คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : White Rose 01 : ความฝันและเวลาที่ผ่านไป [Re]
White Rose 01
ความฝันและเวลาที่ผ่านไป
TW : Mentioned Rough sex (กล่าวถึงการมีเซ็กส์แบบรุนแรง) , Mentioned Unsafe sex (กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน) , Physical Abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย) , Mentioned Cheating (กล่าวถึงการนอกใจ ในที่นี้สามีนอกใจน้องสาวของตัวเอกไปมีความสัมพันธ์กับตัวเอก) , Mentioned of Domestic Violence (กล่าวถึงความรุนแรงในครอบครัว) , Self-Esteem issue (ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับคุณค่าในตนเอง) , Mental Illness (ตัวละครมีอาการป่วยทางจิต) , Self-Hated (การเกลียดตัวเอง)
เวลาที่ล่วงเลยมาหลายปีเสมือนความฝัน และมันยังคงเป็นห้วงแห่งความฝันที่ยาวนาน...
เปลือกตาของผมลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนเพลีย แสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างทำเอาผมรู้สึกแสบตาเล็กน้อย
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แวมไพร์ไม่ค่อยถูกกับแสงจากดวงอาทิตย์เพราะมันทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงถึงแม้ว่าพวกเราสามารถไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้ก็ตามที
ผมควานหานาฬิกาพกบนใกล้โต๊ะบริเวณหัวเตียงเปิดฝาตลับดูเวลาด้วยความงัวเงียเล็กน้อย
อืม...6 นาฬิกากับอีก
3 นาที
สายไปนิดสำหรับพ่อบ้านแต่ทำอย่างกับว่าผมสนอย่างนั้นแหละก็ในเมื่อ...
ไม่ๆ อย่าไปนึกถึง 'ไอ้ปีศาจไร้หัวใจ' นั่นเด็ดขาด!
ยิ่งนึกถึงผู้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง
และสมเพชในความอ่อนแอมากเท่านั้น
ผมยอมรับว่าตัวผมในตอนนี้อ่อนแอและน่าสมเพชมากแค่ไหนที่ไม่มีพลังอำนาจต่อกรกับผู้ชายคนนั้น
ทำได้แค่โกรธเกลียดและเก็บซ่อนความคลุ้มคลั่งที่ทำให้ร่างกายแทบจะแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
แต่เหนือกว่าสิ่งใด การ 'ปกป้อง' ครอบครัวของผม
คือสิ่งสำคัญและจุดมุ่งหมายในชีวิตของผม
ถ้าหากไม่มีมันผมคงไม่ได้รับการอภัยจากบาปที่ผมเคยทำเอาไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นแน่...
เมื่อผมขยับตัวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำผมต้องกัดฟันกรอดเมื่อความเจ็บปวดจากช่วงล่างแล่นพรวดอย่างรวดเร็วจนแทบทรุด
อดทนกลืนเสียงร้องของตนเองลงไปเพื่อไม่ให้มีแวมไพร์ตนไหนได้ยินก่อนพยายามลากสังขารตนเองออกจากเตียงที่ยับยู่ยี่เข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระกายให้สะอาด
ผมเดินไปเปิดก๊อกน้ำบนอ่างและในขณะที่รอน้ำประมาณครึ่งอ่างผมเห็นภาพสะท้อนในกระจกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับผม
ภาพที่กระจกสะท้อนออกมาเห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มผมยาวสีขาวปลอดค่อนข้างยุ่ง
ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ฉายแววเหนื่อยล้าอ่อนแรง
ตามเนื้อตัวของเขานั้นมีทั้งรอยจ้ำและรอยกัดสีแดงประปรายจนดูน่ากลัว
มันจะน่ากลัวกว่านี้แน่ถ้ากระจกฉายด้านหลังตรงบริเวณสะโพกที่มีรอยช้ำเป็นรอยมือ
ทำเวลาไหนไม่ทำมาทำเอาตอนคืนเดือนมืดซะได้ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่แวมไพร์อ่อนแอและเป็นโอกาสเดียวที่จะ
'ฆ่า'
ราชันย์แห่งแวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์ได้ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเป้าหมายของผม
แต่ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ผมก็พลาดมาหลายครั้งในคืนเดือนมืดราวกับอีกฝ่ายรู้ทันความคิดของผมและสุดท้ายผมก็ถูกคาร์ลไฮนซ์
'ลงโทษ'
จนมีสภาพน่าอเนจอนาถอย่างที่เห็นในกระจก
อันที่จริงแวมไพร์อย่างพวกเรามีความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วแต่ดูเหมือนว่าไอ้แก่ตัณหากลับนั่นทำอะไรบางอย่างกับร่างกายผมทำให้แผลหายช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ยิ่งเป็นคืนเดือนมืดยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สภาพที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เหมือนถูกคนถูกทารุณกรรมและถูกทิ้งขว้างไม่มีใครเห็นใจหรือสนใจใยดีแม้แต่น้อยจนมีสภาพน่าสังเวชแบบนี้
เหนื่อยล้า อ่อนแรง บอบช้ำ แตกสลายราวกับดอกไม้ใกล้ตายที่กำลังโรยรากลับลงสู่ผืนดินอย่างนั้นอย่างนั้น...
"สกปรก..." สายตาที่ผมมองตนเองในกระจกเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
สมเพชในความอ่อนแอ
และรังเกียจตนเองที่ถูกผู้ชายคนนั้นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีได้อย่างง่ายดายจนแทบอยากหาอะไรมาขว้างใส่กระจกให้แตกเพื่อไม่เห็นเงาสะท้อนตัวตนอันอัปลักษณ์เหล่านี้
ตัวของผมนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคาร์ลไฮนซ์ที่ทำร้ายและบดขยี้หัวใจคริสต้าน้องสาวของผมให้แหลกสลายไม่มีผิด
ลองคิดดูสิว่าพี่ชายที่ตนเองรักและเคารพไปมีความสัมพันธ์กับสามีของตนเองถ้าไม่เจ็บปวดจนกลายเป็นบ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว...
ผมพยายามนับตัวเลขภายในใจสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
เพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่กพล่านให้สงบลงจากนั้นผละออกจากกระจกหย่อนเรียวขาที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบขึ้นประปรายก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ
เรื่องพวกนั้นเอาไว้ก่อนเพราะว่าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมจะต้อง...
"รับศึกหนักกับผู้หญิงสองคนนั้นอีกแล้วเหรอเนี่ย? เฮ้อ..." ผมถอนหายใจเบาๆ
อย่างเหนื่อยหน่ายขณะอาบน้ำชำระกาย
ยามนึกถึงผู้หญิงตัวปัญหาสองคนนั้นทีไรผมรู้สึกห่อเหี่ยวใจขึ้นมาทันทีหนักกว่าคริสต้าที่ถูกคุมขังในหอคอยก็ภรรยาทั้งสองคนของราชาแวมไพร์เจ้าเล่ห์นั่นแหละ
จ้องหาเรื่องผมไม่เว้นวันทันทีที่พบเจอจนผมเอือมระอาเต็มทนแล้ว
สองคนนั้นน่ะวันๆ หนึ่งถ้าไม่หาเรื่องผมนี่จะตายให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย
.
.
.
.
.
.
.
ดูเหมือนวันนี้จะโชคดีแฮะที่ไม่ได้เจอกับผู้หญิงสองคนนั้นน่ะ...
ความจริงวันนี้ผมต้องตื่นเช้าจัดเตรียมโต๊ะอาหารพร้อมคอยบริการภรรยาทั้งสองของคาร์ลไฮนซ์รวมไปถึงบรรดาลูกชายทั้งหกคนของเขาด้วยแต่เพราะวันนี้ผมตื่นสายก็เลยขอให้พ่อบ้านคนอื่นมาคอยทำหน้าที่แทนผมแล้วถึงมันจะดูไร้ความรับผิดชอบแต่สังขารผม
ณ ตอนนั้นมันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ผมหยิบนาฬิกาพกประจำตัวออกจากกระเป๋าดูเวลาเพื่อตรวจดูตารางเวลาในการทำงานแต่ละวันของผม
ตอนนี้ก็ใกล้เวลาเรียนของอายาโตะแล้วสินะ...
เมื่อนึกถึงเด็กชายตัวเล็กผมแดงคนนั้นทีไรผมรู้สึกสงสารเขาจริงๆ
ที่ใช้ชีวิตอยู่กับกองหนังสือแทนที่จะได้เล่นกับคนอื่นตามประสาเด็กธรรมดาทั่วไปแถมโดนกรอกหูจากแม่ของเขาตลอดเวลาจะว่าต้องเป็นที่หนึ่งห้ามแพ้ใครเป็นอันขาด
พอเขาไม่ชนะหรือดื้อกับแม่ของตนเองทีไร 'คอร์เดเลีย' หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์และแม่ของอายาโตะมักจะลงโทษเขาด้วยวิธีการที่โหดร้ายเสมอ
อย่างเช่นจับขังคุกใต้ดินปล่อยให้อดอาหารเป็นเวลาหลายวัน
คอยคุมเขาให้อ่านหนังสือโดยไม่ให้หลับไม่ให้นอนพอทำท่าจะหลับก็ทำร้าย
ล่าสุดก็จับโยนลงทะเลสาบทั้งที่เขาว่ายน้ำไม่เป็นเลยและดูเหมือนเจ้าหล่อนจะชอบวิธีนี้เลยใช้เป็นบทลงโทษบ่อยครั้ง
เดือดร้อนผมกระโจนไปช่วยเขาเกือบทุกครั้งยามผ่านทางตลอดและแน่นอนว่าผมก็โดนผู้หญิงคนนั้นเกลียดไปตามระเบียบ
อันที่จริงผมทำเป็นไม่สนเขาก็ได้แต่เพราะผมมีศักดิ์เป็นอาของเขาทำให้ผมปล่อยวางเขาไม่ได้ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่อาของเขาโดยตรงเหมือนกับริชเตอร์ก็ตาม
"อีก 10 นาทีข้างหน้ารถม้าของนิโคลัสคงจะมาถึงลัดไปทางสวนก็แล้วกัน"
นิโคลัสที่หมายถึงคืออาจารย์สอนพิเศษของอายาโตะที่คอร์เดเลียจ้างวานมาและแน่นอนว่าก็เป็นหนึ่งในบรรดาชู้รักของคอร์เดเลียเช่นกัน
เพราะเป็นคนของผู้หญิงคนนั้นเลยเป็นหนึ่งในคนที่ไม่น่าเคารพเท่าไหร่นักสำหรับผม
ผมเดินออกข้างนอกพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างเพราะนอกปราสาทมันเป็นที่โล่งทำให้แสงสว่างเยอะกว่าและอย่างที่ผมเคยบอกว่าแวมไพร์ไม่ค่อยถูกกับแสงแดดเพราะมันทำให้ความสามารถในการมองเห็นของพวกเรานั้นลดลงตามไปด้วย
เพราะผมมัวแต่ปรับสายตาตนเองหรือเพราะบุคคลที่สามไม่มองทางกันแน่ทำให้ผมกับเขาปะทะกันเต็มๆ
ซึ่งฝ่ายนั้นถอยผงะออกมาทั้งที่ผมยังคงยืนตรงคาดว่าคนตรงหน้านี้แรงน้อยกว่าผมแน่นอน
เมื่อผมปรับสายตาตนเองได้แล้วจึงก้มมองดู
บุคคลปริศนานั้นเป็นเด็กชายผมสีบลอนด์สวมเสื้อนอกเนื้อดีสีฟ้าแบบลูกขุนนางซึ่งดวงตาสีฟ้ากลมโตนั้นแดงก่ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งสีผมและสีตาของเขานั้นเหมือนกับภรรยาคนที่สองของคาร์ลไฮนซ์
'เบียทริกซ์'
ไม่มีผิดเพี้ยน
"นายน้อยชู เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?"
ผมย่อตัวลงอยู่ในระดับสายตาของเด็กคนนี้ถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนส่งยิ้มบางให้เขาเป็นการปลอบประโลม
"เบียคุยะ ละ...ลูกหมา..." ลูกหมา?
"ละ...ลูกหมาที่เอ็ดการ์มอบให้ผมถูกท่านแม่สั่งให้เอาไปทิ้งแล้ว"
เด็กชายที่ผมเรียกว่านายน้อยชูนั้นกำมือแน่นพยายามกลั้นน้ำตาตนเองไว้ ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าสามารถนำลูกหมาตัวนั้นกลับมาได้หรือไม่เพราะคนรับใช้คนนั้นเป็นคนรับใช้ของเบียทริกซ์ต่อให้พูดจากันด้วยหลักเหตุและผลมากแค่ไหนสุดท้ายคำสั่งของเบียทริกซ์นั้นเหนือกว่าทุกสิ่ง
และเบียทริกซ์เองก็เป็นผู้หญิงใจแข็งใช่เล่นอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต่อให้ผมยกเหตุผลร้อยแปดมามากแค่ไหนตราบใดที่เบียทริกซ์ไม่คิดจะให้ก็อย่าหวังว่าจะให้อย่างเด็ดขาด
"แล้วลูกหมาหน้าตาเป็นอย่างไรขอรับ?"
ผมถามชูพยายามลูบศีรษะคอยปลอบเขาแน่นอนว่าชูตอบลักษณะของลูกหมาตัวนั้น
เท่าที่ผมฟังแล้วลูกหมาตัวนั้นน่าจะเป็นเยอรมัน เชพเพิร์ด
ซึ่งเป็นหมาสายพันธุ์ที่ทนทรหดและค่อนข้างดุอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
"มันจะตายไหม?" เด็กชายถามผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบให้แก่เขา
"เยอรมัน
เชพเพิร์ดน่ะเป็นสุนัขที่แข็งแรงว่องไวและเฉลียวฉลาดมาก ดังนั้นมันไม่ตายง่ายๆ
หรอกขอรับ นายน้อยชู"
"จะ...จริงๆ นะ! เบียคุยะห้ามโกหกนะ!!" ชูเริ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกใจชื้นเมื่อรู้ว่าสุนัขของเอ็ดการ์เด็กชายเพื่อนสนิทของเขานั้นไม่ตายง่ายๆ
"จริงขอรับ
กระผมเองจะคุยกับพ่อบ้านคนนั้นให้ขอลูกหมาตัวนั้นมาขอรับ" อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะพ่อบ้านรับใช้ของเบียทริกซ์ไม่มีทางให้ลูกหมากับผมแน่นอนยิ่งเป็นคนที่เจ้านายเกลียดเข้าไส้ด้วยแล้วยิ่งไม่อยากเสวนากับผมใหญ่เลย
แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก ถ้าเกิดการเจรจาล้มเหลวขึ้นมาสิ่งที่ผมทำได้มากที่สุดก็แค่ตามหาลูกหมาที่ถูกพ่อบ้านคนนั้นเอาไปทิ้งไว้แล้วส่งกลับคืนให้เอ็ดการ์เท่านั้นเพราะเท่าที่ดูจากลักษณะนิสัยของแล้วเบียทริกซ์ไม่น่าใจไม้ไส้ระกำฆ่าลูกหมาตัวนั้นได้ลงคอเหมือนคอร์เดเลียหรอก
รายนั้นน่ะอำมหิตของแท้ขนาดโยนลูกตัวเองลงทะเลสาบแล้วปล่อยทิ้งไว้ได้ลงคอถึงแม้จะรู้ว่าลูกตนเองนั้นไม่มีทางตายด้วยเรื่องแบบนี้ก็ตามกับแค่ลูกหมาตัวหนึ่งจะเหลือหรือ?
"ตะ...แต่ว่าท่านแม่...แล้วก็เอ็ดการ์..."
ชูเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใบหน้าอันเย็นชาแสนน่ากลัวของแม่ตนเองและใบหน้าผิดหวังเอ็ดการ์เพื่อนสนิท
"ไม่ต้องห่วงขอรับ ผมไม่ได้บอกว่านำมันมาให้นายน้อยเสียหน่อย
เรื่องลูกหมาตัวนั้นกับเอ็ดการ์ผมจะจัดการให้เองไม่มีอะไรต้องกังวลไป
บางทีเอ็ดการ์อาจจะหาบ้านใหม่ที่ดีให้กับมันก็ได้และเมื่อถึงตอนนั้นนายน้อยก็แอบไปหามันอย่างลับๆ
ไม่ต้องบอกให้ใครรู้ เป็นความลับระหว่างเราสองคนดีไหมขอรับ?" ผมว่าแล้วขยิบตาให้เล็กน้อยสะท้อนถึงความขี้เล่นภายในตัว
จากนั้นดวงตาสีฟ้าของชูเป็นประกายวาวกลับมาสดใสเหมือนท้องฟ้าอีกครั้งทันทีก่อนพยักหน้ารัวๆ
เห็นด้วยกับความคิดของผม
สำหรับชู
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างให้อิสระกับเขามากเลยทำเดียวทำให้เวลาอยู่กับผมเขารู้สึกอบอุ่นและไว้ใจ
เป็นตัวของตนเองมากที่สุดซึ่งสังเกตได้จากการที่ชูเรียกผมว่าเบียคุยะด้วยน้ำเสียงสดใสโดยไม่มีการเติมคุณหรือสรรพนามอะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกห่างเหิน
ถึงแม้จะดูไม่สุภาพสำหรับการพูดแบบนั้นกับผู้อาวุโสกว่าแต่ทางผมเองก็ไม่ค่อยใส่ใจอะไรมากนักที่หลานตัวเองไม่ได้เรียกผมอย่างสุภาพเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของผมเป็นชายอายุยี่สิบกว่าๆ
ได้ทั้งที่จริงอายุผมปาไปหลายร้อยกว่าปีแล้ว
และที่สำคัญทุกคนในปราสาทไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นคือใครดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมเขาและพี่น้องคนอื่นถึงยังคงเข้าใกล้ผมอยู่...
อ้อ...แต่ก็ยกเว้นบางคนที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นคือใครน่ะนะ
.
.
.
.
.
.
.
สูงเหนือจากพื้นดินขึ้นไปนั้นเป็นทางเดินกุหลาบขาว...
เหตุที่เรียกว่าทางเดินกุหลาบขาวนั้นเพราะทางเดินทั้งสองฝากนั้นเต็มไปด้วยกุหลาบขาวทอดยาวไปจนถึงหอคอยสูงแห่งหนึ่งส่งกลิ่นหอมหวานอบอวลเมื่อสายลมพัดผ่านพากลิ่นหอมพร้อมกลีบดอกไม้สีขาวแสนบริสุทธิ์ล่องลอยไปตามสายลม ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นทิวทัศน์ที่งดงามยามตะวันและทวีความงามยิ่งกว่าเมื่อยามราตรี
ทว่าความงดงามทิวทัศน์เหล่านั้นหรือจะสู้ความงามของอิสตรีผู้ถูกขนานนามว่า
'กุหลาบขาว'
ของเหล่าแวมไพร์
คล้ายเรื่องเล่านิทานปรัมปราของมนุษย์...เจ้าหญิงผู้เลอโฉมถูกราชาปีศาจจับขังไว้ในหอคอยโดยมีมังกรยักษ์อันแสนชั่วร้ายน่าเกรงขามคอยเฝ้าหอคอยนั้นเอาไว้
เจ้าหญิงผู้แสนบอบบางนั้นได้แต่รอความช่วยเหลือแล้วทันใดนั้นเองก็มีเจ้าชายขี่ม้าขาวที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
เพื่อมาช่วยเจ้าหญิง
จนในที่สุดเจ้าชายก็โค่นล้มราชาปีศาจช่วยเหลือเจ้าหญิงออกมาและครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
แต่ว่านั่นน่ะมันก็แค่นิทานเพ้อฝันของมนุษย์ที่กล่อมให้เด็กนอนหลับฝันดี
สิ่งที่เกิดขึ้นและความจริงอันโหดร้ายนั้นถ้าจะให้นิยามตามแบบเรื่องเล่านิทานนั้นก็คงเปรียบเสมือนนิทานของสองพี่น้องตระกูลกริมม์อย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นความจริงที่เด็กชายผมสีขาวบริสุทธิ์นั้นเกลียดมากที่สุด...
ดวงตาสีแดงกลมโตอันเศร้าสร้อยราวกับทัมทิมอันหม่นหมองมองไปยังข้างบนตรงหน้าต่างติดลูกกรงอย่างแน่นหนา
พลันนั้นเองสิ่งที่ปรากฎออกมาเป็นร่างอันบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั้นแทบจะเป็นสีขาวราวกับกุหลาบที่ปลูกตามข้างทาง
ถ้าหากไม่มีดวงตาสีแดงทับทิมเฉกเช่นเดียวกับเด็กชายและชุดกะโปรงยาวที่มีสีดำตัดกับเนื้อผ้าสีขาว
เธอผู้นั้นคงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพุ่มกุหลาบขาวตามทางเดินเป็นแน่
หญิงสาวผู้งดงามราวกับกุหลาบนั้นคือ 'คริสต้า' ผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาคนที่สามของคาร์ลไฮนซ์และแม่ของเด็กชายคนนั้น
ดวงตาสีแดงอันเรียบนิ่งไร้ซึ่งวิญญาณเหม่อมองมายังเด็กชายแค่แวบเดียวจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปข้างในราวกับบนทางเดินข้างล่างนั้นไม่เคยมีใครอยู่เลยตั้งแต่แรก
เด็กชายก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสลดจากนั้นมีดเงินแกะสลักลวดลายสวยงามที่อยู่ในมือนั้นตกลงบนพื้นส่งเสียงเล็กน้อยก่อนเสียงนั้นถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายลม
ทำไม่ได้...ผมขอโทษที่ทำตามความต้องการของท่านแม่ให้ไม่ได้...
เด็กชายอยู่ภายในห้วงภวังค์ความคิดชั่วขณะ คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ภายในหัวของเขาวนไปวนมาราวกับถูกกรอเทปเล่นซ้ำๆ
หลายหน
เป็นการตอกย้ำถึงความไม่เอาไหนและความไร้ค่าของเขาที่ทำตามความต้องการของคนที่เขารักไม่ได้
แต่ถ้าจะแย่กว่าเด็กชายคนนั้นก็คงเป็นตัวผมเองที่ทำให้คริสต้ากลายเป็นแบบนี้...
"สุบารุ..."
เสียงของผมเอ่ยเรียกชื่อของเด็กชายทำให้เขากลับออกมาจากวังวนแห่งภวังค์
ดวงตาสีแดงทับทิมเฉกเช่นเดียวกับคริสต้าน้องสาวฝาแฝดจ้องมองมายังดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์แล้วจากนั้นมองมาที่มือของผมซึ่งมีมีดเงินที่เขาทำตกเอาไว้
"ถึงสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ปลิดชีวิตแวมไพร์ก็จริงแต่ก็เป็นของสำคัญของแม่เธอนะอย่าทำมันหล่นง่ายๆ
แบบนั้นสิ สุบารุ"
"ท่านลุงมิไฮนซ์..." สุบารุ ลูกชายของ 'คริสต้า'
ภรรยาคนที่สามของคาร์ลไฮนซ์และน้องสาวฝาแฝดของผมเอ่ยนามแท้ของผมออกมาก่อนรับมีดกลับไป
และนี่ก็คืออีกคนนอกจากคาร์ลไฮนซ์ที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคือใคร...
ผมรู้ดีว่าการที่มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมนั้นมันอันตรายมากแค่ไหนหากคาร์ลไฮนซ์จับได้ว่าผมแอบบอกชื่อและตัวตนที่แท้จริงออกมา
ผมรู้ว่าคาร์ลไฮนซ์จะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ผมทำอะไรนอกลู่นอกทางหรือทำอะไรที่อยู่เหนือเกินความคาดหมายเขาแบบนี้ซึ่งเดิมทีผมมันก็เป็นตัวป่วนแผนการของเขาอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป...คาร์ลไฮนซ์มีคริสต้าและสุบารุเป็นตัวประกันบวกกับเจ้านั่นทำพันธะโลหิตกับผมซึ่งแน่นอนว่าเป็นพันธสัญญาที่คาร์ลไฮนซ์ยัดเยียดมาให้ผมโดยที่ผมไม่เต็มใจซึ่งพันธสัญญานี้ทำให้ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์จนผมไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้มากนัก
ผมจำรสชาติเวลาคาร์ลไฮนซ์ใช้พันธะโลหิตนั้นลงโทษผมได้อย่างดีเมื่อตอนที่ผมแอบลักลอบไปยังปราสาทแห่งหนึ่งที่คุมขังพวกเฟิร์สบลัดหรือเรียกอีกอย่างว่าพวก
'ต้นตระกูล'
เอาไว้
เพื่อทำลายบาเรียและคิดจะเจรจากับพวกเขาให้มาโค่นล้มคาร์ลไฮนซ์
แต่สุดท้ายตอนที่ผมใกล้จะแก้เวทมนตร์เพื่อทำลายบาเรียสำเร็จแล้วเขาจับผมได้และแน่นอนว่าผมโดนพันธะโลหิตลงโทษไปตามระเบียบ
ตอนนั้นน่ะเจ็บปวดเจียนตาย
ร่างทั้งร่างของผมเหมือนถูกสัตว์ร้ายรุมกระหน่ำกัดกินผมทั้งเป็น
ก้อนเนื้อในอกซ้ายของผมถูกบีบรัดและทิ่มแทงคล้ายมีหนามกุหลาบพันรอบนอกของหัวใจอย่างแน่นหนา
ไม่ว่าผมกรีดร้องระบายความเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั้นทั้งเจ็บปวดทั้งกรีดร้องจนแทบจะไม่มีแรงดิ้นทุรนทุรายและแทบจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาทำได้แต่นอนขดตัวงอคล้ายทารกที่อยู่ในครรภ์มารดากุมอกซ้ายตนเองแน่นพยายามลืมความเจ็บปวด
จนในที่สุดผมหมดสติไปด้วยสภาพที่ไม่น่ามองนัก
สิ่งที่ผมจำได้ติดตาไม่มีวันลืมก็คือรอยยิ้มอันพึงพอใจของคาร์ลไฮนซ์...
ถึงเจ้าราชาแวมไพร์โรคจิตนั่นสั่งให้ผมห้ามบอกใครเรื่องตัวตนที่แท้จริงของผมก็เถอะแต่ว่าผมไม่ใช่คนที่อยู่ในโอวาททำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งหมอนั่นแบบหน้ามืดตามัวเหมือนเบียทริกซ์หรือปีศาจรับใช้ตนอื่นเสียหน่อย
ที่สำคัญเด็กคนนี้คือลูกชายของน้องสาวที่ผมรักและเป็นสายเลือดทางฝั่งผมมากกว่าทางฝั่งของหมอนั่น
ดังนั้นอย่าแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงขัดคำสั่งของคาร์ลไฮนซ์ได้อย่างง่ายดายถึงแม้ว่าการร่วมรักกันระหว่างเครือญาตินั้นจะเป็นสิ่งที่ผมรังเกียจและรับมันไม่ได้มากที่สุดก็ตามที
ก็ตัวผมน่ะไม่ใช่ 'หมารับใช้' ผู้ซื่อสัตย์แต่เป็น
'อสรพิษ' ที่แว้งกัดเจ้าของได้ทุกเมื่อของคาร์ลไฮนซ์นี่นา
"ท่านลุงไม่ใช่ว่าต้องไปรับครูสอนพิเศษของอายาโตะหรอกเหรอ?"
เด็กชายถาม
"แค่ไปต้อนรับหน้าประตูก็ถือเป็นเกียรติสำหรับเขามากพอแล้วที่เหลือให้คนอื่นจัดการเอาเอง
คนๆ นั้นน่ะไม่มีค่าพอให้ลุงเสียเวลาอยู่นานด้วยหรอก" ผมพูดจากใจจริง
ผู้ชายของคอร์เดเลียน่ามันน่ารังเกียจกันทั้งนั้นไม่มีความน่าเคารพเอาซะเลยพอๆ
กันกับเจ้าหล่อนที่ทำตัวเหมือนผึ้งนางพญามีผู้ชายรายล้อมเอาอกเอาใจอยู่เรื่อย
อ้อ...รวมไปถึง 'ริชเตอร์' ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของราชาแวมไพร์และเป็นลูกพี่ลูกน้องอีกคนของผมด้วยรายนั้นน่ะหนักเอาการอยู่เหมือนกันที่ยอมเป็นชู้ลับกับภรรยาพี่ชายตนเองลับหลังอยู่แบบนี้
แต่ถ้าถามว่าใครน่ารังเกียจมากที่สุดในสายตาของผม
ผมตอบได้เต็มปากเลยว่า 'คาร์ลไฮนซ์'
"แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่สุบารุ
ถ้าหากลุงอยากเอาเวลาไปใช้กับอะไรมากที่สุดลุงอยากตอบว่าอยากใช้เวลากับครอบครัวของลุงให้มากที่สุด
ทั้งคริสต้า ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ รวมไปถึงสุบารุ
หลานสุดที่รักของลุงด้วยนะ" ยอมรับว่าการเรียกตัวเองว่า 'ลุง' มันรู้สึกจี๊ดๆ
เหมือนรู้สึกว่าตัวเองแก่หงำเหงือกยังไงก็ไม่รู้
แต่ทำอย่างไรได้ล่ะก็ในเมื่อเด็กชายผมขาวตรงหน้าผมนี้รักผมกับคริสต้ามากกว่าพ่อของเขาเยอะเลยทำให้เขานับญาติทางฝ่ายแม่มากกว่าทางฝ่ายพ่อซึ่งทางฝั่งแม่ผมมีศักดิ์เป็นลุงของเขาแต่ถ้าทางฝั่งพ่อก็มีศักดิ์เป็นอาของเขาและลูกคนอื่นๆ
ของคาร์ลไฮนซ์
"แต่ผม...ผมน่ะมัน 'สกปรก' ผม..." ก่อนที่สุบารุจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตนเองไปมากกว่านี้
นิ้วชี้ของผมหยุดอยู่ตรงริมฝีปากบอกเป็นนัยให้เขาเงียบ
ผมส่ายหน้าให้เขาอย่างเชื่องช้าดวงตาสีอะเมทิสต์ของผมลืมตาขึ้นสบมองตรงกับดวงตาสีแดงทับทิมสวยงามซึ่งถอดแบบมาจากคริสต้าไม่มีผิดเพี้ยน
"ลุงบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดแบบนี้
นั่นคือมโนภาพแห่งตัวตนที่หลานมองเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นเหรอ? หลานคิดว่านั่นคือตัวตนที่เป็นจริงของหลานเหรอ? หรือว่าเป็นตัวตนที่หลานมองเห็นกันแน่?
ลองคิดพิจารณาถามใจตนเองดูก่อนที่จะตอบ"
ผมกล่าวออกไปพร้อมผละนิ้วมีออกจากปากของเด็กชายเป็นเชิงอนุญาตให้เขาพูดต่อ
"ผมไม่เข้าใจที่ท่านลุงพูดเลย..."
สุบารุถามด้วยความไม่เข้าใจ
บางที...วิชาจิตวิทยาของมนุษย์เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับแวมไพร์ก็ได้ล่ะมั้ง?
"สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น
สิ่งที่เป็นไม่อาจใช่สิ่งที่ทำ สิ่งที่ทำอาจไม่ใช่สิ่งที่คิด คาร์ล
โรเจอร์..." สุบารุเอียงคองุนงงด้วยความสงสัยว่า คาร์ล โรเจอร์
ที่ผมกล่าวถึงนั้นหมายถึงใครซึ่งเป็นภาพที่น่ารักมากสำหรับผมเลยทีเดียวที่หลานชายสุดที่รักของผมจะทำแบบนี้
นานๆ ทีสุบารุจะทำท่าทางแบบนั้นเพราะส่วนใหญ่ผมมักจะเห็นเขาเศร้าสร้อยและเหม่อลอยคล้ายใจไปอยู่ที่อื่นเวลาอยู่คนเดียวโดยไม่มีผมอยู่เคียงข้างซึ่งแน่นอนว่าผมทราบดีว่าใจของเขาไปอยู่ที่ใครเพราะใจของผมเองก็ไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน
"มันก็เหมือนกับการที่เราพูดว่าเรารักใครหนึ่งและมันจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ
การบอกรักจะไร้ค่าถ้าปราศจากการเอาใจใส่ การแสดงออกที่มั่งคง คำๆ
นั้นน่ะจะมีความหมายเมื่อผ่านการแสดงออกไม่ใช่เพียงแค่รำพึงรำพันถึงมัน"
สุบารุนิ่งเงียบไปคล้ายจะรอฟังผมพูดต่อและผมก็พูดต่อตามที่เด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายของผมนั้นต้องการ
"หลานน่ะอย่าให้ใครมาตัดสินเอาเองว่าหลานนั้นสกปรกจนเก็บมาเป็นตัวตนที่หลานมองเห็นซึ่งตัวตนที่มองเห็นนั้นอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้
หลานจะเจ็บ จะรู้สึกผิดก็ได้แต่อย่าให้มันมาลดคุณค่าในตนเองของหลานเด็ดขาด คำว่า 'สกปรก' มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ"
พูดไปก็เจ็บไปอยู่เหมือนกัน...ทฤษฏีบุคลิกภาพของคาร์ล
โรเจอร์ทำร้ายผมมากตอนที่อ่านมันครั้งแรกแต่ผมก็ยอมรับว่ามันก็จริงอย่างที่ผมกล่าวน่ะนะ
คำว่า 'สกปรก'
มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าคนผู้นั้นไม่ได้ทำ...แปลว่าผม 'สกปรก' ของจริงใช่ไหมนะ
ถ้าหากสุบารุบอกว่าตนเองนั้นสกปรกแล้วอย่างผมจะเหลือเหรอ
ผมน่ะยอมรับว่าผมสกปรกยิ่งกว่าสุบารุที่โทษตนเองเสียอีก
เพราะแบบนั้นผมถึงยอมใช้คำพูดที่ทำให้ตนเองนั้นเจ็บก็เพื่อสุบารุ
ครอบครัวที่ผมรักอีกคน
"หลานอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้แต่ภายภาคหน้าหลานจะต้องเข้าใจแน่
เอาเป็นว่า...หลานอยากจะฟังลุงเป่าโอคาริน่าไหม? โอคาริน่าเพื่อหลานรักของลุง"
"ครับ! ท่านลุง"
สุบารุหลานรักกลับมายิ้มอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อมองไปทีไรทำให้ผมนึกถึงคริสต้าน้องสาวฝาแฝดสุดที่รักของผมเวลาเธอยิ้มเหมือนครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่พวกเรายังเด็กและมีความสุขมากกับการที่ได้เป็นพี่น้องกัน
ผมมักจะเป่าโอคาริน่าทุกครั้งตามที่เธอร้องขอโดยเฉพาะเวลาเข้านอน
"ถ้าอย่างนั้น...ไปยัง 'สถานที่ลับ'
ของพวกเรากันเถอะ"
ผมจับมือจูงหลานชายของตนเองเดินออกจากหอคอยสูง
ผมแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายเล็กน้อย สุบารุนั้นทั้งดวงตาทั้งริมฝีปากของเขานั้นยกยิ้มขึ้นออกมาคล้ายรู้สึกภูมิใจในตนเองว่าตนนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับผมไม่มีใครมาแทนที่ได้รวมไปถึงลูกคนอื่นที่เหลือของคาร์ลไฮนซ์พ่อของตน
อันที่จริงผมก็ใส่ใจหลานคนอื่นๆ
อยู่เหมือนกันแต่เพราะสุบารุเห็นด้านอ่อนโยนและผ่อนคลายของผมมากกว่าก็เลยคิดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ถ้าแค่สุบารุมีความสุขผมก็ดีใจแล้ว
นั่นเท่ากับว่าผมทำตามคำสัญญาของคริสต้าก่อนที่จะกลายเป็นบ้าเป็นจริงได้เสียที
เพราะผมมัวแต่สนใจเรื่องสุบารุและเพลงที่จะเป่าโอคาริน่าให้เขาฟังเพื่อเป็นการปลอบประโลมจิตใจ
ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเลยว่ามีดวงตาที่จับจ้องมองไปยังร่างของผมกับสุบารุจากที่ไกลด้วยความรู้สึกริษยาที่ปะทุขึ้นมาในจิตใจจากสายสัมพันธ์ที่ผมกับสุบารุนั้นมี
ทำไม...เบียคุยะต้องให้ความสนใจสุบารุมากกว่าด้วย
นั่นคือความรู้สึกของพี่น้องอีกห้าคนถึงแม้จะคนละนิสัยและฐานะแต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือความอิจฉาริษยาเมื่อคนที่ตนรักและอยากให้สนใจตนเพียงแค่คนเดียวนั้นสนใจน้องคนสุดท้องมากกว่าพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาเห็นด้านอีกด้านของเบียคุยะน้อยกว่าสุบารุ
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความบ้าคลั่งรูปแบบใหม่ในภายภาคหน้านั่นเอง...
....................................................
Let's Talk with Writer :
กลับมาลงตอนรีไรต์อย่างไวความจริงก็รีไรต์ตอนไว้ล่วงหน้าเป็นบางตอนแล้วล่ะก็เลยมาลงเร็วส่วนของ RAW ก็จะลงพร้อมๆ กันตอนเวลาประมาณ 5 ทุ่ม 15 นาทีทั้งสองตอนเลย (บทนำกับบทที่ 1) สำหรับตอนนี้ก็เป็นช่วงสมัยเด็กของบ้านซาคามากิตรงกับในอนิเมะตอนที่ 7 เป็นตอนที่ยุยเห็นอดีตของซาคามากิวัยเด็กซึ่งห่างกับตอนมิไฮนซ์คุงเป็นเด็กยาวมากแต่ก็มีลงสลับกับอดีตของเด็กๆ บ้านซาคามากิ
สำหรับเรื่องนี้ก็จะติด TW เอาไว้ทุกตอนเพราะมันอาจจะมีมากกว่าที่ติดในแนะนำเรื่องก็เป็นได้ตรงส่วนแนะนำเรื่องเป็น TW ที่เราหามาทำเท่าที่จะหามาได้และครอบคลุมมากพอที่สุดแล้วล่ะ สำหรับเรื่องนี้จะไม่มีการ Romantize และ Normalize การกระทำผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม เราจึงกำหนดให้มิไฮนซ์ 'เกลียด' คาร์ลไฮนซ์มากจนเข้ากระดูกดำจนอยากฆ่าให้ตายเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าถ้ามีโอกาสลงมือฆ่าเมื่อไหร่มิไฮนซ์ก็จะทำอย่างไม่ลังเล สืบเนื่องมาจากวีรกรรมที่คาร์ลไฮนซ์ทำเอาไว้นั่นแหละแค่นั้นก็ทำให้มิไฮนซ์แค้นมากแล้ว
สิ่งที่มิไฮนซ์พูดกับสุบารุนั้นอิงจิตวิทยามาด้วยบางส่วนเพราะว่าเราเคยเรียนวิชาจิตวิทยาเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ซึ่งยอมรับว่ามันน่าสนใจ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Self-esteem หรือภาษาไทยคือ 'คุณค่าในตนเอง' นั่นเอง ซึ่งพี่น้องซาคามากินั้นมี Self-esteem ต่ำกันทุกคน คนที่มี Self-esteem ต่ำ มักจะต้องการพิสูจน์ตนเองหรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง บางคนอาจจะหยิ่งหรือดูถูกผู้อื่น ไม่มีความมั่นใจในตนเองว่าตัวเองมีจะคุณค่า หรือความสามารถ รวมไปถึงการยอมรับนั่นเอง กรณีสุบารุคือไม่มีความมั่นใจในตนเองว่าตนเองมีคุณค่าส่วนของมิไฮนซ์นั้นก็มองว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปจนแพ้คาร์ลไฮนซ์เป็นสาเหตุที่ทำให้คริสต้าน้องสาวตัวเองกลายเป็นบ้าแถมมองว่าตนเองได้สร้างตราบาปให้ทั้งคริสต้าและสุบารุอีก
มิไฮนซ์น่ะเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวอยู่เหมือนกันและเชื่อว่าหลายๆ คนก็มีความขัดแย้งในตัวเองแต่ก็นั่นแหละคือเสน่ห์ นี่คือการตีความแบบของเราอาจจะไม่ตรงกับที่คนอื่นคิดก็ได้เพราะมุมมองของคนๆ หนึ่งไม่สามารถตัดสินว่าคนนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าผิดพลาดประการใดเราจะพยายามปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้มันดีขึ้นค่ะ
สุดท้ายนี้ก็ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^
ความคิดเห็น