คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : White Rose 00 : นามของผมนั้นคือ... [Re]
White Rose 00
นามของผมนั้นคือ...
"พระเจ้าทรงปรารถนามนุษย์ผู้บริสุทธิ์และปราศจากความเท็จ
ถ้าเจ้ากำลังแสวงหาหนทางแห่งความรอดและการไถ่บาป จงเอ่ยนามของเจ้ามา?"
"ผมชื่อOOO"
"จงมองดูเงาสะท้อนของตัวเจ้านั้น
พินิจพิจารณาแล้วตอบข้ามา ตัวตนของเจ้านั้นคือสิ่งใด...?"
"ผู้มีศรัทธาซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยบาป"
"เจ้าปรารถนาหนทางแห่งความรอดพ้นด้วยสิ่งใด?"
"การชดใช้บาปเพื่อที่จะได้รับการอภัย"
"สิ่งที่พระองค์ต้องการนั้นคือความจริง
ตัวเจ้านั้นรู้หรือไม่ว่าบาปของเจ้าคืออะไรและศรัทธาในการอภัยโทษของพระองค์หรือไม่?"
"บาปของผมคือOOOOOO ผมเชื่อมั่นในน้ำพระทัยและความรักอันไร้ขอบเขตของพระองค์"
"ทำไมเจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น?"
"เพราะ...พระองค์จะประทานการอภัยบาปได้อย่างไร
ถ้าผู้นั้นไม่เชื่อว่าพระองค์มีอำนาจในการให้อภัยบาป"
.
.
.
.
.
.
.
นั่นคือห้วงความคิดสุดท้ายก่อนที่ผมจะลืมตาตื่นขึ้นมา...
สิ่งที่ผมเห็นหลังจากลืมตาตื่นขึ้นเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตางดงามปานเทพธิดาจำแลงกายลงมา
ข้างๆ
เป็นชายหนุ่มภูมิฐานหน้าตาดีมองผมคล้ายพออกพอใจอะไรบางอย่างและเมื่อผมหันกลับไปเป็นเด็กทารกเพศหญิงคนหนึ่ง
ผมสั้นบางสีขาว และดวงตากลมโตอันแสนบริสุทธิ์สีแดงคล้ายพลอยทับทิมเม็ดงาม
ทว่าเป็นความงามน่าหวาดหวั่นเพราะมันไม่ใช่ความงามของมนุษย์
"ลูกชายกับลูกสาว..."
หญิงสาวคนนั้นเอ่ยขึ้นคล้ายภาคภูมิใจในตนเอง และชายหนุ่มที่อยู่ข้างเธอก็ส่งยิ้มมาให้พร้อมลูบหัวของเธออย่างแผ่วเบาด้วยความรัก
แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนลูบหัวสัตว์เลี้ยงของตนเองมากกว่า
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
"ที่รัก คุณทำได้ดีมาก
คุณให้กำเนิดลูกสาวได้ไม่พอยังให้กำเนิดลูกชายอีกหลังจากล้มเหลวมาหลายครั้งในที่สุดทายาทของเราได้ถือกำเนิดแล้ว"
หญิงสาวแก้มแดงระเรื่อดั่งผลทับทิมพลางส่งยิ้มอย่างเขินอายระคนกับความพึงพอใจที่ทำสิ่งที่สามีของตนนั้นต้องการได้
"แล้วชื่อของเด็กสองคนนี้ล่ะคะ ท่านพี่"
หญิงสาวคนนั้นเอ่ย
ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของเด็กหญิงครุ่นคิดจากนั้นยื่นมือของเขาปัดแก้มน้อยๆ
ของผมในร่างเด็กทารกผมขาวเช่นเดียวกับเด็กหญิงและเอื้อนเอ่ยออกมา "ผู้ชายชื่อ
'มิไฮนซ์'
ส่วนผู้หญิงชื่อ 'คริสต้า' พวกเขาทั้งคู่จะเป็นกุหลาบขาวที่งดงามที่สุดของตระกูลเรา"
มิไฮนซ์...นั่นคือชื่อใหม่ของผมอย่างนั้นเหรอ?
"แอ...แอ้!"
เหมือนความคิดของผมจะหลุดออกมาทว่าตอนนี้ผมยังเป็นทารกทำให้ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดๆ
ออกมา สิ่งที่ทำได้มีเพียงส่งเสียงร้องอ้อแอ้จ้องมองใบหน้าบุพการีทั้งสองท่านเพียงเท่านั้น
หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นแม่ของผมทอดมองผมกับน้องสาวฝาแฝดหรือที่ผู้ชายคนนั้นตั้งชื่อว่า
'คริสต้า'
ด้วยความรักความห่วงใยผิดกับชายคนนั้นที่จ้องมองพวกผมเหมือนไม่ใช่ลูกตนเองแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในสายตาของเขาถึงแม้ว่าจะมีเสี้ยวหนึ่งที่มองผมด้วยความกังขาราวกับว่าตัวตนของผมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะมีอยู่ก็ตามที
ก็คงไม่แปลกหรอกที่จะมองผมด้วยสายตาแบบนั้นเพราะผมเป็นเพียงแค่สิ่งแปลกปลอมของโลกใบนี้
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะตายแล้วกลับมาเกิดใหม่เป็นเด็กคนนี้
ผมนั้นเป็นมนุษย์แต่ทว่าเป็นคนบาปทั้งในสายตาของผมและสายตาของคนอื่น
ผมได้กระทำความผิดที่คิดแล้วคิดอีกว่ามันไม่อาจจะได้รับการให้อภัยได้โดยง่ายสิ่งที่ผมร้องขอนั้นยากแสนยากคือการชดใช้ความผิดที่ผมกระทำลงไป
พระบิดาอาจจะได้ยินเสียงของคนบาปอย่างผมก็ได้จึงมาอยู่ในสภาพนี้
ผมตายทั้งที่ยังไม่ได้ชดใช้บาปที่ผมก่อและยังไม่ได้รับการอภัยให้สาสมกับสิ่งที่ผมทำตอนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
ท่ามกลางความมืดอันเงียบงันและว่างเปล่าตัวผมได้ร้องขอมันซ้ำหลายครั้งหลายคราจนในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงๆ
หนึ่ง ผมไม่รู้เสียงนั้นใช่พระองค์หรือไม่แต่ผมก็ตอบกลับเสียงนั้นไปเพื่อสารภาพความผิดที่ผมมีและรอเวลาที่จะชดใช้
ตอนแรกผมคิดว่าอาจจะโดนไฟชำระหรือลงนรกเป็นการลงทัณฑ์ทว่ากลับไม่ใช่แบบนั้น...
ผมได้รับชีวิตใหม่ซึ่งอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย สถานที่ไม่คุ้นเคย
ฐานะที่ไม่คุ้นเคย และใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวตนเดิมของผมในโลกก่อนหน้านี้แต่เป็นตัวตนใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกใบใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
บางทีนี่อาจจะเป็นการชดใช้และหนทางแห่งการให้อภัยก็เป็นได้...
ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงผมก็จะยอมรับด้วยความยินดียิ่ง
ผมคือ 'มิไฮนซ์'
ไม่ใช่ OOO อีกต่อไปแล้ว...
.
.
.
.
.
.
.
"ท่านพี่มิไฮนซ์!
น้องเย็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้ทานพี่สวยไหมคะ ท่านพี่?"
จากวันนั้นก็ผ่านไป 7
ปีแล้วอย่างนั้นเหรอ...บางทีวันเวลาในโลกแวมไพร์ก็ผ่านไปเร็วจนหน้าตกใจที่จากทารกตัวน้อยช่วยเหลือตนเองไม่ได้กลายมาเป็นเด็กตัวโตได้ถึงขนาดนี้
ยามเมื่อเริ่มรู้ความผมค้นพบว่าตนเองนั้นเกิดใหม่ในโลกที่เหล่าภูตผีปีศาจและสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายนั้นมีตัวตนอยู่จริงไม่ใช่เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กที่บรรดาผู้ใหญ่มักเล่าเพื่อข่มขวัญให้เหล่าเด็กน้อยนั้นหวาดกลัวจนหวาดระแวงทุกครั้งยามเมื่อหลับตาอีกต่อไป
สารภาพตามตรงว่าตอนแรกผมก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ต่อจากนี้ไปผมไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์ได้เหมือนดังเดิมอีกต่อไป
แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งด้วยระยะเวลาและความเคยชินทำให้การใช้ชีวิตในฐานะแวมไพร์กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมเรียบร้อยแล้ว
ชีวิตแวมไพร์มันก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ถ้าไม่นับเรื่องดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารน่ะนะ...
ผมปิดหนังสือเล่มหนาที่ท่านพ่อมักจะยัดเยียดให้ผมอ่านเพื่อเตรียมเป็นผู้นำตระกูลลงส่งยิ้มบางให้กับน้องสาวฝาแฝดของผมรับผ้าเช็ดหน้าของเธอพลางลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนด้วยความรักใคร่
"สวยมากจนพี่ไม่กล้าใช้เลย"
ผมเอ่ยชมคริสต้าด้วยความจริงใจ
สายตาคนภายนอกอาจมองว่ามันไม่สวยเพราะมันยังดูมีตำหนิบางส่วนแต่สำหรับผมแล้วผลงานชิ้นแรกสำหรับเด็กในวัยแค่นี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
"แบบนั้นเขาก็ไม่เรียกว่าผ้าเช็ดหน้าหรอกค่ะท่านพี่มิไฮนซ์อีกอย่างน้องแค่เพิ่งเริ่มหัดเย็บปักถักร้อยเองชิ้นแรกมันจะสวยกว่าชิ้นหลังๆ
ได้อย่างไร"
"มันไม่ได้อยู่ที่ความสวยหรอก คริสต้า"
คริสต้าเอียงคอด้วยความงุนงงเล็กน้อยด้วยความไร้เดียงสา ผมยิ้มหัวเราะในลำคอเอ็นดูท่าทางของเธอ
"สิ่งสำคัญมันคือ 'ผู้ให้'
ตะหากล่ะ...เพราะเป็นคริสต้าพี่ถึงอยากเก็บมันเอาไว้
คริสต้าเป็นน้องสาวของพี่พี่ก็ย่อมให้ความสำคัญกับคริสต้าเป็นสิ่งแรกอยู่แล้วล่ะ"
คริสต้าฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งสำหรับผมแล้วเธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ
จำแลงลงมายังโลกไม่มีผิดก่อนกระโดดกอดผมเข้าเต็มรัก
"รักท่านพี่มากที่สุดเลย!"
เธอกล่าวพร้อมหัวเราะคิกคักออกมาอย่างมีความสุข
"พี่ก็รักคริสต้าไม่แพ้กัน..."
ผมกอดน้องสาวของตนเองพร้อมจุมพิตหน้าผากของเธอ
คริสต้ามักจะบอกว่าเวลาผมจูบหน้าผากของเธอมันให้ความรู้สึกมั่นคงและอ่อนโยน
บางทีนี่คือหนทางแห่งการอภัยและเหตุผลที่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ก็เป็นได้
เมื่อคิดแล้วผมรู้สึกอิ่มเอมใจด้วยความปิติยินดีและขอสาบาน ณ ตรงนี้ว่าผมจะปกป้องครอบครัวคนสำคัญคนนี้ของผมไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม
อยากให้เวลาแห่งความสุขนี้ยังคงอยู่ตลอดไป
แต่ทว่าใครจะไปรู้เล่าว่าเวลาแห่งความสุขนี้มันอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ใจของคนเรานั้นต้องการ...
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น คริสต้าผละออกจากผมอยู่ในท่าทางสำรวมเหมือนตอนที่กำลังฝึกมารยาทผู้ดีกับท่านแม่ส่วนผมก็บอกอนุญาตให้พ่อบ้านเข้ามาในห้องหนังสือของผมที่ท่านพ่อสร้างให้ผมเพื่อเตรียมตัวการเป็นผู้นำตระกูล
"คุณหนูมิไฮนซ์ คุณหนูคริสต้า คุณท่านสั่งให้เตรียมตัวให้พร้อมลงไปยังห้องรับแขกโดยเร็วที่สุด"
พ่อบ้านแวมไพร์ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมา
ผมพยักหน้าและบอกกับเขาว่าจะตามลงไปทีหลังหลังจากที่เก็บหนังสือที่อ่านมาเข้าชั้นแล้ว
"ท่านพี่คิดว่าแขกคนนั้นเป็นใครเหรอคะ? เมลลาร์ดไม่เคยเร่งพวกเราแบบนี้มาก่อนท่าทางจะเป็นแขกคนสำคัญมากสินะคะ"
"พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า...เจ้าบ้านที่ดีน่ะ
ไม่ว่าแขกจะสำคัญหรือไม่ก็ไม่ควรให้แขกรอเก้อจนอารมณ์เสียกลับก่อนและเอาพวกเราไปวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดีล่ะ
จริงไหม?" ผมว่าแล้วพลางยกหนังสือทั้งหมดเก็บขึ้นชั้นวางหนังสืออย่างสบายๆ
จากนั้นหันกลับไปมองน้องสาวของผมพร้อมขยิบตายิ้มลงแสดงความขี้เล่นออกมา
คริสต้าหัวเราะคิกคักยื่นมือมาให้ผมจับจากนั้นพวกเราทั้งคู่เดินจูงมือเดินออกไปจากห้องหนังสือด้วยกันไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือเลยแม้แต่ครั้งเดียว
.
.
.
.
.
.
.
"กระผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านมาหากระผมถึงคฤหาสน์แบบนี้ครับ
ท่านคาร์ลไฮนซ์"
"ขอบคุณที่ให้เกียรติผม
แค่ท่านต้อนรับผมด้วยตนเองพร้อมภรรยาสุดที่รักของท่านนับถือว่าเป็นเกียรติของผมเช่นกัน"
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ผมกับคริสต้ามาแล้วครับ"
ผมเดินลงบันไดพร้อมกับคริสต้าโดยให้เธออยู่ข้างหลังผมคล้ายเป็นการปกป้องเธออย่างกลายๆ
เมื่อผมลงมาข้างล่างแล้วจึงผละมือออกจากคริสต้าวางมือบนหน้าอกโค้งคำนับทำความเคารพอีกฝ่ายพร้อมกับน้องสาวของผมที่จีบกระโปรงย่อตัวลง
เท่าที่ผมได้ยินจากบทสนทนาของท่านพ่อกับชายคนนั้นแล้ว ชายคนนั้นมีศักดิ์สูงกว่าท่านพ่อมากโขชนิดที่ว่าท่านพ่อเทียบไม่ได้เลยทีเดียว
"ลูกชายกับลูกสาว...ฝาแฝดหรือ?
ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองผมเองก็ไม่มีทางเชื่อน่ะเนี่ย" น้ำเสียงนุ่มทุ้มคล้ายมีมนตร์สะกดเอ่ยขึ้นมาดวงตาสีทองอำพันที่ให้ความรู้สึกดั่งอสรพิษมองพวกผมเป็นประกายคล้ายสำรวจและจ้องมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ราวกับพวกเราเป็นโจทย์คณิตศาสตร์อย่างใดอย่างนั้นด้วยความสนุกสนาน
อันตราย ไม่น่าไว้ใจ...นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเป็นอันดับแรก
ถ้าหากเทียบกับสายตาท่านพ่อแล้วสายตาของชายตรงหน้านี้น่ากลัวกว่าสายตาของท่านพ่อเสียอีก
แต่แล้วสายตาคนๆ
นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่อบอุ่นไม่เหลือเค้าโครงของสายตาที่ว่าแต่อย่างใด
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีหันมาเอ่ยกับท่านแม่ว่า
"ตอนแรกผมได้ยินว่าคุณตั้งท้องลูกสาวแต่กลับกลายเป็นว่าตั้งท้องฝาแฝดชายหญิงไปซะได้
น่าทึ่งเสียจริงๆ"
ชายคนนั้นกล่าวชมท่านแม่ซึ่งดูเหมือนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ลูกๆ
ของเธอได้รับความสนใจจากชายผู้มีศักดิ์ตรงหน้านี้
"เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านค่ะ
ท่านคาร์ลไฮนซ์"
คาร์ลไฮนซ์...อย่างนั้นเหรอ?
ดวงตาสีทองของชายผมยาวสีขาวที่มีนามว่า 'คาร์ลไฮนซ์' มองมายังผมกับคริสต้าผู้เป็นน้องสาวของผมด้วยรอยยิ้มบางที่ไม่น่าไว้ใจอย่างรุนแรงจนผมเผลอขวางคริสต้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ชายคนนั้นมองมายังเธอได้จนท่านพ่อสังเกตเห็นเลยเรียกผมด้วยน้ำเสียงดุ
"มิไฮนซ์ อย่าเสียมารยาทกับท่านผู้นั้น!"
"อย่าถือสาเลย
เขาก็แค่เด็กหวงน้องสาวตัวเองเท่านั้นเองแหละ"
เสียงทุ้มทว่ามีอำนาจกล่าวขึ้นทำให้ท่านพ่อเงียบไป
ชายคนนั้นเดินก้าวเข้ามาหาพวกผมจากนั้นย่อตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับผมก่อนจับปอยผมยาวสีขาวของผมมาม้วนเล่นพร้อมจ้องมองมันคล้ายชื่นชม
"มิไฮนซ์...เป็นชื่อที่ดีนะ
ผมสีขาวของเธอทำให้ฉันนึกถึงกุหลาบขาวที่ฉันปลูกเอาไว้ในปราสาทเอเดนจริงๆ
มันงดงามมากเลยทีเดียว"
ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของผมแข็งทื่อยอมเผลอสบตามองดวงตาสีอำพันของอีกฝ่ายราวกับดวงตาของอสรพิษที่จับจ้องเหยื่อจนผมรู้สึกแทบหายใจไม่ทั่วท้องจนปั่นป่วนรู้สึกคลื่นไส้ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเลือดรสชาติเหม็นบูดเหมือนนมเน่าหรือกินของแสลงท้องเข้าไปเลยแท้ๆ
แต่ผมต้องพยายามคุมสติของตนเองให้ได้
ผมไม่อยากให้ท่านแม่และคริสต้าต้องมาวิตกกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องของผมอย่างเด็ดขาด
"ขะ...ขอบพระคุณมากครับ ท่านคาร์ลไฮนซ์"
ผมกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายพยายามทำน้ำเสียงตามปกติ ทำเป็นใจดีสู้เสือต่อหน้าอีกฝ่าย
"ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านคาร์ลไฮนซ์หรอกเพราะยังไงซะพวกเราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและผมอายุมากกว่าพวกเธอดังนั้นเรียกผมว่า
'ท่านพี่คาร์ลไฮนซ์' ก็ได้นะไม่ต้องเกรงใจ"
ชายคนนั้นหยุดเล่นปอยผมของผมพร้อมส่งยิ้มละมุนมาให้ผมกับคริสต้า
คริสต้าเธอหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยในความอ่อนโยนของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนแต่กับผมน่ะไม่...
ผมรู้ดีว่ารอยยิ้มอันอ่อนโยนนั่นมันชวนน่าสงสัยและอันตรายหากแต่ผมไม่สามารถแสดงสีหน้าที่เหมือนเสียมารยาทต่อแขกไม่ได้จึงปั้นยิ้มพร้อมท่าทีสง่างามสมกับเป็นสายเลือดตระกูลชั้นสูง
"...ครับ ท่านพี่คาร์ลไฮนซ์"
ชายคนนั้นส่งยิ้มลูบหัวผมอย่างเบามือส่วนผมก็ยืนนิ่งยอมให้เขาลูบผมของผมแต่โดยดีปั้นหน้าใส่หน้ากากเข้าหากันโดยมีน้องสาวของผมยืนแอบอยู่ข้างหลังด้วยท่าทีเขินอายเหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มที่เพิ่งพบกับรักแรกอย่างใดอย่างนั้นและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ทว่ามันเป็นความรักที่ทำลายชีวิตของเธอทั้งเป็นในวันข้างหน้านี้...
และนั่นเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับ 'คาร์ลไฮนซ์' ราชาของเหล่าแวมไพร์ทั้งปวงซึ่งเป็นคนทำให้ชีวิตของเราสองพี่น้องต้องตกนรกทั้งเป็น!
....................................................
Let's Talk with Writer :
สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ฟิค Diabolik lovers ค่ะ
หลังจากที่ห่างหายไปนานเรากลับมาแล้วนะคะแต่จะเป็นการรีไรต์เนื้อหาบางส่วนในฟิคส่วนตอนต่ออาจจะต้องรออีกสักพักหนึ่งเพราะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทตัวละครไปบางส่วนก็เลยกะว่าจะรอให้เนื้อหาเปลี่ยนแล้วค่อยมาต่อทีหลัง สำหรับตัวละครก็ยังคงเป็นฝาแฝดกับคริสต้าและเป็นลูกพี่ลูกน้องของคาร์ลไฮนซ์เหมือนเดิม
แน่นอนว่าเรื่องนี้เนื้อหาแรงและผิดศีลธรรมมาก สำหรับคนที่จะเข้ามาอ่านก็ขอให้มีวิจารณญาณในการอ่าน ห้ามลอกเลียนแบบและมองว่าพฤติกรรมที่อยู่ในฟิคนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างเด็ดขาดเพราะเราไม่ได้คิด Romantize หรือ Normalize กับพฤติกรรมภายในเรื่องนี้ตั้งแต่แรกถึงแม้ว่าตัวละครบางตัวจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติก็ตามทีโดยเฉพาะคาร์ลไฮนซ์และคอร์เดเลียต่อให้ตัวละครมันน่ารันทดหรือน่าสงสารมากแค่ไหนแต่มันหักลบกับการกระทำที่น่ารังเกียจไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องที่ทำกับลูกตัวเอง บรรดาพ่อแม่ในเรื่องนี้ไรต์เตอร์กล้าพูดได้เลยว่าเป็นพ่อแม่ยอดแย่ถ้าให้จัดอันดับเราให้บ้านซาคามากิเป็นอันดับหนึ่งเลยค่ะ (มันน่าจับเอามาอบรมวิธีการเลี้ยงลูกแบบรายตัวจริงๆ)
เอาเป็นว่าไว้แค่นี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาต่อนะคะ สวัสดีค่ะ ^^
ความคิดเห็น