Fan Fic The Thief of Baramos
In my memory
เหงาเหลือเกิน...
เหงาจนไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้ จะยังลืมตาขึ้นมาเพื่อเผชิญความเป็นจริงได้หรือเปล่า...
เคยมีคนกล่าวว่า เวลาของคนตายย่อมเป็นนิรันดร
ผมบอกได้เลยว่า ผมเชื่อคำกล่าวนั้นอย่างสนิทใจ
“เฮ้ย โร ไปกินข้าวกัน”
เสียงหวานดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แม่ตัวยุ่งเดินเข้ามาใกล้พร้อมคว้าแขนผมขึ้น แขนอีกข้างหนึ่งแม่คุณก็คว้าเอาเพื่อนซี้สุดป่วนไปด้วยกัน
“เดี๋ยวฉันต้องออกไปข้างนอกนะเฟริน”
ผมกล่าวสั้นๆ เฟรินเลิกคิ้วขึ้นมองผมอย่างงงๆ คิลเปิดปากถามขึ้น
“ไปไหนของแก”
“เลโมธีให้ออกไปทำงานข้างนอกนิดหน่อย” ผมตอบไปแค่นั้น ด้วยตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายขวาทำให้ผมต้องออกไปทำงานข้างนอกโรงเรียนบ่อยๆ บ่อยไม่แพ้เจ้าชายหัวหน้าป้อมเลย
“งั้นเรอะ คราวนี้ไปไหนละแก” เฟรินถาม
“เวนอล...”
ท่ามกลางทัศนียภาพที่งดงามข้างทาง จิตใจของผมกลับล่องลอยไปไกล
เวนอล...
ข้าคิดถึงเจ้านัก...
อาชาสีหมอกวิ่งมาเรื่อยๆ จนมาหยุดเมื่อผมกระตุกบังเหียนเบาๆ เนินเขาสวยที่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ดูสวยงามและให้ความอบอุ่นจนยากที่จะบรรยาย บนที่สูงสุดแห่งเนินเขามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงตระง่าน ราวกับเป็นแหล่งพักพิงของผู้เดินทางผ่านมา
ผมลงจากม้า สาวเท้าเดินขึ้นไปบนเนินเขานั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆก็พบกับป้ายหินแกร่งสีเทาที่สลักด้วยตัวอักษรสีทอง ผมนิ่งมองข้อความที่จารึกลงบนแผ่นหินนั่นเนิ่นนาน ด้วยหวังจะซึมซับทุกภาพความทรงจำให้จารลงไปในใจ
วิลเลียม โบแด็ง III
พ่อคนนี้จะคอยโอบอุ้มลูกเสมอ
ผมทรุดตัวลงนั่งลงตรงหน้าแผ่นหินนั่น ลูบมือเบาๆบนข้อความที่ฝากเอาไว้ รู้สึกได้ว่าในตามีน้ำคลออยู่ แต่ผมก็กลั้นเอาไว้ ด้วยคำพูดหนึ่งยังอยู่ในความทรงจำ
‘ชาเบรียน เกิดเป็นผู้ชาย อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นนะลูก’
ทูลกระหม่อมพ่อของลูก... หากท่านยังอยู่...
ความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีทางเป็นได้จริง ผมถอนหายใจก่อนหลับตาลง สายลมเย็นๆพัดผ่านมาให้จิตใจของผมผ่อนคลายลงไปมาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับ เพื่อหวังว่า จะกลับไปเผชิญกับความเป็นจริงที่รอคอยอยู่
ความจริงที่ต้องเผชิญให้ได้
“พี่ชาย...”
สุรเสียงที่ดูตื่นตกใจของเด็กสาวตรงหน้าทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก แล้วแทบไม่ทันตั้งตัวเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ ให้ผมก้าวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณ
“ฝ่าบาท”
เมื่อตั้งสติได้ ผมก็โค้งตัวถวายความเคารพสูงสุดแก่คนตรงหน้า จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่ายังคงสาวพระบาทเข้ามาใกล้เขา
“พี่ชาย...ใช่ไหมคะ”
น่าแปลกที่ทรงเสด็จมาเพียงลำพัง หรือบางทีอาจจะทรงหนีความวุ่นวายภายในวังออกมาก็เป็นได้ จึงทำให้ปฏิบัติตัวได้ตามสบายอย่างที่ทรงตั้งใจ
“กระหม่อมมิอาจเอื้อม”
ผมพูดได้เพียงเท่านั้น ร่างบางตรงหน้ามีแววปวดร้าวในดวงตา ก่อนจะปิดให้มิดเพื่อไม่ให้ใครได้เห็น
“นั่นสิ พี่ชายของฉันทรงสิ้นไปนานแล้ว ฉันนี่ก็เพ้อเจ้อจริงเชียว” ทรงพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ดังพอให้เขาได้ยิน
“ท่านชื่ออะไร” ทรงตรัสถามเขา
“โร กระหม่อม... โร เซวาเรส ขอทานแห่งทริสทอร์” ผมตอบ
สมเด็จพระจักรพรรดินีขมวดคิ้วก็ฉายาของเขาที่แสนแปลก ก่อนจะตรัสถามกลับ
“เป็นทริสทอร์หรือ?”
เปล่า...ข้าเป็นเวนอล
อยากจะตอบกลับไปเหลือเกิน แต่ก็ทำได้เพียงทูลสั้นๆ
“กระหม่อม”
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ละ?” เจ้าแผ่นดินแห่งเวนอลถาม พร้อมสาวพระบาทเข้าไปใกล้แผ่นหินแข็งแกร่งนั่น แล้ววางดอกไม้สีเหลืองสวยช่อหนึ่งหน้าป้ายนั่น
“หม่อมฉันบังเอิญผ่านมา เห็นต้นไม้ใหญ่เลยมาหยุดพักกระหม่อม”
“งั้นรึ ฉันเองก็เหมือนกัน เวลาเหงาๆชอบมานั่งที่นี่” พระองค์ตรัส ผมเหลือบสายตามองหน้าผู้กุมอำนาจสูงสุดในดินแดนแห่งนี้ แล้วเหมือนจะทรงรู้องค์ จึงหันนัยน์ตาสีเดียวกันกับผมขึ้นมาสบ
“ที่นี่เป็นที่พำนักร่างของทูลกระหม่อมพ่อของฉันเอง” ร่างบางยิ้มเศร้าๆ “เวลาอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกเหมือนทูลกระหม่อมพ่อทรงกอดอยู่”
พี่เองก็เช่นกัน วิเวียน
“ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กระหม่อม” ผมกล่าว สมเด็จแห่งเวนอลยิ้มบางๆ
“น่าแปลกนะ ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนรู้จักท่านมานานเหลือเกิน” พระองค์ตรัส ผมยิ้มน้อยๆ
“อาจจะเป็นเพราะ หม่อมฉันกับพระองค์มีบางอย่างคล้ายๆกันกระหม่อม” ร่างบางเลิกคิ้ว ทำให้ผมต้องพูดต่อ
“หม่อมฉันเองก็ผ่านการสูญเสียมามาก ทั้งพ่อ แม่ หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ว่า ในการสูญเสียนั้น หม่อมฉันก็ได้บางอย่างที่แลกเปลี่ยนกลับมากระหม่อม”
“อะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เพื่อนกระหม่อม มิตรภาพที่ครั้งหนึ่งหม่อมฉันเคยคิดว่ามันเพ้อเจ้อ แต่ใครบางคนก็สอนหม่อมฉันให้ได้ซาบซึ้งกับคำๆนั้น”
“ทราบได้ไหมว่าใคร” วิเวียนถามต่อ
“พี่หญิงของพระองค์” ผมตอบยิ้มๆ
“พี่หญิงเฟลิโอน่า?”
“กระหม่อม เจ้าหญิงเฟลิโอน่า”
“ท่านเป็นเพื่อนของพี่หญิงรึ?” ทรงเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อคุยกับผมชัดๆ
“หากไม่บังอาจเกินไป ก็คงต้องตอบว่าใช่กระหม่อม”
“ดีจริง” ทรงรำพึง แต่แล้วใบหน้าก็กลับกลายมาเป็นเหงาหงอยอีกครั้ง
“แต่พื้นที่ที่ฉันยืนอยู่....”
“เป็นพื้นที่สำหรับคนคนเดียว และมีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะอยู่” ผมต่อให้จบประโยค โดยที่สมเด็จแห่งเวนอลมองผมอย่างตะลึง
“ท่าน...”
ผมไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวต่อ
“หากพระองค์รู้สึกว่าทรงเหงา ก็คิดถึงพระบิดา พระมารดา และพระเชษฐาของพระองค์ หม่อมฉันเชื่อว่า ท่านทั้งสามก็คงจะคิดถึงพระองค์เช่นเดียวกัน”
“ทำไมท่านคิดว่าอย่างนั้นละ?”
ผมไม่ตอบ แต่ยิ้มส่งให้พระองค์ แล้วโค้งคำนับอีกครั้งก่อนลา
องค์จักพรรดินียืนมองร่างของชายแปลกหน้าที่พระองค์ทรงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดกำลังจะเดินจากไป แต่แล้วเหมือนสายลมก็ช่วยพัดพาเอาคำตอบของคำถามที่เมื่อครู่พระองค์ได้ตรัสถามไปกลับมา
“เพราะพี่เองก็คิดถึงหญิงเช่นเดียวกัน...”
“เฮ้ย โร”
ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ เมื่อบุคคลสามคนกำลังยืนล้อมรอบเขาที่นั่งเหม่อมองออกไปริมหน้าต่าง
“ฉันเรียกแกรอบที่ร้อยแล้วนะ ใจลอยถึงสาวที่ไหนวะแก”
เฟรินแซว ผมไม่ตอบแต่ยิ้มๆ แล้วลุกขึ้นเก็บของเพื่อจะเดินไปกินข้าวพร้อมกับหนึ่งเจ้าชาย หนึ่งเจ้าหญิง และหนึ่งนักฆ่า
ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่ในวันนี้ ผมจะเก็บรักษามิตรภาพที่งดงามอย่างนี้ไว้ในความทรงจำของผมตลอดไป
โร เซวาเรส
The End
Keetar Prowis
.
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ฮือออ ชอบความสัมพันธ์พี่น้องอันปวดร้าวของสองคนนี้มาก โรเป็นคนที่จะเข้าใจความรู้สึกวิเวียนดีจริงๆนั่นแหละ พื้นที่ของคนเป็นกษัตริย์ ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง และคิดถึงครอบครัวที่จากไปหมดแล้ว
ไรเตอร์เก่งมากๆเลยค่ะ ทำเอาเราจะร้องไห้ *ตบมือให้เลย* :')
ชอบๆๆๆๆๆๆ แต่งดีมากลยค่ะ
ดีมากเลยค่ะ เห็นด้วยกับคุณ555 โรเป็นอย่างนี้แหละค่ะ แต่งดีมากเลย ซึ้ง สมควรชื่อว่านายความทรงจำจริงๆ ทำให้คิดถึงวิลที่สุดค่ะ
ซิกๆ TT ^ TT เศร้าจังคนเขียนแต่งได้ดีมากๆค่ะ แปะ แปะๆๆ ปรบมือให้ค่ะ
ไรเตอร์เป็นคนที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ดีมากๆค่ะ
ชอบเรื่องนี้มาก เพราะบุคลิคของโรเป็นโรในแบบที่โรเป็นจริงๆ
เป็นเรื่องที่ทั้งเศร้าทั้งสุข^^ ชอบค่ะชอบ แล้วเขียนอีกนะคะ
อยากมีพี่ชายแบบนี้บ้างอ่ะ T-T ซึ้งได้อีก ... สงสาร โร ต้องโกหกน้องสาวตัวเอง