู้เรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้ ยามที่ผมถูกราชันย์แวมไพร์ลงทัณฑ์ผมมักจะโกหกออกมาทุกครั้งว่าผมมันซุ่มซ่ามพลาดท่าทำตัวเองเป็นแผล

     

     

    ตอนแรกผมโกหกอย่างนั้นแต่สุดท้ายความลับมาแตกตอนอายาโตะถูกคอร์เดเลียจับโยนลงทะเลสาบครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ซึ่งเผอิญมันไปตรงกับวันที่คาร์ลไฮนซ์ทำโทษผมพอดี ผมสะกดความเจ็บฝืนว่ายน้ำไปช่วยถอดเสื้อสูทพ่อบ้านสีดำคลุมให้อีกฝ่ายอย่างเช่นเคยโดยลืมไปว่าเสื้อเชิ้ตตัวในของผมมันเป็นสีขาวพอเวลาโดนน้ำมันเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในชัดเจน

     

     

    ทั้งรอยกัด รอยช้ำ รอยขบเม้มต่างๆ อายาโตะเห็นมันหมดแล้วเขาจึงรู้ว่าผมไม่ได้ซุ่มซ่ามทำตัวเองเป็นแผลแต่ผมโดนพ่อของเขาทำร้ายเอา ผมเลยโกหกไปรอบที่สองว่าผมโดนคาร์ลไฮนซ์ลงโทษเรื่องที่ละเมิดกฎระเบียบหรือไปมีเรื่องทะเลาะกับภรรยาของเขาแล้วจากนั้นคานาโตะกับไลโตะก็รู้เรื่องที่ผมถูกคาร์ลไฮนซ์ทำร้ายจากคำบอกเล่าของอายาโตะ

     

     

    ซึ่งอันที่จริงมันก็ถูกส่วนหนึ่ง...

     

     

    ยามที่ผมพ่ายแพ้เขา ทำให้เขาโกรธไม่พอใจ ทำผิดกฎกติกาของเขา หรือแม้กระทั่งทำให้เขา 'หึงหวง' ในฐานะคนที่เขารัก คาร์ลไฮนซ์มักจะลงโทษผมอยู่เสมอด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

     

     

    เรื่องที่ผมแพ้ตามพันธสัญญา เรื่องที่ผมทำให้เขาโกรธ เรื่องที่ผมแหกกฏ ผมน่ะเชื่อแต่ว่าเรื่อง 'หึงหวง' เพราะว่าเขารักผมเรื่องนั้น เรื่องเดียวที่ผมไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดถึงแม้ว่าเขาจะบอกรักผมเป็นล้านครั้งก็ตามแต่ผมก็มองว่าคาร์ลไฮนซ์ทำเพื่อตนเองทั้งนั้น เขาคือราชันย์แวมไพร์ผู้ต่ำทรามไม่เคยรักใครเลยนอกจากตนเอง 

     

     

    คนที่เห็นแก่ตัวและทำลายครอบครัวของผมแบบนั้นน่ะจะให้ผมญาติดีกับเขาต่อไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

     

     

    "เพราะเบียคุยะทำให้ท่านแม่โกรธเลยโดนท่านพ่อทำร้ายเหรอ?" อายาโตะถาม ผมเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีกอบกุมมือของเขาส่งยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย

     

     

    "ผมไม่เป็นไร อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิผมชอบรอยยิ้มมีความสุขของนายน้อยอายาโตะ นายน้อยคานาโตะ แล้วก็นายน้อยไลโตะมากกว่านะ"

     

     

    "แต่ว่า..."

     

     

    "วันนี้ผมสัญญากับนายน้อยทั้งสามว่าจะเป่าโอคาริน่าให้ฟังถึงแม้ว่ามันจะช้าแต่อย่างน้อยผมอยากรับผิดชอบคำพูดของตัวเองนะ อีกอย่าง...เป็นเพลงโอคาริน่าสำหรับนายน้อยทั้งสามโดยเฉพาะไม่อยากฟังแล้วเหรอขอรับ?" เมื่อได้ยินคำว่า 'เพลงโอคาริน่าโดยเฉพาะ' ดวงตาทั้งสามคู่เป็นประกายสดใสขึ้นมา

     

     

    "ถ้าพวกผมหลับแล้วเบียคุยะต้องอยู่กับพวกผมนะผมถึงจะยกโทษให้เบียคุยะ" คานาโตะพูดแกมบังคับเล็กน้อย ทางไลโตะกับอายาโตะเองก็เห็นด้วยกับความคิดของเขาและแน่นอนว่าผมพยักหน้าตอบตกลงสร้างความดีใจให้แก่เด็กน้อยทั้งสาม

     

     

    ผมพาเด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นหลานของผมทั้งสามคนมานอนที่ห้องนอนรวมของพวกเขา ปราสาทเอเดนน่ะห้องหับเยอะมากชนิดที่ว่าต้องอยู่เป็นเดือนถึงจะรู้ว่าห้องไหนเป็นห้องไหนเพราะประตูบางบนอาจเป็นประตูเชื่อมไปอีกสถานที่หนึ่งคล้ายประตูไปที่ไหนก็ได้ของหุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นทานูกิไม่ก็แรคคูนอยู่ตลอด ดังนั้นไม่แปลกใจว่าห้องนอนของเด็กๆ รวมไปถึงพ่อแม่พวกเขาเยอะตามไปด้วย

     

     

    ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเด็กชายฝาแฝดทั้งสาม ประตูที่ผมเปิดออกมาข้างในนั้นเป็นห้องนอนรวมของพวกเขาขนาดใหญ่สมฐานะบุตรชายราชันย์แวมไพร์ เตียงเป็นเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ผ้าม่านสีม่วงโปร่งพลิ้วไหว เครื่องเรือนเรียบง่ายทว่าซ่อนความหรูหราเอาไว้ข้างในผสมกับของเล่นเด็กที่ถูกจัดวางเป็นระเบียบ ภาพวาดครอบครัวของเด็กชายทั้งสามถูกแขวนเหนือเตาผิง

     

     

    ผมจัดการเลิกผ้าห่มออกให้หลานชายขึ้นนอนบนเตียงอายาโตะนอนริมนอกคานาโตะนอนตรงกลางสุดท้ายไลโตะนอนริมในใกล้กับผมมากที่สุด ผมเดินไปจุดไฟเตาผิงสร้างบรรยากาศให้อบอุ่นจากนั้นหยิบโอคาริน่าที่ผมมักจะซ่อนมันไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านในของผมออกมาเริ่มบรรเลงเพลงให้พวกเขาฟัง



    ผมพริ้มตาหลับลงพลันนั้นท่วงทำนองในห้วงความคิดดังขึ้นเรียวนิ้วมือทั้งสองข้างบรรเลงเพลงกล่อมพวกเขาบางครั้งโยกตัวพลิ้วไหวตามจังหวะเพลงลืมตามองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่เอ็นดูเด็กชายฝาแฝดทั้งสามคนในฐานะครอบครัวคนหนึ่ง

     

     

    จากที่เคยเศร้าพลันมีความสุขอีกครั้ง ถึงแม้ไร้คำเอื้อนเอ่ยใดๆ ออกจากปากพวกเขาแต่ผมสัมผัสได้ทางความรู้สึกสุขสงบทางจิตใจ ถ้าพวกเขามีความสุขผมเองก็มีความสุขเช่นกันนี่สินะที่เรียกว่า 'สายใย' ของครอบครัวน่ะ...

     

     

    ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ส่งยิ้มแทนริมฝีปากที่บรรจงบรรเลงเพลงกล่อม ผมหลับตานึกถึงท่วงทำนองอีกครามือบรรเลงเพลงโยกกายพลิ้วไหวตามท่วงทำนองภายในหัวใจรอจนกว่าเด็กน้อยทั้งสามคนเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานในยามค่ำคืนนี้

     .

    .

    .

    .

    .

    .

    เมื่อเด็กชายทั้งสามคนหลับตาสนิทเข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งนิทราแล้วผมละมือออกจากโอคาริน่าวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงมองพวกเขาด้วยความรักใคร่เอ็นดู ผมค่อยๆ ขยับตัวอย่างแผ่วเบาไม่ให้พวกเขาตื่นก่อนก้มจูบหน้าผากพวกเขาทั้งสามบอกราตรีสวัสดิ์เหมือนที่ผมเคยทำกับคริสต้ายามที่เธอหลับหลังจากฟังผมบรรเลงเพลงให้กับเธอ เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสามไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาผมก็หิ้วหมอนกับผ้าห่มที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าย้ายที่มานอนบนโซฟาข้างๆ เตียงนอนขนาดใหญ่แทน

     

     

    ก็ผมสัญญากับเด็กๆ แล้วนี่ว่าผมจะอยู่กับพวกเขาตอนหลับ ถือว่าเป็นการนอนหลับพักผ่อนภายในตัวด้วยแล้วกัน

     

     

    ผมจัดการวางหมอนล้มตัวนอนลงบนโซฟาห่มผ้านอนพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อให้เนื้อที่โซฟามันพอกับตัวผม มันก็แปลกดีนะที่แวมไพร์สามารถหลับได้โดยไม่ต้องหายใจและไม่มีเสียงหัวใจเต้นอยู่เลยแม้แต่น้อย ผมว่ามันก็ดีอยู่นะที่แวมไพร์สามารถหลับได้เหมือนคนปกติอีกอย่างเพราะตอนนี้ผมทั้งล้าทั้งปวดเนื้อปวดตัวมามากแล้ว 

     

     

    ผมมองไปยังเด็กแฝดทั้งสามที่กำลังหลับพร้อมส่งยิ้มบางให้พวกเขากล่าวอวยพรราตรีสวัสดิ์ซ้ำอีกรอบแล้วค่อยๆ ปิดตาลงเข้าสู่ห้วงภวังค์นิทราด้วยความเหนื่อยล้าอย่างง่ายดาย 

     

     

    โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีดวงตาสีเขียวอ่อนคู่หนึ่งมองผมอยู่....

     

     

    ผ่านไปหลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าพี่ชายฝาแฝดทั้งสองคนรวมไปถึงพ่อบ้านผมขาวที่เป่าโอคาริน่ากล่อมพวกเขาหับนั้นหลับสนิทจึงค่อยๆ ลุกออกมาจากเตียงเดินไปหาร่างสูงโปร่งที่นอนตะแคงข้างหลับสบายบนโซฟาซึ่งมีความยาวน้อยกว่าความสูงของอีกฝ่ายเล็กน้อย

     

     

    เบียคุยะนี่ทั้งหลับง่ายและหลับลึกจังเลยนะ...

     

     

    เป็นความคิดแวบแรกของเด็กชายผมสีน้ำตาลแดงพลันนั้นรอยยิ้มบางปรากฏออกมา ดวงตาเรียวมีสเน่ห์จับจ้องไปยังดวงหน้าขาวเนียนที่กำลังพริ้มหลับอย่างสงบนิ่งก่อนเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ลอบจุมพิตบนหน้าผากของคนที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน

     

     

    "ผมรักคุณ เบียคุยะ...ต่อให้คุณแปดเปื้อนเพราะผู้ชายคนนั้นผมก็ยังคงรักคุณเสมอ"

     

     

    ไลโตะกล่าว พลางเอื้อมมือสัมผัสเส้นผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายทว่าชะงักค้างด้วยความลังเล เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมารับรู้สึกที่ตนกระทำไปเมื่อครู่จึงค้างมือเอาไว้ก่อนเก็บมันไม่กล้าสัมผัสอีกฝ่ายไปมากกว่านี้

     

     

    เพราะสูงค่า ถึงได้ถนอมเอาไว้ราวดั่งแก้วอันแสนเปราะบาง

     

     

    ไลโตะนั้นรู้ทุกอย่างเบื้องหลังคำโกหกนี้ ถึงคนตรงหน้านั้นเป็นจอมโกหกที่เนียนมากสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเด็กชายผมสีน้ำตาลแดงคนนี้แล้ว นางามิตสึ เบียคุยะนั้นเป็นจอมโกหกที่แย่ในสายตาของเขา เขารู้ว่ารอยแผลที่ได้มานั้นเกิดจากอะไรถ้าไม่ใช่การร่วมรักกันระหว่างพ่อของเขากับคนตรงหน้านี้

     

     

    และเป็นการร่วมรักที่รุนแรงมากจนเด็กชายนึกเจ็บปวด...

     

     

    ไม่รู้ว่าวันนั้นที่เขาเห็นทั้งสองคนร่วมรักกันเป็นครั้งแรกคือความบังเอิญหรือความจงใจกันแน่? ดวงหน้างดงามอันแสนยั่วยวนของคอร์เดเลียแม่ของตนในวันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังริษยาดั่งพายุคลั่ง ยามตนถามหาเบียคุยะเพราะเห็นว่าเบียคุยะมาตามนัดของตนกับพี่ชายฝาแฝดช้าผิดปกติ แม่ของเขาชักสีหน้าตอบไปว่าห้องนอนของคาร์ลไฮนซ์สิเดี๋ยวก็จะรู้เองจากนั้นกระแทกเท้าเดินฉับๆ ออกไปด้วยความฉุนเฉียว

     

     

    จะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเบียคุยะแน่ เพราะต่อให้อีกฝ่ายมาสายก็จริงแต่ก็ไม่ช้าเป็นชั่วโมงๆ เหมือนหายตัวไปแบบนี้ เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงออกตามหาและแล้วเขาก็เจอประตูที่เปิดแง้มอยู่เล็กน้อยคล้ายล่อลวงให้เด็กชายผมสีน้ำตาลแดงไม่ปานนั้นและเมื่อตนมองผ่านช่องนั้น ดวงตาสีเขียวอ่อนพลันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงไม่เชื่อในสายตาของตนเอง

     

     

    ร่างสูงของพ่อบ้านผมขาวที่ตนมองว่าบริสุทธิ์งดงามนั้นบัดนี้ถูกย้อมด้วยความโสมมอันน่ารังเกียจโดยบิดาแท้ๆ ของตนเอง ภาพของร่างสูงสะโอดสะองนั้นไม่น่าดูนัก ข้อมือทั้งสองถูกเชือกรัดแน่นจนเป็นแผลถลอกโอบรอบคอของชายผู้เป็นบิดายามรวมกับดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ถูกเนคไทผูกปิดทว่าเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินออกมาจนดูน่าสงสารจับใจ ร่างของเบียคุยะมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวปกปิดเอาไว้ทว่าถูกแหวกออกมาให้เห็นรอยกัดและรอยขบเม้มสีแดงช้ำจนน่ากลัว

     

     

    สภาพน่าสังเวชจนน่าสงสารแบบนั้นไม่ว่าคนใดที่มีศีลธรรมพอเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ต่างพากันสงสารผู้ถูกกระทำอย่างจับพร้อมยื่นมือช่วยเหลือ 

     

     

    ทว่ามันไม่ใช่กับผู้กระทำไร้ใจเฉกเช่นบิดาของตน...

     

     

    ชายผู้เป็นถึงราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์นั้นกลับระบายยิ้มพึงพอใจระคนเอ็นดูออกมายามร่างที่นั่งคร่อมตนนั้นสั่นสะท้านเมื่อถูกเขาโอบกอดลูบไล้สัมผัสกาย พร้อมร่นเสื้อเชิ้ตสีขาวลงมาที่ไหล่ฝังคมเขี้ยวกัดบ่าอีกฝ่ายเต็มแรงดื่มเลือดอันหอมหวานของผู้ถูกกระทำก่อนเรียวลิ้นตวัดเลียบาดแผลที่ตนสร้างด้วยความหลงใหลอย่างไม่รู้จักเบื่อ

     

     

    เสียงของการขยับกระทบกระทั้งกันตามจังหวะอารมณ์ที่ขึ้นสูงของราชันย์แวมไพร์ เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของอีกร่างผู้ถูกกระทำระคนกับแผลฉีกขาดจนเลือดไหลออกมาพร้อมกับของเหลวสีขาวขุ่นนั้นช่างสกปรกโสมมแทบทนดูไม่ได้

     

     

    เด็กชายผมสีน้ำตาลแดงอยากจะช่วยเบียคุยะแต่ทว่าเขาไม่มีความกล้าพอ ดวงตาสีอำพันของคาร์ลไฮนซ์พ่อของตนนั้นตวัดมองมายังช่องประตูที่ถูกแง้มราวกับจงใจให้เห็นพร้อมยกยิ้มออกมาทำให้ทราบว่าพ่อของตนรู้ว่าตนแอบมองอยู่ก่อนแล้ว 

     

     

    จากนั้นราชันย์แวมไพร์ผู้เป็นบิดาขยับปากของตนทว่าไร้เสียงเอื้อนเอ่ยออกมาแต่คนที่มองเห็นเหตุการณ์อย่างไลโตะเข้าใจความหมายของมันเป็นอย่างดี

     

     

    'เขา-เป็น-ของ-ฉัน-เพียง-คน-เดียว-แก-ไม่-มี-สิทธิ์'

     

     

    อาจเป็นเพราะคาร์ลไฮนซ์พ่อของตนนั้นเคยเห็นตนแอบจุมพิตริมฝีปากของเบียคุยะตอนหลับเลยทำให้อีกฝ่ายโกรธและหึงหวงเบียคุยะจนถึงขั้นลงไม้ลงมือเช่นนี้ ถึงแม้ว่าไลโตะจะเด็กก็ตามแต่ก็มองออกว่าบิดาของตนนั้นไม่เคยรักแม่ของตนหรือภรรยาคนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว คนที่พ่อรักเพียงคนเดียวคือพ่อบ้านที่ชื่อ นางามิตสึ เบียคุยะ เท่านั้น

     

     

    และแน่นอนว่าพี่น้องคนอื่นรวมไปถึงตัวเขาเองก็รักพ่อบ้านคนนี้เช่นกันแต่ทว่าสุดท้ายแล้วการกระทำที่เปี่ยมด้วยรักของเขานั้นย้อนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักเสียเอง

     

     

    เป็นเขา เป็นเขาเองที่ทำให้เบียคุยะที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โดนกระทำย่ำยีแบบนี้

     

     

    แต่ว่าทำไมลึกๆ แล้วเขากลับอยากเห็นสีหน้าที่แตกต่างกันจากปกติของอีกฝ่าย อยากได้ยินเสียงร้องอ้อนวอนที่เปี่ยมไปด้วยรัก อยากเห็นดวงตาสีม่วงอัญมณีทอประกายด้วยความสุขความยินดีมากกว่าถูกทำให้ความเจ็บปวดปราศจากความยินยอมเพื่อสนองความต้องการแบบนี้

     

     

    ไม่! ไม่! ไม่! อย่าเอาความคิดสกปรกแบบนั้นมาเด็ดขาด 

     

     

    เขากับพ่อของเขาต่างกันเพราะเขาไม่มีวันทำร้ายเบียคุยะแบบเดียวกับที่พ่อทำอย่างเด็ดขาด!

     

     

    ไลโตะตั้งมั่นในใจว่าจะทะนุถนอมเบียคุยะยามเมื่อตนแข็งแกร่งพอจะเป็นฝ่ายปกป้องเอง แต่ทว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มีหรือที่ตนต่อต้านความต้องการครอบครองอีกฝ่ายด้วยความรักอันบ้าคลั่งตามสัญชาตญาณแวมไพร์ที่นับวันยิ่งมากขึ้นทุกวัน 

     

     

    อยากฝากรอยกัด อยากฝากรอยจูบ อยากฝากทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวอีกฝ่ายเพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่าเบียคุยะเป็นของตนเพียงคนเดียว

     

     

    จนบางทีเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขากับพ่อของตนนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว...

     

     

    สุดท้ายแล้วมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างเขากับคอร์เดเลียผู้เป็นแม่แท้ๆ ของตนเองเพียงเพราะคำว่า 'รัก' อีกฝ่ายนั่นเอง

     

     

    "ไลโตะ ลูกรักพ่อบ้านคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงหวานล้ำอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังของเด็กชายยามเหม่อมองร่างสูงสง่าของชายผู้เป็นพ่อบ้านกับฝาแฝดคนพี่ของตนเอง

     

     

    ไลโตะหันกลับไปมองเห็นคอร์เดเลียผู้เป็นมารดาของตนยืนอยู่ด้านหลังของตน เขานั้นรู้สึกแน่นอึดอัดอยู่ภายในอกอย่างบอกไม่ถูกเพราะมารดาของตนนั้นมักให้ความสำคัญกับอายาโตะมากที่สุดทำให้คานาโตะกับตนนั้นถูกละเลยออกไปพอสมควร

     

     

    "ลูกรักพ่อบ้านคนนั้นหรือ?" เสียงนั้นถามซ้ำอีกครั้ง

     

     

    "ผม...ชอบเขาครับ ท่านแม่" เด็กชายผมสีน้ำตาลแดงตอบอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เบียคุยะนั้นรักและเอ็นดูเขา คอยดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่แปลกเลยที่เขาจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับอีกฝ่าย

     

     

    ทว่า...ใบหน้าของคอร์เดเลียกลับมืดครึ้มลง

     

     

    "แม่ถามว่าลูก 'รัก' พ่อบ้านคนนั้นไม่ใช่ 'ชอบ' พ่อบ้านคนนั้นหรือเปล่า?" 

     

     

    คนที่ถูกถามหยุดนิ่ง เด็กชายตัวชาไปทั้งร่างราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินยามสบตาสีเขียวมรกตของผู้เป็นแม่ ทั้งที่เขาเชื่อว่ามารดาของตนนั้นอยู่ดูอายาโตะมากกว่าตนกับคานาโตะพี่ชายฝาแฝดของตนไม่น่าจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเบียคุยะแท้ๆ แต่ทำไมถึง...?

     

     

    คอร์เดเลียยกยิ้มขึ้นพร้อมเอ่ยออกมา "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ไม่จำเป็นต้องอายหรอกมันเป็นปกติอยู่แล้วที่เวลามีใครมอบความรักความเอาใจใส่แล้วต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา ลูกรักพ่อบ้านคนนั้นมากเกินกว่าความสัมพันธ์นายบ่าวอย่างที่ควรเป็นใช่หรือไม่?"

     

     

    ในเมื่อไม่มีทางโกหกท่านแม่ได้อยู่แล้ว เด็กชายจึงพยักหน้าเบาๆ คล้ายเด็กที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่าตนเองทำความผิดร้ายแรงเอาไว้ จะให้ไม่ผิดได้อย่างไรในเมื่อเขาคิดกับเบียคุยะเกินเลยแบบนั้นแถมเบียคุยะเป็นคนที่แม่เกลียดอีกตะหาก ดังนั้นเขาจึงเตรียมใจถูกดุยามตอบคำถามอีกฝ่ายไว้เรียบร้อยแล้ว

     

     

    แต่เปล่าเลย คอร์เดเลียแม่ของตนนั้นไม่ได้ดุด่าเขาเลยแม้แต่น้อยกลับมองหน้าเด็กชายด้วยสีหน้าเรียบนิ่งถามเขาอีกครั้ง "งั้นหรือ?" 

     

     

    "ท่านแม่ไม่โกรธผมเหรอที่ผมรักคนที่แม่เกลียด...?" ไลโตะถาม

     

     

    "อะไรกัน~ ไลโตะลูกคิดว่าแม่จะใจร้ายใจดำถึงขนาดห้ามไม่ให้ลูกไปรักกับคนที่ลูกรักเหรอ แม่เสียใจนะรู้ไหมที่ลูกพูดแบบนี้กับแม่น่ะ?" ปากบอกว่าเสียใจทว่าการกระทำตรงข้าม หญิงสาวผู้เป็นมารดาเด็กตรงหน้ากลับยกยิ้มขึ้นเสียงสูงคล้ายเย้าแหย่ลูกชายของตนเล่น

     

     

    "ผมขอโทษครับ ท่านแม่" ไลโตะกล่าวขอโทษอีกฝ่าย

     

     

    "ลูกคงรักเขามากจริงๆ นั่นแหละ ถ้าอย่างนั้นให้แม่ช่วยทำให้เขาหันมามองลูกและรักลูกเพียงคนเดียวดีไหมล่ะ?" คอร์เดเลียกล่าวด้วยรอยยิ้มทว่าเป็นรอยยิ้มอาบยาพิษ ไลโตะรู้ดีว่าการที่แม่ของตนเสมอตัวช่วยแบบนี้มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่แต่คำว่า 'ทำให้เขาหันมามองและรักเขาเพียงคนเดียว' ทำให้เด็กชายเลือกที่จะมองข้ามรอยยิ้มนั้นไป

     

     

    มีวิธีแบบนั้นด้วยเหรอ...? วิธีที่ทำให้เบียคุยะรักเขาน่ะ

     

     

    "จะตอบตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่ลูก ลูกน่ะคงไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นของคนอื่นใช่ไหมล่ะ? ไม่อยากให้เขาปฏิบัติกับลูกเหมือนพี่น้องคนอื่น อยากเป็นคนพิเศษของเขาเพียงคนเดียวใช่หรือเปล่า?" 

     

     

    เด็กชายนิ่งเงียบ ดวงตาสีเขียวอ่อนมองไปยังร่างของเบียคุยะที่กำลังหัวเราะยิ้มร่ากับอายาโตะฝาแฝดคนโตของตนด้วยใจริษยาลึกๆ เขาอิจฉา เขาอิจฉาอายาโตะถึงแม้ว่าเขาจะรักอายาโตะเพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็จริงแต่บางครั้งทำไมเขากลับรู้สึกว่าอายาโตะนั้นได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปทั้งหมด

     

     

             ทั้งความสนใจ ความคาดหวัง ความภาคภูมิใจ รวมไปถึง 'เขาคนนั้น' อีก...

     

     

    เพราะความต้องการรวมกับสัญชาตญาณความรักอันบ้าคลั่งของแวมไพร์ที่นับวันยิ่งเพิ่มพูน คำล่อลวงดั่งปีศาจร้ายของหญิงสาวผู้เป็นมารดานั้นกลายเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับไลโตะดั่งผลไม้ต้องห้ามแห่งสวนเอเดนไม่มีผิดเพี้ยน

     

     

    เขายอมทุกอย่างให้อายาโตะได้แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่ยอมอายาโตะคือพ่อบ้านที่ชื่อ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' เพียงคนเดียวเท่านั้น

     

     

    เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตอบตกลงกระโจนเข้าสู่ห้วงกับดักของคอร์เดเลียมารดาตน

     

     

    เหตุใดทำไมเด็กชายถึงทำแบบนี้? คำตอบนั้นสั้นและง่ายแสนง่ายนัก

     

     

    เพราะรักเบียคุยะมากที่สุดยังไงล่ะ...  

     

     

    ...เพราะรักมากถึงยอมจมลงโคลนดำดิ่งเข้าสู่วังวนแสนน่ารังเกียจเหล่านี้เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งความปรารถนาของตนเป็นจริงขึ้นมา

     

     

    ความปรารถนา...ที่อยากครอบครองแสงสว่างเท่ากลางความมืดนี้

     

     

    ตนนั้นคงเห็นแก่ตัวมากสินะ ยอมเสียสละเพื่อที่ว่าซักวันหนึ่งจะได้รับความรักตอบแทนกลับมาจากคนตรงหน้านี้ถึงแม้ว่ามันตรงกันข้ามกับความรักของเบียคุยะก็ตามแต่มันก็ยังคงเป็นความรักอยู่ดีนั่นแหละ

     

     

    หากความรักของเบียคุยะนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์แล้วความรักของเขาคงเป็นความรักอันดำมืดซ่อนความเห็นแก่ตัวภายใต้ชื่อ 'ความเสียสละ' อันบิดเบี้ยวนี้

     

     

    ถ้าเพื่อความรักนี้ 'ต่อให้ต้องเสียอะไรก็ยอม' ถึงแม้ว่าจะโดนอีกฝ่ายเกลียดชังก็ตาม

     

     

    ยอมเป็นศัตรูทุกคนกับแม้กระทั่งครอบครัวตนเองเพื่อคนที่เขารัก ยอมโดนคนทั้งโลกเกลียดทว่าไม่ยอมปล่อยมือจากคนที่เขารัก ยอมเจ็บปวดเพื่อแลกกับการครอบครองแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในโลกปีศาจอันแสนดำมืดแห่งนี้

     

     

    "เบียคุยะ ผมน่ารังเกียจไหม...? ที่ผมต้องการคุณมากมายแบบนี้" เด็กชายผมสีน้ำตาลแดงเปรยถามอย่างแผ่วเบาทั้งที่รู้แก่ใจว่าคนตรงหน้านั้นเข้าสู่ภวังค์หลับลึกยากที่จะตื่นแล้ว 

     

     

    สักพักหนึ่งเขาหัวเราะออกมาเสียงเบาคล้ายเย้ยหยันตนเองไม่ปานนั้น...

     

     

    "ฮะๆ นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้นหรอกที่อยากครอบครองคุณจนตัวสั่น ไม่สิ...ไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้นและพี่น้องคนอื่น"

     

     

    ทำไมตนจะไม่เข้าใจเล่าว่าพ่อของตนรวมไปถึงพี่น้องคนอื่นคิดอย่างไรกับเบียคุยะเพราะสายตารวมไปถึงการกระทำมันชัดเจนอยู่แล้ว แวมไพร์อย่างพวกเขานั้นนั่นเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายบ้าคลั่งที่ถูกคุมขังในความมืดอันหนาวเหน็บแต่แล้วก็มีแสงสว่างเข้ามาโอบกอดเยียวยาสัตว์ร้ายเหล่านั้นด้วยความอบอุ่นอันแสนอ่อนโยน

     

     

    ทว่าสัตว์ร้ายย่อมเป็นสัตว์ร้ายอยู่วันยังค่ำ เมื่อได้รับความอบอุ่นจากแสงสว่างนั้นสัตว์ร้ายไม่สามารถใช้ชีวิตในความมืดมิดได้อีกต่อไป พยายามทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าครอบครองแสงสว่างนั้นเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวราวกับมนุษย์ถ้ำยามรู้วิธีจุดไฟแล้วล้วนหวาดกลัวความมืดมิดทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถทนอยู่ในความมืดมิดอันหนาวเหน็บได้อีกต่อไป

     

     

    จนบางทีตัวไลโตะอดคิดไม่ได้ว่า 'ความใจดี' ของเบียคุยะมันเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดร่ำไป

     

     

    ทว่า...เป็น 'ความใจดี' ที่น่าหลงใหลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นทั้งผู้ชายคนนั้นทั้งตนและพี่น้องคนอื่นคงไม่ลุ่มหลงตัวตนที่ชื่อ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' แบบนี้หรอก

     

     

    หลังจากมองอีกฝ่ายด้วยความหลงใหลพึงพอใจเต็มที่แล้ว เด็กชายจึงประทับจุมพิตอีกคราบนหน้าผากขาวเนียนถึงแม้ว่าจะมีเส้นผมลงปรกหน้าผากก็ตามสำหรับเขาแล้วไม่ใช่อุปสรรคต่อการกระทำของเขาพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์แก่อีกฝ่าย

     

     

               "ราตรีสวัสดิ์นะ ที่รักของผม ผมหวังว่าราตรีนี้เป็นราตรีที่งดงามสำหรับคุณนะ"

     

     

    และแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบด้วยดี...   

     

     

    ....................................................

     

    Let's Talk with Writer : 

    เอ่อ...เราคงไม่โจ้งแจ้งเกินไปใช่ไหมคะเท่าที่ดูแล้วมันก็ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้นด้วยความที่เป็นฉากทำใจได้ยากมากเลยไม่อยากให้มันละเอียดเกินไป สำหรับใครที่ไม่อาจทนได้ก็กรุณากดปิดหรือเลื่อนผ่านไปได้เลยค่ะ

    ความสัมพันธ์ระหว่างคาร์ลกับมิไฮนซ์ Toxic relationship โคตรๆ เราขอรับประกันได้เลยว่าไม่มีวันที่สองคนนี้จะญาติดีกันแน่นอนเพราะมาไกลเกินกว่าที่จะกลับแล้วแต่อย่างว่าด้วยนิสัยของคาร์ลแล้วอยู่กับใครความสัมพันธ์มันต้องเป็นพิษอย่างแน่นอนเลยไม่ต้องสงสัยโดยเฉพาะกับภรรยาตัวเอง ไอ้พวกล่อลวงผู้หญิงเอ๊ย...

    ส่วนไลโตะเราดัดแปลงจากที่รักคอร์เดเลียมารักมิไฮนซ์แทนพอคอร์เดเลียที่รู้เรื่องนี้เข้าเลยหลอกใช้เพื่อล่วงละเมิดทางเพศด้วย กรณีนี้เข้าข่าย Child Grooming กับ Incest เต็มๆ เพราะคอร์เดเลียถูกสอนมาแบบผิดๆ โดยคาร์ลไฮนซ์ว่าการมีคนรักหลายคน(อารมณ์แบบการมีชู้)กับ Incest นั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่อง Pedophilia น่าจะนับได้อยู่เพราะไลโตะยังเด็กมากคอร์เดเลียก็อายุเยอะแล้ว

    ส่วนกรณีของไลโตะรักมิไฮนซ์ที่เป็นญาติตัวเองนั้นจะว่าผิดก็ไม่เต็มปากเท่าไหร่เพราะไลโตะ(รวมถึงเด็กบ้านซาคามากิทุกคนยกเว้นสุบารุ)ไม่รู้ว่ามิไฮนซ์เป็นอาของตัวเองกลับกันมิไฮนซ์รักหลานตัวเองในฐานะครอบครัวเท่านั้น อยากจะบอกเขาแทบตายว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแต่ก็โดนคำสาปป้องกันทำให้ไม่สามารถบอกความจริงได้ ส่วนเรื่องที่สุบารุรู้ได้อย่างไรแล้วช่องโหว่ที่ว่าคืออะไรนั้นเดี๋ยวจะมีเฉลยมาให้

    สุดท้ายเอาเป็นว่าตอนนี้กลับไปนอนก่อนแล้วค่อยมาต่อใหม่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^

     
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×