[WFcontest] Fortune Train แหกกฎเวลา ล่าล้างชะตาเลือด - [WFcontest] Fortune Train แหกกฎเวลา ล่าล้างชะตาเลือด นิยาย [WFcontest] Fortune Train แหกกฎเวลา ล่าล้างชะตาเลือด : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest] Fortune Train แหกกฎเวลา ล่าล้างชะตาเลือด

    เด็กสาวผู้พบกับชะตากรรมอันโหดร้ายได้มาพบกับรถจักรซึ่งมีอำนาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนนั้นจะทำให้เธอพบกับความสุขได้จริงหรือ?

    ผู้เข้าชมรวม

    63

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    63

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ม.ค. 58 / 19:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นโดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์บางส่วน
    ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องจริงหรือบุคคลที่ถูกอ้างถึงแต่อย่างใด
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ท่ามกลางสภาพอากาศซึ่งอบอุ่นสบายของคิมหันต์ฤดูของดินแดนโปแลนด์ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปยุโรปอันเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังแห่งประวัติศาสตร์ ดินแดนซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกครอบครองโดยมหาอำนาจจนแผ่นดินต้องแหลกเป็นเสี่ยง ก่อนจะกลายเป็นอิสระและถูกยึดครองอีกโดยกองกำลังอันแข็งแกร่ง ผู้ซึ่งหมายมั่นจะใช้ดินแดนนี้เป็นทางผ่านไปสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ใฝ่ฝัน และสำหรับตั้งค่ายเพื่อจองจำผู้ต่อต้านพวกตน
       
       รถจักรไอน้ำขบวนใหญ่เคลื่อนตัวผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ แต่ละโบกี้แน่นขนัดไปด้วยผู้โดยสารซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกจับกุมและกวาดต้อนมาจากประเทศที่โดนเข้ายึดครองทั้งสิ้น สภาพภายในไม่อาจจะพูดว่าเป็นห้องโดยสารด้วยความแออัดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ ฝุ่นเกาะหนาฟุ้งกระจายทุกครั้งที่เกิดแรงกระเทือนทำให้หายใจลำบาก สิ่งสกปรกและเศษขยะกลาดเกลื่อนจนหนูกับแมลงสาบวิ่งพล่านจนเป็นเรื่องปกติ อาจมีเสียงพูดคุยโหวกเหวกกันอยู่บ้างแต่ก็เพียงเบาบาง แม้จะเป็นฤดูร้อนที่อบอุ่นสบายแต่ยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บ ไม่ใช่เพราะถูกควบคุมโดยเหล่าทหารและหาใช่เพียงเพราะไร้ผ้าห่มอาภรณ์ปกป้อง แต่เพราะพวกเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่า “ความสิ้นหวัง” เสียงหวูดไอน้ำเป็นเหมือนเสียงเรียกของยมทูต ปลายทางของหัวรถจักรนี้คือขุมนรกที่จะพรากเอาอิสรภาพไปจากพวกเขาชั่วนิรันดร์
       
      “ทำไมทุกคนถึงเงียบกันอย่างนี้ล่ะ?”
       
      ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมนนี้ “อันเนอลีส มารี ฟรังค์” สาววัยรุ่นตัวน้อยได้กล่าวออกมาจนกระตุ้นให้ทุกคนหันมองไปในทางเดียว เธอเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ สภาพภายนอกไม่ไปจากคนอื่นๆในรถไฟนี้ทั้งสกปรกมอมแมมและใส่เสื้อผ้าปักลายดาวหกแฉก แต่คำพูดของเธอนั้นกลับมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
       
      “อย่าทำหน้าเศร้าสร้อยแบบนั้นสิคะ มาร้องเพลงกันดีกว่าจะได้สบายใจขึ้น”
       
      มารีเริ่มฮัมเพลงเป็นทำนองหลายอย่างเสียงร้องของเธอสร้างความแปลกใจให้กับผู้โดยสารคนอื่นมากแต่ก็เป็นได้แค่ความประหลาดใจชั่วประเดี๋ยวเพียงพักเดียวพวกเขาทั้งหมดก็กลับมานั่งซึมไร้ประกายแห่งความหวังใจดวงตาอีก ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ยังพยายามร้องเพลงต่อทั้งยังลุกขึ้นตบมือร้องรำทำเพลงด้วยความปรารถนาที่จะสร้างความรื่นเริงและชีวิตชีวาแก่ทุกคนในรถไฟขบวนนี้โดยไม่ยอมแพ้แม้จะไม่มีใครสนใจ
       
      “คุณป้าหนาวไหมเอาผ้าห่มของหนูไหม คุณอาหิวหรือเปล่าคะหนูพอจะมีของกินเก็บไว้ถ้าไม่รังเกียจจะรับไว้ก็ได้”
      เด็กสาวเริ่มเปลี่ยนท่าทีจากการร้องเพลงเป็นการพูดคุยสอบถามผู้อื่นและพยายามช่วยเหลือพวกเขาแม้จะไร้เสียงตอบรับและบางคนก็พยายามไล่เธอให้เงียบแต่เธอก็ยังพยายามจะคุยกับคนอื่นโดยไม่สนใจว่าจะถูกปฏิเสธแค่ไหน เธอจะไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ
      แต่แท้จริงเธอไม่สามารถยอมแพ้ได้ หากเป็นเช่นนั้นเธอจะตกอยู่ในความสิ้นหวังเหมือนคนอื่นๆ
      “พอได้แล้วล่ะ....”
      เด็กหญิงวัยรุ่นอีกคนซึ่งโตกว่ามารีพูดให้มารีหยุด เธอสวมแว่นและดูเป็นเด็กฉลาดแต่แววตาหม่นหมองไม่ต่างอะไรกับคนอื่นนั่งอยู่ข้างๆผู้เป็นแม่ซึ่งมีแววตาล่องลอยราวกับสติได้แหลกสลายไปนับตั้งแต่วันที่เธอถูกจับมาแล้ว
      “ตะ... แต่ว่าทุกคนกำลังเป็นทุกข์นะคะพี่ หนูเห็นแล้วก็ทนไม่ได้หรอก” เธอพูดกับหญิงสาวซึ่งคือพี่สาวของเธอนั่นเอง
      “ตอนนี้ไม่มีใครอยากจะพูดหรือคิดอะไรทั้งนั้น ไม่มีความหวังอีกแล้วตั้งแต่เราถูกจับและกำลังจะถูกส่งไปที่ค่ายกักกัน นรกที่ไม่มีทางหนีพ้น”
       
      คำพูดของเธอฉุดให้หัวใจที่พยายามต่อสู้กับความสิ้นหวังของเด็กสาวเริ่มสะดุด แววตาของเธอกำลังหม่นหมองลงและจะกลายเป็นเหมือนทุกคน ยอมปราชัยให้กับความทุกข์และไร้ซึ่งความหวังต่ออนาคต เธอไม่อยากเป็นอย่างนั้น
       
      “หนูไม่อยากจะยอมแพ้ค่ะ” มารียืนยันอย่างหนักแน่น
      “หนูรู้ว่าตอนนี้พวกเราถูกจับและกำลังจะถูกส่งไปยังสถานที่ซึ่งน่ากลัวมาก หนูไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง มันอาจจะทุกข์ทน ยากลำบาก ไม่มีหนทางที่ส่องสว่างอีกต่อไป แต่หนูก็ไม่อยากจะมานั่งอยู่เฉยๆแล้วจมปลักอยู่กับความสิ้นหวัง หนูอยากจะเชื่อว่าเราจะผ่านพ้นความยากลำบากนี้และกลับไปพบกับทุกคนได้อีก และเพราะแบบนั้นหนูจะยอมแพ้ไม่ได้”
       
      ล้อรถไฟกระแทกเข้ากับกิ่งไม้ที่อยู่บนรางซึ่งตัดผ่านป่า ทำให้เกิดแรงกระเทือนไปทั้งขบวนรถจนสิ่งของร่วงหล่นล้มระเนระนาด ผู้คนต่างเสียหลักล้มไม่เป็นท่าได้แผลถลอกน้อยใหญ่รวมทั้งมารีที่เสียหลักหัวกระแทกพื้น เธอรู้สึกได้ทันทีถึงของเหลวอุ่นที่ไหลจากศรีษะ ภายใต้สติที่เลือนรางเธอเห็นพี่สาวกับคนอีกจำนวนหนึ่งมองดูและร้องเรียกเธอแต่เสียงนั้นเบาบางลง พลันนั้นสติสัมปชัญญะของเธอก็วูบ
       
       
      “โอย....” เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นพลางกุมศรีษะด้วยความเจ็บปวด เธอยังมีชีวิตอยู่ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างก่อนจะคิดว่าตนหลับไปนานแค่ไหนแล้ว รถไฟยังคงแล่นอยู่คงเพราะยังไม่ถึงจุดหมาย แต่ก็แปลกที่ไม่ได้ยินเสียงหวูดหรือแรงกระเทือนจากการแล่นบนราง แต่นั่นไม่ได้น่าแปลกใจไปกว่า
       
      “ทุกคนหายไปไหนหมด?” 
       
      มารีอุทานอย่างตกใจเมื่อลืมตาขึ้นและพบว่าในรถไฟว่างเปล่าไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว แม้แต่สัมภาระและเครื่องใช้ของพวกเขาก็หายไปหมด เด็กสาวรีบลุกขึ้นอย่างตกใจและยืนเซไปมาจากความมึนงงโดยหัวกระแทกอยู่ เธอเหลียวมองรอบตัวไม่พบอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย สภาพของตู้รถไฟยังคงสกปรกและเหม็นอับเหมือนเดิมแต่กลับไม่มีร่องรอยที่ระบุว่าเคยมีใครอยู่แม้แต่น้อย ถ้าจะบอกว่าพวกเขาลงจากรถไฟไปแล้วก็หมายความว่าต้องถึงจุดหมายซึ่งเป็นค่ายนรกแต่ไม่พาเธอลงไปด้วยเนี่ยมันไม่น่าเป็นไปได้สำหรับกองทัพที่เกลียดชังเผ่าพันธุ์ของ และต่อให้พวกนั้นคิดว่าเธอตายไปแล้วมันก็คงโยนร่างเธอทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลเพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องบรรทุกซากศพ แต่ขบวนรถจักรยังคงแล่นอยู่น่าจะเป็นสัญญาณบอกได้ยังไม่ถึงที่หมาย  ไม่มีอะไรอธิบายถึงการหายตัวไปของเชลยทั้งหมดได้เลย ทุกคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
       
      “พ่อคะ! แม่คะ! พี่!” เด็กสาวเริ่มร้องเรียกครอบครัวของเธอด้วยความหวังว่าจะมีใครขานรับเสียงเรียกของเธอ แต่ก็มีเพียงเสียงก้องเท่านั้นที่สะท้อนเข้ามาในหูของเธอ ไม่มีการตอบกลับใดๆ ถ้าไม่ใส่ใจกับเสียงรถไฟแล้วบรรยากาศรอบตัวช่างเงียบงันราวกับป่าช้า
      “ทุกคนหายไปไหนหมด!? ใครก็ได้ช่วยตอบกลับมาที!” มารีเริ่มร้อนรน เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและยิ่งไม่รู้ก็เป็นการทำให้เธอหวาดกลัวมากขึ้น เด็กสาวทรุดฮวบลงไปกับพื้นด้วยแววตาตื่นตระหนกเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเธอ “ความโดดเดี่ยว”
      “ไม่นะ!” ก่อนเธอจะตบหน้าเรียกสติตัวเอง “จะมามัวกลัวอยู่อย่างนี้ไม่ได้”
       
      มารีพยายามเตือนตัวเอง เด็กสาวลุกขึ้นยืนและเริ่มสำรวจตู้รถไฟนี้ เสียงครวญครางของผู้คนอันเป็นปกติของที่นี่ไม่มีแล้วแม้แต่เสียงพูดแว่วๆจากตู้รถไฟอื่นซึ่งได้ยินอยู่เป็นนิจก็หายไปด้วย หรืออาจจะไม่มีใครอยู่แล้วแม้แต่พวกทหารด้วย เป็นสิ่งที่ทั้งน่าตกใจและเป็นโอกาสดีสำหรับการตรวจสอบ
       
      “พวกเขาอาจจะอยู่ในตู้ถัดไปก็ได้”
       
      มารีเปิดประตูของตู้รถไฟนี้เพราะความเก่าจนสนิมเกาะทำให้ต้องออกแรงเต็มที่จนเมื่อเปิดออกเธอก็ลงไปนอนหอบบนพื้นซะแล้ว และเมื่อลุกขี้นมองเข้าไปแทนที่มันจะเป็นทางเชื่อมระหว่างตู้รถไฟ กลับกลายเป็นทางเข้าสู่ตู้ถัดไปอันมืดสนิทที่มองไม่เห็นและได้ยินสิ่งใดเลย เด็กสาวนึกสงสัยว่ารถไฟยังแล่นอยู่แต่กลับไม่มีแรงกระเทือนแม้แต่น้อยราวกับมันไม่ได้แล่นอยู่ในสถานที่เดิมแล้ว แต่ยังไงเธอก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
       
       
      “ขอโทษนะคะ! มีใครอยู่ข้างในบ้าง?” เธอตะโกนถามเข้าไปแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ มารีตัดสินใจเข้าไปข้างในนั้น ด้วยความมืดมิดทำให้เธอก้าวเท้าไปอย่างระวัง แต่จู่ๆประตูทางเข้าก็ปิดเอง เด็กสาวไม่สามารถเปิดประตูได้ทั้งที่มันไม่ได้ล็อค ราวกับมีพลังลึกลับตรึงกลอนประตูไว้ไม่ให้ขยับยังไงยังงั้น เธอต้องอยู่เพียงคนเดียวท่ามกลางความมืด...
       
      .....ซึ่งมลายสิ้นไปด้วยแสงสว่างซึ่งพลันปราฏขึ้นด้วยหลอดไฟตามกำแพงเป็นแนวยาว เผยให้เห็นภายในตู้รถไฟซึ่งไม่ได้สกปรกเหม็นอับเหมือนตู้ที่เธอโดยสารอยู่ แต่กลับเป็นห้องใหญ่ที่สะอาดสวยงาม ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างดี ทั้งตู้ที่มีตุ๊กตาสัตว์น่ารักวางเรียงอยู่หลังบานกระจก เตียงนอนผ้าเนื้อดียัดด้วยขนสัตว์ปีกจนอ่อนนุ่มน่านอน เก้าอี้ทำจากไม้เนื้อดีบรรจงสลักลวดลายงดงามวิจิตร และบนโต๊กนั้นมีขนมทาร์ตผลไม้อบใหม่จัดอยู่บนจานสวยงาม กลิ่นหอมเชิญชวนให้คนที่ร้างราจากอาหารดีๆมานานอย่างเธอเป็นอย่างยิ่ง
       
      “สักชิ้นคงไม่เป็นไรนะ” มารีหยิบทาร์ตขึ้นมากัดคำหนึ่ง กลิ่นหอมของเนยและความหวานหอมของครีมฟุ้งกระจายไปทั่วปาก รสชาติหวานสดชื่อของผลไม้และกลิ่นหอมเปรี้ยวของเลมอนทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายโล่งสบายอย่างที่หลังจากที่ต้องทนกินขนมปังแข็งเย็นชืดกับซุปที่ใสยังกับน้ำเปล่ามาหนึ่งเดือนเต็ม มันอาจไม่ใช่รสชาติที่ดีที่สุดแต่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประทับใจมากที่สุดในชีวิต
       
      “รสชาตินี้?” เด็กสาวสะดุ้งเฮือกหลังจากกลืนชิ้นทาร์ตที่เคี้ยวละเอียดลงไป ถึงความทรงจำจะเลือนลางจนแทบจะจำไม่ได้แล้วแต่รสสัมผัสที่แผ่ซ่านไปทั่วลิ้นนี้เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ไม่ใช่รสชาติที่แม่เคยทำหรือขนมที่ซื้อแถวบ้านแต่เป็นขนมที่เธอเคยกินสมัยยังเล็ก ซึ่งตอนนั้นเธออยู่ที่....
       
      “บ้านเก่าของเรา...” มารีร้อง เธอนึกออกแล้วว่าทาร์ตนี่เป็นขนมที่เธอเคยกินตอนเด็กๆแน่นอน เป็นของว่างที่ใครคนหนึ่งทำให้ คนที่เคยเป็นสาวใช้ประจำบ้านของเธอ เป็นคนที่ดูแลเธอเป็นอย่างดีเหมือนพี่สาวแต่ตอนนี้เธอจะนึกไม่ออกแล้วว่าพี่สาวคนนั้นชื่ออะไร
       
      เด็กสาวชำเลืองมองรอบเมื่อตระหนักว่าขนมที่ทานนี้มีรสชาติเช่นของที่ตนเคยกินแต่ทำไมถึงมาอยู่ในรถไฟนี้ได้ เธอมองเห็นของเล่นเด็กวางอยู่ตรงมุมหนึ่ง ถังและช้อนตักทรายกับชุดเดรสสำหรับเด็กเล็ก เธอรีบรุดเข้าไปดู ของเล่นพวกนี้และเสื้อผ้าทั้งสีชุด เนื้อผ้า และรอยเย็บจุดที่ขาด ไม่ผิดแน่นอน
       
      “นี่มันของฉัน?” เธออุทานอย่างตื่นตะลึง ของพวกนี้เป็นของเธอที่เคยใช้สมัยเด็กซึ่งเธอยังจำได้ดีสมัยที่เล่นดินเล่นทรายอยู่หน้าบ้านทั้งที่ใส่ชุดสวยจนเลอะเทอะโดนดุเป็นประจำ เธอมักจะโดนพ่อแม่พูดเสมอว่าบางทีเธออาจจะต้องเกิดเป็นเด็กผู้ชายแต่ดันมีร่างเป็นผู้หญิงทำให้มีนิสัยซุกซน ต่างจากพี่สาวซึ่งทั้งน่ารักเรียบร้อยขนาดใส่ชุดเดียวกันสามวันไม่มีทางเปื้อนได้ แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้เธอเป็นตัวเองและผู้อื่นรักใคร่
       
      เด็กสาวเริ่มค้นหาของต่างๆภายในห้องนี้ ในตู้มีตุ๊กตาที่เคยเป็นของเธอสมัยเด็กๆ มีของเล่นไม้ที่เธอชอบเอามาต่อแล้วพังเล่น ชุดสำหรับเที่ยวนอกบ้าน ของที่เธอใช้สมัยยังเป็นทารก ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเธอสมัยเด็กทั้งสิ้น แต่ทำไมพวกมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้? หรือมันเกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนหายตัวไปหมด
       
      “บางทีตู้ถัดไปอาจจะบอกอะไรเราได้” มารีกล่าวตอบตัวเองอย่างมั่นใจและเดินตรงไปเบื้องหน้าถึงจะรู้สึกกลัวแต่ก็มีความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเพราะตั้งแต่เด็กเธอก็ชอบเล่นผจญภัยค้นหาเรื่องลึกลับแบบนี้อยู่แล้ว เด็กสาวหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะยื่นมือออกไปบิดลูกบิด
       
      หลังบานประตูเป็นตู้รถไฟ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นห้องถัดไปเพราะเธอไม่เจอทางเชื่อมระหว่างตู้โดยสารเมื่อประตูที่แล้ว เด็กสาวก้าวเดินเข้าไปข้างในสภาพของตู้โดยสารนี้โดยมีแสงจากหลอดไฟสว่างเป็นแนวยาวเผยให้เห็นสภาพภายใน ห้องมีบรรยากาศของแมนชั่นประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างดีคล้ายกับห้องเมื่อครู่แม้ลักษณะจะต่างกันออกไปแต่กลับคุ้นตาเธอมากยิ่งกว่าห้องเมื่อครู่มาก
       
      “บ้านเราไม่ใช่เหรอ?” เธออุทาน ไม่ว่าจะเครื่องเรือน โต๊ะ เตียงเครื่องประดับ อัลบั้มที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งเก็บรูปของครอบครัวตอนไปเที่ยว ชัดเจนแล้วว่าที่นี่คือบ้านของเธอที่อยู่อาศัยจนถึงเมื่อสองปีก่อน ที่อยู่อันแสนอบอุ่นเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆมากมาย สถานที่ซึ่งเธอเคยคิดว่าจะได้อยู่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
       
      “ตู้รถไฟกลายเป็นบ้านเรา มีของเราเต็มไปหมด.... แปลกประหลาดชะมัด” มารีเริ่มรู้สึกเวียนหัว เธอนั่งลงบนเก้าอี้และเริ่มคิดทบทวนหลายๆอย่าง ถึงสมัยที่เธอต้องไปอยู่บ้านคุณย่าขณะที่คุณพ่อเตรียมการย้ายมาที่บ้านใหม่ ในตอนนั้นเธอยังเด็กมากและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อมาถึงบ้านใหม่เรียบร้อยครอบครัวของเธอก็มีชีวิตอันสุขสงบทำให้เธอไม่ได้หวนนึกถึงมันอีก วันเวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่ง....
       
      เสียงอะไรบางอย่างปักลงข้างตัวเธอ มารีหันมองดูพบเศษกระจกสีปักคาพื้นห้องก่อนเธอจะเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะต้องตื่นตะลึงเมื่อเพดานเต็มไปด้วยเศษกระจกแตกคมกริบหอยติดจนทั่ว เศษกระจกชิ้นหนึ่งหล่นลงมาเฉียดใบหน้าเธอจนเป็นแผลเลือดไหลอาบหน้า สมองเธอกำลังมโนไปว่าเป็นแค่ภาพลวงตาแต่ความเจ็บปวดและเลือดสีแดงที่ทั้งอุ่นและคาวยืนยันความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
       
      และเศษกระจกทั้งหมดก็ร่วงลงมาเป็นห่าฝน ต่อหน้าเด็กสาวที่กรีดร้องอย่างหวาดกลัว
       
      “ช่วยด้วย! ช่วยหนูด้วยค่ะ!” เธอตะโกนร้องขอความช่วยเหลือขณะวิ่งหลบเศษกระจกจำนวนมาก มันเฉือนบาดสิ่งของและปักเฟอร์นิเจอร์จนพรุนเปลี่ยนสภาพห้องให้กลายเป็นนรกมีคมในชั่วพริบตา หญิงสาวรีบวิ่งสุดชีวิตร่างของเธอโดนเศษกระจกบาดจนชุดขาดวิ่น เป็นแผลเล็กรอยบาดน้อยเลือดไหลกระซิบทั่วตัว เธอยังกรีดร้อง ตะโกนร้องเรียกให้ช่วยเธอแทบจะไม่มีสติคิดอะไรนอกจากพยายามวิ่งไปให้ถึงประตู เปิดลูกบิดและกระโจนผ่านประตูไปอย่างไม่ลังเล สู่ห้องอันมืดมิดที่บานประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว
       
      “ตอนแรกก็บ้านเกิดของเรา แล้วก็บ้านใหม่ จากนั้นก็เศษกระจกหล่นใส่อีก” เด็กน้อยร่ำไห้ขณะพยายามลุกขึ้นด้วยร่างที่เต็มไปด้วยแผล และไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ สำหรับการถูกทำร้ายอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้
      “รถไฟคันนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว บ้าบออะไร...”
      มารีชะงักเมื่อรู้สึกว่าแขนของเธอเหวี่ยงโดนอะไรบางอย่างที่เป็นเส้นยาวทั้งแข็งและหยาบก่อนทั้งห้องจะสว่างขึ้น เผยให้เห็นว่าเป็นลวดหนาม จำนวนหลายร้อยเส้นขึงพันอยู่โดยรอบพื้นสนามหญ้า ร้านค้าแผงลอย โทรศัพท์สาธารณะ โต๊ะเรียน โต๊ะอาหาร แผงลอยสินค้า ทั้งหมดล้วนมีป้ายติดอยู่ด้านหน้าว่า “ห้ามผ่าน”  โดยมีธงที่ทำจากเสื้อซึ่งปักลายดาวที่ถูกบังคับใส่เพื่อแบ่งแยกเชื้อชาติ  ขนาบสองด้านด้วยผืนธงอันมีสัญลักษณ์อันชั่วร้าย
       
      “ไม่นะ... ไม่...” เด็กสาวก้าวถอยหลังโดยฉับพลันจนขาเกี่ยวกับหนามบนรั้วได้รับบาดเจ็บ มารีลงไปกองกับพื้นม่านตาหดรูดตัวสั่นระริกด้วยความกลัว เธอค่อยๆโอบกอดตัวเองไว้เพื่อบรรเทาความหวาดหวั่น
      “พวกเรา... เคยอยู่อย่างสงบสุข เคยเล่นร้องรำทำเพลงยิ้มหัวเราะกับเพื่อน พูดคุยกันถามสารทุกข์สุขดิบช่วยเหลือกันและกัน เราไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยทำให้ใครอื่นเจ็บปวด ไม่เคยทำอะไรไม่ดี” 
      มารีพร่ำเพ้ออย่างเจ็บปวดถึงอดีตที่ผ่านมา เธอใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขมาตลอด พ่อแม่ญาติพี่น้องของเธอก็ไม่ได้เป็นคนเลวไม่เคยทำอะไรผิด พ่อของเธอทำงานบริษัทอย่างซื่อสัตย์สุจริต แม่เป็นคนดีคอยช่วยเหลือคนอื่น พี่สาวก็ทั้งเก่งทั้งมารยาทงามไม่เคยเกลียดชังใคร เธอเองอาจจะซุกซนอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีฝันว่าซักวันจะเป็นดาราขึ้นแสดงละครเวที
      “แล้วทำไมพวกนั้นถึงต้องไล่ล่าพวกเรา บังคับขู่เข็ญทรมาณพวกเรา ทำเหมือนพวกเราไม่ใช่คน ทั้งที่พวกเราก็แค่อยากมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องไล่ฆ่าพวกเรา? ทำไม....”
      เด็กสาวสะอื้นไห้หน้าฟุบลงไปกับพื้น ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมหยุดดุจความเศร้าทั้งปวงที่เคยอดกลั้นได้พรั่งพรูออกมา หัวใจอันเข้มแข็งพลันต้องแหลกสลายเมื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเธอมันดังกึกก้องไม่ยอมหายเหมือนมีคนคอยกระซิบอยู่ข้างหูของเธออยู่ตลอด
       
      “ใครที่ทำร้ายพวกเรา ใครที่ทำให้พวกเราต้องเจ็บปวด”
      มารีหยุดสะอื้นไห้ เธอลุกขึ้นยืนและเผยใบหน้าที่เปียกนองด้วยน้ำตาแต่แววตาดูแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเธอเข้าใจคำตอบทั้งหมด
      “พวกมันนั่นแหละ พวกทหารชั่วร้าย พวกมันไล่ล่าพวกเราทำเหมือนเราเป็นสัตว์ พวกมันนั่นแหละผิด”
      เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลังของมารี เธอเหลียวหลังกลับไปมองทันทีและเห็นใครบางคนเดินเข้ามา คนที่ใส่ชุดทหารถือปืน กลเล็ก ยืนหอบอยู่หน้าประตูที่รีบปิดทันทีในสภาพร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและเครื่องแบบขาดเป็นรอยทั่วตัวคงไม่พ้นโดนห่าฝนเศษกระจกบาดแน่นอน
      “พวกทหาร?” เด็กสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อฝันร้ายของเธอได้แสดงตัวต่อหน้าอีกครั้ง
       
       
      “แก! ยัยเด็กเวร” ทหารเล็งปืนมายังเธอ เด็กสาวตื่นตระหนกจนแทบจะลงไปกองกับพื้น
      “อย่าขยับนะ!” ถ้าไม่โดนเล็งด้วยปืนกลเสียก่อน
      “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? พวกแกทำอะไรกับรถไฟ?” เขาพยายามเค้นถามจากมารี แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะเด็กสาวเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
      “แค่เผลอหลับไปพักเดียวพวกเชลยหายไปหมดเลย แถมมีของไร้สาระวางเต็มตู้ขนนักโทษแถมยังมีกับดักบ้านั่นอีก แกรู้ใช่ไหมว่าพวกมันไปอยู่ที่ไหน? บอกมาเดี๋ยวนี้!”
      มารีไม่รู้ว่าจะตอบได้ยังไงก็จริงแต่เธอไม่ได้เงียบเพียงเพราะเรื่องนี้หรือเพราะโกรธที่มันด่าของในความทรงจำของเธอเป็นสิ่งไร้สาระเท่านั้น แต่เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับทหารผู้เกลียดชังคนเช่นเธอ ไล่ล่าไม่ต่างกับราชสีห์ล่าเหยื่อหรือแย่ยิ่งกว่าเพราะสิงโตจะล่าเฉพาะเหยื่อที่มันกินเป็นอาหารไม่ใช่ไล่กัดจนตายทั้งฝูง
      “หนูไม่รู้! หนูจำได้แค่ว่าหนูสลบไปพอตื่นขึ้นมาทุกคนก็ไม่อยู่แล้ว พอเดินตามทางก็มีของแปลกๆออกมาเต็มไปหมด หนูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปหมด หนูก็เพิ่งเจอคุณคนแรกนี่แหละ”
      “โกหก!” นายทหารเหนี่ยวไกปืน กระสุนปืนกลกระหน่ำยิงออกมาเบื้องหน้าของเด็กสาวทำให้เธอเสียหลักล้มไปกองกับพื้น
      “พวกแกมันเจ้าเล่ห์ โกหกปลิ้นปล้อนเห็นแก่ตัว คิดหรือว่าจะหลอกฉันได้น่ะ” นายทหารด่ากลับอย่างดุดัน
      “หนูไม่ได้หลอกคุณซักหน่อย คุณก็เห็นนี่ว่าไม่มีใครอยู่ในนี้เลย รถไฟก็แล่นอยู่แล้วเราจะหนีออกไปได้ยังไง” มารีพยายามใช้เหตุผลอธิบายแม้จะรู้สึกว่ามันลำบากมาก
      “อสรพิษร้อยเล่ห์อย่างพวกแกคงมีวิธีซ่อนตัวแบบที่เราคาดไม่ถึงอยู่แล้ว ถึงได้กดขี่โกงกินของๆเราได้แบบหน้าตาเฉยไงล่ะ” นายทหารไม่มีท่าทีจะยอมรับแม้แต่น้อย
      “นี่คุณไม่ได้ฟังหนูเลยหรือไง? รถไฟที่ทั้งแออัดแล้วก็เหม็นอับจะซ่อนคนเยอะแยะได้ยังไง ไม่คิดบ้างหรือ?”
      “ยัยนี่ปากดีนักนะ!” นายทหารฟาดปืนใส่หน้าของมารีแรงกระแทกส่งเธอลงไปนอนกับพื้นเลือดไหลกลบปาก
      “เป็นแค่พวกชั้นต่ำ ยังจะกล้ามาสั่งสอนเราผู้สูงส่ง ช่างไม่เจียมกะลาหัวเอาซะเลย”
      มารีนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะผยุงตัวขึ้นพลางเช็ดเลือดจากมุมปาก
       
      “ทำไมต้องทำกับพวกเราอย่างนี้ พวกเราทำอะไรผิด?” เธอถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไร้ความรู้สึกแอบแฝง
      “เพราะพวกแกเป็นไอ้พวกสถุลขี้โกงหลอกลวงยังไงล่ะ!” แต่ความโหดร้ายของนายทหารกลับไม่ปราณีเธอ
      “พวกหนูไม่เคยโกงใคร พ่อแม่หนูใช้ชีวิตอย่างสุจริตหนูกับพี่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใคร” เธอกล่าวสวนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หาใช่เพราะเกรงกลัว
       
      “แค่พวกแกเกิดมาก็ผิดแล้ว”
       
      นายทหารบอกคำตอบซึ่งทำให้หญิงสาวกระจ่างชัด คนพวกนี้ไม่สนใจเหตุผล ไม่ยอมรับศีลธรรมใดๆ จ้องแต่จะโทษพวกเธอในความผิดที่ไม่เคยทำ เหยียดหยามด้วยอคติที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้เหตุผลกับคนพวกนี้อีกแล้ว
      “เป็นอะไรไปวะ!? เงียบทำไม? รีบตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกแกหายไปไหน!?” ทหารเล็งปืนมายังเธอ พยายามเค้นถามความจริงที่ต้องการจะรู้ โดยไม่ได้สังเกตท่าทางที่แปลกไปของเด็กสาว
       
      “ไม่....”
      “ว่ายังไงนะ!?”
      พลันนั้นออร่าสีดำบังเกิดขึ้นรอบตัวของมารี มันลอยสูงขึ้นและรวมตัวกันอัดแน่นและเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง
      “แกทำอะไรน่ะยัยโง่!?” นายทหารคำรามขู่แต่น้ำเสียงเริ่มตื่นกลัวกับสิ่งที่ไม่เข้าใจ
      “ตอนนี้ฉันรู้แล้ว คนที่ผิดน่ะคือพวกแก พวกเราไม่เคยทำอะไรผิด พวกแกนั่นล่ะผิด ผิดทุกอย่าง แกไล่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ดูถูกเหยียดหยามทุกอย่างเพียงเพราะความเกลียดชัง พวกแกมันชั่ว ไอ้พวกคนชั่ว!”
      “แกว่ายังไงนะ!?” นายทหารโกรธจัด แต่ความร้อนแรงพลันต้องห่อเหี่ยวลงเมื่ออร่าสีดำได้เปลี่ยนสภาพเป็นอะไรบางอย่างซึ่งลงสู่พื้นตู้รถไฟเสียงดังวสนั่น สิ่งที่ทำให้นายทหารต้องตื่นตะลึง
      มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด มีท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นแมงมุมยืนด้วยขาแปดข้างร่างหุ้มด้วยเปลือกแข็งมีหนามแหลมเป็นแนวยาวตลอดสันหลัง แขนของมันเรียวยาวเต็มไปด้วยมัดกล้ามด ส่วนหัวเป็นด้วงเขี้ยวกางปากกรรไกรยาวกระทบกันเป็นเสียงฝนคมมีดประกายไฟลั่น เสียงร้องแหลมยาวจนน่าขนลุก
      “ปีศาจ!?” นายทหารตกใจร้องเสียงลั่น เขาไม่รอช้าเหนี่ยไกยิงปืนใส่ปีศาจตนนี้อย่างไม่ยั้งมือ แต่กระสุนทุกนัดไม่อาจทำอะไรเกราะอันแข็งแกร่งของมันได้แม้แต่รอยขีดข่วน
       
      “พวกเราแค่อยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบ แค่อยากอยู่กับพ่อแม่พี่สาวเท่านั้นไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร แต่แกกลับทำลายความสุขของเรา พรากเพื่อนพ้องของเราไปจนหมด แกทำได้ยังไง? บอกว่าตนเองสูงส่งนักเรอะ ขอบอกเลยว่าพวกแกน่ะมันสารเลวชาติชั่ว ต่ำทราม เน่าเหม็นยิ่งกว่าหมาข้างถนน อย่างพวกแกไม่สมควรจะเรียกว่าเป็นชนชาติที่สูงส่ง เป็นแค่สัตว์นรกมาเกิดเท่านั้น!!”
      เจ้าปีศาจย่าวเท้าทั้งแปดเข้าไปหานายทหาร ไม่ว่าจะยิงใส่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่อาจทำร้ายปีศาจตนนี้ได้แม้แต่แผลถลอก นายทหารถอยจนติดประตู กระสุนปืนหมดรังเพลิง เขารีบหันไปเปิดประตูหนีแต่มันก็ล็อคแล้ว
      “ฉันน่ะเชื่อในความหวัง ความหวังที่จะฆ่าล้างโคตรพวกแกทั้งหมด!”
      เจ้าปีศาจเหวี่ยงมือคว้าร่างของนายทหารไว้ทันทีราวกับตอบสนองต่อความต้องการของมารี มันจับเขากระแทกอัดกับพื้น จับฟาดไปมาตามกำแพงก่อนจะเหวี่ยงไปอีกด้านชนกระแทกกับเฟอร์นิเจอร์ เสียงแตกหักจากร่างดังไม่ยอมหยุด นายทหารทรุดไปด้วยเลือดท่วมตัวกระดูกหักจนไม่มีชิ้นดี
      “เจ็บใช่ไหม? ทรมานใช่ไหม? นี่ยังไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่พวกเราได้รับเลย!!” มารีคำรามลั่นด้วยร่างซึ่งเต็มไปด้วยออร่าสีดำคลุมตัวจนแทบจะมองไม่เห็นตัวยกเว้นใบหน้าอันเกรี้ยวกราดและดวงตาที่จับจ้องไปยังไอ้สารเลวตรงหน้า
       
      “ชะ... ช่วยด้วย ชะ... ฉันขอโทษ... ปล่อยฉันไปเถอะแล้ว... จะยอม... ทำทุกอย่าง” มันพยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิต
      “บอกว่าจะยอมทำทุกอย่างงั้นเหรอ!? พอจะโดนฆ่ากลับมาร้องขอชีวิต แกมันน่าตัวเมีย หน้าไม่อาย ชั่วช้าสามาน มากกว่านี้ให้มันสาสมกับความชั่วที่แกทำ!!"
      มารีแสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงตอนนี้กล้าที่จะอาฆาตทำร้ายผู้อื่นได้โดยตาไม่กระพริบ ด้วยวิสัยซึ่งถูกบดบังไปด้วยเมฆหมอกที่เรียกว่า “ความเคียดแค้นชิงชัง”
      “ปะ... ปีศาจ.... ช่วยด้วย... ช่วยฉัน.... ด้วย...” นายทหารพยายามคลานหนีด้วยสภาพที่บาดเจ็บไปทั้งตัว หายใจแทบไม่ออก ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ปีศาจแมงมุมใช้ขาของมันปักตรึงแขนขาของนายทหารไม่ให้หนีไปได้ เด็กสาวจ้องมองไอ้สารเลวผู้เป็นพวกของคนที่ตามล่าพวกเธอทำให้ครอบครัวของเธอประสบกับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย ไม่จำเป็นต้องสงสาร เธอมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะล้างแค้นให้สาสม ปากเขี้ยวของเจ้าปีศาจกางออกหนีบเข้าระหว่างคอของชายผู้ร้องไห้คร่ำครวญร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช
      “ไปขอโทษคนที่แกฆ่าเขาในโลกหน้าซะ”
      เขี้ยวคู่ของปีศาจตัดเข้าหากัน เลือดพุ่งสาดกระจายไปทั่วทั้งตู้โดยสาร....
       
      “ยังเด็กยังเล็กอย่าคิดจะเป็นฆาตกรให้เสียอนาคตเลย”
       
      แต่นั่นไม่ใช่เลือดของนายทหาร สิ่งที่ขาดกระเด็นกลับเป็นเขี้ยวข้างหนึ่งของเจ้าปีศาจจนมันกรีดร้องอย่างเจ็บปวดลงไปดิ้นทุกรนทุรายตัวเปรอะเปื้อนด้วยเลือดของตัวเอง จากน้ำมือของชายลึกลับผู้โผล่มาขัดขวางมันไม่ให้ฆ่าเจ้าสัตว์นรกในร่างคนนี่ ชายหนุ่มสวมชุดสูทและหมวกสีขาวในมือถือดาบยาวที่เพิ่งใช้โจมตีเจ้าปีศาจ ยังมีเลือดอุ่นๆเปื้อนติดอยู่อย่างชัดเจน 
      “ทำไมถึงมาขัด...” พลันนั้นมารีสะดุ้งเฮือกพลางกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวดล้มลงไปนอนกับพื้นก่อนแววตาอันโกรธเกรี้ยวจะจางหายไปกลับมาเป็นดวงตาอันใสบริสุทธิ์เช่นเดิม
      “เกิด... อะไรขึ้น..” เธอเอ่ยราวกับเพิ่งรู้สึกตัว และหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นเจ้าปีศาจทั้งที่มันเกิดจากตัวเธอเอง เธอกลัวจนร้องไม่ออกได้แต่นั่งตัวสั่นขณะที่เจ้าปีศาจจ้องมายังเธอด้วยแววตามุ่งร้าย มันซัดกรงเล็บเข้าใส่เด็กน้อยในทันที มารีหลับตาลงด้วยความกลัวและคิดว่าตนคงจะต้องตายแน่แล้ว
       
      “ทำร้ายบุพการีผู้ให้กำเนิดช่างอกตัญญูเสียจริงนะ”
      มารีลืมตาขึ้นเห็นชายหนุ่มลึกลับเข้ามาสกัดการโจมตีของเจ้าปีศาจได้ทัน ตั้งแต่กรงเล็บจนถึงแขนถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆในพริบตา เจ้าปีศาจร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพร้อมถอยห่างออกจากเขา
      “เจ็บปวดมากสินะ แต่อีกเดี๋ยวก็จบแล้วไม่ต้องกลัวไปหรอก” ชายหนุ่มตั้งท่าดาบเตรียมพร้อม แผลของเจ้าปีศาจรักษาตัวจนหายดีแต่ไม่อาจนำแขนที่หายไปคืนมาได้ มันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพ่นใยเหนียวกลุ่มใหญ่ใส่ชายหนุ่มเพื่อหมายจะพันธนาการให้สิ้นอิสระ เด็กสาวกรีดอย่างหวาดกลัวเธอไม่มีแรงจะหนีไปไหนอีกแล้ว
      “ทำได้แค่นี้เองเรอะ” ชายหนุ่มเผยยิ้มมุมปาก เขาพุ่งออกไปพร้อมสะบัดดาบอย่างรวดเร็ว ฟันใยจนกระจุยหมดสภาพ ไม่ทันไรเขาก็มาอยู่ต่อหน้าของเจ้าปีศาจด้วยระยะที่ห่างกันเพียงไม่ถึงหนึ่งฟุต
      “ดีที่แกกระจอกกว่าที่คิด”
       
      ดาบคมกริบพุ่งเสียบร่างของเจ้าปีศาจเจาะเปลือกที่แข็งขนาดกระสุนยังยิงไม่เข้าอย่างง่ายดาย เลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผลในตำแหน่งกลางอก ชายหนุ่มตวัดดาบซ้ำผ่าร่างของเจ้าปีศาจเป็นสองเสี่ยงพร้อมกับสะบัดดาบผ่าท่อนล่างของมันซ้ำอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาร่างของปีศาจครึ่งคนครึ่งแมงมุมตอนนี้ก็กลายเป็นเศษเนื้อกระจายเกลื่อนไปทั่ว เลือดนองอาบธงประดับสัญลักษณ์ของกองทัพแห่งนายทหาร
      “เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่ามันยังไม่สายเกินไป”
      ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะเดินไปยังมารี เธอพยายามคลานถอยจากชายหนุ่ม คงไม่มีใครอยากรอยู่ใกล้กับคนที่ฟันสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งทิ้งได้อย่างง่ายดายโดยเฉพาะเมื่อเห็นแบบต่อหน้าต่อตา
       
      “หนูไม่ต้องกลัวนะพี่ชายมาช่วยหนูแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างอ่อนโยนพร้อมยื่นมือให้จับ แต่ก็ถูกเด็กสาวปฏิเสธและพยายามเลี่ยง
      “ช่วยเหรอ?” มารีถามอย่างหวาดกลัวไม่กล้าแม้แต่จะจับมือเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก แค่นี้มันก็มากเกินไปแล้ว
      “ฉันไม่ทำร้ายหนูหรอก เมื่อกี้ก็ช่วยจากเจ้าปีศาจนั่นแล้วไง  ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ”
      แม้จะยังรู้สึกกลัวอยู่ แต่ด้วยคำพูดและท่าทางอ่อนหวานทำให้เด็กสาวเริ่มผ่อนคลายขึ้น เธอยื่นมือออกไปให้พี่ชายช่วยผยุงตัวเธอลุกขึ้นยืน
      “เป็นแผลใหญ่เลยนะ” ชายหนุ่มลูบที่หน้าของมารีซึ่งมีรอยช้ำเพราะถูกทหารทำร้าย มันหายดีในพริบตารวมถึงบาดแผลทั่วตัวของเธอก็หายไปหมดจนเด็กสาวยังตกใจ
      “คะ... คุณเป็นใครคะ?” เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะเหวี่ยงดาบเพื่อสะบัดเลือดออก มันเปล่งแสงขึ้นและหดเล็กลงกลายสภาพเป็นคีมเล็ก อุปกรณ์สำหรับการตัดตั๋วหลังใช้งาน
      “ฉันชื่อ ‘อารัญ นพอมรา’ เป็นนายตรวจตั๋วของรถไฟแห่งโชคชะตา” เขาถอดหมวกโค้งคำนับอย่างสุภาพน้อบน้อม
       
      “รถไฟแห่งโชคชะตา” มารีทำหน้างุนงง เธอจ้องมองท่าทางของชายหนุ่มซึ่งเต้นรำไปมาอย่าเริงร่าถ้าไม่คิดว่าเขาเพิ่งช่วยเธอไว้คงจะดูประหลาดพิลึก
      “เธอเคยคิดบ้างไหมว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมหรือถ้าเลือกได้ก็อยากจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง รถไฟนี้มีไว้เพื่อตอบสนองความต้องการเช่นนั้นแหละ”
      เด็กสาวสะดุ้งกับคำพูดของชายที่ชื่ออารัญจนเธอหายใจหอบเมื่อภาพความทรงจำอันเลวร้ายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด 
      “หน้าที่ของเราคือเดินทางไปตามโลกและกาลเวลาต่างๆ ค้นหาจุดเปลี่ยนของโชคชะตาที่เลวร้ายและหาทางที่จะเปลี่ยนแปลง โดยค้นหาผู้เป็น “จุดเชื่อมโยง” ของเหตุการณ์สำคัญของช่วงเวลานั้นและช่วยเหลือพวกเขาก่อนจะสายเกินแก้”
      “คุณจะบอกว่านี่ไม่ใช่รถไฟขบวนที่หนูโดยสารมา... แล้วครอบครัวของหนูกับคนอื่นๆล่ะคะ?” เธอรีบถามอย่างร้อนรนเมื่อพบผู้ที่มั่นใจว่าจะไขคำตอบให้เธอได้
      “หนูเอ๋ย... รถไฟขบวนนี้ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกับความเป็นจริงหรอกนะ มันแล่นอยู่ในมิติที่เรียกว่า ‘สัจจะนิรันดร์” ที่ซึ่งบันทึกความจริงของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ เป็นโลกที่อยู่ขอบเขตอำนาจของสสาร เชื่อมต่อกับทุกห้วงมิติและทุกเส้นทางแห่งเวลา”
       
      เรื่องที่อธิบายยากจนมารีไม่ค่อยเข้าใจนัก อารัญชี้ไปยังหน้าต่างที่อยู่ใกล้กันซึ่งก่อนหน้านี้มันมืดสนิทมองไม่เห็นด้านนอกแต่เพียงนายตรวจตั๋วดีดนิ้วมันก็เผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกเป็นที่ประจักษ์ โลกซึ่งส่องประกายไปด้วยแสงหลากสี เต็มไปด้วยประกายของภาพเคลื่อนไหวซึ่งแสดงออกมาเป็นเรื่องราวมากมาย ทั้งผู้คนร้องรำทำเพลงในงานเทศกาล การดวลดาบระหว่างนักรบที่แต่งตัวเหมือนทหารจีนที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือ ไปจนถึงสงครามใหญ่ที่เยรูซาเล็ม ยังมีอีกมากมายมหาศาลละลานตาจนเธอมองได้ไม่ครบจดจำไม่หวาดไม่ไหวจนต้องถอยออกจากหน้าต่างด้วยความมึนงงโดยชายหนุ่มช่วยผยุงไว้ก่อนจะล้ม
       
      “ความจริงของทุกสรรพสิ่ง ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ โชคชะตาที่ถูกร้อยเรียงถักทอจนเป็นผืนบันทึกอันยิ่งใหญ่ ทั้งหมดอยู่ในโลกแห่งนี้และรถไฟขบวนนี้คือพาหนะที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปยังเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้โดยปลอดภัย”
      อารัญปล่อยมือจากเด็กหนุ่มขณะที่เธอเริ่มจะยืนไหวแม้จะยังสับสนกับเรื่องที่ได้ฟัง
      “หนู... ตายแล้วหรือคะ” เด็กสาวหวนนึกไปถึงตอนที่เธอล้มหัวกระแทกและหมดสติไป หากที่เขาบอกว่าโลกนี้ร่างเนื้ออยู่ไม่ได้ ก็หมายความว่าตอนนี้เธอเป็น...
      “ไม่ใช่หรอก เธอยังไม่ตายและร่างเธอตอนนี้ก็ไม่ใช่วิญญาณ” นายตรวจตั๋วปฏิเสธก่อนราวกับอ่านใจได้
      “เป็นเหมือนตัวตนชั่วคราวที่เธอได้รับเพื่อจะมายังรถไฟขบวนนี้ได้ ตอนที่เธอล้มนั่นก็เพราะเราต้องการพาเธอมาที่นี่นั่นล่ะ”
       
      “อะไรนะ!?” เธอร้องลั่น “ที่หนูล้มหัวฟาดแบบนั้นเป็นเพราะคุณเองเหรอเนี่ย”
      “จริงๆก็ไม่ใช่ฝีมือฉันหรอกนะ แต่เป็นคนขับต่างหากยัยนั่นก็ทำอะไรรุนแรงเกินไป”
      มารีสะกิดใจเรื่องคนขับและที่เรียกว่ายัยนั่น แต่เธอก็ปล่อยผ่านเพราะมีเรื่องที่อยากรู้มากกว่า
      “แล้วตัวหนูตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พ่อแม่กับพี่สาวล่ะคะ?” นั่นคือเรื่องครอบครัวของตน
      “ตอนนี้พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก แล้วไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรหรือกลัวว่าเขาจะห่วงเธอมากหรอกนะ” นายตรวจหนุ่มอธิบาย
      “จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงคะ จู่ๆพวกคุณพาหนูมาที่นี่แถมยังพูดเรื่องเข้าใจยากไปหมด แล้วเจ้าปีศาจเมื่อกี้นี้มันก็น่ากลัวมากด้วยใจร้ายจริงๆเลย รีบๆปล่อยหนูกลับไปดีกว่า” มารีพลันนึกไปถึงตอนที่เจอกับเจ้าปีศาจนั่น กับคนที่ไม่ได้เจอกับตัวคงไม่มีทางเข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน
       
      “ตอนนี้ฉันคงพูดอะไรมากไม่ได้ เธอต้องไปคุยกับคนขับรถไฟแล้วยัยนั่นจะบอกเธอทุกอย่างเอง”
      “งั้นก็รีบพาหนูไปหาคนขับสิคะ หนูต้องรีบ... กลับ...” เธอลังเลที่จะพูดว่าต้องรีบกลับไป ความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับค่ายนรกทำให้เธอไม่กล้าจะตอบอย่างเต็มปากว่าต้องกลับไป ความรักกับความกลัวกำลังชั่งวัดกันอยู่ในใจเธอ
      “ฉันพาเธอไปหายัยนั่นตอนนี้ไม่ได้ หัวใจของเธอกำลังหลงทางอยู่”
      “คุณพูดอะไรน่ะ? หนูหลงทางที่ไหน....”
      อารัญหันไปทางนายทหารซึ่งนอนพิงกำแพงในสภาพลมหายใจรวยริน เขาลูบตามตัวของนายทหารเพื่อทำการรักษาเช่นที่ทำกับเด็กสาว
      “นี่คุณทำอะไรลงไปน่ะ!?” มารีตะโกนลั่นพลางชี้มายังชายหนุ่มด้วยหน้าตาตื่นตกใจ
      “ฉันก็กำลังช่วยผู้หมวดคนนี้อยู่ไงล่ะ” อารัญตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “ว่าแล้วเธอต้องโวยฉัน”
      “ก็ต้องโวยอยู่แล้วนี่คะ!” เด็กสาวกัดฟันแน่พลางเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม
      “ทำไมคุณต้องไปช่วยไอ้คนชั่วอย่างหมอนี่ด้วย คุณรู้รึเปล่าว่ามันทำอะไรกับหนู กับครอบครัวของหนู แล้วก็คนอื่นนับร้อยนับพันคนไว้แค่ไหน!?”
      “จับกุม กักขัง ทรมาน แล้วก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สินะ ฉันรู้หมดทุกอย่างล่ะ” อารัญบอกขณะรักษาบาดแผลของนายทหาร ต่างจากการลูบผ่านแผลเมื่อครู่มันมีแสงสว่างวาบขึ้นมาเป็นดวงไฟและเริ่มสมานแผลรักษาความบอบช้ำภายในอย่างช้าๆ
      “ก็ถ้าอย่างนั้นยังจะช่วยหมอนี่ไปอีกทำไมคะ? คนอย่างมันปล่อยให้ตายไปซะดีกว่า” เธอยืนยันจะให้เป็นเช่นนั้น ไฟแห่งโกรธากำลังคุกรุ่นในใจเธออย่างร้อนแรงมากขึ้น มากจนแผดเผาได้ทุกสิ่ง
      “ฉันปล่อยให้มีใครบาดเจ็บบนรถไฟนี้ไม่ได้หรอก โดยเฉพาะคนที่เพิ่งถูกทำร้ายมาต่อหน้าฉันจากเจ้านั่นที่เธอสร้างขึ้น”
      “เจ้านั่นที่ฉันสร้าง? พูดอะไรของคุณน่ะ? หนูน่ะ....”
      มารียั้งคำพูดของตน เธอจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นสิ่งทีเธอรู้ล่าสุดคือเธอถูกนายทหารคนนี้ทำร้ายบาดเจ็บ ในตอนนั้นเธอรู้สึกโกรธมาก เข้าใจความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังเป็นครั้งแรกถึงขนาดอยากฆ่าให้ตายอยากทำลายทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกทหารนี่ให้สิ้นซาก ก่อนที่ความทรงจำทั้งหมดจะดำสนิทไม่รับรู้อะไรอีกจนถึงเมื่อครู่ที่เธอเห็นเจ้าปีศาจนั่นปรากฏต่อหน้า
       
      “คุณหมายถึงเจ้าปีศาจนั่น... หนูเป็นคนสร้างมันขึ้นมาหรือคะ?”  เธอถามด้วยความลังเล
      “เจ้านั่นคือซิน อสุรกายซึ่งถือกำเนิดจากหัวใจอันมืดมน”
      อารัญลุกขึ้นหลังจากรักษาบาดแผลของนายทหารหายแล้วแต่เพราะเสียเลือดไปมากจึงยังไม่ได้สติดี
      “ในโลกเต็มไปด้วยผู้คนที่ประสบความทุกข์ยากลำบากมากมาย ไม่ว่าจะเดือดร้อนเพราะความยากจน หิวโหย ถูกทำร้ายเหยียดหยาม โดนปฏิบัติไม่ต่างอะไรกับสัตว์ เหล่าผู้คนซึ่งแบกรับประสบการณ์ของความเจ็บปวดจะสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตนเองจากผู้อื่นและเริ่มคิดว่าตนเป็นผู้เคราะห์ร้าย ใช้ความคิดเหล่านั้นอ้างความชอบธรรมที่จะทำทุกอย่างเพื่อสนองกิเลศของตนเอง เพื่อระบายความไม่พอใจ เกลียดชัง โกรธเกรี้ยว เมื่อมีโอกาสก็จะผลักดันตนก้าวมาอยู่ในระดับทีสามารถทำได้ทุกอย่างและตัดสินใจระบายความรู้สึกเหล่านั้นต่อผู้ที่เคยกระทำตนเองอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป”
       
      มารีตั้งใจฟังจากน้ำเสียงที่ดูน่าสนใจเชื่อถือกว่าที่คาด และเธอก็ไม่ควรเสียมารยาทต่อผู้ช่วยเหลือไปมากกว่านี้
      ”และข้ออ้างพวกนั้นจะนำมาซึ่งการทำร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง”
      มารีถึงกับสะดุ้งเมื่ออารัญอธิบายถึงสิ่งที่ชวนให้ฉุกคิด คำว่าการทำร้ายผู้บริสุทธิ์
       
      “ผู้บริสุทธิ์... คำที่เรามักใช้กับคนที่ไม่เคยทำผิดคิดร้ายต่อผู้ใด จริงอยู่ว่าคนเหล่านี้ไม่ก่อปัญหาหรือทำเรื่องเลวร้ายใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขตามอัตภาพของตน เพราะพวกเขาพอใจกับชีวิตอันเรียบง่าย แต่เมื่อพวกเขาต้องพบกับความโหดร้ายทรมานที่ไร้เหตุผล หลายคนพร้อมจะตอบโต้กลับโดยอ้างว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นผู้ถูกระทำที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรม แต่พวกนั้นกลับไม่ได้สนว่าจะมีผู้บริสุทธิ์คนต่อไปประสบกับความเลวร้ายจากสิ่งที่กระทำ สุดท้ายก็จะเป็นการสร้างผู้สร้างหายนะให้ผู้อื่นคนใหม่ต่อไปเป็นลูกโซ่ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะแก้ไข”
       
      อารัญอธิบายให้กับมารี เธอไม่เข้าใจและงุนงงกับสิ่งที่ฟังมาก เธอกำลังฟังเรื่องที่ว่าผู้บริสุทธิ์ที่ทนทรมานจะทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดสร้างผู้สร้างหายนะถัดมาเรื่อยๆงั้นเรอะ
      “และปีศาจตนนั้นก็คือความเคียดแค้นชิงชังของเธอที่กลายเป็นรูปร่าง เป็นปีศาจที่เกิดมากความเกลียดชังอย่างเต็มเปี่ยมของเธอยังไงล่ะ”
      “ปีศาจที่เกิดจากความเกลียดชังของหนูเหรอ?” มารีถามด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อรับรู้อย่างแน่ชัดว่าปีศาจตนนั้นเธอเป็นผู้ให้กำเนิดมันเองทั้งที่เธอก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
      “ในโลกนี้จิตใจอันแรงกล้าจะแปรสภาพเป็นรูปร่างไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือเลว หากเป็นคุณธรรมอันสูงส่งจะกำเนิดขึ้นเป็นรูปลักษณ์อันงดงามเช่นเทพเทวา แต่ถ้าเป็นด้านอธรรมใฝ่ต่ำแล้วไซร้จะปรากฏรูปลักษณ์อันอัปลักษณ์ชั่วร้ายดุจปีศาจจากขุมนรก”
      มารีเงียบกริบ ก่อนจะนึกออกชัดเจนว่าในตอนนั้นหลังจากที่เธอถูกทำร้ายและคิดแค้นทหารคนนั้น มีเสียงหนึ่งเรียกเธออยู่ในใจแม้จะแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เธอกลับเข้าใจอย่างง่ายดายเหมื่อนสื่อถึงกันผ่านโทรจิต
      “ฆ่ามัน ทำลายมัน แก้แค้นให้สาสมกับที่มันได้ทำกับเธอไว้”
      ไม่ใช่ว่าเธอจำไม่ได้แต่จริงๆแล้วเธอคงไม่คิดที่จะจดจำ ในช่วงเวลานั้นมีแต่เสียงกระซิบนี้ดังก้องในหัวเธอไปหมด สมองของเธอโล่งจนเผลอตัวทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับคนนอนละเมอที่ลงมือฆาตกรรมครอบครัวตัวเองอย่างโหดเหี้ยมแต่ตื่นขึ้นมาร้องไห้เสียใจทีหลัง เสียงกระซิบนั่นคงจะเป็น... ตัวเธอเอง
      “ใฝ่ต่ำชั่วร้าย.... คุณบอกว่าการที่หนูคิดจะแก้แค้นไอ้สารเลวนั่นเป็นจิตใจชั่วร้ายอัปลักษณ์งั้นเหรอคะ!?” เด็กสาวจ้องเขม็งไปยังอารัญด้วยน้ำตาคลอเบ้า น้ำตาแห่งความเสียใจและโกรธแค้น
       
      “หนูไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจสักนิดเดียว! การที่จะเราต้องการจะ กำจัดไอ้คนที่มันกล้ามาทำร้ายครอบครัวของหนูทั้งที่พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมจะทำไม่ได้!!? เรามีสิทธิ์ที่จะลงโทษพวกมัน ถ้าความเกลียดชังของหนูคือปีศาจ ความชั่วของพวกมันก็เป็นยิ่งกว่า มันทั้งบ้าบอและไร้เหตุผลที่สุด เพียงเพราะเรานั้นต่างจากเขา เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องถูกเขาเกลียดชัง มันไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”
       
      “แกต่างหากที่อัปลักษณ์ชั่วช้า ยัยหนู!”
      นายทหารฟื้นขึ้นหลังจากการรักษาและสิ่งแรกที่เขาทำคือการด่าทอใส่มารีด้วยน้ำเสียงและแววตารังเกียจเหมือนเป็นขยะก้อนโตเดินได้
      “เผ่าพันธุ์อย่างพวกแกน่ะมันเดนมนุษย์ ขี้โกง ขี้ขโมย เสพสุขอยู่บนความยากลำบากของพวกเรา ต้องทนมีชีวิตอยู่อย่างอดอยากแร้นแค้นแค่ไหน พวกแกไม่มีวันเข้าใจหรอก!!”
      “พวกเราไม่เคยโกงใครหรือขโมยของใครทั้งนั้น เราอยู่อย่างสงบใช้ชีวิตอย่างสุจริตไม่มีสักครั้งที่เราทำร้ายพวกนายแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้ฉันจะว่า จะด่าไม่สนอะไรทั้งนั้นไอ้คนชั่ว ไอ้พวกปีศาจ”
      “แกนั่นแหละปีศาจร้าย ชั่วช้า ต่ำทราม เพราะมีพวกแกอยู่เราถึงตกต่ำต้องกลายเป็นเบื้ยล่างให้ไอ้พวกพันธมิตร ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ช่วยให้เราตาสว่างทำให้เรารู้ว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง ใครคือพวกที่เราต้องกำจัด”
      “แกเชื่อไอ้หมอนั่นไปได้ยังไง เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาจนฆ่าคนไปมากมาย จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่บ้าบออะไรก็แค่กองทัพโจรชั่วเท่านั้น เมื่อกี้ยังทำเป็นร้องขอชีวิตอยู่เลยทีตอนนี้ทำปากเก่งได้เลยนะไอ้คนขี้ขลาด”
      “กล้าดียังไงมาว่าร้ายท่านผู้นำต่อหน้าฉัน ถ้าลุกไหวล่ะก็จะหักคอแกซะยัยปีศาจ ประเทศของเราจะชนะและสุดท้ายก็จะปกครองโลกทั้งใบ พวกเราคือชนชาติที่เก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุด เราคือเชื้อสายแห่งเผ่าพันธุ์โบราณอันเกรียงไกร”
       
      บรรยากาศของความขัดแย้งโต้เถียงยังอบอวลและอึมครึมไปทั่วตู้รถไฟนี้ กลมกลืนไปกับกลิ่นอายของเลือดจากเจ้าปีศาจและสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกจากสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นภายในห้องนี้ทั้งป้ายต้องห้ามและลายปักดาวสิ่งที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกชนชั้น
      “พอได้แล้วล่ะ” อารัญเข้าไปห้ามมารีไว้ เธอหอบหนักหลังจากโต้เถียงกับทหารคนนี้อย่างโกรธเกรี้ยว เธอไม่เคยโกรธมากถึงขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เธออยากจะให้เจ้าปีศาจแบบนั้นเกิดขึ้นมาอีกแล้วฉีกเจ้าทหารชั่วนี่ให้เป็นชิ้นๆต่อให้ตอนนั้นมันจับปืนขึ้นมายิงเธอก็ตาม
      “นี่คุณจะมาหยุดหนูไว้ทำไม หนูอยากจะด่ามันด่าให้มันได้รู้ว่าตัวเองชั่วแค่ไหน” เธอหันไปตวาดใส่อารัญต่อ ตอนนี้เด็กสาวได้ขาดสติไปเป็นที่เรียบร้อย
      “ถ้าเธอยังอยู่ในโทสะแบบนี้ต่อไปเธอจะตกไปในด้านมืด เจ้าปีศาจนั่นก็จะออกมาอีกนะ”
      “งั้นก็ให้มันมา! ให้มันขย้ำไอ้สารเลวนี่ให้เป็นเป็นอาหาร ให้สาสมกับความเลวที่มันทำไว้”
      “เธอพูดอะไรออกมาน่ะ” อารัญเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงราวกับไม่คิดว่าจะได้ยินจากเด็กสาวคนนี้
      “หนูพูดว่าจะฆ่ามัน อยากจะฆ่ามันให้ตาย ไม่ใช่แค่ไอ้สารเลวนี่เท่านั้นแต่รวมทั้งพวกทหารชั่ว พวกตำรวจสารเลวที่จับเรามา ไอ้ผู้นำสารเลวของพวกมัน แล้วก็พวกคนในประเทศเฮงซวยนั่น หนูเกลียดมัน เกลียดที่สุด อยากจะให้ตายไปให้หมดทุกคน....”
       
      อารัญตบหน้าของมารีฉาดใหญ่จนเธอลงไปกองกับพื้น ต่อหน้านายทหารซึ่งตกใจกับพฤติกรรมเกินคาดคิดนี้
       
      “ตบหนูทำไม....?” เธอมองมายังอารัญซึ่งเผยแววตาน่ากลัวใส่เธอ
      “ทั้งที่หนูเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งเจ็บปวดและทรมาน....” มารีก้มหน้าลงท่าทางเซื่องซึมก่อนจะหันดวงตาแห่งความโกรธไปยังชายหนุ่ม
      “นี่คุณ.... คุณเองก็เหมือนกันสินะ เป็นพวกเดียวกับไอ้ทหารเลวคนนี้ เห็นด้วยกับพวกมันใช่ไหม? เกลียดพวกเรามากสินะ!? ต้องการให้พวกเราตายไม่ให้เหลือเลยล่ะสิ....”
      อารัญเอามือปิดปากของเด็กสาวแม้เธอจะพยายามพูดแต่ก็ไม่สามารถออกเสียงได้เหมือนมีพลังบางอย่างมายับยั้งเธอไว้
      “เธอรู้ไหมว่าทำไมแต่ละตู้รถไฟถึงมีสภาพเหมือนบ้านหรือสถานที่ต่างๆที่เธอเคยพบเจอ?” อารัญถามเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
      “เพราะแต่ละแห่งคืออดีตของเธอยังไงล่ะ” ก่อนจะให้คำตอบซึ่งหยุดมารีจากความพยายามจะพูดได้
       
      “เหตุการณ์ที่เธอเคยพบประสบการณ์ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันเราได้ถ่ายทอดมันออกมาเป็นสิ่งก่อสร้างหรือวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เคยอยู่ สิ่งของที่เคยเป็นของเธอ หรือแม้แต่ของที่เคยประสบพบเจอไม่ว่าจะดีหรือร้ายทั้งหมดถูกรังสรรค์ขึ้นโดยรถไฟขบวนนี้ ฉันรู้ว่าเธออยากถามว่าเราทำแบบนี้ทำไม ก็เพื่อทดสอบจิตใจของเธอเห็นและสัมผัสมันแล้วระลึกถึงอดีต เราจะดูว่าจิตใจของเธอจะหลงเข้าไปสู่ความมืดมนหรือเปล่า และดูเหมือนเธอจะเป็นอย่างที่ฉันกลัวซะแล้ว”
      นายตรวจหนุ่มอธิบายให้มารีฟัง สิ่งที่มารีได้พบบนรถไฟคันนี้ไม่ว่าจะเป็นบ้านของเธอสมัยเด็ก ที่อยู่ปัจจุบัน ของที่คุ้นเคยจนถึงสัญลักษณ์แห่งการกีดกันเชื้อชาติทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบตัวเธอ และมันก็ล้มเหลว....
      “ดูท่าฉันคงไม่มีทางเลือกแล้ว”
      อารัญหยิงเศษหินมาดีดใส่ไปทางด้านหลังมันสะท้อนกับผนังและกระแทกใส่ท้ายทอยของนายทหารจนเขาแน่นิ่งไป ไม่ทันที่มารีจะหายตกใจเธอก็โดนชายหนุ่มเอานิ้วจี้ที่หน้าผาก พลันนั้นสติสัมปัชัญญะของเด็กสาวก็ได้ค่อยๆดับลง
      “รู้ไหมว่าตอนนี้เธอเหมือนใคร?” เสียงของอารัญดังขึ้นขณะที่มารีกำลังจะหมดสติ
      “ผู้นำของทหารคนนี้ไง”
       
      “โอย... เจ้านั่น....” มารีตื่นขึ้นในสถานที่ซึ่งมืดสนิทมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เธอปวดหัวอยู่เล็กน้อยเมื่อสติเริ่มกลับมาก็พลันนึกถึงอารัญและเรื่องที่เขาทำกับเธอ ชวนให้คิดว่าขบฟันในปากนี่ยังเจ็บไม่พออีกเรอะ
      “คอยดูเถอะถ้าเจอกันอีกได้เห็นดีแน่” เธอทุบพื้นอย่างเจ็บใจ
      “อะไรนั่นน่ะ!?” เสียงถามที่ห้าวทุ้มอันคุ้นเคยกระตุ้นมารีจนเธอต้องถอยห่างเพราะอยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร
      “นี่แก.... อยู่ตรงนั้นเรอะ!?” เธอร้องถามออกไปเพราะมั่นใจว่าต้องเป็นทหารคนนั้นแน่
      ไฟในห้องสว่างขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอันชั่วร้ายที่สุดสำหรับมารี นายทหารเบิ่งตามองอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นเด็กสาว เธอสะดุ้งโหย่งถอยเกือบไม่เป็นท่า
      “ทำไมแกถึง...” มารีตกใจจนพูดไม่ออก คนที่อันตรายที่สุดบนรถไฟคันนี้อยู่ต่อหน้าเธอในส่วนไหนของรถไฟก็ไม่รู้แต่ไม่ใช่โบกี้รถไฟเมื่อครู่แน่นอนเพราะสภาพห้องดูเป็นเหมือนที่พักอาศัยเหมือนสองโบกี้แรก
      “หนอย... นังตัวดี!” นายทหารแยกเขี้ยวเบิกตาโพล่ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายขยับได้เป็นปกติแล้วและเจ้าตัวขัดขวางก็ไม่อยู่แล้วด้วย แม้เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็เชื่อไปแล้วว่าหมอนั่นคงไม่คิดปกป้องยัยปากดีคนนี้แล้ว เมื่ออยู่กันสองต่อสองระหว่างคนที่เกลียดกันสิ่งเดียวที่อยากจะทำก็คือ
      “ดูซิว่าแกจะปากล้าขาแข็งได้สักกี่น้ำ” นายทหารไม่รอช้าวิ่งเข้าใส่เด็กสาวหมายจะทำร้ายให้สาแก่ใจ เธอถอยจนติดกำแพงยกแขนขึ้นมากันด้วยความกลัวจนน้ำตาไหล พลางคิดว่าคงจบแล้วและนึกโมโหที่ไม่มีใครมาช่วยเธอแม้แต่ชายคนนั้น 
      “อัก!” ร่างของนายทหารกระเด็นไปอีกฟากหนึ่งก่อนเขาจะเอื้อมมือถึง มารีมองดูอย่างแปลกใจก่อนนายทหารจะวิ่งเข้ามาอีกครั้งแตก็ต้องกระเด็นกลับไปอีกด้วยกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งมีพลังป้องกันเธอไว้
      “หนอย... ไอ้บ้านั่นยังช่วยเธออยู่อีกเรอะ!” นายทหารสบถลั่น ความกลัวของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นความได้ใจเมื่อศัตรูของเธอทำอะไรไม่ได้ เด็กสาวระเบิดโทสะหยิบเอาเศษไม้ที่วางกองไว้ข้างวิ่งเข้าใส่เพื่อจะจัดการศัตรูของครอบครัวและเผ่าพันธุ์ แต่ไม้ก็ต้องหักกระเด็นเมื่อฟาดเข้ากับกำแพงล่องหนซึ่งปกป้องนายทหารไว้เช่นกัน
      “ทำไมกัน....” เธอเอ่ยถามด้วยความแปลกใจพลังที่ช่วยเธอก็ยังปกป้องแม้แต่ศัตรูของเธอด้วย  เธอโยนไม้ใส่นายทหารซ้ำทั้งที่รู้ว่ามันจะสะท้อนออกมาจนเศษไม้เฉียดหน้าเธอเป็นแผล กำแพงวิเศษนั่นไม่ได้ปกป้องการกระทำที่เกิดจากตนเอง
       
      “ฮ่าๆ! ว่ายังไงล่ะ? ฉันทำอะไรแกไม่ได้แต่แกก็ทำอะไรฉันไม่ได้เหมือนกัน ดูท่าหมอนั่นคงอยากให้เราจ้องตากันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งมากกว่า”
      ผู้หมวดด่าทีหลอกล้อเชิงยั่วยุอีกฝ่ายแต่มารีก็แทบจะหาได้สนใจไม่
      “นี่นายตรวจตั๋ว! นายต้องการอะไรจากฉันถึงได้เอามาขังร่วมกับไอ้หมอนี่!!?” เธอตะโกนร้องเรียกลั่นด้วยความเชื่อว่าเสียงนี้จะไปถึงเจ้าหมอนั่น
      “นี่นายตรวจตั๋ว! ไม่ได้ยินรึไงเจ้าบ้า! ฉันถามว่านายทำแบบนี้ทำไม!!”
      เสียงตะโกนดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับแม้แต่น้อย นายทหารมองดูเด็กสาวพลางหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทางดิ้นรนทรมานของคนที่เกลียดชังแม้เขาจะประสบกับการกักขังที่ไร้เหตุผลนี้ด้วยเช่นกันก็ตาม
      “ฉันถาม.... ว่า.... เอา... ฉันมา... ขัง... ทำไม....”
      หลังจากเค้นเสียงออกมาหลายครั้งสุดท้ายเด็กสาวก็เหนื่อยหอบ เส้นเสียงเจ็บแสบไปทั้งคอและรู้สึกกระหายน้ำมากเพราะก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึกและยังกินทาร์ตไป หมอนั่นบอกว่ารถไฟคันนี้อยู่เหนือกฎธรรมชาติและตัวเธอก็ไม่ใช่ร่างเนื้อแต่ทำไมถึงรู้สึกหิว กระหาย และเจ็บปวดได้ล่ะ งั้นที่นี่ก็คงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสวรรค์ล่ะมั้ง
      “โอ้! ดูสิตรงนั้นมีเหยือกน้ำด้วย” ผู้หมวดหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยังเหยือกซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร ภายในนั้นมีน้ำใส่อยู่เต็ม
      “หิวน้ำมาล่ะสิ แต่โทษทีนี่ของฉัน” เขาพูดล้อเลียนยั่วยุเด็กสาวอย่างสนุกสนานและคว้าเหยือกไว้ไม่ให้เด็กสาวเอาไปดื่มได้เป็นการทรมานเธอ เกิดประกายไฟช็อตมือของทหารหนุ่มจนเขาสะดุ้ง
      “บ้าอะไรเนี่ย! ป้องกันของแบบนี้ไว้ด้วยเรอะ?” นายทหารลองจับอีกครั้งกระแสไฟฟ้าเข้าช็อตร่างของเขาอย่างรุนแรง และยิ่งแรงขึ้นเมื่อฝืนจะเอาให้ได้จนเขาทนความเจ็บปวดไม่ไหวต้องถอยออกมาในสภาพที่ชาไปทั้งตัว
       
      “ไม่ยอมให้เรากินน้ำ.... หรือว่า!?” ทหารหนุ่มลองจับไปที่ขนมปังเกิดไฟลุกออกมาคลอกมือ เขาขว้างมันทิ้งไปก่อนที่คลอกทั้งตัว แม้ไม่มีแผลไฟช็อตหรือรอยไหม้แต่ความเจ็บปวดจากไฟฟ้าและความร้อนจากไฟนี่เป็นของจริง เมื่อทดสอบกับของอื่นๆในห้องนี้ หนังสือจับกลายเป็นหนามแหลม มันฝรั่งปล่อยน้ำกรด ปากกากลายเป็นหมาป่าไล่กัดเขาและกลับสภาพเดิมหลังจากกินผ้าตรงบั้นท้ายกางเกงไปแล้ว ที่นี่ไม่ยอมให้เขาได้สัมผัสกับของใช้ที่จำเป็นแม้แต่น้อยนอกจากทุกอย่างในห้องปลดทุกข์
       
      เมื่อมารีเห็นเช่นนั้นเธอเริ่มกลัวว่าจะเป็นเหมือนกัน แต่เมื่อเอื้อมมือจับกลับไม่มีประกายไฟฟ้าหรือเปลวไฟลุกท่วมมือแม้แต่น้อย เด็กสาวยกเหยือกน้ำขึ้นมาใส่แก้วดื่มและร้องอย่างสดชื่น
      “ดูเหมือนว่าฉันจะได้สิทธิ์... แค่คนเดียวนะ” มารีเยาะเย้ยคนที่ตนเกลียด
      “หนอยแน่ะ! แก!!” ผู้หมวดบันดาลโทสะวิ่งใส่เด็กสาวแต่ก็ไม่อาจผ่านบาเรียล่องหนที่คุ้มกันอยู่ได้ การกระเด็นล้มกลิ้งหลายครั้งทำให้นายทหารหาญผู้นี้มึนหัวตึบ เด็กสาวหัวเราะอย่างเริงร่าด้วยความสะใจ
      “เป็นยังไงบ้างล่ะ? ความรู้สึกที่โดนดีดหัวคะมำ เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อยน่ะ!!” เธอแหกปากใส่หน้าของนายทหารอย่างไม่เกรงกลัวเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายทำร้ายเธอไม่ได้ เธอได้รับความคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยซ้ำมันยังหยิบฉวยอะไรในที่นี้ไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว หรือก็คือไม่สามารถกินดื่มอะไรได้ทำได้แต่เพียงเข้าห้องน้ำ น่ากลัวว่าคงต้องหาอะไรกินจากในนั้น
      “ไอ้พวกโสโครก! ไอ้สารเลวจอมขี้โกง!” นายทหารเดือดดาลทำหน้ายักษ์ใส่แต่เด็กสาวก็ไม่สนใจตราบที่มือของมันยังคว้าคอหอยเธอไม่ได้ เธอรีบตรงไปยังประตูทางออก แต่มันกลับล็อคไว้และเมื่อเธอไปยังประตูอีกด้านก็ไม่พ้นเป็นเช่นเดียวกัน
      “เราถูกขังซะแล้ว...” มารีเดินจากประตูมานั่งบนเก้าอี้และฟุบลงไปบนโต๊ะไม่สนเสียงหัวเราะปนข่มขู่ของหมาบ้าบางคน และคิดว่าทำไมเธอถึงต้องมาโดนขังอยู่กับไอ้สารเลวนี่
      “หิวจัง....” เธอบ่นพึมพำพลางยื่นหยิบแอ็ปเปิ้ลในตะกร้าและเห็นกระดาษทับอยู่ตรงก้น เธอหยิบขึ้นมาอ่านดู
       
      “มีเพียงผู้เป็นเจ้าของจึงจักมอบให้ผู้อื่นได้ หากเจ้าหลงทางสู่ความมืดจะต้องรับกรรมที่ก่อไว้”
       
      “มีเพียงผู้เป็นเจ้าของ?” เด็กสาวร้องอุทาน พลางหันมองรอบตัวดีๆ สภาพโบกี้รถไฟที่ดูเก่าแต่สะอาดเหมือนมีคนอาศัยอยู่ โต๊ะเก้าอี้ลายไม้แบบนี้ ตู้หนังสือกับเตียงคู่เล็กๆวางเรียงเคียงกัน พลันนั้นเหมือนความคิดของเด็กสาวก็ส่องประกายในทันที เธอรู้จักที่นี่ เธอเคยอยู่ที่นี่
      “ที่ซ่อนของเรา....” เธอเอ่ยสรรพนามว่าเราด้วยสำนึกที่หวนระลึกถึงวันวาน วันที่เธอต้องถูกบีบให้ออกจากบ้านเดิมมาอยู่ในที่ซ่อนซึ่งเป็นด้านหลังของบริษัทพ่อเธอ แม้จะอึดอัดและยากลำบากในการใช้ชีวิตแต่เมื่อเพื่อนร่วมชะตากรรมได้มาอยู่ร่วมกันแล้วก็ยังอบอุ่น เป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดในโลกเท่าที่จะหาได้ปรากฏอยู่ท่ามกลางเธออีกครั้งแล้ว เมื่อนั้นน้ำตาหยดเล็กๆไหลรินอาบแก้มของเธอเมื่อไม่สามารถควบคุมความทรงจำอันหอมหวานซึ่งพุ่งพล่านอยู่ในใจเธอได้
       
      “เป็นอะไรไปยัยเด็กเลว ร้องไห้คิดถึงพ่อแม่รึไง?” นายทหารพูดเยาะเย้ยเธอเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้เพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจมากที่สุด
      “ดูท่าเด็กน้อยจะกลัวอยู่คนเดียวเลยงอแงใหญ่เลยล่ะสิ โตขนาดนี้แล้วยังทำเป็นเด็ก น่าไม่อายจริงๆ”
      ถึงจะเป็นเพียงคำพูดล้อเลียนไร้สาระแต่ก็น่าหน่ายใจที่คนระดับนายทหารมาหยอกล้อเด็กเล็กๆเพื่อความสะใจ ซึ่งเผอิญได้ผลกับมารีที่สภาพจิตใจยังไม่อยู่กับรอย ความโกรธเรียกร้องให้เอาคืนและไม่รอช้าเธอคว้าขวดแก้วใกล้ๆมือฟาดใส่ไอ้เลว และแตกในทันทีเมื่อกระทบกับบาเรียล่องหน
      “ทำอะไรไม่ได้ล่ะสิ!” นายทหารหัวยิ้มหัวเราะอย่างได้ใจ “ถึงที่ห้องนี่ฉันจะทำอะไรแกไม่ได้ แต่แค่ด่าว่าอะไรนิดหน่อยก็แทบจะทำให้แกเป็นบ้าแล้ว สะใจชะมัดเลย!”
      เสียงหัวเราะตบมือดังห้องไปทั้งห้องราวกับเด็กอันธพาลกำลังสะใจที่ได้แกล้งคนไม่มีทางสู้ เด็กสาวยืนหอบเล็กน้อยเธออาจจะโกรธมากแต่ก็เริ่มเหนื่อยจนอยากจะนอนพัก ท้องไส้ของเธอก็เหมือนกำลังเรียกร้องหาอะไรใส่ทั้งที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองตอนนี้มีร่างกายที่รู้สึกหิวได้ยังไง
      “หิวเรอะ!?” มารีฉุกคิดอะไรได้ รอยยิ้มน่าขนลุกจึงเผยออกมา
      “นี่คุณนายทหาร...” เด็กสาวส่งสายตาดูแคลนอย่างที่ไม่แสดงมาก่อนต่อนายทหารจนมันต้องชะงักไปพักหนึ่ง
      “ตาแบบนั้น....!? ทำอะไรไม่ได้แล้วจะมาทำท่าล้อเลียนยั่วโมโหชั้นเอาคืนงั้นเรอะ ไม่ได้ผลหรอกน่าความอดทนของชั้นมากกว่ายัยหนูวัยละอ่อนอย่างแกเยอะไม่มีทางโดนยั่วจนเสียสูญได้หรอก”
      “ก็คงจะอย่างนั้น...” เธอเห็นตาม แต่แววตายังแสดงความเหนือชั้นกว่าอีกฝ่าย
       
      “อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วคุณไม่หิวบ้างรึไงคะ?” มารีหยิบแอ็ปเปิ้ลผลหนึ่งจากตะกร้าบนโต๊ะและดมกลิ่น นายทหารมองด้วยสายตาคะนึงว่าตอนนี้ตนเองก็เริ่มรู้สึกท้องว่างแล้วเช่นกัน การที่หยิบเหยือกน้ำเมื่อครู่ก็เพราะกระหายน้ำอยู่ไม่น้อยด้วยตั้งแต่เขาอยู่รถไฟนี่มานานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
      “มันต่างกันที่ฉัน....” เด็กสาวกัดแอ็ปเปิ้ลคำหนึ่งและเคี้ยวโชว์อย่างเอร็ดอร่อย
      “แต่คุณ....” เธอโยนแอ็ปเปิ้ลให้กับนายทหารแต่เมื่อเขาคว้าไว้มันกลับปล่อยไฟออกมาเผามือเขาจนขว้างทิ้งแทบไม่ทัน
      “กระดาษแผ่นนี้มันบอกว่ามีเพียงผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ที่จะกินหรือใช้ของที่อยู่ที่นี้ทั้งหมดซึ่งที่นี่เคยเป็นบ้านของฉันมาก่อนฉันจึงถือสิทธิ์ทั้งหมด ถ้าคนอื่นจะกินของที่นี่หรือใช้อะไรก็ต้องได้รับอนุญาตจากฉันก่อน!”
      เธอร่อนกระดาษใส่ทหารผู้ซึ่งลำพองใจในความเหนือชั้นของตนจนถึงเมื่อสักครู่ ความจริงที่บอกผ่านกระดาษได้สลายความคิดนั้นจนสิ้นเหลือไว้เพียงแววตาของความตกตะลึงและสิ้นหวัง
      “แต่ฉันไม่ให้! ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ซุป มันฝรั่ง ผลไม้ หรือน้ำสักหยด ฉันก็จะไม่ให้ตกถึงท้องแกแม้แต่นิดเดียว จะให้แกได้รู้ถึงความทรมานที่พวกเราได้รับ ฉันจะลงโทษแกแทนทุกคนเอง!!”
       
      นายทหารเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างก่อนแววตาหมองเศร้าจะลุกโชนด้วยความโกรธ เขาหยิบแอ็ปเปิ้ลซึ่งลุกโชนเผามือเขาขว้างใส่เด็กสาว มันพุ่งออกไปในสภาพของลูกไฟอันร้อนแรงก่อนจะค่อยๆมอดลงดับสนิทอยู่ในมือของมารี แอ็ปเปิ้ลสีแดงสดใหม่หวานช่ำจนเธอต้องกัดลิ้มรสโชว์อีกครั้งยั่วยุอารมณ์ของนายทหารมากขึ้น ทั้งจากความโกรธที่ถูกยั่วยุและความกลัวต่อความหิวกระหายที่ต้องเผชิญ
       
      “ดูท่าจะร้อนแย่ เอาน้ำหน่อยไหมคะท่านผู้ยิ่งใหญ่” มารีเทน้ำจากเหยือกลงพื้นไหลนองไปทางนายทหารผู้รู้ฤทธิ์ของกระแสไฟฟ้าจากมันหากสัมผัส หญิงสาวระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
      “ท่านเผ่าพันธุ์ผู้แสนประเสริฐเหนือผู้ใดกำลังหนีแค่แอ่งน้ำนองพื้นช่างกล้าหาญหาผู้ใดเทียบเคียงจริงๆนะคะ” พลางพูดจิกกัดถากถางสนุกได้ใจแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาก่อน เธออยู่ในฐานะที่เหนือกว่าอีกฝ่ายชัดเจนและเธอจะใช้โอกาสนี้ทรมานมันให้สาสมกับสิ่งที่ได้ทำกับครอบครัวของเธอซะ
      “โอ๊ย!” มารีรู้สึกเจ็บที่มือซ้ายจนปล่อยเหยือกน้ำหล่นแตกและแทบจะทรุดไปกับพื้น เธอมองไปยังหลังมือพบว่ามีผิวหนังสีดำหุ้มเกล็ดแข็งงอกทะลุผิวหนังจนเลือดไหลซึมออกมา 
      “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา?” เด็กสาวกลัวจนหน้าซีด ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรหรือเพราะการแก้แค้นเมื่อกี้จะทำให้เกิดปีศาจที่เรียกว่าซินขึ้นมาอีก? แต่ตอนนั้นมันเกิดขึ้นมาเป็นรูปร่างไม่ได้กลายเป็นเนื้อหนังบนตัวแบบนี้นี่นาพลันนั้นเธอก็นึกเรื่องสำคัญออก
       
      “หากเจ้าหลงทางสู่ความมืดจะต้องรับกรรม ที่ก่อไว้” มารีเอ่ยประโยคช่วงท้ายและเข้าใจชัดเจนว่านี่คือความหมายของมัน เธอทำตัวร้ายกับเจ้าทหารนั่นและผลของการกระทำนี้ก็คือร่างกายที่เหมือนปีศาจนี่ ดวงตาของเด็กสาวเบิกโพล่งตัวทรุดฮวบกับพื้นหน้าซีดเผือก ในตอนนั้นเองกระดาษที่มารีโยนไปเริ่มเปล่งแสง เธอหยิบมันขึ้นมาดูซึ่งบนแผ่นกระดาษค่อยปรากฏประโยคใหม่ขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจนายทหารที่ได้แต่มองหน้าซีด
       
      หนทางหนีจากที่แห่งนี้คือการดำรงอยู่เพียงหนึ่ง หากเจ้าจักถูกลงโทษโดยสมบูรณ์เราก็จะมาล้างผลาญเจ้าให้สิ้นชีพ
       
      มารีสะดุ้งเฮือกใหญ่ถ้าเธออ่านทวนดูซ้ำอยู่สักครู่เพี่อความแน่ใจว่าเข้าใจไม่ผิด บนจดหมายนี่บอกว่าหากถูกลงโทษโดยสมบูรณ์จะถูกจัดการ ถ้าเธอกลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์จะถูกฆ่าโดยนายตรวจตั๋วอารัญงั้นหรือ? เธอหนีพ้นจากการมุ่งทำร้ายของทหารเลวนี่ได้แล้วแต่กลับต้องมาหวาดกลัวที่จะโดนฆ่าอีกแล้ว ความหวาดกลัวกระจายออกมาจนทั่วทุกอณู เธอเกรงกลัวมือข้างที่มีร่องรอยของปีศาจจนอยากจะเฉือนมันทิ้งแต่เธอก็กลัวเกินกว่าจะทำได้ ทำได้แต่นั่งคุดคู้เหยียดมือซ้ายออกไปวางไว้ห่างตัวเท่านั้น
       
      “อะฮ้า! นี่แกจะถูกฆ่าหรอกเรอะ” นายทหารกล่าวอย่างลำพองเมื่ออ่านข้อความในแผ่นกระดาษ
      “น่าสนุกนี่หว่า รีบๆเอาคืนข้าแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดนั่นเร็วๆสิ ข้าอยากเห็นเหมือนกันว่าเลือดของแกตอนนั้นจะเป็นสีอะไร” นายทหารท้าทายเธอน้ำเสียงแฝงถึงความสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง
      “หุบปากน่า!” เด็กสาวตะคอกกลับ “ฉันไม่มีวันกลายเป็นสัตว์ประหลาดละครสัตว์ของแกหรอก ไอ้คนชั่วช้า”
      “ยังกะพวกแกเป็นคนดีนักแหละ ไอ้พวกขี้โกง”
      “ก็ยังดีกว่าฆาตกรไล่ฆ่าคนยังเหมือนหมาบ้าอย่างพวกแกนั่นแหละไอ้พวกทรชน...”
      ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งแขน หนามแหลมคมแข็งงอกเพิ่มจากจุดเดิมของมัน หนามหลายอันความยาวเกือบสองนิ้วทั้งอันตราย เกะกะ และน่าสยดสยองจนมารียังคลื่นไส้อยากจะอาเจียนให้ได้ ความเกรี้ยวกราดเมื่อกี้ส่งบทลงโทษมาให้เธออีกแล้ว
      “รีบๆกลายร่างแล้วไปตายซะ อย่าลืมว่ามีเพียงหนึ่งที่จะได้ออกไป” ผู้หมวดร่อนกระดาษคืนให้เด็กสาวด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก
      “เออ... แกก็อย่าหวังว่าจะมีอะไรตกถึงท้องเลย ที่นี่ไม่มีอะไรให้แกกินนอกจากของๆแกเอง!” มารียื่นคำขาดจนแม้แต่นายทหารถึงกับหน้าเหวอโดยเฉพาะของๆแกที่เด็กสาวเลี่ยงจะพูดชื่อมันเพราะไม่อยากเอ่ยถึงสิ่งน่ารังเกียจ ทั้งคู่ต่างจดจ้องกัน เฝ้ามองว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำและปลดปล่อยอีกคนหนึ่งจากการจองจำ
       
      ผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้สำหรับตู้รถไฟที่ปิดทึบในโลกซึ่งไม่มีแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แม้แต่ประกายของดวงดาว สองผู้ถูกกักขังในตู้รถไฟซึ่งถูกสร้างให้มีลักษณะเหมือนที่ซ่อนเดิมของมารี เด็กน้อยซึ่งนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะหลังทานอาหารเสร็จไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนโดยนายทหารนอนพิงกำแพงอยู่ตรงข้ามเธอในสภาพอิดโรยและเหนื่อยล้าจากการขาดอาหารและน้ำมาเป็นเวลานาน ความเป็นอยู่ที่นี่ออกจะดีด้วยซ้ำกับคนที่เคยชินกับการใช้ชีวิตในที่ซ่อนมานานกว่าสองปีอย่างเธอ รู้ดีว่ามีของอะไรเก็บอยู่ที่ไหนบ้างหาได้ไม่ยาก น้ำกับอาหารก็มีเก็บอยู่ในโกดังเล็กเหลือเฟือแถมพอหลับตื่นหนึ่งมาดูในตู้อีกทีของที่ถูกใช้ไปก็กลับมาเต็มเหมือนเดิมไม่ว่าจะกินไปมากเท่าไหร่หรือถูกทำให้สกปรกเลอะเทอะยังไงผักผลไม้ก็จะกลับมามันวาวสดใหม่ 
       
      แม้แต่น้ำดื่มก็ยังสะอาดสดใสเย็นช่ำเหมือนเพิ่งตักขึ้นจากบ่อน้ำยามเช้าราวกับมีเวทมนต์จึงเรียกว่าไม่มีอดอยากแค่ทนกินมันฝรั่ง สตูว์กับขนมปังทุกมื้อได้ก็อยู่รอดแล้ว บางทีนายทหารนั่นก็ทนไม่ไหวพุ่งมาคว้าของกินบ้างแต่ก็ลงเอยด้วยไฟ ไฟฟ้า กับหนามแหลมคมทุกครั้งไป ชุดเครื่องแบบก็มีครบ ห้องน้ำก็ใช้ดีมีประปาสะอาดใช้ซักผ้าตากเองได้ง่าย เธอไม่กลัวที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเจ้าทหารชั่วนั่น มันไม่สำคัญกับคนที่เคยโดนพวกนั้นตรวจร่างกายทุกซอกทุกมุมมาก่อน บางทีเธอก็ลองเคาะประตูดูทั้งสองด้านบ้าง ตะโกนเรียกออกไปบ้างจนถึงขั้นพยายามเปิดให้ออกแต่ก็ไม่เป็นผล
       
      สิ่งที่เธอต้องทนจริงๆ ในชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาคือการผลัดกันทำสงครามประสาทใส่กันโดยนายทหารพยายามยั่วยุให้เด็กสาวโกรธและอยากเอาคืนเพื่อให้เธอกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยเร็ว โดยมารีต้องทนอดกลั้นไม่สนใจคำด่าทอไร้สาระเพราะเธอยังไม่อยากจะกลายเป็นอสุรกายให้นายตรวจตั๋วนั่นออกมาฆ่า ทำได้แค่อดทนให้ใจสงบแล้วก็ใช้ชีวิตในห้องนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าเธอจะถูกปล่อยตัวแม้จะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ 
       
      ห้องนี้จะเหมือนกับที่ซ่อนเดิมแต่พออยู่นานพอถึงรู้ว่าที่อยู่เดิมของเธอที่ซึ่งทุกคนเคยอยู่อย่างแออัดต้องอดทนเพื่อจะอยู่รอด เผชิญกับอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายของผู้คนที่เคยเจ็บปวดและสูญเสีย ห้องหลบภัยอันคับแคบที่เหล่าคนร่วมชะตากรรมเดียวมาอยู่ร่วมกันแต่ก็ยังอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความเป็นมิตร ไม่เงียบเหงาวังเวงเหมือนตอนนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ซ่อนของเธอ เป็นแค่ของจำลองที่แม้จะกว้างเกินกว่าคนแค่สองคนจะอยู่ทั้งพร้อมด้วยปัจจัยทุกอย่างครบถ้วนแต่ก็อ้างว่างกันดารยิ่งกว่าทะเลทรายทั้งปวงในโลกนี้ มันไร้ซึ่งกลิ่นอายของครอบครัวและความรัก
       
      แต่ยังไง? ข้อความบอกว่ามีแค่คนเดียวที่จะออกจากห้องนี้ได้ ก็หมายความว่าคนหนึ่งต้องตายไปซะแต่เขาไม่ยอมให้พวกเธอฆ่ากันเอง หรือต้องรอให้นายทหารนั่นอดตายก่อนหรือไม่เธอก็ต้องกลายเป็นปีศาจทั้งตัวแล้วโดนนายตรวจตั๋วนั่นฆ่าซะก่อนเรอะ? หลังจากผ่านมานานนับได้หลายวันอยู่เธอเผลอปล่อยตัวตามอารมณ์ไปหลายครั้ง จากเกล็ดดำที่มือแค่นิดเดียวตอนนี้ลามไปทั้งแขนแถมด้วยเล็บยาวเกือบนิ้วซึ่งแหลมคมขนาดกรีดโต๊ะทะลุได้ ไม่เท่านั้นตอนนี้ทั้งเกล็ดดำนี่ยังลามมาถึงหน้าซีกซ้ายของเธอแล้ว แถมต่อด้วยแผงคอหนามแหลมคมที่เอาแต่จิ้มโดนตัวเธอตอนนอนเลยต้องมาลำบากนอนฟุบหน้าบนโต๊ะแทน 
       
      แต่ถ้าลองดูสภาพของนายทหารแล้วหมอนั่นแย่กว่าเธอซะอีกเพราะจนถึงตอนนี้เธอไม่อนุญาตให้มันกินอะไร ไม่มีทางยอมให้ปีศาจชั่วช้านั่นได้ลิ้มรสแม้แต่เปลือกมันฝรั่งเพียงเศษเสี้ยวเดียวอย่างแน่นอน สภาพของมันจึงดูผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัดหลายชั่วโมงที่ผ่านมานี่มันก็แทบจะไม่พูดหรือทำอะไรแล้ว ทำได้แต่นั่งนอนนิ่งๆไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหวใช้พลังงานมากจนหิวไปมากกว่านี้
       
      “ว่ายังไงล่ะไอ้ผู้หมวดสารเลว ยอมแพ้ได้รึยัง....?” เธอถามด้วยน้ำเสียงหอบเบาเพราะอึดอัดจากส่วนที่กลายเป็นปีศาจทางซีกซ้ายที่เหมือนจะขยับไม่ตรงจังหวะกับส่วนที่เป็นมนุษย์ทำให้หายใจลำบาก
      “แค่นี้... จิ๊บจ๊อย!” นายทหารเอามือก่ายหน้าผาก น้ำเสียงของเขาดูสดใสกว่าสภาพที่เป็นอยู่หรืออีกนัยคือฝืนทำเป็นมีชีวิตชีวาข่มให้อีกฝ่ายหัวเสียไว้ก่อนก็ได้
      “กะอีแค่อดข้าวอดน้ำ... ทหารที่ต้องรบอยู่ในแนวหน้า.... ทุกคน.... ล้วนแต่ฝึกฝน.... เพื่ออยู่รอดใน.... สถานการณ์.... อย่างนี้อยู่... แล้ว” เขาพูดตะกุกตะกักพลางฝืนยิ้มแม้จะหิวจนท้องกิ่วเอวคอดอยู่แล้ว
      “รบแนวหน้างั้นเหรอ เพื่อไอ้ผู้นำชั่วคนนั้นน่ะเหรอ? ปัญญาอ่อนชะมัด” เด็กสาวพลั้งปากด่าออกมาเลยมีหนามแผลงคองอกออกมาอีกสองอัน เด็กสาวกัดฟันกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
      “หุบปาก!.... เลยนังโง่....” เขาตะโกนด่าก่อนจะกลับมาหมดแรงอีก นายทหารยิ่งหายใจหอบทรมานกว่าเดิมเมื่อตะเบ็งแหกปากลั่นเมื่อครู่เพราะต้องใช้พลังไปน้อยทั้งที่กำลังเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว
       
      “ท่านผู้นำเป็นวีรบุรุษ เป็นพระผู้ช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากตกต่ำน่าสมเพช หลังจากที่พ่ายแพ้ในสงครามใหญ่ครั้งก่อน ท่านปลุกใจพวกเรา มอบความหวังให้เรา สร้างประเทศขึ้นใหม่ให้กลายเป็นจักรวรรดิอันเกรียงไกรเหนือขุมอำนาจใดๆในโลก และจะกลายเป็นดินแดนอันยิ่งใหญ่เหนืออารยธรรมใดๆที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จะดำรงอยู่สืบไปนานนับพันปี เพื่อลูกหลานของพวกเราจะได้ภาคภูมิใจ”
      “พวกเขาทุกข์ใจมากกว่า ถ้าว่าบรรพบุรุษของพวกเขาสร้างประเทศขึ้นมาจากการฆ่าคนไปเป็นล้านๆ” เธอเผลอด่าออกมาอีกรอบแต่ถ้าให้ต้องมาฟังมันสาธยายความฝันโง่ๆนั่นเธอสู้ยอมเป็นปีศาจแล้วเชือดมันทิ้งเดี๋ยวนี้เลยดีกว่าถ้าบาเรียล่องหนนั่นหายไปด้วยน่ะนะ ดูเหมือนแรงจะดีขึ้นแล้วนี่ทั้งที่เมื่อกี้ยังพูดแบบเหนื่อยๆอยู่เลย
      “แกอยากจะว่ายังไงก็เชิญ....” นายทหารหายใจหอบ “อดอาหารแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก”
      “จะทำเป็นปากดีอยู่อีก จำได้ว่าตอนเจอกับปีศาจของฉันแกก็เกือบแย่เหมือนกันนี่” เด็กสาวกล่าวกระทบกระเทียบ
      “หนวกหูน่า อย่าคิดว่าปล่อยให้ฉันอดอยากแล้วฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ ยังไงสภาพตอนนี้ของฉันก็ยังดีกว่าสมัยเด็กเยอะ”
      “สมัยเด็ก!?”
      เด็กสาวสะกิดใจกับประโยคที่นายทหารยกขึ้นมา
       “เออ... หลังจากประเทศของเราแพ้สงครามครั้งก่อน บ้านเมืองได้รับความเสียหายมากไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่นั้นยากลำบากแร้นแค้นผู้คนมากมายกลายเป็นผู้ยากไร้ ไม่มีบ้านอยู่ มีชีวิตอย่างอดมื้อกินมื้อเป็นสภาพที่ตัวฉันสมัยเด็กเคยเผชิญมาจนชินชาแล้ว”
      นายทหารเริ่มเล่าอดีตของตน มารีเริ่มตั้งใจฟังเหมือนกำลังถูกดึงดูดเข้าไปในเรื่องราว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะเล่าทำไม ฟังจากเนื้อหาอาจจะเป็นความพยายามเรียกร้องความเห็นใจเพื่อให้เธอยอมให้อะไรกินก็ได้แต่เธอไม่อยากแสดงความเมตตากับคนอย่างมัน
       
      “แต่ละวันเราพยายามเอาตัวรอดอย่างเต็มที่ คุ้ยขยะหาของกิน ขโมยอาหารจากคนอื่น ขุดรากไม้เน่าๆขึ้นมากิน  ทุกอย่างทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในแต่ละวัน เป็นชีวิตที่ไร้ค่าไร้ความหมายทำตัวไม่ต่างกับสัตว์ป่าที่ไม่มีความคิดได้แต่หาอาหารตามสัญชาติญาณอย่างเดียว จนกระทั่งท่านผู้นำปรากฏตัวขึ้น เขาประกาศที่จะฟื้นฟูและนำประเทศไปสู่ยุคใหม่ และท่านยังได้ประกาศถึงศัตรูที่แท้จริงของพวกเรา พวกปีศาจเหลือบไรจอมฉวยโอกาสที่คอยสูบกินความมั่งคั่งจนแห้งเหือดไปจากแผ่นดิน”
      “จะบอกว่านั่นคือพวกเราสินะ” เธอชิงตอบอย่างมั่นใจ ต่อให้เล่าความซะน่าสงสารยังไงแต่ถ้ามาลงเอยเรื่องเกลียดพวกเธอก็ไม่น่าฟังแล้วล่ะ
      “ใช่! ท่านผู้นำประกาศที่จะกวาดล้างอำนาจเผ่าพันธุ์ของพวกแกให้หมดไปจากแผ่นดินของเรา คืนความรุ่งเรืองและสิทธิ์อันชอบธรรมกลับมาสู่ชนชาวเรา เพื่อดินแดนอันสุขอุดมที่ลูกหลานของเราจะได้มีอาหารกินอิ่มท้อง มีชีวิตดียิ่งขึ้นต่อไปภายภาคหน้า เราจึงจำเป็นต้องกำจัดสิ่งชั่วร้ายซึ่งเกาะกินประเทศของเราให้หมดสิ้นไปซะ” นายทหารพยายามกางแขนด้วยแรงที่เหลือเหมือนเป็นการแสดงท่าทางของความยิ่งใหญ่ที่เขาใฝ่ฝัน
       
      “แล้วตอนนี้การฆ่าล้างพวกเราทำให้จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของพวกคุณรุ่นเรืองขึ้นบ้างรึยังล่ะ? ได้ยินว่าเพิ่งแพ้มาไม่ใช่หรือ แถมศัตรูของพวกคุณยังบุกถล่มที่มั่นหลายแห่งจนพินาศไปแล้วนี่” มารีถามย้อนด้วยท่าทางเอือมระอา
      “หุบปากเน่าๆนั่นซะ! เราเคยตีถล่มมหาอำนาจสำเร็จมาแล้ว ก็แค่พลาดไปหน่อย ตอนนี้เรากำลังตอบโต้คืนอยู่อีกไม่น่าก็จะไล่ต้อนพวกกองทัพแดงกลับไปดินแดนของมัน จากนั้นเราก็จะบุกทุกดินแดนได้ในที่สุด ส่วนไอ้แมลงวันที่กล้าเหยียบย่างเข้าดินแดนใต้ปกครองของเรามันก็ต้องถูกเอาคืนอย่างสาสมเอาให้เข็ดหลาบไม่กล้ายุ่งกับพวกเราอีกเลย ตราบที่ท่านผู้นำยังคงยืนยงไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ดินแดนในอุมคติจะถูกสร้างขึ้น พวกเราจะยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกลัวสูญเสียหรือหิวโหยอีกแล้ว!”
      มารีรู้สึกสะกิดใจ ดวงตาปีศาจในหน้าซีกซ้ายของเธอเหล่มองมายังนายทหารจนมันยังสะดุ้ง แม้เธอจะรู้สึกเหนื่อยและเอือมกับคำเยินยอสรรเสริญที่ไร้สาระของทหารคนนี้ต่อท่านผู้นำอะไรนั่นซะเหลือเกิน ไม่เข้าใจว่าทั้งที่พวกนั้นก็แพ้ในสงครามอยู่หลายครั้งและกำลังถูกรุกไล่จนแทบจะไม่มีทางหนีอีกแล้ว แต่กลับกล้าพูดว่าตัวเองจะยังชนะอยู่อีก สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาไว้ถึงขนาดนี้คือศรัทธาต่อท่านผู้นำของตนขนาดนั้นเชียวหรือ? คำพูดเมื่อครู่คงเป็นคำตอบ
       
      “มันเป็นสิ่งที่ไอ้พวกสารเลวอย่างแกไม่มีวันเข้าใจหรอก” นายทหารทรุดฮวบลงกับพื้นยิ่งกว่าเดิมหลังจากใส่พลังเต็มที่ให้กับการพูดแบบชัดถ้อยชัดคำเท่าที่ร่างซึ่งขาดอาหารอยู่นี้จะทำได้ มารีลุกขึ้นเดินไปหยิบจานที่อยู่ในตู้ พลางจัดแจงอาหารด้วยสตูว์ที่ทำเตรียมไว้เมื่อวาน มันฝรั่งต้มกับผลไม้อีกนิดหน่อย
      “เตรียมจะกินมื้อต่อไปอีกแล้วเรอะยัยปีศาจตะกละ เพิ่งจะกินไปเมื่อกี้นี้เองแท้ๆ ละโมบโลภมากสมกับเป็นสมกับเป็นเผ่าพันธุ์อันชั่วร้ายจริงๆเลย....”
      แต่นายทหารก็พลันต้องชะงักเมื่ออาหารพวกนั้นถูกนำมาวางไว้ข้างตัวเขา สตูว์อุ่นถ้วยเล็กกับมันฝรั่งต้มแล้วก็ผลไม้ สำหรับคนซึ่งไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานมากแล้วถืออาหารหรูระดับชาววังเลยทีเดียว
      “หิวไม่ใช่เหรอ? กินซะสิ! ฉันอนุญาตให้กินสำรับนี้ได้” เธอเอ่ย พลางเดินกลับไปที่โต๊ะ
      “ทำไมแกถึง....” นายทหารจ้องมายังเด็กสาวด้วยแววตาฉงหกับสิ่งที่เด็กสาวทำ
      “แต่นายศรัทธาในตัวท่านผู้นำนี่ คงไม่คิดจะรับของจากเหลือบไรอย่างพวกเราหรอกเนอะ” เด็กสาวกล่าวเหน็บแนม
       
      “ใช่... ฉันศรัทธาในท่านผู้นำ... ไม่มีทางที่จะ.... จะ....” ผู้หมวดหนุ่มเหลือมองมายังจานอาหาร สีสันจากความสดของผลไม้ ควันกรุ่นหอมหวนของสตูว์ กลิ่นหอมหวนของมันฝรั่งต้ม ทั้งหมดนี้ช่างยั่วยวลเขาที่กำลังอิดโรยอดอยากอยู่เป็นอย่างยิ่ง แม้ปากจะบอกว่าไม่มีทางรับอาหารจากศัตรูที่เกลียดชังแต่เสียงท้องร้องเป็นเหมือนสัญญาณจากร่างกายที่เรียกหาอาหารเพื่อต่อชีวิตที่กำลังโรยราลง สมองส่วนลึกกำลังสั่งให้ร่างกายขยับมือของนายทหารเอื้อมออกไปและกำลังจะยกชามสตูว์ขึ้นมากินให้หนำใจ แต่เขาก็ห้ามมันไว้ซะก่อน
       
      “ทำไม! ทำไมถึงให้อาหารฉัน? ไหนบอกว่าจะไม่มีอาหารตกถึงท้องฉันแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ให้ไงล่ะ? พวกเห็นแก่ตัวอย่างแกไม่มีทางเอาอาหารมาให้ฉันแบบนี้แน่นอน แกเป็นปีศาจจอมละโมบ หัวขโมยอกตัญญู”
      “เออ... ฉันมันปีศาจจอมละโมบ หัวขโมยไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ว่าไปนั่น ตอนนี้ฉันก็จะกลายเป็นปีศาจไปจริงๆแล้ว...” มารีหันไปทางกระจกที่สะท้อนใบหน้าครึ่งคนครึ่งอสุรกายของเธอ
      “แต่ฉันไม่ใช่คนเลวไปซะทุกอย่าง.... ก็แค่นั้น”
      นายทหารถึงกับเงียบไปครู่หนึ่งแม้จะสบถออกมาเบาๆแต่เหมือนน้ำเสียงจะลังเลอยู่บ้างราวกับไมตรีที่เด็กสาวมอบให้ส่งผลได้บ้างแล้ว
      “ถ้าไม่กินก็วางไว้เฉยๆอย่างนั้น หรือจะเอามาโยนทิ้งขว้างเล่นยังไงก็ได้ ของในจานพวกนั้นเป็นของนายอยู่แล้ว จะกินหรือไม่ก็เรื่องของนาย”
       
      มารีบ่นน้ำเสียงลอยๆเหมือนไม่ได้ใส่ใจแต่ตายังแอบเหล่มาทางนายทหารอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้แตะอาหารแม้แต่น้อยเหมือนจะกลัวอยู่ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นอะไรอีกรึเปล่า แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็เริ่มจิบน้ำ และการกินจานอื่นๆก็ตามมาแม้จะดูตะกละมูมมามก็แสดงออกถึงประกายแห่งความประทับใจของร่างกายซึ่งถูกจองจำไว้ด้วยความหิวกระหายได้ถูกปลดตรวนในที่สุด และถ้าเด็กสาวมองไม่ผิดเธอเห็นนายทหารนั่นร้องไห้ออกมาด้วยแม้จะแค่เล็กน้อยแต่นั่นเป็นน้ำตาของความปลาบปลื้มยินดี
      หลังจากนั้นมามารีจะแอบเอาชามอาหารมาวางไว้ข้างนายทหารตอนหลับเสมอโดยช่วงแรกเป็นแค่วันละมื้อและเป็นอาหารซ้ำซาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับความทรมานต่อความหิวโหยทั้งสตูว์ ขนมปัง และผลไม้ทั้งหมดถูกกินจนหมดเรียบไม่มีเหลือ พฤติกรรมยั่วยุของนายทหารลดลงไปอย่างมากราวกับเป็นสัญญาณของการขอบคุณต่อเธอ แน่นอนว่ามันยังไม่ดีพอจะให้เขารู้สึกชอบหรือยอมพูดคุยเธอได้ แต่ก็มากพอจะผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดเลวร้ายในรถไฟแห่งนี้จนแทบจะจางหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
       
       เด็กสาวเองก็ยังเกลียดเขาอยู่แต่ทำไมเธอถึงเอาอาหารไปให้เขาแต่แรก ทำไมเธอยังอนุญาตให้เขากินต่อไปเรื่อยๆ มันไม่มีเหตุผลที่ต้องให้อาหารมันสักนิดปล่อยให้หิวตายไปเลยก็ได้ไม่ต้องแคร์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเธอไม่ใช่คนเลวแต่เป็นสิ่งที่พวกมันสมควรได้รับจากผลกรรมที่ทำไว้ แต่ทำไม....
       
      “ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงยอมให้อาหารฉัน?” นายทหารยอมเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนขณะกำลังรับประทานอาหารเช้าโดยหญิงสาวที่นั่งกินข้าวเช้าอยู่บนโต๊ะยังต้องหยุดช้อน
      “บอกแล้วไง... ฉันไม่ใช่คนเลว” เธอตอบอย่างเรียบเฉย
      “แต่... ฉันทำกับเธอไว้ขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่...” นายทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางสุภาพขึ้นแบบที่เขาไม่เคยแสดงกับเด็กสาว ทั้งที่ตัวเขาทำกับเธอไว้ขนาดนั้นทั้งทำร้ายด่าทอจนสภาพกลายเป็นปีศาจไปครึ่งตัวแล้ว แต่เธอยังยอมอนุญาตให้เขากินได้ ทำไม?
      “มานั่งที่โต๊ะสิ” เธอเรียกนายทหารพลางตบโต๊ะเบาๆ “เราจะกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน”
      ผู้หมวดหนุ่มดูแปลกใจ เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะยกอาหารของตนมานั่งบนโต๊ะโดยดีและเริ่มรับประทานอาหารด้วยกัน
      “นายชื่ออะไร?” มารีถามนามของนายทหาร เขาถอนหายใจเบาๆ
      “ชวาร์ซ ไฮน์ เลเบิล” เขาตอบอย่างแผ่วเบาเหมือนไม่อยากตอบ
      “คุณมีครอบครัวหรือเปล่า?” เธอถามต่อ
      “ฉันมีแม่กับน้องสาวอยู่ที่บ้าน” เขาหยิบภาพถ่ายโยนให้กับมารี ภาพของสตรีวัยกลางคนกับเด็กสาวอายุราว 17 ปียืนเคียงข้างนายทหารหนุ่ม โดยไม่มีรอยยิ้มประทับบนใบหน้าของผู้ใด
      “ภาพถ่ายเช้าวันก่อนที่ฉันจะเข้าประจำการ พวกเขาให้ฉันถ่ายรูปร่วมกันเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า แต่ฉันไม่ค่อยได้หยิบออกมาดูเท่าไหร่ส่วนใหญ่นอกจากเวลาว่าง” นายทหารอธิบาย เขาดูซึมลงหลังจากพูดจบ
      “แล้วท่านผู้นำของนาย... เขากวาดล้างพวกเราเพราะเคยถูกพวกนั้นรังแกมาก่อนหรือ?” มารีถามสิ่งที่อยากรู้มานานตั้งแต่ที่ได้ยินนายตรวจตั๋วบอก
      “ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ได้ยินข่าวลือว่าเหตุผลที่ท่านผู้นำเกลียดเผ่าพันธุ์แบบพวกเธอเพราะสมัยเด็กๆครอบครัวของท่านถูกพวกนั้นโกงกินจนต้องมีชีวิตอย่างยากลำบาก มันอาจจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระไม่มีมูลความจริงอะไรเลยก็ได้” นายทหารตอบ และเป็นคำตอบที่ทำให้เด็กสาวถึงแทบกลืบไม่ลง
      “ทั้งแบบนี้นายก็ยังจะออกรบอีกเหรอ นายมีครอบครัวมีคนที่รักรออยู่แท้ๆแต่กลับออกรบในสงครามงี่เง่านี่ ทำไปเพื่ออะไร?”
      “มันเป็นหน้าที่ของพวกเราต่อประเทศชาติ เพื่อความฝันจะสร้างดินแดนที่ทุกคนจะอยู่ได้อย่างผาสุกและไม่มีใครดูถูกเราได้อีก” นายทหารหนุ่มยังให้คำตอบใกล้เคียงกับเรื่องที่เคยพูด จะต่างกันก็เพียงพฤติกรรมการพูดที่ดูปกติเป็นกันเองมากขึ้นระหว่างเขาผู้เป็นทหารและเธอซึ่งเป็นเชื้อชาติผู้แสนจะน่ารังเกียจสำหรับพวกเขา
      “เพื่อดินแดนที่จะอยู่ได้อย่างผาสุกสำหรับพวกนาย...” เธอกล่าวทวนพลางถอนหายใจ เด็กสาวเข้าใจในหลายๆอย่างบ้างแล้ว
      “แล้วตอนนี้ได้เห็นดินแดนอันแสนสุขในฝันขึ้นมาบ้างรึยัง?”
      นายทหารเกิดเกร็งขึ้นเมื่อฟังคำถามนี้ แววตาภายใต้ร่างเนื้อของมนุษย์และกายแข็งกระด้างของปีศาจนั้นคือความจริงจังที่ต้องการความหมายของคำตอบที่กำลังจะพูดออกมา
      “ยัง...” นายทหารให้คำตอบพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ฉันยังมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากระเบิด เสียงปืน แล้วก็ความตาย”
       ผู้หมวดหนุ่มพยายามอดกลั้นเสียงโศกาของตนเอาไว้ไม่ให้เด็กหญิงตัวเล็กๆเห็น แต่เหมือนจะไร้ความหมาย
      “นายรู้ไหมสมัยเด็กฉันเคยอยู่ที่ประเทศของนาย ครอบครัวเราเคยมีแม่บ้านอยู่คนหนึ่งเธอเป็นคนใจดีคอยช่วยเหลือฉันที่เป็นเด็กซุกซนอยู่ตลอด ตอนที่คนในประเทศนั้นมากมายขับไล่ไสส่งคนแบบเราเธอเป็นคนเดียวที่เสียใจกับเรื่องนี้และพยายามขอโทษขอโพยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทนพวกเธอคนอื่นๆ หลังจากเราย้ายมาที่บ้านใหม่เรายังส่งจดหมายถึงกันอยู่เรื่อยๆ เธอไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านหรืออดีตคนรับจ้างทำงานเท่านั้น สำหรับพวกเราแล้วเธอเป็นครอบครัวคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกล”
      มารีวางช้อนลงบนโต๊ะและจ้องมายังนายทหารอย่างแน่วแน่
      “ที่พูดเรื่องนี้เพราะฉันอยากจะบอกว่าฉันไม่ได้เกลียดพวกนายทั้งหมดหรอกต่อให้ถูกพวกทหารหรือคนของประเทศนายมุ่งร้ายแค่ไหนก็ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขาทั้งหมด ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพวกเขาถึงเกลียดคนแบบเรา เพราะถูกผู้นำของพวกเขาเป่าหูจนหลงเชื่อหรือ? เพราะพวกเราบางคนเป็นพวกสถุลชั่วช้าจริงๆจนพวกเราถูกเหมารวมหมดงั้นหรือ? ฉันเองไม่รู้อะไรสักนิดทั้งที่ตัวเองเคยอยู่ในช่วงที่พวกคุณต้องพบกับความอดอยากเพราะสงครามเหมือนกันแต่ตัวเองกลับมีกินสุขสบายเพราะฐานะที่ร่ำรวย ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นผลจากอะไรแต่พ่อของฉันค้าขายอย่างสุจริตไม่คิดโกงกินผู้ยากไร้แน่นอน แต่ฉันพอจะรู้แล้วจากที่นายพูดก่อนหน้านั้น”
       
      นายทหารตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
      “คุณเลเบิล จริงๆแล้วคุณก็แค่กลัวความยากลำบากในอดีตสินะคะ”
      คำพูดของเด็กสาวแทงใจดำของนายทหารหนุ่มเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะคำพูดสุภาพขึ้นหรือที่เธอเรียกชื่อเขา แต่เพราะคำพูดนี้เป็นสิ่งที่ตรงกับความคิดแท้จริงของเขาต่างหาก ความเมตตาของหญิงสาวที่ยอมแบ่งปันอาหารให้กับคนที่พยายามทำร้ายเธออย่างเขาทะลวงผ่านกำแพงที่ปิดกั้นจิตใจ ละลายน้ำแข็งที่ผูกมัดความรู้สึกจนแข็งกระด้างของเขาจนสิ้น มันทำให้ความรู้สึกที่สูญเสียไปจากชีวิตการรับใช้กองทัพของเขาฟื้นคืนสู่หัวใจดวงนี้อีกครั้ง
      “เธอพูดไม่ผิดหรอก...” เขากล่าวยอมรับโดยดี
       
      “ฉันกับครอบครัวต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนกระทั่งท่านผู้นำประกาศช่วยเหลือสมาชิกพรรคของเขาทุกคน ครอบครัวเราเข้าพรรคของเขาก็เพราะอยากจะหลุดพ้นจากความยากจน ทำให้เรามีกินมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากนั้นท่านผู้นำก็เริ่มออกคำสั่งที่แปลกประหลาดมากขึ้นทั้งสร้างถนน สร้างโรงงาน ประกาศว่าพวกเธอเป็นเผ่าพันธุ์ชั่วร้าย พวกฉันตอนแรกก็รู้สึกว่ามันเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ” นายทหารพร่ำเพ้ออย่างเจ็บปวด
       
      “แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ต่อต้านต้องพบจุดจบยังไงพวกเราก็กลัวว่าหากไปขัดใจพวกเขาก็อาจจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน  เรากลบฝังความกลัวเหล่านั้นด้วยความเชื่อ ต้องยอมเชื่อฟังทุกอย่างที่เขาบอก เยินยอสรรเสริญท่านผู้นำตามที่พวกนั้นขอให้ทำ ผลักไสความเกลียดชังไปหาคนที่เขาบอกให้เกลียดถึงจะรู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายแค่ไหน อย่างที่เธอเคยพูดฉันรู้ดีว่าท่านผู้นำทำสิ่งที่เลวร้ายไปมากแค่ไหนแต่ทุกคนก็กลัว ไม่สิ! ฉันต่างหากที่กลัว กลัวที่จะโต้แย้งปฏิเสธพวกเขาจึงยอมเชื่อฟังทุกอย่าง ยอมแม้แต่ฆ่าคนบริสุทธิ์!”
       
      เขาปิดหน้าร้องไห้สะอื้น ตัวตนแท้จริงของนายทหารหนุ่มได้เปิดเผยต่อหน้าของมารีแล้ว เขาไม่ใช่ทหารที่ชั่วร้าย ไม่ใช่ไอ้ชาติชั่วใจทมิฬ แต่เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบจนทำได้ทุกอย่าง และกลัวเกินกว่าจะปฏิเสธการกระทำอันไร้เหตุผลจนหัวใจได้หลงทางไปสู่ความมืดมิด
       
      “เด็กคนนั้นที่พยายามหนี ฉันบอกให้เขาหยุดแต่เขาก็ไม่ฟังฉันเลยต้องทำตามหน้าที่ ไม่! ฉันฆ่าเขา! ฆ่าเขาด้วยปืนในมือเพราะกลัวว่าถ้าปล่อยเขาไปฉันจะถูกลงโทษและครอบครัวฉันก็ต้องลำบาก ถ้าไม่ฆ่าเขาเราจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า เมื่อคิดแบบนี้แล้วฉันก็ตัดสินใจละทิ้งความเจ็บปวดไป พยายามคิดว่าพวกนั้นชั่วร้ายน่ารังเกียจอย่างที่พวกนั้นว่า อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง! ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นยังไง แต่ฉันก็ยังทำร้ายพวกเขาเพื่อตัวเอง! ทำเพื่อให้ตัวเองรอดโดยไม่สนว่าจะต้องมีใครต้องเจ็บปวดมากเท่าไหร่! ฉันนี่มันเป็นคนที่เลวร้ายอะไรขนาดนี้!!!”
       
      มารีลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้กับนายทหารหนุ่มผู้ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเหมือนพยายามซ่อนความโศกา ราวกับสำนึกบาปที่ตนได้กระทำไปและพร้อมจะรับโทษทัณฑ์แต่โดนดี เธอมองดูนายทหารซึ่งกำลังสำนึกบาปของตนซึ่งเธอควรจะคิดว่ามันน่าสมเพชแต่ความรู้สึกในตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเมื่อได้รับรู้ถึงความเป็นจริง เธอเผลอยื่นมือข้างที่กลายเป็นอสุรกายออกไปที่จะจับบ่าของเขาเพื่อปลอบใจโดยลืมเรื่องบาเรียล่องหนไป แต่มือของเธอกลับผ่านเข้าไปจนสัมผัสกับไหล่อันแข็งหยาบและชุ่มไปด้วยเหงื่อเต็มไปด้วยกลิ่นตัวเกาะแน่น 
      “แม่หนู....” นายทหารเอ่ยเรียกเธอหลังเสียงสะอื้นไห้หยุดลง ทำเอาเธอสะดุ้งจนเผลอดึงมือกลับ
      “มันอาจจะเป็นการขอร้องที่มากจนเกินไป และเธออาจจะไม่ยอมรับกับสิ่งนี้” เขาเริ่มพูดในทำนองโน้มน้าวซึ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
      “แต่เธอจะให้อภัยฉันได้ไหม?”
       
      คำร้องขอของนายทหารหนุ่มทำให้มารีถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่งแม้เธอจะคาดเดาไว้แล้วแต่เป็นสิ่งที่หนักยิ่งที่จะต้องให้แม้ว่าเธอจะเข้าใจจนยอมแบ่งปันให้กับเขาบ้างแล้ว แต่การแบกรับความทรมานมานานกว่าสองปีจากความไร้เหตุผลของพวกมันก็ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ยากยิ่งนัก แววตาของเด็กสาวเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับกล่องวิเศษซึ่งมีสิทธิ์เลือกได้เพียงหนึ่ง อาจเป็นได้ทั้งคำสาปและพรวิเศษ และแล้วในที่สุด...
      “ความไร้เหตุผลน่ะอภัยให้กันไม่ได้หรอก”
      ทันทีนั้นมือปีศาจของมารีกางออกเผยกรงเล็บอันแหลมคมพร้อมกับซัดออกไปหมายจะขยี้ร่างของนายทหารหนุ่ม แต่ด้วยบาเรียล่องหนทำให้ร่างของเธอถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างแรงแต่เธอก็ยันไว้ได้อย่างสบายด้วยแขนซ้ายอันทรงพลังซึ่งกระแทกกำแพงยุบพังไปส่วนหนึ่งอย่างง่ายดาย
       
      “ฉันนึกว่าเราเข้าใจกันได้แล้วซะอีก!” นายทหารร้องหน้าตาตื่นตระหนกพลางกระโดดถอยจนติดกำแพงอีกด้าน
      “เราไม่มีวันเข้าใจกันได้!” พลันนั้นส่วนซีกซ้ายของมารีตั้งแต่ขาจนถึงอกเริ่มกลายร่างด้วยผลอำนาจที่ตอบสนองกับความมุ่งร้ายของเธอ เกล็ดแข็งดำหุ้มจนทั่ว หนามแหลมคมงอกยาวตลอดแนวหลัง เท้าใหญ่งอกเล็บยาว ก่อนสภาพนี้จะลุกลามไปยังร่างซีกขวาเปลี่ยนสภาพให้เป็นเช่นเดียวกัน ก่อนทั้งร่างจะใหญ่โตขึ้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามปูดโปนเต็มไปด้วยเกล็ดหนาแหลมคมจนฉีกเสื้อผ้าจนกระจุย เขาแหลมยาวงอกโง้งจากหัวพร้อมกับปีกผังผืดหนาดูไม่สมประกอบคู่หนึ่ง ม่านตาที่เคยส่องประกายสดใสแปรเปลี่ยนเป็นเรียวเล็กดุจสัตว์เลื้อยคลานที่กำลังจับจ้องมายังเป้าหมายของมัน เหยื่อของสิ่งที่แต่เดิมคือเด็กสาวช่วงเข้าสู่วัยรุ่นแต่ตอนนี้กลายเป็นอสุรกายร่างยักษ์อันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว
       
      “คนที่จะออกจากที่นี่ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น” แม้แต่เสียงของเธอกลายเป็นทุ้มแหบน่าหวาดหวั่น เพียงเหวี่ยงมือครั้งเดียวโต๊ะก็กระเด็นหมุนคว้างพลังทลายลงอย่างง่ายดาย ด้วยพลังที่สามารถหักกระดูกฉีกเนื้อมนุษย์ธรรมดาสักคนให้แหลกเป็นชิ้นๆโดยง่ายดาย ปีศาจร้ายกระโจนใส่นายทหารบาเรียล่องหนสะท้อนแรงกระแทกคืนใส่แต่ด้วยพลังอันแข็งแกร่งจึงยังยืนอยู่ได้โดยไม่กระเด็น กรงเล็บแหลมคมยังกระหน่ำซัดโจมตีอย่างต่อเนื่องโดนไม่หวั่นความเจ็บปวดจากแรงสะท้อนคืนนี้เป็นภาพที่น่าตื่นตระหนกสำหรับนายทหารหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง
      “ทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร!? เธอกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วจะต้องถูกเจ้านั่นฆ่านะ!” นายทหารตะโกนบอกเธอจนเจ้าปีศาจต้องชะงักไปชั่วครู่
      “ฉันรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่...” อสุรกายตอบกลับพร้อมสะบัดกรงเล็บใส่ แรงกระแทกสะท้อนคืนจนกรงเล็บหักกระเด็นเกล็ดเกราะแตกกระจายจนเลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง เจ้าปีศาจไม่มีแม้แต่เสียงโอดโอยนอกจากการคำรามอย่างดุร้าย ทุ่มเทพลังที่มีทำลายบาเรียล่องหนอย่างเต็มที่จนกระทั่งปรากฏรอยปริร้าวขึ้นในอากาศ อาจจะดูแปลกประหลาดแต่ทั้งสองรู้ดีว่านี่คือสัญญาณของการแตกหัก
      “สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ....” เจ้าอสุรกายกำหมดแน่นและจะชกใส่รอยร้าวนั้นเต็มแรงเกิดเสียงร้องสะเทือนก้องกังวาลก่อนรอยร้าวจะแผ่ขยายจนคลุมรอบตัวนายทหารและโล่ป้องกันที่ไร้รอยขีดข่วนนี้ก็ได้แตกกระจายเป็นชิ้นๆเหมือนแก้วที่ถูกค้อนทุบจนแตกละเอียด เมื่อไร้ซึ่งการป้องกันอสุรกายคว้าร่างของนายทหารและยกจนลอยขึ้นเหมือนกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง ตุ๊กตาที่เด็กชอบทุบตีฉีกเป็นชิ้นๆสนองอารมณ์ตัวเอง กรงเล็บของปีศาจกำลังจะจ้วงแท้ใส่นายทหารผู้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างเต็มที่เมื่อกรงเล็บอันคมกริบกำลังจะได้เฉือนเลือดกินเนื้อสด
      เงาบางอย่างพุ่งผ่านระหว่างปีศาจร้ายกับนายทหารไปในจังหวะเดียวกับเสียงเฉือนฟังดังสนั่นตามด้วยเสียงของใหญ่กระเด็นตกห่างออกไปชวนให้ทั้งสองต้องเหล่ตามอง และเห็นแขนของอสุรกายตกอยู่อีกด้านในสภาพถูกตัดขาดและเมื่ออสุรกายมองกลับมาที่มือของตนก็พบสภาพที่ถูกตัดออกไปแล้ว เลือดแดงฉานพุ่งสาดกระจายเหมือนน้ำพุอุ่นๆที่ทั้งเค็มและเหม็นกลิ่นคาว เจ้าอสุรกายกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนปล่อยนายทหารลง และผู้ที่ตัดแขนของมันก็ยืนอยู่เคียงข้างแขนข้างนั้นเอง นายตรวจตั๋วอารัญผู้เป็นมากกว่าคนคอยตัดตั๋วที่ผ่านการใช้งานแล้ว
      “ฉันเตือนเธอแล้วถ้าจมปลักอยู่กับความมืดในหัวใจ เธอก็จะกลายเป็นซินเสียเอง กลายเป็นอสุรกายซึ่งถือกำเนิดจากความชั่วร้ายที่ไร้ก้นบึ้ง” อารัญกล่าวพลางคอนดาบตั้งท่าเตรียมโจมตี
      “ฉันคงไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
      “เดี๋ยวก่อนคุณนายตรวจ! เธอคนนี้น่ะ...” นายทหารพยายามพูดห้ามโดยไม่เข้าใจนักว่าทำไม แต่ก่อนจะพูดจบมือของอสุรกายก็ผลักร่างของเขากระเด็นไปถึงกำแพงข้างประตูซึ่งได้เปิดออกแล้วจากการมาของนายตรวจตั๋วหนุ่ม
      “เธอจะทำอะไรน่ะ ฉันพยายามที่จะ...” แต่ก่อนนายทหารจะได้ทันพูด ปีศาจหันมายังเขาพร้อมแววตาซึ่งกลับมาเปล่งประกายดังเช่นเมื่อตอนยังเป็นเพียงเด็กน้อย
      “สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้คุณรอดออกไปได้ค่ะ”
      “เธอว่ายังไงนะ....?”
      นายทหารอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดฝัน มารีในร่างอสุรกายฉีกยิ้มมุมปากให้กับเขาถึงจะดูสยองมากกว่างดงามแต่ก็ชวนให้ผ่อนคลายกว่าที่คาด ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับนายตรวจตั๋วผู้พร้อมด้วยอาวุธในมือและพลังที่สามารถฆ่าปีศาจเช่นเธอได้ในชั่วพริบตา พลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อำนาจชั่วร้ายนี้จะต้านทานได้และจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่กำลังเธอจะชนะ....
      “ผู้หมวดเลเบิล... ฉันเคยนึกแค้นพวกคุณ เคยปฏิเสธและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเรา ทรมานให้เราเจ็บปวดโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกคุณเองก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานมาก่อนแล้วเช่นกัน แม้คุณจะเลือกที่จะมอบมันต่อให้ผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดต่อไป เป็นการส่งไม้ต่อความเกลียดชังมายังฉัน ตัวฉันก็ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำตัวเองกลายเป็นปีศาจที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นแม้ว่านั่นจะต้องทำให้ผู้อื่นเคราะห์ร้ายไปมากแค่ไหน แต่ว่า... ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ พอได้เห็นความรู้สึกของคุณ เข้าใจถึงความรู้สึกที่หวาดในการชีวิตจนยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาเอาไว้ คุณน่ะทั้งเลวร้ายและไร้เหตุผล ความไร้เหตุผลน่ะยังไงฉันก็อภัยให้ไม่ได้”
      “แต่ฉันอภัยให้คุณค่ะ”
      อารัญตั้งดาบหันปลายชี้ตรงและวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่พุ่งมายังร่างของอสุรกายอย่างไร้ความลังเล หมายจะปลิดชีพจนวางวายมลายสิ้น ปีศาจผู้เผชิญหน้ากับอันตรายถึงแก่ชีวิตกลับลดมือของตนลงเปิดช่องไปสู่กลางอกที่ซึ่งมีหัวใจเต้นอยู่ เพื่อยอมรับชะตากรรมของตน
       
      “ไม่มีใครเลวมาตั้งแต่เกิด มนุษย์ทุกคนเป็นคนดี ขอบคุณที่ยังทำให้ฉันยังเชื่อในสิ่งนี้ได้นะคะ”
       
      ดาบคมกริบตัดเกล็ดที่แข็งแกร่งแตกสองเสี่ยง เฉือนผ่านเนื้อหนังที่แน่นแข็งแกร่งทะลวงกระดูกอกจนกระทั่งเจาะผ่าหัวใจออกเป็นสองเสี่ยง เลือดแดงฉานพุ่งทะลักออกจากปากแผลราวกับน้ำทะลักเลอะนองพื้น เจ้าอสุรกายอาเจียนเป็นเลือดก่อนมันจะทรุดลงกับพื้นเหล่ตามองไปยังนายทหารหนุ่มที่กำลังวิ่งมาหาเธอ หูไม่ได้ยินเสียงเรียกตะโกนอะไรอีกไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร แต่มันไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อปีศาจถูกพิชิตอิสระก็จะมอบให้แก่ผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว แค่นั้นพอแล้ว ให้สายโซ่แห่งความเกลียดชังขาดสะบั้นอยู่แค่เธอก็พอ สติของเด็กสาวมารีค่อยๆดับลงไปสู่ความมืดแต่ใบหน้าที่จมอยู่ในกองเลือดของปีศาจตนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
       
      เสียงหายใจสะดุ้งดังขึ้นเมื่อใครบางคนตื่นขึ้นและพบว่าตนเองอยู่บนเตียง เด็กสาวมารีมองเห็นเพดานที่ประดับด้วยแชนเดอเลียสวยงามจนเธอเผลอยื่นมือออกไปและพบว่ามือที่กลายเป็นปีศาจกลับคืนเป็นเนื้อหนังของมนุษย์เช่นเดิม เธอลุกพรวดขึ้นและเพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแต่ร่างกายที่เคยเป็นปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวคืนกลับเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งเหมือนเดิม แม้แต่แผลบริเวณอกที่ถูกแทงจนเจ็บเจียนตายกลับหายสนิทไม่มีเหลือแม้แต่ร่องรอย
      “ตื่นแล้วหรือ?” เสียงหนึ่งทำให้เธอสะดุ้ง เสียงที่เธอไม่คุ้นเคยซึ่งแหลมเพราะเหมือนผู้หญิงและเจ้าของนั่งอยู่ข้างเธอนี่เอง หญิงสาวในเครื่องแบบเรียบร้อยเหมือนนายสถานี ใบหน้าสะสวยท่าทางดูใจดีด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้ผ่อนคลายเมื่อมองดู แต่บรรยากาศรอบตัวเธอนั้นชวนให้รู้สึกว่าเป็นคนที่น่าเกรงขามควรเคารพเป็นอย่างมาก
       
      “เธอหลับไปอาทิตย์หนึ่งเลยนะจากตอนนั้น แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตายเพื่อคนที่เกลียดเธอได้ ฉันนับถือเลยจริงๆ” หญิงสาวยื่นถ้วยโกโก้ร้อนให้ เด็กสาวรับมาดื่มนิดหน่อยเธอรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นสบายขึ้นมาก ก่อนเธอจะลุกออกไป มารีมองดูสภาพรอบห้องมันถูกตกแต่งไว้อย่างดีผิดกับตู้รถไฟที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งสะอาดไร้ฝุ่นเกาะบนผนังและพื้นสีขาวเป็นมันวาวเป็นประกาย เครื่องเรือนของตกแต่งโดยหลักคือชุดโต๊ะรับแขก ตู้เก็บของ เตาสำหรับทำอาหารทั้งหมดเป็นของดีดูหรูหราสำหรับเศรษฐีชัดๆ ทั้งยังประดับโคมไฟตามกำแพงดูสวยงามรวมถึงแชนเดอเลียที่ดูหรูหราที่สุด ทั้งหมดนี้ทำให้เธอลืมจะสนใจเรื่องที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่นี้ไปเลย
       
      “อ้อ... นี่ชุดจะคงจะไม่ดีถ้าปล่อยให้เธออยู่ในสภาพนั้นเดี๋ยวเป็นหวัดตายเลย” หญิงสาวส่งเสื้อให้กับมารี เธอรับมาด้วยความงวยงงกับชุดเอี้ยมยังกะชุดเด็กผู้ชายแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ลมมันเย็นอยู่อย่างนี้
      “เอ่อ... คุณคือ...” 
      “ดื่มโกโก้ให้หมดด้วยนะ ฉันแอบใส่สมุนไพรลงไปนิดหน่อยช่วยเธอกระชุ่มกระชวยขึ้น เป็นยาชั้นดีเชียวล่ะ”
      “แล้วคุณเป็น....”
      “ขอโทษทีนะที่ไม่มีอาหารเสิร์ฟเพิ่มด้วยน่ะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเลยคิดว่าแค่นี้คงจะพอ..”
      “ถ้างั้นคุณเป็น คะ...”
      “เรื่องของอารัญกับมาราดอนนี่ขอโทษด้วยนะ ชอบบอกว่าฉันทำอะไรรุนแรงแต่พวกนั้นเล่นแรงยิ่งกว่าอีกโชคดีที่เธอผ่านมันมาได้แถมยังก้าวข้ามช่วงวิกฤติได้อย่างสวยงามอีกตะหาก เธอนี่เยี่ยมไปเลยนะ”
      มารีพยายามจะถามเรื่องของหญิงสาวแต่หล่อนไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอพูดแม้แต่สักเสี้ยววิ การพูดเป็นต่อยหอยแบบไม่เปิดให้พูดต่อสักนิดช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน เด็กสาวสวมชุดและดื่มโกโก้จนหมดและรู้สึกสดชื่นขึ้นมากเพราะผลของสมุนไพรบำรุงกำลัง
      “เธอนี่ดูไปก็ดูดีนะ ผิวก็สวยดวงตาก็น่ารักโตขึ้นไปต้องเป็นผู้หญิงที่งดงามแน่เลย เอาไว้เดี๋ยว...”
      “คุณเป็นใครคะ!?”
      มารีจำต้องตะโกนแทรกขึ้นมาเพื่อจะได้สิทธิ์การพูดมาซะที ก่อนจะโดนหมกไปกับเสียงพูดกรอกหูแต่ฝ่ายเดียว
      “ขอโทษนะจ๊ะ...” หญิงสาวยิ้มหัวเราะตอบ
      “ฉันชื่อ เกลิน บัพติสทรี่ เป็นคนควบคุมรถไฟแห่งโชคชะตาจ้ะ”
      “คนควบคุม!? คุณน่ะเหรอคะ?” มารีตกใจเบิกตาโพล่ง เธอนึกไม่ถึงว่าคนขับรถไฟขบวนนี้จะเป็นหญิงสาวสวย
      “ทั้งคู่เข้ามาได้แล้ว!” เกลินตะโกนเรียกใครบางคน ประตูเปิดออกเผยและชายสองคนเดินเข้ามาซึ่งก็คืออารัญและผู้หมวดเลเบิล
      “พวกคุณ!?” มารีรีบเข้าหาทั้งคู่ทันที
      “ไม่เป็นไรใช่ไหมแม่หนู” เลเบิลิยิ้มหัวเราะให้กับเด็กสาวซึ่งดูแข็งแรงดีขึ้นแล้ว
      “คุณรอดออกมาได้สินะคะดีจัง คุณเลเบิล”
      “อันที่จริง.... เอ่อ...” ท่าทางของนายทหารหนุ่มไม่สบายใจที่จะพูด “ฉันไม่ใช่ฉันหรอกนะ”
      “ฉันไม่ใช่ฉัน?” เด็กสาวแปลกใจกับคำพูดประหลาดนี้
      “ก็เป็น... แบบนี้น่ะ” ผู้หมวดหนุ่มถอดหมวกทหารที่ใส่มาตลอดออก พลันนั้นเกิดประกายแสงขึ้นโดยรอบตัวเขาก่อนจะแตกกระจายออก ร่างของผู้หมวดหนุ่มเปลี่ยนไปจากชายในเครื่องแบบทหาร เป็นชายหนุ่มดูมีอายุผมสั้นได้ทรงและใส่เครื่องเหมือนเจ้าหน้าที่บริกรบนรถไฟชั้นหรู
      “ฉัน มาราดอน พีคโกเวย์ เป็นพนักงานรับใช้ประจำรถไฟขบวนนี้เอง”
      มารีถึงกับพูดไม่ออกเมื่อรู้ความจริงที่นึกไม่ถึง เธอเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
      “ขอโทษนะที่ต้องโกหกเธอ ขอโทษที่ต้องใช้วิธีรุนแรง ฉันรู้ว่าเธอคงจะโกรธแล้วก็คงจะอยากด่าฉันแต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันเป็นคนชอบเรื่องตลกแล้วคนประเภทฉันไม่สะทกสะท้านที่จะรับคำด่าของใครหรอกนะ เอาเป็นว่าอยากจะด่าว่าอะไรก็ตามใจเลยก็ไม่ได้ชอบนักหรอกที่ไปเล่นดราม่ากับเธอไว้ขนาดนั้นน่ะ”
      “ดีจริงๆค่ะ” เสียงพูดอย่างยินดีของเด็กสาวทำให้ “ดีที่คุณไม่ได้พบเรื่องเศร้าอย่างนั้น”
      “นี่เธอใช่คนเดียวกับเด็กนั่นจริงหรือเนี่ย?” มาราดอนกำลังมองดูเด็กผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเอาแต่ด่าว่าเขาในร่างทหารแบบไม่ยอมลดราวาศอก
      “เอาเป็นว่าเพราะคุณทำให้หนูได้เรียนรู้อะไรมากมายค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มอันสดใส
      “อ้อ... เหรอ ก็ดีนะ” มาราดอนพูดเชิงเห็นด้วย
      “ขอโทษนะที่เราต้องทำอะไรรุนแรงแบบนั้น” อารัญคุยกับเด็กสาว
      “แต่ความโกรธแค้นของเธอมันรุนแรงมากจนเกินไป หากเรายอมให้เธอเลือกในตอนนั้นก็จะเกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่ เราเลยจำเป็นต้องชำระล้างเธอ”
      “ตอนนั้นหนู... ตายไปแล้วหรือคะ?” เธอถามเพราะสงสัยอยู่เรื่องร่างเธอที่กลับเป็นดังเดิมโดยไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย
      “เธอไม่ได้ตาย สิ่งที่ฉันฆ่าไปคือร่างซินของเธอ หัวใจอันดำมืดรูปลักษณ์ที่แท้จริงของความชั่วร้ายที่เปลี่ยนให้คนธรรมดากลายเป็นคนชั่ว เมื่อคนเราประสบกับความเกลียด ความกลัว หรือความเศร้าอันสุดโต่งมันจะกลายเป็นหัวใจอันมืดมน ชี้นำให้คนผู้นั้นทำทุกอย่างเพื่อตัวเองอย่างบ้าคลั่งและไร้เหตุผล พลังนี้ได้สรรค์สร้างปีศาจในร่างมนุษย์มาแล้วมากมายในประวัติศาสตร์”
      “เขาคนนั้นด้วยหรือคะ?” มารีหมายถึงผู้นำซึ่งออกคำสั่งไล่ล่าพวกของเธออย่างไร้เหตุผล
      “ใช่... แต่เราช่วยเขาไม่ได้แล้ว บาปของเขาหนักหนาเกินไป” เขาตอบด้วยน้ำเสียงดูหงอย
      “จะเป็นวีรบุรุษหรือทรราชไม่ใช่แค่การกระทำ แต่อยู่ที่ใครชนะเป็นต่างหากล่ะ” มาราดอนพูดแทรกผิดเวลาไปนิด แต่ก็ทำให้มารีหัวเราะเริงร่าได้บ้าง
      “รถไฟขบวนนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขประวัติศาสตร์ที่นองเลือดของมนุษย์ที่มีต้นเหตุจากสิ่งนั้น เราเดินทางไปในแต่ละยุคสมัย ค้นหาผู้ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา ทำให้ชะตากรรมอันเลวร้ายหายไป เพื่อโลกนี้จะไม่ต้องร้องไห้อีก” เกลินอธิบายต่อน้ำเสียงของเธอดูเข้มข้นขึ้นผิดจากตอนพูดจ้อก่อนหน้านี้
      “และเธอก็คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ หนึ่งในผู้ที่จะสั่นคลอนโลกต่อไปในอนาคตและชี้นำเส้นทางอันยิ่งใหญ่ที่จะมีผู้คนมากมายใช้เรื่องของเธอเป็นแนวทาง ความคิดริเริ่ม หรือแม้แต่อุดมการณ์” เกลินชี้มายังหญิงสาวก่อนเธอจะได้ทันพูดซะอีก
       “แต่ในประวัติศาสตร์เธอถูกพวกนั้นจับได้ ถูกส่งไปค่ายมรณะถึงสองแห่งก่อนจะจบชีวิตลงด้วยโรคร้าย”
      ความจริงที่เอ่ยออกมาทำให้มารีถึงกับสะดุ้ง ไม่เกี่ยวแม้ว่าจะเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว
      “เพราะงั้นเราถึงมาหาเธอยังไงล่ะ” เกลินเดินเข้ามาใกล้เด็กสาว เธอจ้องมองไปยังดวงตาที่ตอนนี้กลับมาส่องประกายสดใสยิ่งกว่าครั้งใด
      “อันเนอลิส มารี ฟรังค์ ด้วยพลังของรถไฟขบวนนี้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอันเลวร้ายนั้นได้ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี เธอจะไม่ต้องตายตั้งแต่ยังเล็บ และมีชีวิตต่อไปอย่างสงบสุขได้เหมือนคนอื่น”
      “จริงหรือคะ!?” เด็กสาวถามด้วยเสียงปิติยินดี
      “แต่มันติดอยู่อย่างหนึ่งเนี่ยสิ” หญิงสาวทำหน้าเหมือนเสียดายไปกับมันด้วย
      “การที่จะใช้อำนาจของรถไฟเธอมารี จำเป็นต้องมีตั๋วด้วย”
      “ตั๋วหรือคะ? แต่ฉันไม่มีหรอกค่ะ เงินก็ไม่มีติดตัวเลย คงจะซื้อไม่...”
      “ไม่! ไม่ช่าย! ตั๋วที่ว่านี้เราสามารถสร้างขึ้นมาให้เธอได้ แต่มันต้องมีอะไรบางอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนน่ะ ไม่งั้นจะไม่สามารถเรียกออกมาได้”
      “ของแลกเปลี่ยน? แต่ฉันก็บอกแล้วว่าฉันไม่มีเงิน...”
      “สิ่งที่แลกเปลี่ยนมันไม่ใช่เงินหรอกนะ” อารัญพูดแทรกขึ้นมา
      “นี่อารัญ!” เกลินดุใส่ “เธออย่ามาแทรกตอนที่ฉันกำลังพูดอยู่สิ”
      “ตอนนี้ต้องจริงจังแล้วนะเกลิน ไม่ใช่เวลามาพูดเล่นอยู่นะ”
      เกลินดูหงอยหลังจากที่รู้ตัวว่าตนเองควรทำอะไรต่อ
      “มารี สิ่งที่ต้องใช้แลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ตั๋วเดินทางมันก็คือ...” หญิงสาวถอนหายใจ
      “ตัวตนของเธอ”
      “หา? ตัวตนของหนู” มารีชี้มาที่ตนเอง
      “ทุกอย่างที่เคยเป็นเธอตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ไปจนถึงอนาคต เธอต้องแลกเปลี่ยนมันทั้งหมดเพื่อสร้าง “ตั๋วกำเนิดสรรพสิ่ง” ที่สามารถนำผู้ครอบครองไปยังชะตากรรมที่ตนเองต้องการได้ แต่เมื่อทำแบบนั้นแล้วเธอจะสู้เสียตัวตนของตัวเธอเองไปทั้งหมด”
      “หนูจะจำตัวเองไม่ได้หรือคะ จะลืมหมดทุกอย่างหรือคะ?”
      “เปล่าเธอจะจำทุกอย่างได้ แต่คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเธอจะจำเธอไม่ได้ เขาจะยังจำได้อยู่ว่าครั้งหนึ่งเคยรู้จักเด็กสาวเล็กๆที่ชื่อ อันเนอลิส มารี แต่จะจำไม่ได้ว่าเป็นเธอ ถ้าเธอตัดสินใจยอมแลกเปลี่ยนแล้วเขาจะจำเธอได้อยู่จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนที่เธอเลือก เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่พวกเขาจำได้คือโชคชะตาเดิมของเธอ คือรู้เพียงว่าเธอได้จบชีวิตลงในค่ายนรกนั่นไปแล้วขณะที่ตัวเธอจะยังรอดและมีชะตากรรมใหม่ที่เป็นไปตามที่เธอเลือก แต่เมื่อเธออยู่ต่อหน้าพวกเขาเธอจะเป็นได้แค่ใครคนหนึ่งที่เคยเจอเป็นครั้งแรกเท่านั้น”
      มารีถึงกับทรุดลงไปนั่งอยู่บนเตียง นี่คือโอกาสที่เธอจะได้เลือกชะตากรรมใหม่เป็นสิ่งที่คงไม่มีใครในโลกได้รับเช่นเธอ สิทธิ์พิเศษที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นเหมือนได้รับประทานจากพระผู้เป็นเจ้า เธอจะรอดจากอนาคตที่สิ้นหวังของความตายและมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบสุขจวบจนวาระสุดท้ายของเธอ แต่ของที่ต้องแลกเปลี่ยนกลับเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด หากตัวเธอจะต้องถูกลืมไป จะมีประโยชน์อันใดที่จะมีชีวิตอยู่
      “มีแค่วิธีนี้.... เท่านั้นหรือคะ?” เธอถามด้วยความหวังเต็มที่
      “หากเราแก้ไขโชคชะตาเองโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนแล้วล่ะก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Time Paradox” ความขัดแย้งของเหตุผลในโลกกาลเวลาจะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ซึ่งมันจะแผ่ขยายครอบคลุมทุกสิ่งก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นแม้แต่เราก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่เกือบทั้งหมดมีแต่แย่ลงจนถึงขั้นเลวร้าย หรืออาจทำให้จักรวาลทั้งหมดล่มสลาย”
      คำว่าล่มสลายทั้งหมดเป็นอะไรที่สะเทือนใจของมารีมาก แค่เพียงเธออยากเปลี่ยนเส้นทางแห่งชะตาตัวเองโดยไม่อยากถูกลืมก็ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้มากจนทำลายล้างจักรวาลทั้งหมดเชียวหรือ
      “แต่พวกคุณมีรถไฟที่เดินทางผ่านมิติเวลารวมทั้งแก้ไขชะตากรรมได้ อำนาจราวกับเทพเจ้าขนาดนี้ยังไม่สามารถหยุดยั้งหายนะได้อีกหรือคะ ทำไมพระเจ้าถึงต้องกำหนดเรื่องโหดร้ายแบบนี้ขึ้นมาด้วย ไม่ยุติ...”
      อารัญปิดปากเด็กสาวไว้ได้ทันก่อนจะพูดอะไรออกมา
      “อย่าพาตัวเองไปสู่ความมืดมิดอีกสิ” เขาเตือนเด็กสาวเธอเข้าใจและยอมสงบจิตใจลง
      “หนูไม่กลัวตายอีกแล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าจะต้องมีชีวิตอยู่โดยถูกคนที่รักลืมว่าเคยเป็นใครหนูก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน พ่อแม่พี่สาวทุกคนเป็นคนที่หนูรักมากที่สุดและหนูเองก็ไม่อยากกลายเป็นแค่คนอื่นในสายตาของพวกเขา  ถ้ายังรอดอยู่ได้หนูอยากจะกลับไปพูดคุยหัวเราะ ร้องรำทำเพลงกับพวกเขาอีก อย่างน้อยก็อยากอยู่ร่วมกับพวกเขานานเท่าที่จะทำได้ ถ้าต้องมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่มีใครจำเราได้ ต้องอ้างว้างโดดเดี่ยวไร้ญาติขาดมิตรไปจนวันตาย ชีวิตแบบนั้นจะมีค่าอะไรกันคะ!”
      เด็กสาวกำลังสะอื้นไห้ เธอไม่ได้สินหวังแต่กำลังสับสน จะต้องทำยังไงที่จะมีชีวิตต่อไปโดยไม่เหลือคนที่รักอีกแล้ว
      “มารี...” มาราดอนเรียกเด็กสาว พลางลูบหัวของเธอ
      “หนูรู้รึเปล่า นายทหารที่ชื่อ ชวาร์ซ ไฮน์ เลเบิล น่ะไม่ใช่ตัวปลอมที่พวกฉันสร้างขึ้นหรอกนะ”
      “ว่ายังไงนะคะ?”
      “เขาคนนั้นเป็นคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ฉันมีพลังที่จะเชื่อมต่อตัวตนของฉันกับคนอื่นและรวมจิตของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน นายทหารที่เธอเจอน่ะเป็นตัวจริงที่มีจิตใจและความคิดเป็นของตนเอง เป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกและตัวเขาเองก็ได้รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่ประสบร่วมกับเธอ ทั้งเกลียด ทรมาน โศกเศร้า รวมถึงความเห็นใจ เขาเป็นนายทหารที่เกลียดเผ่าพันธุ์ของเธอเพราะต้องคล้อยตามคนอื่นเพื่อให้ตัวเองกับครอบครัวรอด แต่หลังจากที่เธอยอมสละตัวเองช่วยเขาทำให้ทัศนคติพวกนั้นเปลี่ยนไป ผู้หมวดคนนั้นเขามีความกล้าที่จะคิดและทำในสิ่งที่ตนคิดว่าถูก เขาขอบคุณเธอที่ได้ช่วยเขาไว้ ความรู้สึกในตอนนั้นฉันจำได้ดี มันอบอุ่นและเป็นหัวใจเพียงหนึ่งเดียวกัน”
      “เพียงหนึ่งเดียว” มารีเพิ่งนึกได้ถึงสิ่งที่ระบุไว้ในกระดาษ ถึงการที่จะหนีจากตู้รถไฟนั้นได้คือการเหลือรอดเพียงหนึ่ง
      “สิ่งที่ฉันบอกไม่ได้หมายถึงมีคนเดียวที่จะรอดได้หรอกนะ แต่มันหมายถึงหัวใจที่กลายเป็นหนึ่ง จิตใจที่แตกแยกเกลียดชังต้องยอมรับและเข้าใจกันและกันนั่นล่ะคือความเป็นหนึ่ง มันเป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมิด เราต้องเข้าใจกัน” 
      อารัญอธิบายต่อทั้งหมด คำพูดของชายหนุ่มประจำขบวนรถแห่งโชคชะตาสร้างความกระจ่างให้กับมารีทุกอย่าง ทำไมเธอถึงรอดจากห้องนั้นมาได้ไม่ใช่เพราะการตายของเธอแต่เพราะเธอและผู้หมวดได้เข้าใจซึ่งกันและกัน ต่างยอมรับแต่ละฝ่ายละทิ้งความเกลียดชังไปสู่ความรักในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่พวกเธอเกือบจะเสียมันไปเพราะหัวใจอันมืดมนแล้ว ความรู้สึกเหล่านี้จะรับรู้ได้ต่อเมื่อเราละทิ้งกิเลสและความเกลียดชังไปและยอมเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เป็นสิ่งที่แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคอันยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่เกรงกลัวและพร้อมจะทำอย่างเต็มที่ด้วยหัวใจ
      “ที่ฉันบอกเธอเรื่องนี้ก็เพราะ ต่อให้ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีใครจำได้ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงแต่ท้ายที่สุดเราก็จะพบกับคนที่รักและเข้าใจในตัวเราอีกครั้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครเราก็ยอมรับและเข้าใจกันได้แม้จะแตกต่างกันแค่ไหนก็ตาม”
      คำพูดของมาราดอนอาจจะมองว่าเป็นแค่คำปลอบใจที่ไม่มีหลักประกันอะไรให้เชื่อได้ แต่เรื่องของเธอกับผู้หมวดเป็นเครื่องยืนยันในคำตอบนี้ได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว พลันนั้นเธอก็นึกออกถึงเส้นทางที่เธอควรจะเดินไป
      “โชคชะตาเนี่ย... สามารถเปลี่ยนแปลงยังไงก็ได้หรือคะ?”
      “ใช่แล้วจ้ะ เธอสามารถเลือกเส้นทางแห่งโชคชะตาของเธอได้ทุกอย่างเมื่อได้ตั๋วมาแล้ว” เกลินให้คำตอบและดูเหมือนเธอจะพูดน้อยไม่แทรกชาวบ้านแล้วด้วย
      “ถ้างั้นหนูก็เลือกได้แล้วล่ะค่ะ” มารีให้คำตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ เจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถไฟทั้งสองพร้อมรอรับฟังภายใต้เสียงหวูดอันยิ่งใหญ่ซึ่งแล่นผ่านสายธารแห่งชะตากรรมอันไร้ขีดจำกัด
      “เธอแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการแบบนี้จริงๆ?” เกลินถามซ้ำเพื่อเตือนให้เด็กสาวคิดให้ดีก่อน
      “แน่นอนค่ะ” คำตอบอันสดใสนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนว่าเธอจะไม่มีวันเปลี่ยนทางเลือกนี้
      “แต่ว่า...”
      “หนูไม่เป็นไรค่ะ จะไม่สิ้นหวังหรือเกลียดชังใครอีกแล้ว เพราะหนูมีอนาคตอยู่กับตัวเองแล้วนี่คะ”
      คำตอบของมารีทำให้ทุกคนรับรู้ถึงความตั้งใจจริงของเด็กสาว แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
      “เมื่อเธอต้องการแบบนั้นฉันก็คงจะห้ามเธอไม่ได้แล้วล่ะนะ” เกลินอมยิ้มก่อนเธอจะยื่นมือออกมา
      “จับมือของฉันไว้และอธิษฐาน แล้วสิ่งที่เธอเลือกจะส่งผล”
      มารีจับมือของเกลินทั้งคู่หลับตาลงเด็กสาวเริ่มคิดในสิ่งที่ปรารถนาอย่างใจจริง โดยเกลินเริ่มท่องบทสวด ทันใดนั้นได้เกิดประกายดวงแสงสว่างเล็กๆขึ้นมากมายมันไหลวนเป็นระลอกคลื่นกลุ่มใหญ่รอบตัวของเด็กสาวก่อนจะเคลื่อนเข้าไปในร่างของเธอจนทั้งตัวส่องประกายแสงเรืองรอง
      “จงสัมฤทธิ์ผล จงสมบูรณ์ผล จงประสบผลสำเร็จ” เกลินเอ่ยคำสวดออกมา พลันนั้นประกายแสงรอบร่างของมารีก็สว่างแรงขึ้น สาดส่องแสงไปทั่วทั้งตู้รถไฟบดบังทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้แสงสว่างอำไฟ กลบสรรพสิ่งให้ขาวโพลนจนหมด
      “ลืมตาได้แล้วจ้ะ” เกลินเรียกมารี เด็กสาวลืมตาขึ้นและพบว่าตนเองอยู่ในที่ซึ่งต่างออกไป จากห้องพักหรูหรากลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องจักรกลไก มิเตอร์แรงดัน อุปกรณ์ควบคุม และอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นรูปโดมอยู่ตรงกลางห้องซึ่งเปล่งประกายลวดลายเป็นเส้นวงจรดูซับซ้อน ถ้าให้เดาไม่ผิดที่แห่งนี้คือ....
      “ที่นี่หัวรถจักรของขบวนรถไฟคันนี้” เกลินบอกเช่นทีเธอคิด
      “คำภาวนาของเธอสัมฤทธิ์ผลแล้ว” หญิงสาวขยิบตาไปยังกระเป๋ากางเกงของมารี เธอล้วงเข้าไปและหยิบเอาบางอย่างที่เมื่อครู่ยังไม่มีอยู่ข้างใน แผ่นกระดาษสีทองเปล่งประกายมีอักษรและลวดลายแกะสลักอย่างสวยงามเป็นคำว่า
       Fortune Liner โชคชะตาเป็นสิ่งที่ท่านเป็นผู้เลือกเอง
      “ขอเชิญท่านผู้โดยสารเดินทางไปสู่จุดหมายโดยปลอดภัยค่ะ” เกลินโค้งให้กับเด็กสาวก่อนจะส่งตั๋วให้กับอารัญ 
      “ขอสัมภาระด้วยครับคุณผู้โดยสาร” มาราดอนถามตามหน้าที่ของตน
      “แต่หนูไม่มีสัมภาระ ขอโทษด้วยนะคะ” มารีบอก
      “เธอมีอยู่แล้ว สิ่งที่จำเป็นที่สุดในไปยังเส้นทางแห่งทวยเทพ” มาราดอนกางมือเผยให้เห็นกลุ่มของลูกบาศก์ขนาดเล็กมากมายเกาะหมุนวนอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเกลินมองดูดีๆพบว่าบนวัตถุทรงเหลี่ยมนับร้อยนี้ต่างสะท้อนภาพของเหตุการณ์ชีวิตของเด็กสาวตั้งแต่แรกเกิด วัยเด็กที่ซุกซน ย้ายมาอยู่บ้านใหม่และมีชีวิตสนุกสนานจนถึงการหลบซ่อนตัวจากอันตราย สิ่งนี้คือกลุ่มก้อนประวัติศาสตร์ของตัวเธอ ข้อมูลแห่งชีวิตซึ่งหล่อหลอมขึ้นมาผ่านการเวลาและปรุงแต่งด้วยกรรมที่ตนลิขิต
      “พริบตาที่การเดินทางเริ่มต้นกระแสแรงต้านแห่งชะตาจะทำให้สำนึกของเธอปั่นป่วน ทำให้จิตใจของเธอไม่มีพลังพอจะแบกมันได้ไหวเหมือนทุกที แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะช่วยรักษาไว้และส่งคืนให้เธออย่างปลอดภัย” เจ้าหน้าที่ดูแลสัมภาระให้คำมั่นที่จะดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างดี
      “ขอบคุณนะคะคุณพนักงานที่น่ารัก” มารีมอบรอยยิ้มอันสดใสให้กับเขา ชายผู้แบกรับยิ้มตอบด้วยท่าทางเป็นกังวล
      “เตรียมพร้อมรึยัง....” อารัญกล่าวเรียกในสิ่งที่ต่างออกไป จนมารียังตกใจ
      “อ้อ! ขอโทษด้วย ที่ๆฉันจากมาเขาเรียกชื่อเธอแบบนี้เลยเผลอไปหน่อย”
      “นั่นคือชื่อของฉันที่คุณ... รู้จักหรือคะ?” มารีขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะความฉงห
      “ใช่... อีกเกือบร้อยปีต่อมาคนทั่วโลกจะรู้จักเธอในชื่อนี้”
      “เป็นชื่อที่น่ารักดีนะคะ”
      เด็กสาวยิ้มหัวเราะคิกคัก ผู้ดูแลทั้งสามมองดูเด็กสาวด้วยแววตาห่วงใย เด็กคนนี้ยังทำตัวเหมือนคนไร้เดียงสา แต่เธอนั้นเข้าใจทุกอย่างดียิ่งกว่าใคร เธอรู้ผลลัพธ์ของทางที่เธอเลือกดีและนั่นทำให้เธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับโชคชะตาอย่างไม่เกรงกลัว เธอคือผู้ที่เข้มแข็งเหนือกว่าใครที่พวกเขาทุกคนรู้จัก ผู้มีชัยเหนือความโหดร้ายของชะตากรรม
       
      “เราไปกันเถอะ” อารัญกล่าวก่อนจะตัดตั๋วรถไฟเป็นสัญญาณ มารียืนหยัดด้วยแววตาอันมุ่งมั่น เธอมองออกไปภายนอกหัวรถจักรซึ่งปลดปล่อยรางรถไฟอันส่องสว่างยืดออกไปด้วยประกายและความเร็วดั่งแสงสว่างวาบก่อนจะกระจายออกเป็นเหมือนร่างแหหรือกิ่งก้านสาขาของต้นไม้เชื่อมต่อกับภาพนิมิตของมารีทั้งหมดในขอบเขตที่เข้าถึงได้ก่อนรางประกายแสงจะรั้งดึงภาพนิมิตมาเรียงตัวกันในแนวเดียวรวมรางทั้งหมดเป็นหนึ่งเชื่อมผ่านชะตาทัศนะให้อยู่ในเส้นทางเดียว รถไฟส่งเสียงหวูดใหญ่และเร่งความเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วจนเห็นทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงเส้นแสง 
       
      มารีรับรู้ได้ว่าพริบตาหนึ่งเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งก่อนจะกลายเป็นแสงสว่างพุ่งฝ่าภาพทัศนะแห่งนิมิตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องทุกแห่ง เด็กสาวรู้สึกเหมือนร่างกายเบาโหวงและกำลังจะสลายไป สติของเธอเริ่มเลือนรางแต่ก็พยายามที่จะคุมสติไว้ ขณะที่ผู้ดูแลทั้งสามพยายามควบคุมรถไฟให้เคลื่อนที่อย่างดีที่สุด เด็กสาวไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรบ้างแต่ดูจากท่าทางอันร้อนรนเข้าไปปรับเครื่องทางนั้นทีโน้นทีก็พอจะเข้าใจว่าเป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายไม่น้อย และท้ายที่สุดปลายทางของเส้นทางแห่งนี้คือช่องว่างอันมืดมิดซึ่งกลืนกินแสงสว่างทั้งหมดก่อนจะมลายไปด้วยประกายอันเรืองรองของรถไฟทั้งขบวน ตอบรับความปรารถนาของมารี 
       
      ดวงตาของเธอไม่ได้มองไปยังเส้นทางรถไฟหรือจับจ้องบรรยากาศอันขาวโพลนซึ่งกำลังครอบคลุมทุกสิ่ง แต่เป็นสิ่งที่อยู่ไกลกว่านั้น แม้จะถึงที่หมายก็ไม่อาจมองเห็นหรือจับต้องมันได้ ของขวัญสุดท้ายซึ่งทวยเทพประทานให้แก่มนุษย์ในเทพนิยาย นามธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ผู้คนต่างแบกรับเพื่อก้าวต่อไปในอนาคต สิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง”
       
      “โอย....” เด็กสาวร้องครางหลังจากลืมตาตื่นขึ้น เธอพบว่าตนเองอยู่ในขบวนรถไฟซึ่งเต็มไปด้วยเชลยมากมายซึ่งกำลังถูกกวาดต้อนไปยังค่ายนรก ครอบครัวของเธอยินดีที่ตัวเธอฟื้นขึ้นแล้วหลังจากหมดสติอยู่นาน เด็กสาวเริ่มคิดทบทวน เธอไปยังรถไฟซึ่งแล่นอยู่ในโลกที่แตกต่าง ได้เผชิญหน้ากับนายทหารผู้เกลียดชังเพราะจำยอม สร้างปีศาจร้าย ถูกนายตรวจตั๋วช่วยไว้ เผชิญวิบากกรรมกับผู้หมวดจนเธอเข้าใจถึงความอ่อนแอในใจของมนุษย์และการให้อภัย เธอได้เลือกแล้วซึ่งโชคชะตาที่ต้องการ บางทีมันอาจเป็นแค่ความฝันธรรมดา เป็นสิ่งที่กำเนิดจากความปรารถนาส่วนลึกที่อยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากความฝันนั่นก็คือ
       
      “โชคชะตาคือสิ่งที่เราเป็นผู้กำหนด เราสร้างมันได้ด้วยกำลังของตนเอง”
       
      และเมื่อเธอล้วงดูในกระเป๋าเสื้อก็พบอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน สิ่งที่ทำให้เธอเข้าใจทุกอย่าง
      เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเข้าเทียบสถานี ปลายทางของขบวนรถแห่งนี้คือดินแดนแห่งความสิ้นหวังแก่เชลยผู้มาถึง คนมากมายถูกต้อนบังคับให้เดินออกจากตู้โดยสารและเผชิญหน้ากับปากทางสู่นรก แม้จะไม่มีใครบอกพวกเขาถึงความโหดร้ายแต่สัญชาติญาณได้เตือนให้พวกเขาเข้าใจทุกอย่าง นี่คือค่ายนรกที่จะมอบตายแก่ทุกผู้คน แดนมิคสัญญีที่มนุษย์สร้างขึ้น
      “โอ้ไม่! นั่นค่ายมรณะ”
      “ที่ที่จะฆ่าพวกเราทุกคน”
      “ไม่เอา! ฉันไม่อยากเข้าไปในนั้น”
       
      เสียงโอษครวญ ร้องอ้อนวอนขอชีวิตของผู้คนที่กำลังมองเห็นแดนมิคสัญญีอยู่ตรงหน้า เหล่ามัจจุราชในเครื่องแบบเรียงแถวคุมเข้มโดยรอบกลุ่มของพวกเขาไว้ไม่ให้หนีพ้น ข่มขู่ไม่ให้แตกตื่นและพร้อมกวาดต้อนเพื่อนำตัวไปปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อยเพื่อพร้อมสำหรับเข้าสู่ค่ายแห่งความตาย เหล่าผู้คนล้วนถอยห่าง หวาดกลัว และสิ้นหวัง ต่างยอมปราชัยให้กับโชคชะตา
       
      กระทั่งเสียงก้าวเดินของเพียงแผ่วเบาได้ดึงสติของทุกคนให้ผุดขึ้นจากความมืดมิด อันเนอลิส มารี เด็กสาวตัวเล็กๆที่บอบบางและไร้เดียงสาได้ก้าวเดินออกไปจากกลุ่ม และยืนประจันหน้ากับผู้คุมค่ายนรกโดยไร้ซึ่งความกลับ จนเหล่าทหารยังต้องตกใจ พวกเขาเคยเห็นแต่ผู้คนที่หวาดกลัวต่อที่นี่ไม่ก็เฉยชาเพราะไม่รู้ซึ้งถึงอันตรายที่กำลังจะประสบ เธอคงไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรนั่นเป็นสิ่งที่เหล่าทหารคิดจนกระทั่งได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่จากแววตาของเด็กสาว สิ่งที่จะมีแค่เพียงผู้ที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแม้แต่ชะตากรรม มันดวงตาแห่งความหวัง
       
      “ไม่ต้องกลัวค่ะ.. จะไม่มีใครต้องตายทั้งนั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
       
      “พูดอะไรของแกน่ะ!? หุบปากเดี๋ยวนี้” นายทหารยกปืนขึ้นเล็งใส่เธอ ไม่ใช่เพราะความหงุดหงิดแต่เป็นความกลัว ต่อท่าทางที่กล้ายืนต่อหน้าเขาด้วยสายตาเช่นนี้
      “กลับมานะอันเนอลิส เดี๋ยวก็ถูกฆ่าหรอก” ครอบครัวของมารีพยายามเรียกแต่เธอหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม
      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันยังไม่ถึงเวลา” และให้คำตอบอันน่าฉงห
      เสียงฮือฮาเริ่มดังมาจากกลุ่มผู้ถูกกวาดต้อน เหล่าผู้คนสงสัยและประหลาดใจกับเด็กน้อยซึ่งกล้าที่จะเผชิญหน้ากับกองทหารติดอาวุธที่โหดร้ายอย่างไม่เกรงกลัวแม้ปืนจะจ่ออยู่ที่หน้าผาก
       
      “ขอบอกไว้ก่อนนะนังหนู ข้ามผ่านประตูนี่ไปคือนรกบนดินสำหรับพวกแก อีกไม่นานแกจะกลายเป็นขี้เถ้าสำหรับทำปุ๋ยเหมือนกับพวกนี้ทุกคนและพวกก่อนหน้านี้ทั้งหมด” ทหารทำหน้ายักษ์ข่มขู่เด็กน้อยด้วยหวังว่าจะเห็นความกลัวของเธอ แต่คำตอบกลับเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เห็นมานานนับปี
      “ขอโทษนะคะ หนูน่ะไม่สามารถช่วยพวกคุณได้ หนูไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับบาปที่หลงผิดได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยขอให้หนูได้เข้าใจพวกคุณด้วยเถอะค่ะ” ทันใดนั้นลำกล้องปืนของนายทหารถึงกับเลื่อนหลุดหล่นลงไปกับพื้น คำพูดของเด็กสาวราวกับเสียงระฆังที่ก้องกังวานปลุกสำนึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของจิตใจหลังจากที่ต้องเผชิญกับความตายและเสียงกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงต้องทำตนให้เป็นดั่งเครื่องจักรเพื่อรักษาสติเอาไว้ จนเกือบลืมความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
       
      “ไม่ต้องกลัวนะคะ... ทุกคนจะรอดอย่างแน่นอน” เธอหันไปบอกกับคนอื่น ผู้คนซึ่งเคยลืมรอยยิ้มแห่งความสุขไป แม้จะยังถูกเหล่าทหารล้อมไว้อยู่ แต่ประกายแห่งชีวิตก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาอีกครั้ง ราวกับเห็นเทพธิดามาจุติจากฟากฟ้าเพื่อป่าวประกาศทางรอดแก่พวกเขา
       
      เด็กสาวก้าวเดินไปข้างหน้าตรงไปยังทางเข้าค่ายนรก ทุกย่างก้าวทั้งหนักแน่นและเข้มแข็ง เหล่าทหารพลันต้องหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว เหมือนรู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่อาจเข้าใจได้ พลังซึ่งนำทางเหล่าเชลยทั้งหมดก้าวเดินไปพร้อมกัน ต่างโห่ร้องยอมรับการเผชิญหน้ากับความกลัวและอันตรายทั้งปวง เสมือนเป็นความหวัง ราวกับเมฆหมอกอันชั่วร้ายกำลังถูกปัดเป่าและสูญสิ้น เด็กสาวมองดูของที่เธอกำไว้แน่น กระดาษสีทองสลักนามแห่งขบวนรถไฟแห่งชะตากรรม กับวลีที่ย้ำเตือนให้รู้ถึงอำนาจในการควบคุมชะตาของมนุษย์ทุกผู้คนขอเพียงมีความหวัง มันสลายกลายเป็นละอองสีทองหายไปในอากาศ แต่ไม่สำคัญอีกแล้ว นั่นคือหลักฐานที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างที่เธอประสบพบเจอนั้นเป็นความจริง
       
      “ที่จะต้องตาย.. แค่ฉันคนเดียวก็พอ”
       
      หลังการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติดำเนินมาเป็นเวลานานกว่าหกปี สงครามก็ได้จบสิ้นลงด้วยชัยชนะของทัพแห่งพันธมิตร ทุกดินแดนของอริศัตรูอันเลวร้ายล้วนปราชัย และจอมทรราชผู้หลงผิดก็ได้ปลิดชีวิตตนเอง อันเป็นจุดจบของบุคคลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งของมนุษยชาติ แม้จะมีผู้คนมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยเรื่องที่ไร้เหตุผล แต่กองกำลังสัมพันธมิตรก็ได้เข้ายึดค่ายนรกทุกแห่งปลดปล่อยเหล่าผู้คนที่เหลือรอดให้พ้นจากอันตราย พวกเขาทุกคนได้กลับไปยังบ้านที่กำเนิดและเติบโตมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
       
      “เฮ้อ... ในที่สุดก็ได้กลับมาทำงานปกติซะที” ที่บริษัทเล็กๆในอัมสเตอดัมส์ สองชายหนุ่มผู้เคยให้ความช่วยเหลือเหล่าคนผู้ถูกไล่ล่าจนต้องถูกจับ แต่ก็รอดจากค่ายนรกกลับมามีชีวิตปกติดังเดิมได้กำลังเตรียมพร้อมที่จะกลับมาทำงานปกติของตน เมื่อได้ใช้ชีวิตเช่นเดิมต่อให้ผ่านความยากลำบากมาแค่ไหนก็คุ้มค่าและรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดได้หายไปสิ้น แม้แต่พนักงานหญิงผู้เป็นเพื่อนร่วมงานทั้งสองก็ยังรู้สึกยินดีไปด้วย
       
      “แบบนี้ต้องฉลองการกลับมาของพวกคุณทั้งสองแล้วล่ะค่ะ” พนักงานหญิงคนหนึ่งร้องด้วยความยินดี
      “ไม่ได้นะ แค่พวกเราไม่ได้หรอก” พนักงานหนุ่มคนหนึ่งแย้งขึ้น บรรยากาศเบิกบานในห้องหม่นหมองลง
      “พวกท่านประธาน... จะเป็นยังไงบ้างนะ” พนักงานหนุ่มอีกคนหลุดปากออกมา
      “ตาบ้า! อย่าพูดเรื่องชวนให้งานกร่อยสิยะ!” จึงโดนพนักงานหญิงเอ็ดใส่
      “แต่มันก็... กร่อยไปแล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวเสริม
       
      บรรยากาศที่เมื่อครู่กำลังรื่นเริงยินดีพลันหดหู่ลงอย่างรวดเร็ว แต่ละคนรู้สึกว่าตนเองไม่ควรจะมาสนุกสนานโดยกลุ่มคนที่พวกเขาเคยพยายามช่วยเหลือยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ต่อให้สงครามสิ้นสุดแล้วและค่ายกักกันทั้งหมดถูกทำลาย แต่ผู้ถูกสังหารหมู่ในค่ายนั้นมีมากนับแสนนับล้านคน โอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตนั้นมันช่างริบหรี่เต็มที
      ก่อนจะได้ยินเสียงกระดิ่งเรียกจากหน้าประตู พนักงานสาวอาสาไปรับแขก แต่เธอก็ต้องพบว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้มาเยือน
      “ท่านประธาน!?”
      พนักงานสาวร้องลั่น ชายวัยกลางคนสวมชุดทรุดมีหน้าตาดูทรุดโทรมเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิใหญ่มาอย่างโชกโชน แม้จะผอมลงไปมากแต่เขาคือท่านประธาน “ออทโท ฟรังค์” แน่นอน เสียงตะโกนของเธอเรียกพนักงานอีกสองคนให้มาดู และยิ่งเพิ่มความปิติมากยิ่งไปอีกเมื่อเห็นว่าเบื้องหลังของเขายังมีคนอื่นอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
       
      “คุณนาย!? คุณหนูใหญ่!? ทุกคน!?”
       
      พวกเขาคือกลุ่มคนที่เคยอยู่ที่นี่ ทั้งคุณนาย คุณหมอ และคนอื่นๆ ทุกคนที่เคยหลบภัยอยู่ในอาคารหลังนี้และถูกพวกตำรวจจับไป แม้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่แพ้ท่านประธานเท่าไหร่แต่พวกเขาทุกคนยังอยู่ มีชีวิตมีลมหายใจและกลับมาที่นี่อีกครั้ง
       
      “พวกคุณยังอยู่! ขอบคุณพระเจ้า!” พนักงานหนุ่มพนมมือสวดต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ได้สร้างปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่นี้ให้เป็นจริง พนักงานสาวคนหนึ่งโผเข้ากอดคุณหนูด้วยรอยยิ้มอันปลื้มปิติแต่เหมือนเธออยากจะให้ปล่อยเพราะรู้สึกอึดอัด ขณะที่พนักงานหญิงคนที่สองจับมือกับทุกคนพร้อมกล่าวแสดงความยินดีด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
       
      “ยินดีต้อนรับกลับครับท่านประธาน” พนักงานหนุ่มอีกคนเข้าจับมือต้อนรับท่านประธาน เขายืนมือมาจับพร้อมยิ้มน้อยๆ จนพนักงานหนุ่มสังเกตความผิดปกติได้
      “ทำไมทุกคนดูไม่ร่าเริงเลยล่ะครับ” เมื่อถามออกไปทั้งหมดก้มหน้าลงเหมือนจะซ่อนเร้นความโศกเศร้า
      “แล้ว... คุณหนูเล็ก... คุณหนูอันเนอลิสล่ะคะ?”
      ทั้งหมดสะดุ้งพร้อมกัน กลายเป็นคำตอบของคำถามที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น พนักงานทั้งสี่ใจหายวาบราวกับโดนมีดแทงตัดขั้วหัวใจ
      “เธอตายแล้ว... อันเนอตายที่แบร์เกิน-เบลเซิน”
      แม้คำตอบจะไม่ยากเกินคาดเดา แต่เมื่อประจักษ์ชัดเจนกลับพลิกบรรยากาศของความยินดีเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าในพริบตา
      “อีกแค่สองวัน.... อีกแค่สองวันค่ายนั่นก็จะได้รับการปลดปล่อยอยู่แล้ว ถ้าเธอทนอีกสักหน่อยคงไม่....” ผู้เป็นพ่อไม่อาอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจได้อีก น้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลรินอาบบนใบหน้าเมื่อไปเองว่าถ้าพวกเขารอดมากเช่นนี้เด็กสาวก็ต้องรอดด้วยแต่พวกเขาก็คิดผิด
       
      ที่ห้องรับแขกของบริษัท สถานที่ซึ่งเคยเป็นพื้นที่อันตรายของพวกเขาที่เคยได้แต่หลบอยู่ในที่ซ่อนในตอนนี้เป็นบริเวณที่สามารถพำนักพักผ่อนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาจับกุมทำร้ายอีกแล้ว กลิ่นของชาที่นำมาเสิร์ฟน่าจะหอมหวานชวนให้ผ่อนคลาย การกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งควรความหมายมากกว่านี้และรู้สึกยินดีที่พวกเขาได้รอดชีวิตถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาแห่งความเศร้า
       
      “ทั้งที่ฉัน... ทั้งที่พวกเราก็อยู่กับเธอด้วยแท้ๆ แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย!” ผู้เป็นเป็นแม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมหยุด พวกเธออยู่กับมารีตลอดแต่เธอกลับต้องตายแต่พวกเธอรอด มันความยุติธรรมในสำหรับคนในครอบครัวสักนิดเดียว คนอื่นก็ไม่อยากพูดอะไรมากพวกเขาซึ่งเดิมทีดีใจมากที่รอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์พลันต้องเจ็บปวดในพริบตาที่ได้รู้ถึงการตายของเด็กสาว ถ้าไม่ตั้งความหวังไว้มากมายแต่แรกก็คงจะดีเป็นสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้คิดเหมือนกันโดยไม่ต้องนัดแนะ
      “ทั้งที่เธอพยายามเต็มที่ ไม่ว่าตัวเองจะลำบากหรือเจ็บป่วยแค่ไหนก็จะพยายามช่วยคนอื่นอยู่ตลอด” คำพูดของผู้เป็นแม่หันความสนใจของพนักงานหนุ่ม
      “เธอช่วยคนอื่น? ช่วยเล่าให้ละเอียดหน่อยสิครับ” ก่อนเขาจะถามอย่างสนใจ แม้จะดูเสียมารยาทแต่พี่สาวก็พร้อมจะเล่า
      “ครั้งแรกที่เราไปถึงค่ายมรณะตอนที่พวกเราทุกคนได้แต่กลัวและสิ้นหวัง มีแต่เธอเท่านั้นที่ลุกขึ้นเดินไปเผชิญหน้ากับพวกทหารโดยไม่กลัวจนพวกมันยังต้องยอมหลีกทาง ตอนนั้นหนูตกใจมากแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ หลังจากนั้นทุกเวลาที่อันเนออยู่ในค่ายเธอจะคอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งคนป่วย เด็ก คนชรา บางทีเธอก็แอบลอบไปตัดระบบควบคุมห้องแก๊ซจนเสียหายทำให้นั้นฆ่าคนได้น้อยลง น่าแปลกที่ไม่มีใครจับเธอได้หรือต่อให้โดนสงสัยพวกทหารก็จะยอมปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายของเธอก็ผ่ายผอมทรุดโทรมมากขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมในค่ายและอาหาร แต่เธอก็ยังไม่ยอมหยุดจะช่วยเหลือคนอื่นจนกระทั่งทุกคนในค่ายยอมรับเธอเหมือนเป็นผู้นำของพวกเขา บางคนก็ถึงขั้นเชื่อว่าเธอเป็นเทพธิดา แต่รู้ไหมคะ พวกเราก็เกิดคิดแบบนั้นตามไปด้วย”
       
      พี่สาวยอมรับแม้แต่ผู้ถามยังตื่นตะลึง คุณหนูเล็กที่พวกเธอรู้จักเป็นคนที่ซุกซน โวยวายเก่งและเจ้าอารมณ์ เป็นนิสัยของเด็กผู้หญิงห้าวปกติซึ่งไม่ได้แย่นักแต่ก็ไม่ใช่คนที่จะพยายามช่วยเหลือคนอื่นราวกับแม่พระถึงขนาดนั้น มันน่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสิ
      “แต่ดูเหมือนพวกมันจะเห็นว่าอันเนอเป็นคนที่สร้างความหวังให้เหล่าเชลย แม้จะไม่ได้ฆ่าเธอเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่พวกเราถูกส่งไปยังค่ายกักกันอีกแห่ง ที่นั่นไม่มีงานแต่ก็ไม่มีกิน ทุกคนอดอยากและอับจนข้นแค้นมาก แต่เธอเป็นคนที่คอยให้กำลังใจทุกคน ช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่รู้ว่าเธอเอาอาหารมาจากไหนแต่เธอเอามาแบ่งให้ทุกคนได้มีกินถึงจะอ้างว่าเธอทานมาแล้วแต่หนูดูปุ๊บก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ จนกระทั่งเกิดโรคระบาด อันเนอติดโรคเธอทรมานกับมันมากแต่กลับยังยิ้มอยู่ได้ เธอยิ้มและพร่ำบอกกับพวกเราว่า ทุกคนจะรอด พวกเราจะต้องรอด เพราะว่า... เพราะว่า...”
      พี่สาวแทบจะอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พนักงานสาวพยายามปลอบเธอและขอให้หยุดเล่าจะดีกว่า แต่คุณหนูใหญ่ก็ยืนยันที่จะพูด
       
      “เธอบอกว่า.... พวกเราทุกคนจะต้องรอด... เพราะคนที่จะตายมีแค่เธอคนเดียว...” ผู้พี่ปล่อยโฮมือกุมหน้าซ่อนเสียงสะอื้นไห้ หลายคนในห้องอยู่ในอาการเช่นเดียวกันบางคนทุบโต๊ะแสดงความเจ็บใจ
       
      “หนูไม่รู้ว่าเธอหมายความว่ายังไง ตอนแรกหนูคิดว่าเธอพยายามปลอบใจพวกเราให้มีความหวัง หลังจากเธอป่วยตายทหารพันธมิตรก็มาถึงแล้วช่วยพวกเราไว้ ทุกคนในค่ายนั้นรอดเกือบหมดทั้งที่มันไม่น่าเป็นไปได้ พวกเราทุกคนที่นี่ไม่มีใครตายเลย ตอนที่เรากลับมาตรวจสอบรายชื่อพวกทหารพันธมิตรก็บอกว่าคนที่โดยสารมาพร้อมกับเราในรถไฟขบวนนั้นก็ไม่มีใครตายสักคนเดียว!”
      เรื่องที่น่าเหลือเชื่อหลุดออกมาจากปากของพี่สาว หากไม่ได้ยินและไม่ใช่ผู้ที่ใกล้ชิดกับเธอมานานคงจะคิดว่าถูกหลอกเข้าแล้ว และน้ำตาที่ไหลนองเป็นเครื่องยืนยันความจริงทั้งหมด จะให้คิดเป็นอย่างไรได้อีก จะสรรหาคำอธิบายอะไรมาไขความจริงต่อไปอีก นอกจากว่าบุตรสาวคนเล็กของตระกูลฟรังค์คนนี้ล่วงรู้ทุกอย่างและทำทุกสิ่งเพื่อช่วยทุกคน หากใครได้ประจักษ์ชัดคงไร้ซึ่งเสียงทัดท้านต่อความเห็นเช่นนี้ได้อีก
       
      “มันแปลกใช่ไหมคะ? ที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนที่ซุกซนแก่นแก้ว เอาแต่เล่นสนุกจนเนื้อตัวมอมแมมทุกวี่วัน เอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ จะกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่ถูกกักขังแล้วช่วยเหลือจนพวกเขาก้าวข้ามความยากลำบากและกล้าจะเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม แต่ตัวเธอกลับต้องมาตายแทน มันแปลกไหมล่ะคะ ทำไมเธอถึงต้องตาย มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!!”
       
      ออทโทผู้พ่อได้หลีกหนีจากบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าไปอยู่ในห้องลับซึ่งเคยเป็นที่ซ่อน บริเวณว่างเปล่าซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยใช้หลบซ่อนจากการคุกคามของผู้ไล่ล่า แม้จะต้องหวาดกลัวจนแทบไม่เป็นอันใช้ชีวิตหรือประสบกับความยากลำบากจนต้องผิดใจกันแค่ไหน ก็ยังคงเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าแก่การจดจำ เพราะมันคือเวลาที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า วันเวลาที่ผ่านพ้นไปล้นแล้วแต่มีความหมายยิ่งแต่วันนี้หนึ่งในคนที่เคยร่วมใช้ชีวิตกันในที่แห่งนี้ได้จากไปแล้ว
       
      “เธอไม่อยู่แล้ว... ทำไมถึงต้องแค่เธอ.... อยู่ในโลกนั้นเพียงลำพังเธอคงจะเหงามาก” ออทโทพร่ำเพ้อถึงเรื่องนี้ พลางนึกถึงวันที่เขาเตรียมจะใช้ที่นี่ในการหลบซ่อนตัว หากเขาเตรียมการดีกว่านี้ทุกคนคงจะหลบภัยจนรอดพ้นและไม่มีใครถูกจับและมารีก็ไม่ต้องตาย มานึกเสียใจตอนนี้อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ เขาเดินไปยังผนังที่มีกระดาษผืนดำปิดมิด ที่ซึ่งเป็นหน้าต่างแต่เดิมที่เขาพยายามปิดไม่ให้ใครเห็นว่ามีคนอยู่ที่นี่ ของที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วนี้ถูกท่านประธานฉีกทิ้งระบายความเจ็บแค้นในใจ แสงสว่างส่องผ่านกระจกใสได้เป็นครั้งแรกในรอบสองปีแสดงทิวทัศน์ของอาคารสูงในอัมสเตอดัมส์
       
      “หืม!?” ออทโทอุทานเมื่อเขาสังเกตเห็นเงาของใครบางคนวิ่งหลบไปด้านนอกของมุมตึก มันน่าแปลกที่ซอกอาคารแถวนี้ไม่น่ามีใครผ่านเข้ามาในเวลานี้ได้ ถึงจะนึกได้ว่าเป็นคนที่เดินผ่านมาแล้วนึกสงสัยเข้ามาดูก็ได้ แต่ประธานก็รู้สึกในสิ่งที่ต่างออกไป
       
      เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นอีก พนักงานสาวอาสามาดูให้แต่เมื่อเปิดประตูออกไปกลับไม่พบใครนอกจากซองจดหมายวางอยู่ข้างประตูจ่าหน้าถึงครอบครัวฟรังค์ เธอนำมันไปมอบให้กับออทโทที่มีท่าทางลนลานหลังออกจากห้องที่ซ่อน
      “แปลกนะ.. ตอนนี้จะยังมีใครส่งอะไรมาอีก” เขาลองเปิดซองพบจดหมายซึ่งเขียนบนกระดาษสกปรกยับยู่ยี่เหมือนเก็บมาจากกองขยะ ตัวอักษรถูกเขียนด้วยเลือดทำเอาทุกคนแทบใจหาย แต่ต้องยิ่งตกใจกว่าเดิมเมื่อเห็นลายมือและชื่อผู้เขียน
      “อันเนอ!? นี่เป็นจดหมายของอันเนอนี่นา!” ออทโทร้องลั่น ทุกคนในห้องรีบรุดเข้ามาดูพร้อมกันอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
       
      คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาวและทุกๆคนคะ ถ้าหากได้รับจดหมายนี้หมายความว่าหนูคงไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว หนูอยากจะบอกทุกคน ตั้งแต่ที่มาอยู่ในค่ายนี่มันทั้งยากลำบากเหน็ดเหนื่อยชวนให้ท้อแท้สิ้นหวัง อาจจะชวนให้คิดว่าพวกเราถูกพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้วก็ได้ แต่ตลอดเวลาที่หนูอยู่กับเพื่อนร่วมชะตากรรมทุกคน ได้พูดคุยสนทนาสารทุกข์สุขดิบ ได้เฝ้ามองการจากไปของพวกเขาและได้หลั่งน้ำตาอาลัยให้ ได้ช่วยเหลือพวกเขาทุกคนเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้ หนูมีความสุขมาก มากเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้ ทุกคนคงจะคิดว่าหนูเสียสติไปหรือพยายามปลอบใจตัวเอง แต่เชื่อเถอะค่ะถ้าหนูเลือกได้ขอแลกชีวิตของตัวเองกับพวกเขาทุกคน หนูไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งอะไรนักหรอกค่ะ หนูเป็นแค่คนอ่อนแอ อ่อนแอเกินกว่าจะทนอยู่ในโลกที่ไม่มีทุกคน ไร้พลังเกินกว่าจะช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมด เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกคนมีความสุข โลกที่ทุกคนไม่คิดแค้นผู้ทำร้ายพวกตน โลกที่แม้จะต่างกันเราก็เข้าใจกันได้และทุกคนกล้าจะจับมือกับคนที่เกลียดเราแล้วบอกว่าเราอภัยให้พวกเขา ตอนนี้หนูคงอยู่ได้อีกไม่นาน คุณพ่อ คุณแม่ พี่คะ ไม่ต้องเสียใจกับการจากไปของหนูหรอกค่ะ เพราะหนูคิดว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว และอาจจะเป็นคำขอที่มากเกินไปแต่หนูอยากให้ทุกคนช่วยสานต่อความต้องการของหนู ไม่ต้องสำเร็จลุล่วงอย่างที่หนูวาดฝันไว้หรอกค่ะ แค่ทุกคนยอมให้อภัยคนที่เคยทำร้ายตนเองก็แล้ว หนูอยากให้ทุกคนเชื่อคนเราล้วนมีความดีในหัวใจ แค่เราต้องเข้าใจกันและกัน
       
      อันเนอลิส มารี ฟรังค์
       
       
      มือของผู้เป็นพ่อกำลังสั่นเทิ้มไปกับน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้ ทุกสายตาที่จับจ้อง ทุกถ้อยคำที่อ่านออกเสียงได้ซึมซับเข้าไปในใจของเขา และได้รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่อันเนอน้อยอีกต่อไปแล้ว
      “เด็กคนนั้นเขียนจดหมายฉบับนี้เองหรือเนี่ย?” พนักงานชายถามอย่างไม่อยากเชื่อแม้จะรู้จักลายมือนี้ดี ผู้เป็นแม่และพี่สาวพยายามอดกลั้นน้ำตาเอาไว้เพื่อ
      “เธออยากให้เรา... อภัยให้คนที่ทำร้ายพวกเรา” ออทโทคิดไปถึงพวกทหารผู้ที่เกลียดชังพวกเขาและทำให้มารีต้องตาย แต่เธอก็ยังให้อภัยพวกนั้น แล้วเขาล่ะ?
      “ทำไมเด็กคนนั้นถึงคิดแบบนั้น ทั้งที่เธอต้องตายเพราะคนพวกนั้นไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องยอมให้อภัยพวกมัน!” คุณหมอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น
      “เราต้องทำครับ!” ชายหนุ่มผู้ซึ่งเคยสนิทกับมารีพูดแทรกขึ้น
      “มารีเองทรมานจากการอยู่ในค่ายนรกนั่นมาก แต่เธอก็ยังให้ภัยคนที่ทำร้ายเธอ มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะทำไม่ได้”
      ทุกคนในห้องเงียบลง พวกเขานึกไปถึงวันวานแห่งความทุกข์ยากในแดนมิคสัญญีนั่น เมื่อคิดถึงความเหนื่อยยากและความเจ็บปวดอันมากมายที่ได้รับแล้ว พวกเขาจะสามารถยกโทษให้คนเหล่านั้นได้จริงหรือ?
       
      “ว่าแต่.... จดหมายนี่ใครเป็นคนส่งมา” ออทโทหยิบซองขึ้นมาดู ไม่มีการจ่าหน้าซองหรือเขียนชื่อผู้รับจดหมายนี่คงไม่ได้ส่งผ่านไปรษณีย์แน่ ต้องเป็นการนำมาส่งเอง...
      “หรือว่า!?” ผู้เป็นพ่อถึงกับรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของครอบครัว แม่และลูกสาวตามไปพร้อมกับทุกคนจนห้องรับแขกซึ่งเคยแน่นขนัดพลันว่างไปโดยไม่มีใครเหลืออยู่
       
       
      บริเวณตัวเมืองอัมสเตอดัมส์ หลังสงครามความเสียหายจากการโจมตีกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งจากเครื่องบินทิ้งระเบิดและการบุกของเหล่าทหาร รัฐบาลใหม่ซึ่งขึ้นมาหลังผู้ยึดครองต่างชาติพ่ายแพ้ได้พยายามจะฟื้นฟูความงดงามของเมืองขึ้นมาอีกครั้งด้วยความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ตามถนนมีจุดแจกจ่ายอาหารฟรีสำหรับผู้ประสบภัยสงคราม อาคารซึ่งพังถล่มมีความพยายามจะกู้ซากและสร้างขึ้นใหม่รวมทั้งสร้างที่พักชั่วคราวให้กับผู้ไร้บ้าน บรรยากาศแห่งการเยียวยานี้ทำให้เชื่อได้ว่าอีกไม่นานเมืองแห่งนี้จะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในเวลาไม่นานแน่นอน
       
      “อาหารแจกฟรีครับ! เชิญมารับอาหารแจกฟรีได้ที่นี่เลยครับ!” ผู้ดูแลประจำจุดแจกจ่ายร้องประกาศเชิญชวนโดยมีคนจำนวนมากเข้าคิวยาวเพื่อรับขนมปังและซุปอุ่นๆ แม้จะจืดชืดเพราะขาดวัตถุดิบแต่ความอบอุ่นจากมิตรไมตรีเป็นเครื่องปรุงรสที่ดีที่สุด คนในชุดคลุมผู้ซึ่งวิ่งหนีจากอาคารที่ตั้งบริษัทของออทโทยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความยินดีก่อนจะเดินจากไปและเลี้ยวเข้าไปในมุมตึกแห่งหนึ่ง
       
      “ส่งจดหมายเรียบร้อยแล้วสินะ” ชายคนหนึ่งรอคนผู้นี้อยู่ แม้จะคลุมเสื้อจนมิดชิดแต่เงาสะท้อนจากเหรียญประดับของเครื่องแบบทหารยังแสดงให้เห็นอยู่ ชุดของทหารจากกองกำลังต่างชาติผู้เคยยึดครองดินแดนแห่งกังหันลมนี้
      “ค่ะ....” คนในชุดคลุมเลิกฮู้ดคลุมศรีษะเผยให้เห็นผมสั้นเกรียนเพราะเพิ่งงอกกลับมาใหม่ไม่นาน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยและแผลเป็นที่ดูผุพองเพราะเคยป่วยเป็นโรคร้าย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอันสดใสของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง
      “แล้วไม่คิดจะอยู่พบครอบครัวหน่อยหรือไง? อันเนอ?”
      “เรียกมารีก็ได้ค่ะ”
       
      เด็กสาวบอกด้วยความยินดี เธอคือคนที่น่าจะตายไปแล้วและระบุอยู่ในเอกสารรายชื่อผู้เสียชีวิตในค่ายกักกันมรณะ เธอเองก็เคยคิดว่าตนไม่น่าจะรอดได้เป็นแน่แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น
      “ไม่ดีกว่าค่ะ...” มารีมีสีหน้าหมองลง
      “เพราะตอนนี้หนูได้ตายไปแล้ว ตัวตนของเด็กสาวที่ชื่อ อันเนอลิส มารี ฟรังค์ ไม่มีอยู่อีกนับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
       
      มารีได้รับการยืนยันนี้ตอนที่เธอไปร้านขายของซึ่งเธอเคยไปบ่อยๆตอนอยู่ที่นี่ คุณป้าเจ้าของร้านทักทายเธอใน
      ฐานะของคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะเห็นหน้าชัดหรือเธอพยายามจะบอกยังไงคุณป้าไม่รับรู้ว่าเธอคือเด็กสาวที่มาซื้อของทุกวัน มันกลายเป็นแค่ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตเท่านั้นไม่ใช่เธอในตอนนี้อีก
      “เจ้าพวกนั้นใจร้ายจริงๆ ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนไม่มีตัวตนไปตลอดกาลซะได้” นายทหารตบกำปั้นและคิดว่าถ้าเจอพวกนั้นอีกอยากจะซัดเข้าซักหมัด
      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณเลเบิล นี่เป็นสิ่งที่หนูเลือกเองและก็สำเร็จอย่างที่หนูต้องการแล้ว หนูไม่รู้สึกเสียใจสักนิด”
       
      เด็กสาวหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังเดินผ่านหน้าตรอก พวกที่เป็นเชื้อชาติเดียวกับเธอซึ่งรอดชีวิตจากค่ายกักกันและกำลังเดินทางกลับบ้านด้วยความดีใจอย่างที่สุด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพวกเขานั้นชวนให้รู้สึกอิ่มเอิบใจ
      “แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าที่ค่ายนั่นหนูจะได้เจอคุณ แถมยังมาช่วยหนูไว้อีก”
       
      มารีกล่าวถึงตอนที่เธออยู่ที่ค่ายกักกันแห่งที่สอง ที่ซึ่งเธอติดโรคร้ายและกำลังจะตายเธอจึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงครอบครัวบอกความรู้สึกของตนและจะวานให้ใครสักคนฝากให้พวกเขา แต่กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดทำให้เธอไม่สามารถทำได้ หากแต่ตอนกำลังจะตายนั้นเธอได้พบกับผู้หมวดเลเบิลคนที่บริกรมาราดอนบอกว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอบนรถไฟนั้น ผู้หมวดเป็นคนช่วยเธอไว้แม้ว่าตอนนั้นสภาพของเธอจะย่ำแย่เต็มทนแต่ด้วยความทรหดทำให้เธอรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ และที่สำคัญที่สุดผู้หมวดเป็นแอบส่งข่าวบอกเส้นทางลัดมายังค่ายทำให้ทัพแห่งพันธมิตรนำกำลังเดินทางถึงและยึดค่ายกักกันได้เร็วกว่าเดิม นายทหารเลเบิลกลายเป็นคนทรยศของกองทัพแต่เป็นผู้กล้าหาญของเหล่าอดีตทหารศัตรู เขาได้รับการยกเว้นโทษจากความดีนี้จึงสามารถพามารีกลับมายังบ้านของเธอจนส่งจดหมายนั้นด้วยตัวเองได้ในที่สุด
       
      “แต่เธอเคยบอกว่าสุดท้ายจะต้องตาย แต่เธอก็รอดแต่กลับไม่มีใครจำได้ว่าเธอเป็นใคร มันเพราะอะไรกัน?” ผู้หมวดถามอย่าสงสัยแกมไม่พอใจ
      “คงเพราะความปรารถนาของหนูสมหวังแล้วล่ะมั้งคะ” เธอตอบ น้ำเสียงดูยินดีมาก
       
       
      ในโลกซึ่งห่างไกลจากห้วงมิติปกติ แดนแห่งบันทึกสรรพสิ่งซึ่งรถไฟแห่งโชคชะตาแล่นผ่าน สามผู้ดูแลกำลังเฝ้าดูเด็กสาวผู้โดยสารคนล่าสุดของพวกเขาผ่านอ่างน้ำซึ่งฉายภาพเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน
       
      “ขอให้โชคชะตาของตนเกี่ยวข้องกับเชลยผู้เดือดร้อนทุกคน และสามารถช่วยพวกเขาได้เท่าที่ตัวเองทำได้”
       
      อารัญนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ เขาอ่านหนังสือพลางกล่าวทวนถึงความปรารถนาของมารีที่ขอไว้ เธอขอให้ตัวเองมีชะตาที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ประสบความทุกข์ยากลำบากทั้งหมด สามารถช่วยพวกเขาในสิ่งที่ตนเองทำได้อย่างเต็มที่ โดยละเลยชะตากรรมที่ตัวเองต้องตาย
      “เป็นคำขอที่... ประเสริฐมากครับ” มาราดอนน้ำตาตกในจนแทบทะลักซึ่งเป็นแค่ท่าทางโอเวอร์แอ็คติ้งเป็นปกติของเขาเท่านั้น
      “เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักสดใสดีนะ โตไปต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแน่เลย” เกลินยิ้มระรื่นอย่างเบิกบาน
      “หากว่าตัวเองต้องตายก็ขอให้ตนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจนถึงที่สุด ชีวิตซึ่งคนที่รักไม่อาจจดจำตนได้นั้นไร้ความหมาย” อารัญมองดูหญิงสาวด้วยแววตาห่วงใย
       
      “แต่เธอยังรอดอยู่ได้.... ทำไม?” มาราดอนถามกับเกลิน ผู้ควบคุมรถไฟซึ่งรู้ทุกอย่างดีกว่าใคร
      “เพราะลึกๆแล้วเธอไม่ต้องการที่จะตาย รวมถึงกับการได้พบกับผู้หมวดซึ่งเขาใจเธอแล้ว โชคชะตาจึงเปลี่ยนไปราวกับปาฏิหาริย์... ไม่สิ” เกลินเผยยิ้มกว้าง
       
      “เพราะเธอพยายามที่จะมีชีวิตอยู่จึงเปลี่ยนชะตาได้ด้วยตนเองต่างหาก”
       
      “ทำได้จริงๆงั้นหรือ การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วน่ะ” มาราดอนถามอย่างประหลาดใจ
      “จะถามทำไมในเมื่อนายเป็นคนที่ทำให้เธอคนนั้นพบกับผู้หมวด” อารัญกล่าว
       “ตอนนี้ประวัติศาสตร์น่ะเปลี่ยนไปแล้ว”
      “บันทึกประวัติศาสตร์จะไม่เปลี่ยน มันยังคงบอกว่าอันเนอลิส มารี ฟรังค์ เสียชีวิตแล้วที่ค่ายกักกัน ทิศทางของความเป็นไปทางประวัติศาสตร์ยังคงที่แม้ความเป็นจริงจะถูกบิดเบือนไปแล้วก็ตาม”
      “ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ถูกบิดเบือนมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว การที่เรื่องจริงไม่ได้ตรงกับสิ่งที่บันทึกไว้ เป็นเรื่องธรรมดามากจนไม่รู้จะว่ายังไง” มาราดอนเทชาลงถ้วนเสิร์ฟให้กับเกลิน
      “แต่หลังจากนี้มารีคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น ทุกคนที่เธอรู้จักลืมไปแล้วว่าเธอคือเด็กสาวที่เขาเคยพบ เป็นแค่คนอื่นที่เขาเคยเจอครั้งแรก” เกลินยกถ้วยชาขึ้นดื่มให้ตัวเองสบายใจขึ้นที่ต้องจดจำเรื่องที่เจ็บปวดนี้
      “ใช่...” อารัญเห็นด้วย “ไม่มีใครจำได้อีกแล้วว่าเธอเป็นคนเดียวกับเด็กน้อยคนนั้น แค่จำไม่ได้น่ะนะ”
       
      “แล้วเธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ?” ผู้หมวดเลเบิลถามเมื่อเห็นว่าตอนนี้เด็กน้อยไร้ญาติขาดมิตรแล้ว
      “ตอนนี้หนูคงต้องไปช่วยชาวบ้านฟื้นฟูเมืองนี้ก่อนน่ะค่ะ จากนั้นค่อยคิดทีหลังอาจจะไปหาโบสถ์แถวนี้แล้วขออาศัยสักพักแล้วบวชชีที่นั่นเลยก็ได้เลยค่ะ” มารีบอก จุดหมายชีวิตนับจากนี้ของเธอยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
      “เอ่อ.... ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็... เธอจะ...” เลเบิลมีท่าทางลังเลที่จะพูดเรื่องที่เขาอยากจะชวนเธอไปอยู่ด้วย ครอบครัวของเขามีที่ว่างพอสำหรับสมาชิกสักคนหนึ่งโดยเฉพาะคนที่เปลี่ยนทัศนคติของเขาได้ แม่กับน้องสาวต้องยอมรับเธอได้แน่
       
      “หยุดก่อน!” เสียงเรียกของใครคนหนึ่งหันความสนใจของมารี ออทโทผู้เป็นพ่อยืนอยู่ข้างหลังในสภาพที่หอบเหนื่อยหลังจากวิ่งตามมาเต็มฝีเท้า ตามมาด้วยแม่กับพี่สาวของเธอ
      “คุณพ่อ....” เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เบามากเพราะรู้ดีว่าสถานะของตัวเองเป็นยังไง
      “หนูเป็นคนส่งจดหมายของอันเนอให้เราใช่ไหม?” ผู้เป็นพ่อถามเธอ โดยเห็นหน้าเธอชัดแต่ก็ยังเรียกเป็นคนอื่นอย่างที่เธอคิด
      “ค่ะ.... มารีกับหนูเป็นเพื่อนตอนอยู่ที่ค่ายกักกัน” เธอพูดคุยกับผู้เป็นพ่อราวกับคนเพิ่งเคยรู้จัก
      “ก่อนมารีจะตายเธอขอให้ฉันช่วยส่งจดหมายให้กับครอบครัวของเธอ เธอเชื่อว่าพวกคุณจะต้องรอดกลับมาได้แน่นอนน่ะค่ะ” แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างเรื่องหลอกคนในครอบครัวทั้งที่เขาจำเธอไม่ได้อีกแล้ว
      “แปลกนะ ฉันไม่เคยเห็นเธอที่นั่นเลย เธอพบกับน้องสาวฉันได้ยังไง?” พี่สาวถาม มารีรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ได้ฟังประโยคที่เหมือนตนเป็นคนอื่นแบบนี้
      “เราพบกันโดยไม่ให้ใครรู้น่ะค่ะ มารีตอนนั้นถูกพวกทหารเพ่งเล็งอยู่แล้วกลัวฉันจะเป็นอันตรายไปด้วย” เด็กสาวเหล่ตาออกห่าง แต่พี่สาวไม่ได้พูดอะไรต่อทำให้มั่นใจว่าเธอเชื่อแล้ว
      “ขอโทษนะคะที่ฉันช่วยพวกคุณได้แค่นี้....” มารีทำหน้าหงอยเมื่อเธอรู้ว่าไม่ทีทางจะช่วยให้พวกเขาหายเศร้าได้ ไม่สามารถแสดงตนในฐานะอันเนอลิสเพื่อให้พวกเขาดีใจว่าลูกสาวของพวกตนยังมีชีวิติอยู่ได้อีกต่อไป
       
      “เดี๋ยวสิ แล้วเธอไม่มีครอบครัวหรือ?” ผู้เป็นแม่ถามเธอ
      “พวกเขา... จากหนูไปหมดแล้วค่ะ ตอนนี้เหลือแค่หนูคนเดียว” เธอตอบ และไม่ใช่เรื่องโกหก
      “หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ... ยินดีมากที่ได้พบกับครอบครัวของมารี หวังว่าพวกคุณจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็งนะคะ” มารีอวยพรให้ครอบครัวเก่าของเธอ เด็กสาวกล้ำกลืนฝืนทนความโศกเศร้าและตัดสินใจเดินออกมา ตอนนี้เธอได้เห็นครอบครัวมีชีวิตอยู่คงไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว เลเบิลมองดูเธอด้วยความเวทนาแม้จะรู้ดีว่านี่คือทางเลือกของเธอเอง
       
      ก่อนพี่สาวจะคว้ามือของเธอไว้
       
      “เอ๋!? ทำอะไรของคุณน่ะคะ?” มารีถามด้วยความตกใจ
      “เธอไปไม่ได้!” พี่สาวประกาศอย่าหนักแน่น จนเด็กสาวตื่นตะลึง
      “แต่ว่าฉัน... เป็นแค่คนอื่น ฉันก็แค่จะไปหาที่อยู่ตามทางของฉันทำไมคุณถึงห้าม...”
      “ฉันบอกว่าเธอไปไม่ได้!”
       
      พลันนั้นทั้งพ่อและแม่เข้ามาหาเธอด้วยสายตาเช่นเดียวกับพี่สาว
      “ฉันไม่รู้หรอก... ไม่เข้าใจสักนิด ตัวเธอเองเป็นแค่เพื่อนของน้องสาวฉันที่ตัวฉันก็ยังไม่รู้จัก แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่าจะให้เธอไปไม่ได้ มันบอกว่าหากปล่อยเธอไปคราวนี้ฉันจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต” เธอบอกออกไป ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง
      “แม่ก็เหมือนกัน” ผู้เป็นแม่เห็นด้วย
      “ฉันเองไม่เคยรู้จักเธอก็จริง แต่พอเห็นเธอครั้งแรกหัวใจที่กำลังแตกสลายของฉันเหมือนถูกเยียวยา ราวกับว่าเราสองคนเคยรู้จักกันมานานมาก หัวใจของฉันมันพองโตและรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด”
      เธอจับมือของเด็กสาวอีกข้างไว้
      “เหมือนเธอเป็นลูกสาวของฉันเองเลย”
      “ล้อเล่นอะไรของคุณคะ?” มารีถามด้วยความตกใจและตื่นเต้น
      “ฉันเป็นแค่เพื่อนของลูกสาวคุณ เป็นแค่คนที่คุณเพิ่งจะรู้จัก จะทำให้คุณรู้สึกยินดีได้ยังไง....”
      “ได้สิ...” พี่สาวยืนยัน “หัวใจฉันมันก็บอกแบบนั้น”
      เธอจับมือของมารีทาบบนอกของเธอ เสียงหัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะทั้งอบอุ่นเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิต เหมือนวันวานที่เด็กสาวได้เคียงข้างผู้พี่และพักผ่อนบนตักเมื่อเล่นกันจนเหนื่อย เสียงที่ทั้งอบอุ่นและเข้มแข็งที่เธอจะได้ไม่รู้ลืม
       
      “เธออยากจะมาอยู่กับเราไหม?”
      ออทโทผู้เป็นพ่อได้เอ่ยปากถามในสิ่งที่มารีไม่นึกฝัน
      “อยู่... กับพวกคุณ?” เธอถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ
      “ยังไงเธอไม่มีที่ไปสินะ งั้นเรามาอยู่ด้วยกันและมาเป็นครอบครัวเดียวกันดีไหม?”
      มารีรู้สึกตระหนก คุณเกลินบอกว่าตัวตนของเธอจะหายไปซึ่งก็จริงและตอนนี้พวกเขากำลังจะบอกให้เธอไปอยู่กับพวกเขา แน่นอนว่าเธอดีใจมากแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจด้วย
      “คุณคิดจะเอาฉัน... เอาฉันไปแทนที่มารีหรือคะ?” เด็กสาวถามอย่างลังเล เธอรู้สึกว่าพวกเขากำลังหาสิ่งที่ปลอบประโยนจิตใจโดยมองว่าตัวเธอคือตัวตนเก่าของเธอ มองเป็นลูกสาวของพวกเขา ไม่เช่นนั้นจะตัวเธอซึ่งกลายเป็นคนอื่นไปแล้วทำไม
      “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ไม่มีใครแทนที่อันเนอได้เธอเป็นลูกสาวที่พวกเรารักมาก เธอเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่เข้มแข็ง กลายเป็นผู้นำทางเหล่าผู้คนจนผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบาก ชีวิตของเธออาจจะสั้นแต่เธอทำในสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้แม้จะอายุยืนนับร้อยปี พวกเราเสียใจกับการตายของเธอก็จริงแต่จดหมายที่เธอส่งให้เรานั้นมันมีความหมายกับพวกเรามาก ทำให้เรารู้ว่าเธอได้ใช้ชีวิตด้วยความหวังจนวินาทีสุดท้าย มันทำให้เรามีความสุขที่ได้เห็นเด็กน้อยซุกซนคนนั้นกลายเป็นคนที่วิเศษถึงเพียงนั้น เราอยากจะบอกกับเธอว่าเราภูมิใจมากแค่ไหน”
       
      มารีได้รู้แล้วว่าเมื่อพวกเขาได้อ่านจดหมายของเธอที่ถูกเขียนขึ้นก่อนตัวตนของอันเนอลิสจะสิ้นสุด ความปรารถนาให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งและพร้อมจะให้อภัยนั้นเขารับรู้  ครอบครัวของเธอสามารถก้าวข้ามความเจ็บปวดและความโศกเศร้าต่อการตายของเธอไปได้ คำพูดของผู้เป็นพ่อนั้นมีความหมายกับตัวเธอมากนัก สิ่งที่เธอทำไปไม่เสียเปล่าแม้แต่น้อย
       
      “เมื่อเรียนรู้ที่จะให้อภัยเราก็ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน” ออทโทกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน ความอบอุ่นของผู้เป็นพ่อซึ่งเธอตัดใจไปแล้วว่าจะไม่มีวันได้สัมผัสอีก
      “ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกับพวกเขา ถ้าฉันปล่อยเธอไปตอนนี้คงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ไปทั้งชีวิต”
      “ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่หัวใจของฉันกำลังบอกว่าเธอเป็นที่สำคัญ ราวกับเป็นลูกสาวของฉันอีกคนหนึ่ง” ผู้เป็นแม่เข้ามากอดเธออีกคน
      “ถึงจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้างกับน้องสาวเอาแต่ใจชอบแย่งของฉันอยู่เสมอ แต่ถ้าจะมีตัวยุ่งอีกสักคนฉันก็ยินดีต้อนรับจ้ะ” พี่สาวเข้ากอดเธอเป็นคนสุดท้าย 
       
      เมื่อนั้นหยดน้ำตาที่เคยอดกลั้นได้ไหลรินออกมา ประกายหยดน้ำซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี พวกเขายอมรับเธอเป็นครอบครัวทั้งที่ไม่มีเธอที่ชื่ออันเนอลิส มารี อีกต่อไปแล้ว ราวผลจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเธอได้รับการตอบสนอง หัวใจของเธอพองโตและอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
      “ดีใจด้วยนะมารี” ผู้หมวดหนุ่มกล่าวแสดงความยินดี ครอบครัวของเด็กสาวหันมามองและตกใจเมื่อเห็นสัญลักษณ์บนเครื่องแบบ
      “ไม่เป็นไรค่ะ เขาเป็นคนที่ช่วยพวกเราไว้” มารีแก้ตัวแทนอดีตนายทหารหนุ่ม และอธิบายทุกอย่างให้ฟัง
      “ขอบคุณมากนะครับ” ผู้เป็นพ่อจับมือกับนายทหารด้วยความยินดี แม้ครั้งแรกจะดูลังเลแต่เมื่อสัมผัสไออุ่นของคนด้วยกันก็ตระหนักได้ว่าเขาผู้นี้คือมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถหลงผิดและกลับตัวได้
      “ผม... มีอะไรต้องทำอีกมาก รวมทั้งเรื่องที่เคยทำให้พวกคุณต้องลำบากมากมาย” นายทหารกล่าวอย่างสำนึก ก่อนจะหันเดินกลับไป เพื่อไปยังบ้านเกิดสะสางปัญหาร้อยแปดให้เรียบร้อย
      “คุณเลเบิลขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ!” มารีตะโกนไล่หลังเขาไป ชายหนุ่มโบกมือให้กับหญิงสาว อวยพรให้เธอมีความสุขในชีวิตใหม่นี้ก่อนจะหายลับไปในมุมถนน โดยมีครอบครัวฟรังค์ยิ้มส่งให้เขา
       
      “ฉันขอถามเธอให้แน่ใจ เธอยากจะเป็นลูกสาวของเรา มาเป็นครอบครัวเดียวกันไหม?”
      ออทโทผู้เป็นพ่อถามยืนยันอีกครั้ง และคำตอบก็คือ...
      “ค่ะ.. คุณพ่อคะ”
      เป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตใหม่ของเด็กสาว ที่จะจดจำไปอีกนานแสนนาน
      “เฮ้อ... เจอแล้วให้ผมหาพวกคุณซะตั้งนาน” พนักงานหนุ่มและคนอื่นๆวิ่งตามประธานของพวกเขาที่จู่ๆก็ออกมาโดยกะทันหัน
      “เอ๋!? เด็กนั่นใครครับ?” เขาถามเมื่อเห็นตัวอันเนอในฐานะของคนแปลกหน้าเช่นคนอื่น แต่เธอไม่ใสใจอีกแล้ว
      “เธอเป็นเพื่อนของอันเนอและเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเราน่ะ เธอชื่อ... ชื่ออะไรหรือ?” น่าอายอยู่บ้างที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ถามชื่อของคนในครอบครัวเขาก่อน แต่หญิงสาวไม่ปฏิเสธที่จะบอกเขา แม้ชื่อเดิมจะไม่สามารถใช้ได้เธอจึงตัดสินใจใช้ชื่อที่นายตรวจตั๋วบอกว่าทุกคนจะรู้จักเธอต่อไปในอนาคต
       
      “เหลือเชื่อ! มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง?” มาราดอนหันไปถามเกลินด้วยรอยยิ้มยินดีด้วยกับเด็กสาว
      “เพราะจิตใจยังไงล่ะ” เกลินตอบพลางดื่มชาอึกสุดท้ายอย่างเปรมปรีดา
      “เมื่อต้องการเปลี่ยนชะตากรรมจะต้องใช้ตัวตนของเราเพื่อแลกเปลี่ยน จะไม่มีใครจดจำได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราคือเรา” อารัญกล่าวขณะอ่านหนังสือในมือใกล้จะจบ
      “แต่ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าอำนาจใดๆจะลบล้างทำลายได้ ความรู้สึกต่อรักที่มีแต่เราจะไม่หายไป พวกเขาจะจดจำเธอได้ด้วยความรู้สึกแห่งความรักและความห่วงหาอาทรที่ได้อยู่ร่วมกันมา และนั่นทำให้เธอได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง”
      “พวกคุณรู้ทุกอย่างอยู่แล้วสินะ ร้ายมากเลย” มาราดอนยิ้มหัวเราะอย่างเบิกบานขณะเสิร์ฟชาถ้วยใหม่ให้เกลินและอารัญ
      อารัญอ่านหนังสือจบและวางมันลงบนโต๊ะหยิบชาขึ้นจิบก่อนจะลุกขึ้นมองลงไปในน้ำซึ่งสะท้อนภาพของทุกสิ่งแม้แต่ใบหน้าอันยิ้มแย้มของเด็กสาว
       
      “ยินดีด้วยนะ แอนท์ แฟรงค์”
       
      นายตรวจตั๋วบอกนามที่เขารู้จักเธอเมื่อครั้งแรก ชื่อของหญิงสาวผู้เขียนบันทึกซึ่งบอกถึงชีวิตของผู้หลบภัยจากการคุกคามอันเลวร้าย ก่อนจะถูกตีพิมพ์กลายเป็นหนังสือขายไปทั่วโลกในอนาคต เป็นแรงบันดาลใจแก่คนมากมายที่จะต่อต้านสงครามและการแบ่งแยกเชื้อชาติทั้งปวง แต่เดิมเธอจบชีวิตอย่างมืดมนในค่ายมรณะ ประวัติศาสตร์ยังถูกจารึกไว้เช่นนั้น 
       
      ความจริงที่จะไม่มีใครได้ล่วงรู้คือ เด็กสาวยังคงมีชีวิตอยู่ร่วมกับครอบครัวของเธอเองในตัวตนใหม่ ใช้ชื่อที่เขาได้บอกเธอไปโดยถูกมองเป็นแค่ชื่อของคนปกติ ตัวเธอจะเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียงและไม่ถูกจดจำบนหน้าประวัติศาสตร์อีกหลังจากนี้ เป็นแค่คนธรรมดาที่มีความสุข
       
      “สำเร็จอีกหนึ่งแล้วสินะ” เกลินกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางจิบชาอีกนิด
      “แต่มันก็ยังไม่จบ ภารกิจของเรานั้นยิ่งใหญ่มากมายจนไม่มีวันหยุดให้เลย แย่ชะมัด” มาราดอนบ่นเสียงเอะอะแต่เขาก็ยินดีที่จะทำมันต่อโดยไม่เกี่ยง
      “หน้าที่ของพวกเราที่จะแก้ไขประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงโศกนาฏกรรมให้เป็นความสุข และทำให้หน้าประวัติศาสตร์ยังเดินไปในเส้นทางเดิมต่อไป หลายคนอาจจะว่าเราบิดเบือนประวัติศาสตร์ซึ่งมันก็จริง แต่เราจะปล่อยให้ความเกลียดชังทำลายโลกใบนี้ไม่ได้”
       
      เกลินยิ้มตอบรับคำพูดนี้ พลันนั้นทั้งสามก็ได้ปรากฏตัวยังหัวรถจักรและคนขับสาวเร่งเครื่องมันให้เร็วขึ้นอีก
      “จุดหมายต่อไปของพวกเรา ฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ช่วงสงครามร้อยปี” อารัญพูดขณะกระชับดาบไว้ในมือเตรียมพร้อมในศึกครั้งต่อไป
      “เราจะไปช่วยท่านนักบุญกัน” เกลินประกาศและเร่งเครื่องมากขึ้น
       
      รถไฟเคลื่อนผ่านประวัติศาสตร์และโชคชะตาทั้งปวงเพื่อไปเยือนผู้คนซึ่งเป็นจุดตัดแห่งความเป็นไปได้ บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ต้องประสบกับจุดจบอันแสนเจ็บปวดเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และรักษาประวัติศาสตร์ให้เดินไปในทิศทางเดิม มันอาจเป็นการบิดเบือนหลอกลวงผู้ศึกษาอดีตในอนาคต แต่ถ้าพวกเขาเหล่านั้นพบกับความสุข มันก็คงไม่ได้แย่นักหรอก
       
       
       
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×