เรื่องราวการเดินทางของฉันในโลกที่ล่มสลาย - นิยาย เรื่องราวการเดินทางของฉันในโลกที่ล่มสลาย : Dek-D.com - Writer
×

    เรื่องราวการเดินทางของฉันในโลกที่ล่มสลาย

    โดย Kgmg

    เรื่องราวการเดินทางของ "ยูกิ" ในโลกที่กำลังฟื้นตัวจากการล่มสลายหลังจากสงครามของเหล่าทวยเทพได้จบลง

    ผู้เข้าชมรวม

    39

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    39

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 เม.ย. 67 / 03:05 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทที่ 0 - กุหลาบแสนงามที่เหี่ยวเฉาจากสงคราม สู่การเบ่งบานครั้งใหม่


    จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่นำมาสู่ความขัดแย้ง แย่งชิง และสงคราม ที่นำมาสู่การเดินทางอันยิ่งใหญ่

    ในปีค.ส ##### โลกเข้าสู่วิกฤตขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างรุนแรงจนเกิดปัญญาภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดน และทรัพยากรกันอีกครั้ง มนุษย์ต่างใช้ทุกวิธีการเพื่อนำชัยชนะมาสู่พวกตน ไม่ว่าจะเป็นการ เข่นฆ่า ขู่เข็ญ คดโกง โกหก ล่อลวง และอีกมากมายเพื่อนำมาสู่ชัยชนะของพวกตน จนนำมาสู่สงครามนิวเคลียร์ครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ และเมื่อเหล่ามวลมนุษย์ได้รู้ว่าตนได้ทำสิ่งใดลงไป มันก็ช้าไปเสียแล้ว โลก กลายเป็นดั่งแดนรกร้าง มีเพียงเศษซากสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น ในขณะที่มวลมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ได้เข้าสู่ความสิ้นหวัง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นขวัญจากสงครามก็ได้ส่องสว่างและแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีครามอีกครั้งหนึ่ง และได้ปรากฏร่างของทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่บนท้องนภาอันสว่างไสว ก่อนที่ท้องฟ้าสีครามนั้นจะแปลเปลี่ยนเป็นกลุ่มเมฆสีดำทมิฬ พร้อมสายฟ้าที่ฟาดลงสู่พื้นดิน เบื้องหน้าของมวลมนุษย์ผู้โง่เขลาและโลภมากในตอนนี้คือเทพสูงสุดแห่งหุบเขา โอลิมปัส "ซุส"

    "เหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาและโลภมาก พวกเจ้าจงมองดูสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไป นี้คือผลพวงของความโลภของพวกเจ้าที่นำมาสู่จุดจบของโลกใบนี้"

    ซุสได้กล่าวออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธต่อเหล่ามนุษย์บนพื้นดิน พร้อมอัศนีสีฟ้าครามที่กระหน่ำฟาดผ่าลงมาจากสรวงสวรรค์ แต่ ไม่นานนัก สายฟ้าฟาดอันเกรี้ยวกราดจากท่านเทพ ก็ได้สงบลง พร้อมคำกล่าวของเทพซุสที่มีให้เหล่ามวลมนุษย์ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

    "ถึงแม้ข้าจะผิดหวังในตัวพวกเจ้าเหล่ามนุษย์ แต่ ข้านั้นมีใจโอบอ้อมอารี ข้าจึงจะมอบโอกาสให้มวลมนุษย์อย่างพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แลกกับพวกเจ้าต้องอยู่ใต้บัญชาและเคารพบูชาข้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วข้าจะมอบผืนป่าและธรรมชาติ อันสวยงามให้พวกเจ้าอีกครั้ง"

    เมื่อสิ้นเสียงของเทพซุสผู้ยิ่งใหญ่เหล่ามวลมนุษย์บนพื้นดินต่างกราบไหว้บูชาและขอร้องอ้อนวอนต่อท่านเทพสายฟ้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่รีรอ

    เทพซุสเมื่อในเห็นสภาพอันเวทนาของมวลมนุษย์ก็ได้หัวเราะออกมาด้วยความสังเวชที่มีต่อเหล่ามนุษย์ และได้สั่งให้เหล่าทวยเทพผู้อยู่ใต้อาณัติของตนลงช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผืนโลกและแหล่งน้ำอย่างรวดเร็ว จนในระยะเวลาไม่นาน มวลมนุษย์ก็ได้รับธรรมชาติอันแสนสวยงามอีกครั้งหนึ่ง แต่ ณ บัดนี้ในโลกไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกครั้งหนึ่งแล้ว เผ่าพันธุ์ในตำนาน และเรื่องเล่ามากมายที่หลายคนต่างก็คิดว่าไม่มีอยู่จริงก็ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นหลังโลกเริ่มกลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวจนแทบนิรันดร์อย่างเอลฟ์ เผ่ามนุษย์ครึ่งสัตว์ เหล่าภูตพราย และอีกมากมายเริ่มปรากฏตัวในโลกมากขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์บางกลุ่มก็ได้จับมือและร่วมอยู่อาศัยกับสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเพื่อสันติสุข แต่ มนุษย์บางกลุ่มกับเห็นต่างและขัดแย้งในการอยู่ร่วมกันกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ

    ในขณะที่โลกนั้นกำลังเริ่มเข้าสู่สภาวะดั้งเดิมอยู่นั้น ก็ได้เกิดการปะทะกันอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์กับเผ่าอื่นที่ขัดแย้งกันงั้นหรือ? ไม่ใช่ มนุษย์ด้วยกันอีกแล้วงั้นหรือ? ก็ ไม่ ใช่ แต่กลับเป็นการต่อสู่กันของเหล่าทวยเทพ การต่อสู้แก่งแย่งชิงตำแหน่งเทพของตนเองได้เกิดขึ้น อันเนื่องมากจากตำนานเทพในแต่ละพื้นทวีปทั่วโลกนั้น มีทวยเทพที่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงตำแหน่งกันของเหล่าทวยเทพตามตำนานความเชื่อในแต่ละพื้นทวีป ได้เริ่มขึ้น แรกเริ่มก็เป็นการพูดคุยร่วมมือกันอย่างสันติแต่กลับมีเทพบางตนต้องการเป็นหนึ่งของเหล่าทวยเทพทุกตนบนโลก จนนำมาสู่การต่อสู้อันดุเดือดจนทำให้พื้นโลกที่กำลังฟื้นตัวได้รับผลกระทบอีกครั้ง และจากการต่อสู้กันของทวยเทพ ก็เริ่มกลายเป็นสงครามของเหล่าผู้ศรัทธาในตัวเทพที่ตนเองบูชา เพื่อที่ทำให้เทพที่พวกตนเคารพบูชาได้กลายเป็นหนึ่งในหมู่ทวยเทพ จนนำมาสู่สงครามอันแสนยาวนาน อย่าง "สงครามศักสิทธิ์" ขึ้นมา

    การต่อสู้ของเหล่าทวยเทพนั้นรุนแรงเสียจนทำให้โลกที่เริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความสงบสุขนั้น เริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่มีให้กันขึ้นทีละน้อย เหล่าผู้ศรัทธาต่างพากันแข่งขันกันเผยแพร่ให้เหล่ามนุษย์และอมนุษย์ที่ไร้ที่ศรัทธาให้ศรัทธาในตัวเทพที่พวกตนนับถือและบูชาเพื่อทำให้เทพที่พวกตนศรัทธานั้นแข็งแกร่งขึ้นจากกำลังศรัทธา จนกระทั่งเทพบางตนได้ลงมายื่นมือช่วยมนุษย์ เพื่อยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ของเหล่ามนุษย์(?) เปล่าเลย กลับเป็นการมอบพลังอำนาจให้เหล่ามนุษย์ที่ศรัทธาตนได้มีพลังอำนาจมากพอที่จะกำจัดพวกกลุ่มผู้ศรัทธาเทพองค์อื่น เพื่อตัดกำลังจากพลังศรัทธาของเทพตนอื่นๆ จากเทพองค์หนึ่งที่ยื่นมือช่วยมนุษย์ก็เริ่มมีเทพคนอื่นๆ ลงมามอบพลังให้มนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็มอบวิทยาการที่สาบสูญจากสงครามของเหล่ามนุษย์ที่ศรัทธาตนได้มีอาวุธแสนยานุภาพที่ร้ายกาจในการกำจัดเหล่าผู้ศรัทธาเทพองค์อื่น บ้างก็ใช้การดึงตัวอัจฉริยะจากยมโลกกลับมาอีกครั้งเพื่อพัฒนาอาวุธให้เหล่ามนุษย์ผู้ศรัทธา และจากการพัฒนาอาวุธที่มีเหล่าเทพคอยสนับสนุนอยู่นั้นก็ทำให้เกิดเป็นอาวุธศักสิทธิ์ที่มีพลังของเทพหลอมรวมอยู่ จนทำให้กลุ่มผู้ศรัทธากลุ่มนั้นได้รับชัยไป และแน่นอน ว่าเมื่อเทพองค์อื่นได้เห็นเช่นนั้นก็มีหรือจะอยู่เฉยก็ได้ลงมาช่วยเหลือและสนับสนุนมนุษย์เพื่อสร้างอาวุธที่มีแสนยานุภาพไปต่อกรกับผู้ศรัทธาเหล่านั้น และจากการพัฒนาอาวุธผสมกับพลังเทพที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆนั้น ก็ได้กลายเป็น "ศาสตราเทพ" เป็นอาวุธที่ไม่มีเพียงพลังของเทพที่เทพแบ่งมาให้แต่มีพลังดุจดั่งเทพตนนั้น ทำให้เมื่อมนุษย์บางกลุ่มสามารถใช้ศาสตราเทพได้นั้นเริ่มมีความคิดทรยศต่อเทพที่พวกตนศรัทธาและคิดแต่งตั้งตนเป็นเทพองค์ใหม่แทน และด้วยเช่นนั้นวิทยาการการสงครามก็เริ่มพัฒนากลายเป็นวิทยาการในการกำจัดเทพ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผนึกที่ใช้ในการผนึกเทพที่ไม่สามารถตายได้อย่างพวกเทพกรีก และเอาพลังของเทพที่พวกตนผนึกได้นั้นมาเป็นของพวกตน

    สงครามนั้นได้กินเวลามาช้านานมาหลายหมื่นปีอย่างไม่มีหนทางที่จะจบลงเลยแม้แต่น้อยเทพหลายองค์ต่างพ่ายและและถูกเข่นฆ่าแล้วนำไปสร้างศาสตราเทพชิ้นใหม่เรื่อยๆ จนทำให้สงครามแย่งชิงทรัพยากรของเหล่ามนุษย์ในช่วงแรกนั้นกลายเป็นสงครามเด็กเล่นในทันทีเมื่อเทียบกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ โลกที่กำลังฟื้นตัวนั้นได้เริ่มพังทลายลงอีกครั้งและครั้งนี้โลกก็ดูจะย้ำแย่ยิ่งกว่าในสงครามคราวก่อนเสียอีก จนวันหนึ่งหลังสงครามผ่านมายาวนานหลายหมื่นปี เผ่าภูติคนหนึ่งได้ยืนอยู่กลางสมรภูมิรบของเหล่าเทพทั้งมวลที่กำลังเผชิญหน้ากัน ก่อนที่พื้นดินรบนั้นจะเริ่มฉีกกว้างออกและขจัดเหล่ามนุษย์จำนวนมากในสนามรบ สิ่งที่ปรากฏขึ้นจากพื้นดินในใจกลางสงครามนั้นคือวัตถุทรงกลมสีดำบางอย่างที่ลอยขึ้นมาจากพื้นที่ฉีกออกพร้อมเนินเขาที่เกิดขึ้นและค่อยๆยกสูงขึ้นตามความสูงที่วัตถุทรงกลมนี้ได้ลอยขึ้นพร้อมเผ่าภูติตนนั้น ที่ปรากฏอยู่กลางสนามรบ เมื่อวัตถุนั้นได้ลอยสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่มวลมนุษย์และเทพทุกตนที่อยู่ในสนามรบได้มองเห็นแล้ว วัตถุทรงกลมสีดำนั้น ก็ได้เปร่งแสงสีชมพูอ่อนออกมาและกลายเป็นดุจดั่งอัญมณีเลอค่าอันใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ก่อนที่เผ่าภูติตนนั้นจะเดินออกมาและใช้โทรจิตสื่อสารกับมนุษย์และเทพทุกตนที่กำลังเข่นฆ่าฟันกันอยู่

    "ข้า มีนามว่า กรีเทโรส ราชาแห่งราชอาณาจักรภูติ ข้ามาในที่นี้เพื่อบอกคำกล่าวที่จิตวิญญาณแห่งโลก ต้องการบอกให้พวกท่านทั้งหลายได้ทราบ"

    เสียงของเขาได้ดังกึกก้องขึ้นในหัวของมวลมนุษย์และเทพทุกตนที่อยู่บนพื้นโลกและนอกโลกได้ยินสิ่งที่เขาได้พูดไป เพื่อส่งสิ่งที่จิตวิญญาณของโลก ต้องการบอกให้กับเหล่าเทพและมนุษย์ทุกตนที่ร่วมสงครามนี้

    "เมื่อนานมาแล้ว ข้านั้นเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ล่องลอยกันในอวกาศอันมืดมิด และเริ่มรวมกันกลายดาวดวงเล็กนี้ในระบบสุริยะนี้ ข้าใช้เวลาอันแสนยาวนานปรับสภาพพื้นโลกที่ร้อนระอุให้เริ่มเย็นลงและก่อกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา เทพดวงดารานับหลายสิบตนที่ลอยละล่องในอวกาศอันมืดมิดเมื่อเห็นข้าที่เป็นดาวที่เกิดขึ้นใหม่ก็ต่างพากันเข้ามาอยู่อาศัยในตัวข้า ในครั้งนั้นเทพบางตนยังรักสนิทกันดุจดั่งเป็นพี่น้องกันอย่างสนิทสนม และเทพเหล่านั้นก็เริ่มให้กำเนิดเทพองค์อื่นๆสืบต่อกันมาเรื่อยๆจนกระทั่งเทพองค์หนึ่งได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาพร้อมมนุษย์บางกลุ่มนั้นก็ได้วิวัฒนาการขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตอย่างไร้อารยธรรมสู่อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ในบางครั้งเทพอาจจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันจากการชิงอำนาจหน้าเพราะความเกลียดชังและคับแค้นกันบ้าง แต่ไม่นานก็กลับมาสู่สันติสุข พวกเทพหลายองค์ได้สร้างหลายอย่าง และสลักหลายสถานที่หลายเรื่องราวลงบนตัวของข้า ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์พื้นดินพื้นพิภพหรือนรกข้าก็ยอมให้เพื่อสันติและเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความแค้นต่อกัน และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นมนุษย์และเทพก็ต่างก่อปัญหากันขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุดอันเนื่องมาจาก ความโลภ ริษยา ราคะ และความเกลียดชัง ที่มีในมนุษย์และเทพ และเมื่อข้าได้เห็นคนเหตุความขัดแย้งเหล่านั้นข้าจึงต้องปิดตัวตนของเทพต่อมนุษย์และปิดตัวตนของเทพแต่ละตนต่อกันและกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แย่งชิงตำแหน่งและอำนาจของกันและกัน ข้าคอยทำและอยู่เช่นนั้นมาตลอดหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นปี ข้าคอยปิดตัวตนของเทพเอาไว้เพื่อมิให้เทพก่อปัญหาบนโลกมนุษย์ แต่ทว่าคราวนี้กลายเป็นมนุษย์ที่ก่อปัญหาให้กับข้า ความต้องการที่ไม่รู้จบ ทำให้พวกเจ้าเหล่ามนุษย์คอยค้นคว้า หาหลายสิ่งสร้างหลายอย่างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการอันไม่รู้จบของพวกตนทที่มากขึ้นเรื่อยๆจนตัวข้ามิสามารถที่จะฟื้นฟูทรัพยากรในตัวข้าได้ทันความต้องการของพวกเจ้า จนทำให้พวกเจ้านำมาสู่สงครามจนทำให้สุดทรัพยากรในตัวข้านั้นเหลือเพียงน้อยนิดจนข้าไม่มีทางเลือกต้องปล่อยให้ทวยเทพลงมามีบทบาทกับพวกเจ้าอีกครั้ง ในแรกเริ่มในตอนที่ข้าเห็นทรัพยากรในตัวข้าเริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งข้าก็คิดดีใจที่พวกเจ้าเหล่ามนุษย์และเทพต่างพากันใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปราศจากปัญหาความขัดแย้งกัน ข้าเพียงแค่ปล่อยใจและมีความสุขกับความสุขที่พวกเจ้าได้มีชีวิตที่ดีอีกครั้ง เพียงแค่ชั่ววูบเพียงเท่านั้น ก็กลับเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง ในช่วงแรกเริ่มนั้นข้าเพียงคิดว่าปัญหาของเหล่าเทพนี้ไม่นานก็คงหายไปเพราะเมื่อนานมาแล้วพวกเขาเคยสนิทกันดั่งพี่น้องแต่ แต่ทำไมครั้งนี้ มันจึงไม่จบเหมือนครั้งผ่านๆมา สงครามของพวกเทพ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆไม่ยอมหยุดจนข้าต้องพาอพยพเหล่าผู้คนที่ต้องการชีวิตสงบสุขนั้นเข้ามาในพื้นที่เขตแดนตัดขาดของข้าอีกครั้ง เหมือนครั้งที่ข้าเคยตัดขาดตัวตนเทพกับสิ่งเหนือธรรมชาติออกจากมนุษย์แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็น ข้าต้องตัดขาดพวกเขาจากโลกภายนอกที่พวกเจ้าก่อสงครามกันอย่างไม่สิ้นสุดฆ่าฟันกันไม่รู้เท่าไหร่ครั้งทรมารหักหลัง และเสพสมในพลังและอำนาจของตนจนไม่ลืมหูลืมตามองผู้คนและรอบข้างที่กำลังล่มสลายอย่างช้าๆ ในครั้งแรกข้าอาจจะเห็นใจและเมตตาในความเขลาของพวกเจ้าทุกตน แต่ ในครั้งนี้ข้าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว"

    เมื่อสิ้นเสียงของชายหนุ่ม พื้นดินที่ยกตัวขึ้นเป็นเนินเขาให้ชายหนุ่มนั้นได้ยืนนั้นก็ค่อยๆพังทลายลงไป ส่วนร่างของชายหนุ่มนั้นก็ได้ลอยอยู่กลางผืนฟ้าพร้อมจิตวิญญาณโลก และเมื่อพื้นดินที่ยกตัวขึ้นเป็นเนินเขาที่ขัดขวางสงครามของเหล่าเทพได้หายไป สงครามก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจหรือใส่ใจในสิ่งที่จิตวิญญาณโลกได้กล่าวออกไป

    จิตวิญญาณโลกที่ได้เห็นมนุษย์และเทพที่เมินเฉยต่อคำกล่าวของตนไปก็ได้ปล่อยหยดน้ำสีชมพูหยดลงมาสู่พื้นโลก และจากหยดน้ำเล็กๆนั้นที่หยดลงมาสู่พื้นโลก ก็ได้ทำให้พื้นที่โดยรอบที่หยดน้ำเล็กๆนั้นหยดลงไปนั้นเกิดกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ดูดร่างของ ผู้คนลงไปในหลุมนั้น แม้แต่เทพเองก็ล่วงหล่นลงไปในหลุมนั้นด้วยเฉกเช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่ตกลงไปแม้เทพหลายตนที่ตกลงไปจะพยายามขึ้นมาสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถขึ้นมาได้เลยสักนิดเดียว และเมื่อหลุมนั้นได้ดูดผู้คนและเทพจำนวนมากลงไปแล้ว ก็ได้มีน้ำไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดินในหลุมที่มนุษย์และเทพตกลงไป ในทีแรกนั้นก็ต่างเมินเฉยแต่เมื่อเวลาผ่านไปจากน้ำที่ซึมขึ้นมาจากพื้นจนกลายเป็นดินโคลนก็เริ่มกลายเป็นบ่อน้ำขึ้นทีละน้อยจากน้ำที่ไหลขึ้นมาจากพื้นดิน ถึงแม้จะคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็แค่รอว่ายขึ้นจากระดับที่เพิ่มสูงขึ้นก็พอ แต่ทว่า พื้นที่กลายเป็นดินโคลนในช่วงแรกนั้นได้แข็งตัวและผนึกการเคลื่อนไหวของทั้งมนุษย์และเทพเอาไว้จนทำให้ไม่สามารถว่ายน้ำได้ และถึงแม้จะพยายามทำลายหรือละลายดินโคลนที่แข็งตัวพวกนี้ไปสักเท่าไหร่ มันก็ไม่พังหรือละลายเลยแม้แต่น้อยทำให้ผู้คนและเทพที่ตกลงไปต่างเสียชีวิตกันอย่างน่าเวทนา ส่วนผู้คนที่ไม่ได้ตกลงไปนั้นต่างตกใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงแต่ทว่าความพิโรธของโลกไม่ได้จบแต่เพียงแค่นี้เท่านั้น หยดน้ำฝนได้ตกลงมาสู่พื้นดินอาบชะโลมร่างของมนุษย์และเทพบนพื้นดินและท้องฟ้าให้เปียกชุ่ม ก่อนที่สายลมจะพัดพาลมหนาวมา ลมหนาวที่พัดพามานั้นเริ่มรุนแรงขึ้นทุกวินาทีที่พัดผ่านจนกระทั่งมันรุนแรงเสียจนพักร่างของมนุษย์ลอยขึ้นผืนฟ้าไปทีละคนๆและเริ่มโดนสายลมพัดลอยขึ้นฟ้าเยอะมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันได้เกิดเป็นพายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้นรอบๆกองทัพของเหล่ามนุษย์และเทพ และดูดร่างและทุกสิ่งโดยรอบเข้าไปในตัวของพายุขนาดใหญ่นั้นและยิ่งมันได้พัดผ่านและกลืนกินมวลมนุษย์ไปมาก็ท่าไหนขนาดของมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนแม้กระทั่งเทพเองก็ไม่สามารถต้านทานแรงพายุนี้ได้ พายุฝนและลมพายุอันรุนแรงนั้นได้กลืนกินเหล่ามวลมนุษย์และเทพในสงครามไปจำนวนมากและถึงแม้จะมีบางกลุ่มวิ่งหนีกระจัดกระจายกันไปเพื่อเอาชีวิตรอด แต่หารู้ไม่ว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่โลกได้ทำให้ฝนตกลงมานั้นคืออะไร และเหล่ามนุษย์ที่หนีตายนั้นก็ได้คำตอบในทันทีที่วิ่งหนีออกไปได้สักระยะหนึ่ง นั่นคืออากาศที่แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันจนทำให้น้ำนั้นแปลเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว จนทำให้มนุษย์หลายคนที่ได้เห็นถึงสิ่งที่ต้องเผชิญตรงหน้านั้นมีเพียงความตายนั้นก็ต่างถอดใจและเดินตรงเข้าไปใส่พายุลูกใหญ่นั้น แม้เทพผู้มีพลังอำนาจมหาศาลจะพยายามช่วยเหล่าทหารของตนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ต้องเจอนั้น คือการสูญเสียพลังและล่วงหล่นลงมาสู่พื้นและคลุกไปกับฝุ่นดินบนพื้น ทำให้ในตอนนี้แม้กระทั่งเทพและมนุษย์ที่หวาดกลัวกลัวตายนั้นก็ต่างวิ่งหนีและพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้ มีทั้งถอดใจและยอมตายและบ้างก็มีผู้ก้มลงหมอบกราบอ้อนวอนขอโอกาสจากโลกอีกครั้ง และหลังจากพายุได้กลืนกินเหล่าทหารไปอย่างมากมายมหาศาลแล้วนั้นพายุก็ได้สงบลงและหายไปปล่อยให้ร่างของมนุษย์ที่ลอยขึ้นฟ้าไปล่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน ในหลุมยักษ์นั้นก็ถูกเติมเต็มไปด้วยน้ำสะอาดสีฟ้าครามที่กลายเป็นทะเลสาบแบ่งแยกทั้งสองฝั่ง สภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนฉับพลันนั้นก็ได้กลับมาเป็นปกติพร้อมจิตวิญญาณของโลกก็ได้โผล่มาจุติต่อหน้าของเหล่าเทพก้มกราบอ้อนวอนอีกครั้ง

    กรีเทโรสนั้นได้ปรากฏขึ้นข้างๆจิตวิญญาณโลกอีกครั้งเพื่อกล่าวบอกสิ่งที่จิตวิญญาณโลกต้องการบอกให้กับเหล่าเทพได้รับรู้ถึงโอกาสที่จิตวิญญาณโลกได้มอบให้

    "ดูท่าพวกเจ้าจะสำนึกในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำลงไปแล้วสินะ ท่าเช่นนั้น ข้าจะยอมให้โอกาสกับพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งก็ย่อมได้ แต่ ข้าจะขอยึดพลังอำนาจของพวกเจ้ามาบางส่วนเพื่อให้พวกเจ้าได้ใช้ในฐานะเทพสักเล็กน้อย โดยที่ข้านั้นจะมอบหมายหน้าที่ให้พวกเจ้าเหล่าเทพทั้งหลายสร้างและให้กำเนิดทายาทพวกเจ้ามาและให้ขัดเลือกว่าทายาทผู้ใดคู่ควรจะได้ปกครองและดูแลเหล่าสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ โดยข้าจะให้ได้มากที่สุดคือสามคน จงให้กำเนิดและขัดเลือกเทพกลุ่มใหม่ทั้งสามคนเพื่อมาฟื้นฟูและดูแลเหล่าผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และเพื่อที่จะให้เหล่าเทพสามคนกลุ่มนี้มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตที่เกิดขึ้นมาจากความขัดแย้งนั้นข้าจะมอบพรและพลังพิเศษ และเผื่อว่าเทพกลุ่มใหม่นี้จะทำพลาดพลั้งพรและพลังพิเศษที่ข้าจะมอบให้เหล่าเทพกลุ่มใหม่นี้จะสุ่มมอบให้มนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ข้าจะบอกกับพวกเจ้ามีเพียงเท่านี้ หลังจากนี้ข้าหวังว่าเทพกลุ่มใหม่ที่อาจจะเป็นทายาทของพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งในนี้จะนำพาสันติมาอีกครั้ง"

    เมื่อสิ้นสุดเพียงของกรีเทโรส จิตวิญญาณโลกและเขาก็ได้หายไปและปล่อยให้เหล่าเทพที่หลงเหลือทำตามในสิ่งที่จิตวิญญาณโลกมอบหมายหน้าที่ที่พวกเทพต้องทำในตอนนี้ให้บรรลุ

    หลายหมื่นปีต่อมา เหล่ามนุษย์ที่เหลือรอดจากสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ได้แยกย้ายไปในที่ต่างๆ เพื่อก่อสร้างหมู่บ้านหรือเมืองให้ได้อยู่อาศัยกันและเพราะผลพวงจากพลังอำนาจของเทพในสงครามศักสิทธิ์ทำให้พื้นทวีปของโลกมารวมตัวกันอัดกระจุกกันในบริเวณเดียวกัน จนทำให้เกิดเป็นทวีป "iznad(อิสนาด)" เนื่องจากหมู่เกาะหลายๆหมู่เกาะบนโลกต่างมารวมและแออัดกันที่ฝั่งเหนือจนหมดและทำให้ฝั่งทิศใต้นั้นกลายเป็นเขตไร้หมู่เกาะและถึงอาจจะมีหมู่เกาะหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับฝั่งนั้นเลยแม้แต่จะเป็นเทพก็ตามเพราะที่นั้นคือที่อยู่ของสัตว์ร้ายในตำนานที่ถูกกักขังและแบ่งเขตแดนเอาไว้

    และในทางด้านของเทพนั้นก็ได้คัดเลือกทายาทของเทพที่จะขึ้นมาเป็นสามเทพสูงสุดให้โลกใหม่นี้ด้วยการแข่งขันต่อสู้วัดพลังความสามารถกันจนได้กว่าจะได้เทพที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามคน โดยแบ่งลำดับเป็นคนที่แกร่งที่สุดลำดับ1ลำดับ2และ3ทำให้ได้ผลออกมาว่าสามเทพกลุ่มใหม่นี้จะได้ขึ้นเป็นสามเทพสูงสุดที่คอยปกป้องดูแลเหล่ามวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกหลังจากนี้ ได้แก่ลำดับที่1.ตัวแทนทายาทจากฝั่งเทพนอร์ส (เฟรย่า) ลำดับที่2.ตัวแทนทายาทจากฝั่งเทพนอร์ส (ชิโตไน) และลำดับที่3.ตัวแทนทายาทจากทางฝั่งเทพกรีก (ลูมิน่า) ถึงแม้ในการขณะคัดเลือกจะมีปัญหาอยู่บ้างแต่การคัดเลือกก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แบบ และเนื่องด้วยเทพกลุ่มใหม่ทั้งสามคนนี้เป็นผู้หญิงทั้งสามคนจึงได้ตั้งชื่อสามเทพกลุ่มนี้ว่า 


    "สามเทพี"




    ........ ปี C.B. ที่ 2997 ณ หมู่บ้านใจกลางป่าภูติ แสงอาทิตย์สาดส่องลงผ่านช่องบนหน้าต่างไม้เข้าไปในห้องนอนของคนๆหนึ่ง ในห้องนั้นได้มีเด็กสาวคนหนึ่งได้นอนหลับไหลอยู่และกำลังอยู่ในโลกแห่งจิตที่เรียกว่าความฝัน....

    เสียงพายุหิมะดังสนั่นกึกก้องทั่วใบหูสายลมแรงที่พัดพาความหนาวxสุดขั้วที่ลึกลงไปถึงกระดูกดำภายในทุ่งหิมะสีขาวโพลนนั้นได้มีเด็กสาวผมสีขาวนั่งลงมองร่างของหมาป่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่สิ้นใจไปพร้อมคราบเลือดที่แปรเปลี่ยนหิมะโดยรอบให้กลายเป็นสีเลือด เด็กหญิงนั้นก้มลงมองและเหมือนจะร้องไห้ แต่ทว่าไม่นานเด็กสาวคนนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะค่อยๆหันหลังมาหานางที่มองเด็กสาวคนนั้นอยู่ ในตาสีแดงส่องสว่างในพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ เป็นดวงตาสีแดงที่งดงามและน่าหวาดกลัวไปพร้อมกันเมื่อได้มองมันก่อนที่ในตาสีแดงนั้นจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีดำและเมือกสีดำก็ได้กลืนกินทุกสิ่งโดยรอบรวมถึงนางด้วย

    "อ๊าย!!!!!!!!!!!!!"

    เสียงกรี๊ดดังสนั่นไปทั่วห้องพร้อมร่างของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่ก็ได้สะดุ้งลุกขึ้นมาโดยทันทีด้วยความหวาดกลัวแล้วจึงเริ่มหันมองรอบห้องไปมาด้วยความหวาดกลัวและเมื่อนางได้รู้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่ตนเห็นคือความฝันก็ทำให้นางถอนหายใจดังเฮือกออกมาด้วยความโล่งใจ

    "ยูกิเป็นอะไรรึเปล่า?"

    เสียงตะโกนเรียกถามดังขึ้นมาจากชั้นล่างของนางในทันทีหลังจากที่เสียงกรี๊ดของนางได้เงียบลง

    "สบายดีค่ะ เดี๋ยวจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"

    นางได้ตะโกนตอบกลับเสียงนั้นไป ก่อนที่นางนั้นจะลุกขึ้นยืนจากเตียงนอนและเดินไปเปิดหน้าต่างห้องของตนเองและมองแสงแดดยามเช้าอันแสนอบอุ่นและชวนทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้รับมัน

    "หื้ม~ วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นรึเปล่าน้า~"

    นางได้พูดกับตนเองก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของตนเองไปด้วยท่าทีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและควางหวังว่าจะเจอเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นในวันนี้

    เสียงปิดประตูห้องของนางได้ดังขึ้นพร้อมสายลมที่พัดปลิวกระดาษในห้องของนางไปมาก่อนที่กระดาษแผ่นนั้นจะลอยออกมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ของนาง โดยในกระดาษแผ่นนั้นได้เขียนเอาไว้ว่า

    "ไดอารี่การเดินทางของฉันหลังจากนี้"


    บทที่ 0 - กุหลาบแสนงามที่เหี่ยวเฉาจากสงคราม สู่การเบ่งบานครั้งใหม่

    [จบ]

    ------ > โปรดติดตามบทต่อไป

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น