คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : White Rose 02 : ทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่น [Re]
White Rose 02
ทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่น
"ถ้าหากเขาคือ 'พระเจ้า' ผู้สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งด้วยความรักอันบิดเบี้ยว ผมก็คือ 'ลูซิเฟอร์' ผู้ต่อต้านเจตจำนงค์ของเขาผู้นั้นด้วยการทรยศหักหลังความรักของเขาเอง"
TW : Incest (การร่วมประเวณีในครอบครัวและญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน) , Rape/Non-con (การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ยินยอมแต่ไม่ได้บรรยายละเอียด) , Violence (ความรุนแรง) , Abusive relationship (ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย การใช้ความรุนแรงต่อกัน) , Toxic relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายด้อยค่า เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ไม่มีความสุข) , Coercion (การบังคับขู่เข็ญ) , Child Abuse (การทารุณกรรมเด็ก) , Child Neglet (การทอดทิ้ง การปล่อยปละละเลยเด็ก) , Self-Esteem Issue (ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตนเอง) , Power Dynamic (การที่ตัวละครมีอำนาจใจความสัมพันธ์ไม่เท่ากัน โดยมักเป็นความสัใพันธ์ในเชิงชู้สาว เช่น ลูกน้องกับเจ้านาย ครูกับนักเรียน)
ถึงแม้คราวก่อนโชคดีแต่ว่าโชคนั้นมันไม่อยู่กับคนเราตลอดเสมอไป
หลังจากวันนั้นคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์หัวเสียมากที่ผมละทิ้งหน้าที่อย่างเตรียมอาหารเช้าคอยบริการพวกเขาและต้อนรับผู้ชายของหล่อนแค่หน้าประตูจากนั้นปล่อยให้คนรับใช้คนอื่นทำงานแทนทิ้งอีกฝ่ายไปหาสุบารุอย่างไม่ใยดีจึงแกล้งโยนงานปีศาจรับใช้ของตนให้ผมทำตลอดจนแทบไม่มีเวลาไปเล่นกับบรรดาหลานๆ
ของผมเหมือนอย่างเคยตั้งสองอาทิตย์
อ้อ...รู้สึกว่าเบียทริกซ์ภรรยาอีกคนก็อารมณ์เสียเหมือนกันถึงแม้เจ้าหล่อนจะไม่แสดงสีหน้าและอารมณ์ให้เห็นก็ตาม
เพราะผมไปขอลูกหมาจากพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของเธอ
ตอนแรกเขาไม่ยอมให้ลูกหมากับผมหรอกเพราะคิดว่าผมจะเอามันไปให้ชูแต่ผมก็ตอบเขาด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่ได้เอาไปให้นายน้อยชูแต่เอาไปให้เอ็ดการ์เพื่อนของเขาแทน
พ่อบ้านคนนั้นก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิมแล้วจะนำมันไปปล่อยทิ้งตามที่คาดการณ์เอาไว้
ผมก็เลยเล่นตุกติกกับความคิดภายในหัวของเขานิดหน่อยจนเขายอมยกลูกหมานั่นให้ผมแต่โดยดี
คาดว่าหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมาเป็นปกติหลังจากที่โดนใครบางคนแก้มนตร์สะกดแล้วจึงนำเรื่องนี้ไปฟ้องเบียทริกซ์ถึงแม้ว่ามันจะช้าไปสองอาทิตย์แล้วก็ตามทีและมันก็เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้จริงๆ
เพราะว่าเจ้าหล่อนแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยยามที่ผมถูกคอร์เดเลียสาดน้ำชาร้อนๆ
ใส่เข้าอย่างจัง
ซ่า!!
"ตายจริง! ดูเหมือนว่ามือฉันจะลื่นไปหน่อยจนทำน้ำชาหกใส่เสื้อเธอแบบนี้น่ะดีนะที่ไม่โดนหน้าเธอน่ะไม่งั้นคงดูไม่ได้เลยทีเดียวนะ
เบียคุยะ..."
ผู้หญิงผมสีม่วงยาวกล่าวพร้อมยกยิ้มจนเห็นเขี้ยวของเธออย่างเห็นได้ชัดเจน
หล่อนจงใจสาดน้ำชาใส่หน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัวแต่เพราะผมหลบได้อย่างเฉียวฉิวทำให้น้ำชาร้อนๆ
โดนเสื้อผ้าที่ผมใส่แทน
เด็กแฝดสามคนมองอย่างอึ้งๆ
เพราะไม่คิดว่าแม่ของพวกเขาจะสาดน้ำชาใส่แล้วยิ้มเยาะด้วยความสะใจผมออกหน้าออกตาแบบนี้
ทางด้านชูกับเรย์จิมองคอร์เดเลียจากนั้นหันกลับมามองแม่ของพวกเขาหวังว่าหล่อนจะตำหนิคอร์เดเลียเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร
แต่ที่ไหนได้เบียทริกซ์ยกยิ้มมุมปากพอใจกับการกระทำของคอร์เดเลีย
คนสุดท้าย
สุบารุเมื่อเห็นผมโดนสาดน้ำชาใส่เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธที่ผู้หญิงไร้ยางอายอย่างคอร์เดเลียมาทำร้ายผมผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ
ของเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะผมส่งสายตาเป็นเชิงปรามอีกฝ่ายไม่ให้อาละวาดห้องรับประทานอาหาร
เขาจึงทำได้แต่กำมือแน่นจนสั่นระริกคล้ายควบคุมตนเองไม่ให้อาละวาดทำลายข้าวของในห้องทั้งหมด
ผมน่ะไม่อยากให้ห้องรับประทานอาหารกลายเป็นสมรภูมิรบหรอก
มันไม่มีอะไรมากก็แค่ขี้เกียจทำความสะอาดเฉยๆ เท่านั้นเองแหละและอีกอย่างผมไม่ยอมให้มันเป็นไปตามเกมของคอร์เดเลียหรอก
แทนที่ผมจะร้องโอดโอยหรือโกรธเคืองคอร์เดเลียผมกลับทำสิ่งตรงข้ามแทน...
"เฮ้อ...เสื้อผ้าผมเปียกหมดเลยแถมทำจากขนแกะคุณภาพดีซะด้วย
น่าเสียดาย...ดีนะ ที่ท่านคอร์เดเลียไม่ 'ซุ่มซ่าม' ทำน้ำชาหกใส่ผมสูงกว่านี้ไม่เช่นนั้นท่านคาร์ลไฮนซ์คงดุผมแน่เลยว่าทำนาฬิกาพกที่ท่านมอบให้พัง"
ผมแสร้งทำเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจรู้สึกเสียดายเสื้อผ้าราคาแพงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจและยังมิวายยอกย้อนอีกฝ่ายกลับไปด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะความอดทนหล่อนต่ำเกินไปหรือว่าผมยอกย้อนกลับไปแทงใจดำเข้าอย่างจังกันแน่
จากใบหน้าแสยะยิ้มรู้สึกภูมิใจที่เอาคืนผมได้ของหญิงสาวผมสีม่วงตรงหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแทน
"แกกล้าดียังไงถึงมาด่าฉัน?! คิดว่าตัวเองเป็นคนโปรดของคาร์ลแล้วมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ?
แกมันก็แค่แวมไพร์ชั้นต่ำที่ถูกคาร์ลเก็บมาเลี้ยงเหมือนเก็บหมาข้างถนนมาก็เท่านั้นแหละ
ไอ้แวมไพร์โสโครก!" คอร์เดเลียตวาดด่าผมลั่นเสียงดังทันทีเมื่อผมสวนกลับหล่อน
อันที่จริง...ไอ้ตำแหน่ง 'คนโปรด' ของไอ้แก่ตัณหากลับสองพันปีนั่นผมไม่ได้อยากได้มันเลยซักนิดถ้าตำแหน่งมันยกให้กันได้ผมก็ยินดีใส่พานถวายให้พวกคุณเลย
แต่พอคิดดูอีกทีการเป็นที่รักของราชาแวมไพร์วิปลาสนั่นมันไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็นดังนั้นแล้วการเป็นที่เกลียดชังย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
เลย
จากบรรยากาศที่ว่าแย่แล้วกลับมาแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกจนสาวใช้คนอื่นพากันถอยหนีไปหมดด้วยความกลัวอำนาจของหญิงสาวผู้มีฐานะเป็นบุตรสาวของเดม่อนลอร์ดที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์จากเป็นพันธมิตรร่วมกันทำสงครามกับพวกเฟิร์สบลัดหรือพวกต้นตระกูลเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว
ที่ผมรู้ไม่ใช่เพราะว่าผมอ่านประวัติศาสตร์โลกปีศาจหรอก
แต่เป็นเพราะผมกับคริสต้าเกิดอยู่ในช่วงนั้นพอดีเลยตะหาก
ทำให้ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ผมจะรู้จักกับ 'บูไร' พ่อของคอร์เดเลียหรือปัจจุบันคือเดม่อนลอร์ดของเผ่าวีโบล่า
และพวกต้นตระกูลคนอื่นๆ อย่างเช่น กีสบาค โครเน่ เมเน่ คาร์ลา ชิน
และคนอื่นที่มีบทบาทสำคัญในการทำสงคราม
และนั่นคือสาเหตุที่ผมคิดจะปลดปล่อยพวกเขาออกมาจากการถูกคุมขังภายในปราสาทของพวกเขาเองใช้ความโกรธแค้นทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายที่ต้องถูกจองจำและปล่อยทิ้งให้ตายด้วยโรคแห่งจุดจบเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อโค่นล้มอำนาจของราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์แต่เผอิญเขารู้ทันผมก็เลยจัดการลงโทษผมไปตามระเบียบ
ตอนผมถูกจับได้
เดม่อนลอร์ดแห่งวีโบล่าที่รู้เรื่องนี้เข้าก็แทบจะฆ่าผมให้ตายคามือในฐานะก่อการกบฎต่อเขาและราชันย์แวมไพร์รวมไปถึงโลกปีศาจ
แต่ผมก็ได้คาร์ลไฮนซ์ปกป้องเอาไว้ทำให้ผมยังอยู่ครบสามสิบสองจนมาถึงปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่ามันน่าหงุดหงิดที่ต้องไปติดหนี้คนอย่างคาร์ไฮนซ์น่ะนะ...
เรื่องที่หล่อนอ้างสิทธิ์ในฐานะบุตรสาวของเดม่อนลอร์ดทำอย่างกับว่าผมจะสนอย่างงั้นแหละ? แค่พ่อใหญ่มันไม่ทำให้คนที่อาศัยบารมีพ่อตนเองอย่างรคอร์เดเลียใหญ่ตามไปด้วยหรอก ถ้าหล่อนกล่าวอ้างว่าตนเองนั้นมีศักดิ์เป็นบุตรีของเดม่อนลอร์ด ผมเองก็กล่าวอ้างว่ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของราชันย์แวมไพร์ได้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะถูกบังคับให้ปิดบังสถานะตนเองตามคำสั่งของราชันย์แวมไพร์ที่ผมกล่าวอ้างมาก็ตาม
เอาเป็นว่าถ้าเทียบแล้วพลังผมพอจัดการกับหล่อนได้แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำเพราะไอ้คำสั่งบ้าๆ
ของคาร์ลไฮนซ์นั่นแหละทำให้ผมไม่สามารถจัดการสั่งสอนคอร์เดเลียได้น่ะสิ
น่าเสียดายชะมัด...ไอ้แก่สองพันปีนั่นทำเอาผมเสียอารมณ์ได้ตลอดเวลาเลย
"ผมมิบังอาจด่าท่านผู้มีศักดิ์เป็นภรรยานายเหนือของผมได้หรอกขอรับ
เพราะกระผมได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีจากท่านคาร์ลไฮนซ์โดยตรงเลยขอรับ"
"หืม...อย่างนั้นเหรอ? แล้วคาร์ลสอนอะไรเธอบ้างล่ะ?"
หล่อนเลิกคิ้วถามผม
"เขาสอนผมมาว่า..." ผมเอียงคอเล็กน้อย
เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลจนน่าตบสำหรับอีกฝ่ายแล้วจากนั้น...คำพูดอันไม่พึงประสงค์ก็ออกมาจากปากผมแทงใจดำคอร์เดเลียซ้ำสอง!
"สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลขอรับ"
เพล้ง!
พอพูดจบจานกระเบื้องสีขาวเนื้อดีของคอร์เดเลียก็ลอยมาทางผมแต่เผชิญว่าผมโชคดีหลบมันได้ทำให้จานสวยงามราคาแพงฉู่ฉี่โดนกำแพงห้องจนแตก(ถึงแม้สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นแค่เศษเงินแต่มันก็อดเสียดายไม่ได้)
เมื่อผมดูเวลาจากนาฬิกาพกพบว่ามันใกล้เลยเวลางานของผมแล้วดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ
ต้องต้องมาต่อล้อต่อเถียงผู้หญิงคนนี้รวมไปถึงเบียทริกซ์ด้วย
"ผมขอตัวก่อนนะขอรับ"
ผมส่งยิ้มเล็กน้อยโค้งคำนับคอร์เดเลียและเบียทริกซ์ก่อนสั่งสาวใช้ที่เหลือเก็บกวาดเศษจานที่แตกเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคอร์เดเลียหรือสายตาไม่พอใจของเบียทริกซ์ที่ใช้คอร์เดเลียกำราบผมแต่ก็ล้มเหลว
สำหรับผมแล้วงานบ้านและลูกๆ
ของคาร์ลไฮนซ์สำคัญกว่าผู้หญิงน่ารำคาญสองคนนั้นเยอะเลย
.
.
.
.
.
.
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต้องมาถูกกักบริเวณพร้อมกับชู
ถึงแม้ว่าจะอยู่กันคนละห้องแต่เด็กชายผมสีม่วงประกายดำเชื่อว่าชูต้องโดนทำโทษกักบริเวณอยู่แน่
ส่วนเหตุผลง่ายๆ สำหรับการกักบริเวณวันนี้คือพ่อบ้านผมขาวคนนั้น 'นางามิตสึ เบียคุยะ' แวมไพร์ที่ท่านพ่อของเขาเก็บมาเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเขาและพี่น้องคนอื่นจะเกิดซะอีก
และก็เพราะพ่อบ้านคนนี้นี่แหละทำให้ชูพี่ชายไม่เอาถ่านและไม่มีอะไรดีเลยของเขาเริ่มต่อต้านและไม่เชื่อฟังท่านแม่มากขึ้น
มากเสียจนท่านแม่ของเขารู้สึกเครียดและกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว...
พ่อบ้านผมขาวคนนั้นเป็นจอมแหกกฎโดยธรรมชาติของแท้ เป็นอิสระ
อยากทำอะไรก็ทำ หย่อนยานในกฎระเบียบอันเคร่งครัดหลายข้อมากไปกว่าครึ่ง
ทำตัวไม่สมกับเป็นพ่อบ้าน
ที่สำคัญเขาไม่เชื่อฟังและทำตามคำสั่งท่านแม่และภรรยาคนอื่นๆ
ของท่านพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว
จนเบียทริกซ์ท่านแม่ของตนนั้นหัวเสียมากถึงขนาดสั่งคนรับใช้ของเธอทุกคนว่าห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับเบียคุยะเด็ดขาด
หลังลับตาผู้คนเขามักจะเห็นร่างของท่านแม่ผู้สูงส่งและสง่างามนั้นอารมณ์เสียไม่พอใจอยู่หลายครั้งจนไม่เหลือเค้าโครงใบหน้าที่เรียบนิ่งอย่างที่เคยเป็น
บางครั้งถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอนั้นจะดูนิ่งเรียบไร้อารมณ์เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต่เด็กชายผมสีม่วงเข้มเกือบดำผู้มีศักดิ์เป็นบุตรชายคนที่สองของผู้หญิงคนนี้สัมผัสได้ถึงอารมณ์เบื้องลึกในจิตใจที่เหมือนพายุโหมกระหน่ำของเธอ
รอบตัวท่านแม่รายล้อมไปด้วยคมมีดล่องหนคอยแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลาในเรื่องการเป็นภรรยาคนที่สองของท่านพ่อทว่ากลับให้กำเนิดบุตรก่อนภรรยาคนแรกอย่างคอร์เดเลียถึงสองคนทำให้ผู้หญิงน่าสมเพชนั่นคอยหาเรื่องรังควานท่านแม่อยู่บ่อยครั้งรวมไปถึงความสนใจของท่านพ่อเทไปให้พ่อบ้านคนนั้นจนหมดไม่แทบไม่เหลือเยื่อใยระหว่างสามีภรรยาด้วยกัน
ถ้าหากพ่ายแพ้เมื่อไหร่นั่นคือจุดตกต่ำของพวกเขาทั้งหมด
ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านแม่รู้สึกอยู่ได้อย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียว...
'เรย์จิ อย่าไปยุ่งกับพ่อบ้านสกปรกคนนั้นเด็ดขาด
แม่ไม่อยากให้ลูกทำตัวเหลวไหลไม่เชื่อฟังแม่ตามพี่ชายของลูกไปอีกคน'
การแหกกฏไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่านแม่เป็นสิ่งที่เรย์จิไม่ทำอย่างเด็ดขาด
เขาเชื่อว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ได้รับความรักจากท่านแม่
เขาอยากเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเวลาเขาทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำสั่งของเธออย่างที่เธอต้องการ
เขาอยากเห็นเธอเอ่ยว่าเขาเป็นลูกที่ท่านภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
เขาอยากเห็นเธอชมเขาและยกย่องเขาเหนือกว่าชูพี่ชายคนโตของเขา
แต่สุดท้ายท่านแม่กลับไม่เห็นค่าอะไรเขาเลย สายตาของผู้หญิงคนนั้นน่ะมีแต่ชูพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น...
เพราะเด็กชายผมสีม่วงดำจมจ่ออยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตนเองและหนังสือเล่มหนาที่เขากำลังอ่าน
ทำให้เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าตัวผมนั้นวางถ้วยชาคาโมมายล์บนโต๊ะที่มีหนังสือหลายเล่มตั้งไว้อยู่พร้อมกับสโคนทาแยมสตอเบอร์รี่สองสามชิ้นด้วยกัน
ทันทีที่ผมวางจานสโคนบนโต๊ะดวงตาสีแดงอมม่วงหลังกรอบแว่นดำมองมายังผมที่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มละมุน
"พักซักหน่อยก็ได้นะขอรับ นายน้อยเรย์จิ"
"ขอบคุณ" เด็กชายนามว่าเรย์จิเอ่ยเสียงเรียบก่อนจิบชาคาโมมายล์จากนั้นกลับไปอ่านหนังสือราวกับผมไม่เคยมาที่นี่เลยและผมก็เกือบคิดอย่างนั้นจริงๆ
ถ้าผมไม่ได้ทำชาและสโคนมาให้เขากิน เรย์จิน่ะชอบอ่านหนังสือตลอดเวลาและมีบางครั้งที่เขาลืมเวลาอาหารจนผมรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้จึงมักจะทำของว่างอย่างพวกขนมหรือไม่ก็แซนด์วิชไปให้เขาทานเป็นประจำแต่ปฏิกิริยาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อก่อน
เขาทำตัวเฉยชากับผมทุกครั้งที่ผมมาจนผมคิดว่าหลานชายคนนี้ไม่ได้ชอบผมเหมือนที่ผมชอบเขา...
ผมลอบถอนหายใจเล็กน้อย เปิดฝานาฬิกาพกดูเวลาและเมื่อดูเวลาเรียบร้อยแล้วผมตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนโดยการหยิบหนังสือออกมาจากบนชั้นกองหนังสือของเรย์จินั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของอีกฝ่าย
เรย์จิกระพริบตาปริบๆ
ด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของผมก่อนหลบสายตาและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ระคนสงสัย "คุณทำอะไรของคุณ? เบียคุยะ"
"ปรัชญาการเมืองและการปกครองอย่างนั้นเหรอ?
ทำให้นึกถึงตอนสมัยเด็กอยู่เหมือนกันนะ..."
ผมหยิบหนังสือวางบนตักสัมผัสปกหนังสืออย่างแผ่วเบาหลับตาพริ้มนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กตอนที่ผมอ่านหนังสืออย่างหนักและมีคริสต้าคอยเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ
วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว...
"เคยอ่านอย่างนั้นเหรอ?" เรย์จิถาม ดูเหมือนผมไปจุดประเด็นบางอย่างเข้าให้แล้วเหมือนอย่างทุกทียามเมื่อเอ่ยชื่อของหนังสือที่น่าสนใจภายในสายตาของเรย์จิ
"ตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ยังอยู่น่ะนะ..."
เมื่อนึกถึงตอนนั้นมันก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพียงเพราะคำว่า 'สงคราม' เพียงแค่คำเดียว ท่านพ่อของผมนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีบทบาทในการทำสงครามกับพวกเฟิร์สบลัดสู้รบเคียงข้างกับคาร์ลไฮนซ์สุดท้ายแล้วท่านพ่อก็จบชีวิตตนเองเพื่อปกป้องอีกฝ่ายส่วนท่านแม่นั้นก็ตรอมใจตายตามท่านพ่อไปเหลือแค่พวกเราพี่น้องสองคนเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่
จากนั้นไม่กี่วันหลังสงครามจบลงด้วยชัยชนะของราชันย์แวมไพร์และพันธมิตรของเขา
คาร์ลไฮนซ์รับเลี้ยงพวกเราโดยเขาให้ผมคอยอยู่รับใช้ใกล้ชิดกับเขาที่ปราสาทเอเดนส่วนคริสต้าก็ให้สุภาพสตรีแวมไพร์ที่เก่งกาจตนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลที่คฤหาสน์ของตระกูล
และก็นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นความวิปริตของคาร์ลไฮนซ์...
"คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยว่าคุณมาทำอะไรที่นี่?
ไม่ใช่ว่าคุณมีงานต้องทำหรอกเหรอ?"
"ผมมาที่นี่ก็เพื่อนายน้อยเรย์จิขอรับ"
ผมตอบไปตามความสัตย์จริง
ดวงตาสีแดงอมม่วงของเขาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนกลับมาเป็นปกติตามเดิม
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อและอ่านหนังสือต่อไปคล้ายตั้งใจเมินเฉยใส่ผม
นี่ผมโดนหลานตัวเองไม่ชอบหน้าอีกแล้วเหรอ...?
บางทีอาจจะเป็นเพราะชูสนใจผมมากจนเบียทริกซ์สั่งให้เขาไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับผมอย่างเด็ดขาดเหมือนที่หล่อนสั่งคนรับใช้ทำให้ผมกับพ่อบ้านแม่บ้านของเบียทริกซ์ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับผมเลย
ถึงขั้นขนาดมีงานเลี้ยงหรืองานต้อนรับใหญ่พวกเขาปล่อยให้ผมทำคนเดียวกับคนรับใช้คนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับผู้หญิงคนนั้นแล้วไปทำงานอื่นที่ไม่มีผมมาเกี่ยวข้องแทน
แต่อย่างน้อยผมก็มีความสามารถพอรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ได้น่ะนะ...
ผมเข้าใจความรู้สึกของเรย์จิดี ที่เด็กชายผมม่วงประกายดำตรงหน้านี้ทำไปเพราะอยากได้รับความรักและความสนใจจากแม่ของเขาซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มันเทไปให้ชูหมดด้วยเหตุผลงี่เง่าอย่างการที่ชูเป็นลูกชายคนโตของบ้านปล่อยทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว การถูกคนที่รักทอดทิ้งน่ะมันทรมาน...
"ต่อให้จงเกลียดจงชังหรือใจร้ายกับผมมากแค่ไหน ผมไม่มีทางโกรธนายน้อยเรย์จิหรอกครับ..." เด็กชายขมวดคิ้วคล้ายสงสัยและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นคล้ายกับว่าเขาทำอะไรผิดต่อผม
ดวงตาสีอะเมทิสต์ของผมสบกับดวงตาสีมาร์เจนต้ามองไปยังข้างในด้วยความอ่อนโยนทว่ามั่นคงหนักแน่น
ปราศจากการเสแสร้ง
"นายน้อยเรย์จิไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกขอรับถึงแม้ว่านายน้อยจะเกลียดชังผมเหมือนที่ท่านเบียทริกซ์เกลียดชังผมก็ตาม
ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีแต่ผมอยากบอกให้นายน้อยเรย์จิทราบอยู่เรื่องหนึ่ง ผม..." ผมเว้นไว้ชั่วอึดใจหนึ่งกล่าวกับอีกฝ่ายผู้มีศักดิ์เป็นหลานของผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
"...ยังรักและเอาใจใส่นายน้อยเรย์จิทุกเมื่อถึงแม้ว่านายน้อยเรย์จิจะไม่ต้องการผมก็ตาม"
ดวงตาสีมาร์เจนต้าพยายามปิดบังความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาด้วยหนังสือเล่มหนา
เขาไม่กล้าสบตามองดวงตาอัญมณีสีม่วงนี้สำหรับเขาแล้วดวงตาของเบียคุยะนั้นงดงามเลอค่าทว่าสั่นคลอนจิตใจของผู้พบเห็น
เรย์จิเกลียด...เกลียดดวงตานี้มากที่สุด
ดวงตาที่เหมือนจะทะลุมองเห็นจิตใจของเขาได้เหมือนเปิดหนังสืออ่าน
เขาไม่อยากเห็นดวงตาและใบหน้าของชายตรงหน้านี้อีกอย่างน้อยไม่ใช่ตอนนี้...
ความรู้สึกของเขาต้องปกปิดเอาไว้
ปกปิดไม่ให้ใครเห็นโดยเฉพาะคนตรงหน้าและมันก็เป็นอย่างที่เขาต้องการจริงๆ
และด้วยความสามารถในการปกปิดอารมณ์ของตนเองที่สืบทอดมาจากมารดาของตนทำให้คนตรงหน้าไม่อาจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดแม้แต่น้อย
ผมมองเรย์จิที่แสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ทำให้ผมไม่อาจทราบความคิดของเขาได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอย่างไรกับผมกันแน่แต่จากการกระทำแบบนี้ทำให้ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าเด็กชายตรงหน้านี้ไม่ชอบผมอย่างแน่นอน
ผมยอมรับว่าผมเจ็บอยู่เหมือนกันที่ถูกหลานตนเองรังเกียจซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจบางอย่างว่าต่อให้ผมเพียรพยายามเพื่อเขามากแค่ไหนสุดท้ายแล้วเกลียดก็คือเกลียดสินะ
แต่ถึงกระนั้น...ผมก็หยุดรักเขาในฐานะครอบครัวเดียวกันไม่ได้
"นายน้อยเรยจิ
ความรักมักจะต้องควบคู่กับความศรัทธาและผมศรัทธาในตัวนายน้อยถึงแม้ว่านายน้อยเรย์จิจะไม่ศรัทธาในตนเองก็ตาม
แต่อย่างน้อยผมอยากบอกให้นายน้อยเรย์จิรับรู้ว่าไม่ว่านายน้อยจะเป็นอย่างไรผมเชื่อว่านายน้อยมีเส้นทางเป็นของตนเอง
เป็นเส้นทางหนึ่งเดียวที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาแทนที่นายน้อยเรย์จิได้และผมก็รักนายน้อยเรย์จิที่เป็นแบบนั้นขอรับ"
ผมเอ่ยกล่าวความรู้สึกของตนเองออกมาโดยไม่สนใจว่าเขาจะเมินเฉยหรือไม่
สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็พูดออกมาหมดแล้วเพราะจากนี้ไปผมตัดสินใจแล้วว่าจะถอยระยะห่างออกมาสถานะเหลือเป็นเพียงแค่นายบ่าวในสายตาของเรย์จิเท่านั้น
เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจที่ไม่ต้องเห็นรอยด่างพร้อยในสายตาของเบียทริกซ์ผู้เป็นมารดาป้วนเปี้ยนรอบตัวเขาบ่อยเกินไปจนน่ารำคาญถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดสำหรับผมก็ตาม
ขณะกำลังวางหนังสือกลับบนกองชั้นหนังสือที่เดิมผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระตุกวูบตรงหน้าอกซ้ายหลังจากนั้นผมเปิดตลับฝานาฬิกาพกอีกครั้ง
นัยน์ตาของผมกระตุกวูบไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปกติดังเดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ราชันย์แวมไพร์กลับมาแล้ว คาร์ลไฮนซ์ต้องการให้ผมไปพบที่ห้องของเขาตอนนี้...
ผมไม่รู้ว่าคาร์ลไฮนซ์เรียกผมไปพบเรื่องอะไรแต่ผมพนันได้ว่าร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี
ไม่สิ...ไม่ดีเอามากๆ แน่ชนิดที่ว่าผมยอมไปตายในทะเลทรายร้อนระอุหรือพายุหิมะโหมกระหน่ำดีกว่าต้องเจอกับอีกฝ่าย
ผมปิดตลับฝานาฬิกาพกที่คาร์ลไฮนซ์มอบให้ผมหลังจากนั้นผมออกจากห้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าดวงตาสีมาร์เจนต้าหลังกรอบแว่นและหนังสือเล่มหนานั้นสั่นคลอเพียงใด
"อย่าไป..."
เรย์จิเริ่มสะอื้นดวงตาสีแดงอมม่วงเริ่มมีน้ำคลอออกมา
ความรู้สึกของเด็กชายนั้นเอ่อล้นทะลักออกมาตั้งแต่ที่พ่อบ้านผมสีขาวยาวสยายอันงดงามนั้นเอ่ยบอกรักเขา
แต่เด็กชายเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกตนเองเหมือนที่เบียทริกซ์แม่ของตนทำเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นด้านที่อ่อนแอของเขา
เรย์จิแค่ต้องการให้ท่านแม่ของเขานั้นรู้สึกภาคภูมิใจและเอาใจใส่เขาที่เป็นเด็กดีตั้งใจเรียนอย่างหนักทำตามทุกอย่างที่สั่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่เห็นค่าของมันก็ตาม
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มอบความรักให้ตนมาโดยตลอดแม้แต่นิดเดียว...
คนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา เบียคุยะไม่เคยคิดจะพังกำแพงในจิตใจของเขาเข้ามาเลยกลับกันเขานั่งพิงกำแพงพูดคุยกับเขาและรอวันที่เขาจะเปิดประตูมารับเอง
เบียคุยะไม่เคยโกรธหรือเกลียดเรย์จิเลยที่ทำตัวเย็นชาห่างเหินใส่แม้แต่นิดเดียว
กลับกันเขาทำตัวปกติเหมือนเดิมมีเว้นระยะห่างบ้างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รู้สึกเหมือนถูกก้าวก่ายมากเกินไปคอยชงน้ำชาทำของว่างมาให้เป็นประจำยามเมื่อที่ตนนั้นอ่านหนังสือจนเลยเวลารับประทานอาหารบางครั้งก็สนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่คนธรรมดายากที่จะเข้าใจ
การกระทำเหล่านั้นมันทำให้ความรู้สึกของเรย์จิที่มีต่อนางามิตสึ
เบียคุยะ ตีรวนกันด้วยความสับสนว่าจะหยิบยื่นมิตรภาพหรือจงเกลียดจงชังอีกฝ่ายต่อไปในเมื่ออีกฝ่ายนั้นแทบไม่มีความผิดเลยถ้าจะมีความผิดเดียวของพ่อบ้านคนนั้นก็คือการที่เข้าไปอยู่ในวังวนการแย่งชิงอำนาจก็เท่านั้นถึงแม้ว่าทางนั้นจะไม่เต็มใจที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ตาม
และเพราะความสับสนภายในใจแบบนั้นทำให้กำแพงในใจเริ่มทลายลงทั้งที่อีกฝ่ายก็แค่นั่งคุยกับเขาผ่านกำแพงรอวันที่เขาเปิดประตูต้อนรับเท่านั้น
กว่าจะรู้ตัวก็สายไป
เบียคุยะคิดว่าตนนั้นถูกเขารังเกียจเข้าเสียแล้ว...
เมื่อเรียกแล้วร่างสูงอันคุ้นเคยไม่โผล่มา
เด็กชายผมทำได้แต่นั่งกอดเข่าซบใบหน้าลงไปพยายามปิดบังน้ำตาที่ไหลออกมาซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เบียทริกซ์แม่ของตนเองยามที่เธอนั้นให้ความรักความสนใจไปที่ชูจนหมดสิ้นไม่เหลือให้แก่เขาเลยแม้เศษเสี้ยวธุลี
"เบียคุยะ ผมขอโทษ
ได้โปรด...อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว"
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องทำงานของคาร์ลไฮนซ์...
หลังประตูไม้แกะสลักสวยงามนี้เป็นอะไรที่ผมรู้สึกกังวลแทบหายใจไม่ทั่วท้องเอามากๆ
จนผมไม่กล้าที่จะเคาะประตูเข้าไปข้างใน
ความจริงผมอยากจะอยู่กับเรย์จิมากกว่านี้แต่ถ้าผมไม่ไปหาคาร์ลไฮนซ์ตามที่เขาเรียกมาแล้วล่ะก็เขาคงต้องทำอะไรเหนือความคาดหมายผมแน่ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้นเลย
ผมพยายามทำใจอยู่นานซักพักหนึ่งก่อนเคาะประตูขออนุญาตเข้าข้างในทว่ายังไม่ทันที่มือของผมจะเคาะประตู
ราชันย์แวมไพร์ผมขาวกลับเปิดประตูออกมาต้อนรับผมด้วยตนเองราวกับว่าเขารู้ความคิดของผมอย่างใดอย่างนั้น
"เชิญเข้ามาเลย 'เบียคุยะ'
คุง"
ชายผมยาวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มบางมีเสน่ห์น่าหลวงใหลทว่าสำหรับผมแล้วรอยยิ้มนั่นเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจมากที่สุดในสายตาของผม
ไม่มีใครยิ้มได้น่ารังเกียจเท่าผู้ชายตรงหน้านี้อีกแล้ว
ผมตอบรับอีกฝ่าย
เข้าไปในห้องของเขาซึ่งเป็นห้องทำงานที่เต็มด้วยเอกสารและหนังสือกองระเกะระกะมากมายไม่เป็นระเบียบทั้งที่โต๊ะทำงานและพื้นห้อง
ตามไปด้วยอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะอีกโตะหนึ่งทางด้านขวาของผมที่วางเอาไว้ค่อนข้างรกรุงรังพอสมควรราวกับยกห้องทำงานเอามาไว้ที่ห้องนอนอย่างใดอย่างนั้น
สำหรับคนธรรมดาอาจจะมองว่าห้องนี้เหมือนห้องของพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ชื่นชอบและหลงใหลคลั่งไคล้การทดลอง
แต่สำหรับผมแล้วมันคือใจกลาง 'นรก' และจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์อันบ้าคลั่งของผมกับคาร์ลไฮนซ์...
เจ้านั่นจงใจให้ผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่...?
"ท่านต้องการสิ่งดะ...!"
ผมถามผู้มีศักดิ์ตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาในฐานะ 'นางามิตสึ
เบียคุยะ' ทว่านิ้วชี้เรียวยาวแตะลงบนริมฝีปากของผมคล้ายบอกให้ผมหยุดฟังวาจาที่เขาจะเอ่ยกล่าวต่อไปนี้
"เลิกเสแสร้งได้แล้ว
ที่แห่งนี้มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นตัวตนของ 'นางามิตสึ
เบียคุยะ' ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว มิไฮนซ์คุง" คาร์ลไฮนซ์กระตุกยิ้มมุมปาก
เรียวนิ้วที่แตะลงบนริมฝีปากผมแปรเปลี่ยนเป็นมือคว้าจับบนสันกรามอย่างแผ่วเบา
บังคับให้ผมต้องเงยหน้าเผชิญกับใบหน้าร้อยเล่ห์ของราชันย์แวมไพร์
เขาก้มลงกระซิบข้างใบหูผมด้วยเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหลราวกับมนตร์สะกด
มือข้างที่ว่างโอบเอวผมเข้ามาแนบชิดสูดดมกลิ่นหอมจาง
แน่นอนว่าผมพยายามดิ้นรนขัดขืนออกจากอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของคาร์ลไฮนซ์มองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจขยะแขยงและเดือดดาลถึงขีดสุดอย่างปิดไม่มิด
ทว่าผมสู้แรงของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ถึงแม้ว่าผมกับคาร์ลไฮนซ์จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็จริงแต่ว่าฝ่ายนั้นเป็นถึงราชาของเหล่าแวมไพร์แถมเคยเอาชนะกีสบาคผู้นำของพวกต้นตระกูลได้เมื่อพันปีที่แล้ว
ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่ผมสู้เขาโดยตรงไม่ได้เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงอย่างใดอย่างนั้น
ผมยอมรับว่าถ้าไม่ใช้วิธีสกปรกหรือขี้ขลาดในสายตาของคนอื่นผมก็ไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้เลยจริงๆ
"ต้องการอะไร?" ในเมื่อตัวผมในฐานะ
'นางามิตสึ เบียคุยะ' ไม่จำเป็นสำหรับที่นี่แล้วตัวตนที่แท้จริงของผมก็ปรากฏออกมา
ดวงตาสีม่วงอัญมณีที่แสนอ่อนน้อมแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาประกายสีม่วงคมกริบดุจดั่งใบมีดพร้อมเฉือดเฉือน
คลื่นอารมณ์รุนแรงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดั่งสัตว์ร้ายทวีขึ้นเป็นเท่าตัว
ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับสร้างความพึงพอใจและความสำราญแก่ราชันย์แวมไพร์เป็นอย่างมากสำหรับเขาแล้วไม่ว่าคนตรงหน้าเป็นแบบไหนก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับเขาเสมอ
"ถ้าฉันบอกว่าฉันคิดถึงเธอล่ะ เธอคิดว่าอย่างไร?"
คาร์ลไฮนซ์ตอบด้วยรอยยิ้มละมุนถามหยั่งเชิงมองผมด้วยสายตาเพลิดเพลินยามที่ผมแสดงตัวตนที่แท้จริงของผมออกมา
หมอนี่มันโรคจิตหรือเปล่า? ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วนี่ว่าผมจะตอบแบบไหน
ยิ่งคิดแล้วยิ่งอยากขย้อนของที่อยู่ในกระเพาะออกมาให้หมดตรงหน้าซะจริง
"เหอะ! ทำอย่างกับว่าผมไม่อยู่แล้วจะตายให้ได้หรือยังไงกัน?
ท่านราชาแวมไพร์" ผมพูดประชดประชันอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันมองคาร์ลไฮนซ์แบบไม่วางตา
จากนั้นเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น
เขามองผมด้วยสายตาเอ็นดูซึ่งผมรังเกียจและไม่อยากจะได้รับมันมากที่สุด
สายตาเอ็นดูแบบนั้นน่ะมันคล้ายกับสายของเจ้าของเวลาเอ็นดูสัตว์เลี้ยงของตนเองเหมือนท่านพ่อของผมไม่มีผิดแต่ว่าผมรู้สึกรังเกียจมันมากกว่าสายตาของท่านพ่อเป็นหลายขุมเลย
เขาผละตัวถอยห่างออกจากตัวผมซึ่งแน่นอนว่าผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ใบหน้าที่เคยเกรี้ยวกราดกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่งทว่าเป็นใบหน้าอันแสนเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งมองคนตรงหน้าแบบไม่วางตาด้วยสายตาดุร้ายไม่เป็นมิตร
"มีอะไรก็ว่ามา
ผมไม่อยากเสียเวลาทุกวินาทีที่อยู่กับคุณหรอกนะ"
ผมกอดอกเอ่ยถามเสียงห้วนพยายามสุภาพต่ออีกฝ่ายถึงแม้ว่าผมอยากจะฆ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นให้ตายคามือก็ตามที
"มิไฮนซ์คุง
ไม่น่ารักเอาซะเลยนะทั้งที่ตอนเด็กๆ เธอยังเรียกฉันว่า 'ท่านพี่'
คอยติดตามฉันอยู่เลย ช่างน่าน้อยใจเหลือเกิน..."
คาร์ลไฮนซ์ยิ้มหัวเราะหยอกล้อผมด้วยความสนุกสนานระคนเอ็นดูจากนั้นแสร้งตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
เขาแอบหรี่ตามองดูปฏิกิริยาของผมซึ่งตอนนี้ผมโกรธและโมโหอีกฝ่ายด้วยความเหลืออดกับความเสแสร้งแกล้งทำของคาร์ลไฮนซ์เต็มทนแล้ว
และนั่นทำให้เส้นความอดทนของผมขาดผึงทันทีบอกกับตัวเองในใจดังๆ ว่า
ไม่ต้องทนมันแล้ว!
"ฉันไม่เคยนับแกเป็นพี่ตั้งแต่วันที่แกทำเรื่องระยำต่ำช้าเอาไว้จนพวกเราต้องตกนรกทั้งเป็นแล้ว!
มีอะไรก็รีบพูดมา!!"
"หึหึ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเกรี้ยวกราดนักสิ รู้ไหมว่าเวลาเธอโมโหน่ารักเหมือนแมวขนฟูไม่มีผิดเลยนะ"
คาร์ลไฮนซ์หัวเราะคิกคักทำหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร
สายตาแสดงถึงความสนุกสนานบ่งบอกว่าตนนั้นมีความสุขเต็มประดาที่หยอกเย้าผมเล่นคล้ายหยอกสัตว์เลี้ยงตนเองไม่ปานนั้น
"มันไม่น่าตลกเลยซักนิดเดียว" ผมกัดฟันกรอดมองหน้าอีกฝ่าย
"ก็ได้ๆ
ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยนะ"
ดวงตาสีทองที่หรี่ยิ้มผันเปลี่ยนเป็นดวงตาเรียบเฉยทว่าเย็นเยียบมองผมราวกับดวงตาอันคมกริบของสัตว์นักล่าที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะของตนเอง
จากนั้นเสียงทุ้มเย็นเอ่ยออกมาจากปากของคาร์ลไฮนซ์ว่า
"เธอทำผิดกฎ"
"เรื่องนั้นคุณก็รู้ดี
ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องทำตามกฎระเบียบอันเคร่งครัดเท่าไหร่"
ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจถึงแม้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงราชันย์แวมไพร์ก็ตามที
แต่ที่เรื่องมาก็เพราะเรื่องแค่นี้หรือ? ผมแหกกฎมามากกว่าครึ่งแต่ก็ไม่เคยโดนเรียกมาเลยสักครั้งเดียวแล้วคราวนี้เกิดผีบ้าอะไรเข้าสิงขึ้นมาล่ะเนี่ยถึงได้เรียกผมมาทำโทษแบบนี้
ไม่สิ...บางทีอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นเพราะถ้าเป็นเรื่องแหกกฎระเบียบนี่ผมคงโดนตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในฐานะพ่อบ้านที่ชื่อ
นางามิตสึ เบียคุยะ ไปนานแล้ว
ไหนจะเรื่องที่ไม่เคารพเชื่อฟังคำสั่งของภรรยาของเขาอย่างเบียทริกซ์กับคอร์เดเลียอีกและนี่ยังไม่รวมวีรกรรมล่าสุดที่ผมเคยก่อไว้กับพ่อบ้านของเบียทริกซ์เลยนะ
"หอคอยสูง...กุหลาบขาว...โอคาริน่า...สถานที่ลับ...เพียงเท่านี้เธอก็น่าจะรู้นะว่าเธอทำผิดกฎของฉันเรื่องอะไร?"
วินาทีนั้น ทุกอย่างถูกหยุดนิ่งไปราวกับต้องสาป
เขารู้เรื่องนั้นแล้วหรือ...?
ดวงตาสีม่วงอัญมณีของผมเบิกกว้างทว่าร่างกายกลับขยับไปไหนไม่ได้ราวกับถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นพันธนาการเอาไว้
ดวงตาสีเหลืองอำพันจดจ้องมองร่างของผมราวกับดวงตาอสรพิษของปีศาจร้ายสาปผู้มองมันให้กลายเป็นหิน
คาร์ลไฮนซ์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?! ในเมื่อเขาแทบจะไม่ได้อยู่ในปราสาทตลอดเวลาเลยนี่นา!!
"หืม...คิดว่าฉันโง่หรืออย่างไร มิไฮนซ์
ที่นี่คือปราสาทของฉันหูตาของฉันยังคงอยู่เอเดนตลอดถึงแม้ว่าตัวฉันจะไม่อยู่ก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกการกระทำของเธอฉันดูออกหมดตั้งแต่แรกแล้วต่อให้เธอปิดบังมันได้แนบเนียนมากแค่ไหนก็ตาม"
ราชันย์แวมไพร์กล่าวน้ำเสียงเนิบนาบทว่าดวงตากลับไม่เหมือนที่พูด
ถ้าอย่างนั้น คืนเดือนมืดเมื่อคราวนั้นที่คาร์ลไฮนซ์รุนแรงกับผมมากกว่าปกติก็เพราะแบบนี้เองหรือ?
"อย่าเข้าใจผิดเรื่องคืนเดือนมืดเมื่อคราวนั้นมันก็แค่ข้อตกลงระหว่างฉันกับเธอก็เท่านั้น
เธอน่ะไม่ผิดในเรื่องที่เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตนเองให้สุบารุลูกชายสุดที่รักได้รับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจแต่ความจริงที่ว่าเธอเป็นเพียงคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างสุบารุทำให้เด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวคนนั้นเกิดความคิดที่จะต่อต้านฉันและแย่งเธอไปจากฉันนั่นน่ะเป็นความผิดของเธอเต็มๆ
เลย มันทำให้ฉันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเมื่อรวมกับความผิดของเธอที่ฉันพยายามหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด ฉันคิดว่าคงถึงเวลาต้องสั่งสอนเด็กดื้ออย่างเธอซะให้เข็ดจนไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก" น้ำเสียงทีเล่นทีจริงทว่าเต็มไปด้วยอำนาจและอันตรายแฝงเร้นอยู่ประกาศกร้าวขึ้น
ดวงตาสีทองอำพันงดงามเย็นเยียบในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นมัวแสดงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เผยสันดานที่แท้จริงออกมาแล้วสินะ คาร์ลไฮนซ์
"บางทีเธอก็ทำตัวไม่น่ารักเลยนะ
ลืมจุดยืนของตนเองแล้วหรือ? มิไฮนซ์คุง"
"ทำไม...จะฆ่าผมงั้นหรือ? ร้อยวันพันปีคุณเพิ่งคิดได้เหรอว่าผมน่ะเป็นตัวเกะกะแผนการอันยิ่งใหญ่ของคุณที่สมควรจะถูกกำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรก"
"โธ่...มิไฮนซ์ที่รัก เฮเลลของฉัน
คิดว่าฉันจะฆ่าเธอได้ลงคอเชียวเหรอ? สู้ทำอย่างอื่นดีกว่าอย่างเช่น...ลงโทษสุบารุลูกชายสุดที่รักของฉันในฐานะพยายามแย่งเธอไปจากฉันยังไงล่ะ"
"อย่านะ!
ถ้าจะลงโทษสุบารุมาลงโทษผมแทน สุบารุไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ!"
ทันทีที่คำพูดนั้นเอ่ยขึ้นมา
ผมตอบอีกฝ่ายอย่างทันควันคล้ายพยายามวิงวอนร้องขอไม่ให้เขาทำอันตรายสุบารุลูกชายคนเดียวของคริสต้าและหลานชายของผมจากการที่ผมอยู่กับเขามานานทำให้ผมรู้ดีว่าคาร์ลไฮนซ์ทั้งอำมหิตและเลือดเย็นมากแค่ไหนต่อให้เป็นลูกถ้าหากหมดประโยชน์หรือไม่สามารถใช้งานได้แล้วก็กำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย ทั้งศักดิ์ศรีและความถือดีของผมที่มีต่อคาร์ลไฮนซ์ตอนนี้พังทลายลงมาแทบเท้าของอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีเลย
ณ ตอนนี้ความหยิ่งทระนงหรือศักดิ์ศรีใดๆ
มันไม่สำคัญแล้วถ้าหากเทียบกับชีวิตของสุบารุแล้วตอนนี้
จะทำร้ายหรือย่ำยีผมอีกกี่ครั้งก็ได้แต่อย่ามาทำร้ายกับหลานชายผมเด็ดขาด!
ผมจะต้องปกป้องสุบารุตามคำขอของคริสต้าน้องสาวของผมให้ได้!!
ชายผมขาวผู้มีศักดิ์เป็นราชาของเหล่าแวมไพร์หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดียามรู้ว่าผมยอมจำนนต่อเขาแล้ว
อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจที่ผมอยู่ภายใต้อาณัติของเขาพลางลูบไล้แก้มของผมพร้อมเชยคางผมขึ้นเล็กน้อย
"เฮเลลที่รัก เธอเป็นของใคร?"
"...ของคุณ"
ผมเม้มปากแน่นกัดฟันตอบอย่างไม่เต็มใจ
"หืม...พูดอีกทีสิ
ฉันไม่ได้ยินเสียงเธอเลย" อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินผมยิ้มหน้าระรื่นราวกับต้องการให้ผมตอกย้ำสถานะตนเองอีกครั้ง
"ผมเป็นของคุณ คาร์ลไฮนซ์"
"เด็กดี..."
ผมหลับตาแน่นแทบจะเบือนหน้าหนีความจริงที่กำลังเกิดขึ้นทว่ามือของคาร์ลไฮนซ์ที่ยังคงอยู่บนใบหน้าผมบังคับกลายๆ
ไม่ให้ผมหันหนีไปไหน ไม่นานนักผมรู้สึกถึงความชื้นของลิ้นและสัมผัสอันแผ่วเบาอ่อนโยนก่อนที่มันจะเริ่มร้อนแรงขึ้น
ริมฝีปากเย็นทาบทับไล่เลียต้อนลิ้นไปมาทั่วโพรงปากผม
มือของร่างสูงลูบไล้เรือนร่างของผมอย่างอยู่ไม่สุขดันผมให้ถอยหลังเดินไปตามที่อีกฝ่ายต้องการจนในที่สุดคาร์ลไฮนซ์ดันผมติดกับโต๊ะทำงานจนผมต้องจำใจขึ้นนั่งบนโต๊ะในขณะที่เขาคลอเคลียบนลำคอผมจากนั้นเขาผลักผมนอนราบบนโต๊ะ
มือสองข้างถูกรวบมัดเอาไว้เหนือหัว
เรียวขาถูกจับแยกออกด้วยแทรกตัวเข้ามาของอีกฝ่าย
สภาพผมตอนนี้มันคงน่ารังเกียจเสียจนดูไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่และริมฝีปากที่บวมหลังจากการจูบของเขา
สัมผัสน่ารังเกียจขยะแขยงนี่ต่อให้ผมพยายามลืมมันมากแค่ไหนแต่สุดท้ายผมก็ต้องเผชิญกับมันหลายครั้งอยู่ดี
สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่สายตาสาปส่งและคำสาปแช่งด้วยความเกลียดชังที่มีต่อร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นราชาของเหล่าแวมไพร์
"ผมเกลียดคุณ คาร์ลไฮนซ์..."
"ไม่เอาน่า
มิไฮนซ์คุง...เมื่อตอนนั้นเธอออกจะน่ารักดีนะ"
"ไปตายซะ"
ผมสบถสาปส่งอีกฝ่ายทว่าเขากลับยิ้มหัวเราะด้วยความเอ็นดูผมเต็มประดาราวกับผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กแต่สำหรับผมแล้วเหมือนเขาเอ็นดูผมในฐานะสัตว์เลี้ยงเสียมากกว่า
"ถ้าฉันตายเธอก็ต้องลงนรกไปพร้อมกับฉันด้วย
ฉันรักเธอนะ...มิไฮนซ์ที่น่ารัก เฮเลลของฉัน" ว่าแล้วคาร์ลไฮนซ์จึงเริ่มลงมือมอบบทลงทัณฑ์อันแสนสาหัสแก่ผมเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมายามเมื่อผมฆ่าร่างสูงตรงหน้าไม่สำเร็จหรือไม่ก็ฝ่าฝืนคำสั่งทำให้ร่างสูงโกรธเคืองหรือไม่พอใจในตัวผม
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง
ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมทำอะไรไม่ได้ได้แต่ปล่อยให้ตนเองถูกอีกฝ่ายย่ำยีกลายเป็นตุ๊กตาไร้จิตใจที่ถูกจัดท่าทางตามที่อีกฝ่ายต้องการ
ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมกรีดร้องใต้ร่างอีกฝ่ายจนลำคอแห้งผากทว่าไร้ซึ่งคำวิงวอนขอความเมตตา
ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่ทั้งรอยกลีบกุหลาบแดง ทั้งรอยเขี้ยวจากการดื่มเลือด
และรวมไปร่องรอยจากการถูกบีบเค้นทั่วร่างที่เคยหายไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาอีกครั้งและไม่มีทีท่าว่าจะหายเอาง่ายๆ
เหมือนเมื่อก่อน
และ...ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่คาร์ลไฮนซ์พร่ำบอกรักผมแสดงความเป็นเจ้าของผมผ่านการกระทำที่บ้าคลั่งและวิปริตด้วยความรักแบบปีศาจที่บ้าคลั่งและรุนแรงเหมือนพายุโหมกระหน่ำทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับแบบนี้...
"เธอเป็นของรักของฉัน
อย่าให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องเธอเด็ดขาด..."
"มีแค่ฉัน...มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำร้ายเธอได้
มีแค่ฉันคนเดียวที่รักเธอได้นะ มิไฮนซ์"
"มิไฮนซ์
ฉันรักเธอมากเลยนะ...เฮเลลที่รักของฉัน..."
เฮเลล...เป็นชื่อเล่นของผมที่คาร์ลไฮนซ์ตั้งเอาไว้
เป็นภาษาฮิบรูในหนังสืออิสยาห์มีความหมายว่า 'ผู้ส่องแสง' ซึ่งปรากฏเพียงครั้งเดียวในคัมภีร์ฮิบรูทว่าในคัมภีร์ไบเบิลฉบับวัลเกตนั้นถอดเสียงออกมาเป็น
'ลูซิแฟร์' หมายถึง 'ดาวประกายพรึก' หรือ 'ผู้ส่องแสง'
ต่อมาภายหลังชาวคริสต์นิยมใช้ภาษาละตินเรียกคำๆ นั้นว่า 'ลูซิเฟอร์'
น่าขำสิ้นดี คาร์ลไฮนซ์คิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าหรืออย่างไรถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ
อย่างการทดลองนั่นรวมไปถึงตั้งชื่อเล่นให้ผมแบบนี้
แต่เมื่อลองคิดดูแล้วถ้าคาร์ลไฮนซ์อุปโลกน์ตนเองเป็นพระเจ้าตำแหน่งลูซิเฟอร์คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าผมอีกแล้ว
ลูซิเฟอร์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงรักและเอ็นดูมากที่สุดในหมู่ทูตสวรรค์ด้วยกันทว่าสุดท้ายแล้วเขาทรยศต่อพระองค์จนก่อเกิดสงครามบนสวรรค์
ทางฝั่งลูซิเฟอร์นั้นมีทูตสวรรค์ที่อยู่ข้างตนมากกว่าครึ่ง
ทางฝั่งพระเจ้าที่มีผู้นำทัพอัครทูตสวรรค์มิคาเอลพร้อมกับทูตสวรรค์จำนวนหนึ่งเข้าต่อสู้ถ้าดูจำนวนแล้วไม่ว่ายังไงลูซิเฟอร์ต้องชนะ
แต่ทว่าโชคชะตาไม่เป็นแบบนั้น
ฝ่ายที่ชนะคืออัครทูตสวรรค์มิคาเอลหรืออีกนัยหนึ่งคือฝ่ายพระเจ้าเป็นผู้ชนะ
เข้าใจคิดดี ไม่นึกว่าราชันย์แวมไพร์อย่างเขามีอารมณ์ขันแบบนี้ด้วย
เขาเปรียบเปรยว่าผมเป็นลูซิเฟอร์ผู้ทรยศความรักและความเอ็นดูของเขาที่มีต่อผม
มองว่าผมเป็นกบฎผู้ทรยศหักหลังและตั้งใจทำลายเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
แต่ถ้าหากเขาคือ 'พระเจ้า' ผู้สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งด้วยความรักอันบิดเบี้ยวนี้...
ผมจะเป็น 'ลูซิเฟอร์'
ผู้ต่อต้านเจตนงค์ด้วยการทรยศหักหลังความรักที่มีเขามีต่อผมให้แก่เขาเอง
สุดท้ายสติสัมปชัญญะของผมหลุดลอยหายไปราวกับตัวผมที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าลงมายังพื้นดินดั่งทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์อันงดงาม...
....................................................
Let's Talk with Writer :
สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ถ้าใครรู้สึกทริกเกอร์หรือทนไม่ได้ก็กรุณาปิดหรือเลื่อนหนีออกไปได้เลยค่ะนังคาร์ลไฮนซ์มันน่ากระทืบให้ตายจริงๆ
ที่กล้าเอาลูกตัวเองไปเป็นตัวประกันข่มขู่มิไฮนซ์แบบนั้น(แต่ไรต์เตอร์เป็นคนแต่แบบนี้เองนี่หว่า?) อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมคาร์ลไฮนซ์ถึงบ้าได้ขนาดนี้เพราะว่ามันนี่แหละเป็นคนทำให้ขุ่นแม่คอร์เดเลียแม่ของแฝดสามนั้นมีนิสัยแบบนั้น
คนที่เสี้ยมให้ขุ่นแม่เป็นแบบนั้นก็คือคาร์ลไฮนซ์ สรุปก็คือความเลวร้ายของคอร์เดเลียทั้งหมดทั้งปวงก็มาจากมันนี่แหละ
สำหรับข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับคริสต้าที่เราหามาได้นั้นบอกว่าคริสต้ามีอายุหลายศตวรรษแปลว่าคริสต้าอายุ
100+ ขึ้นไปแต่เรื่องนี้เราขอปรับสเกลเป็นเกือบๆ
1,000 ปีให้สอดคล้องกันกับเหตุผลที่มิไฮนซ์ไปยืมมือต้นตระกูลมาฆ่าคาร์ลไฮนซ์
เรื่องนี้เราจะไม่เอาคิโนะมานะคะเพราะแค่ปัญหาสามตระกูลก็อีรุงตุงนังปวดหัวแทบแย่อยู่แล้วถ้าเพิ่มมาอีกนี่ความฉิบหายวายป่วงคงเพิ่มมากแน่
ความคิดเห็น