ตอนที่ 27 : อนันต์ ‧ ∞
เมษามองคู่รักคู่ใหม่ด้วยสีหน้าพะอืดพะอม โอเคว่าห่วงใย โอเคว่าใส่ใจมากกกก แต่มันจำเป็นต้องมาแสดงออกต่อหน้าเธอและลูกค้าเป็นสิบในร้านไหมถามจริงเถอะ
“วุ่นวายน่า”
“ขอมือหน่อย”
“ทำงานอยู่ไงนันท์”
“ขอมือหน่อย” แล้วก็เป็นเพื่อนเธอที่ถึงจะทำหน้ารำคาญรอบที่หนึ่งล้านแต่ก็ยอมตามใจ ให้ไอ้อาจารย์ตาดุของเด็กๆเอามือไปหนุนแก้ม นอนมองแฟนทำงานสลับกับรับโทรศัพท์บ้างเวลามีสายเข้า
ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนันท์จะโคตรเกาะแกะ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ชอบเรียกร้องความสนใจแต่ดันเจ้าเล่ห์รู้วิธีอ้อน คนเป็นเจ้าของอย่างจินเจอร์เลยพ่ายแพ้ สปอยล์แล้วสปอยล์อีกแม้ปากจะบ่น
“มองจัง อยากมีเหรอคะ?”
และนี่ก็อีกอย่าง…ความแปลกใหม่ที่ไม่อยากได้เข้ามาในชีวิตเลยสักนิดเดียว
เมษาหยิบแก้วใบสุดท้ายขึ้นมาเช็ด เมินรอยยิ้มตาปิดที่ดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจของยัยเด็กไอด้า นึกทวนไปมันก็เกือบสองเดือนแล้วที่ความวุ่นวายเล็กๆเกิดขึ้นในวงจรเรียบง่ายของเธอ เด็กคนนั้นที่หาเวลามานั่งจ้องหน้ากันทุกวี่วันทั้งที่แค่เรื่องสอบเข้าก็ยุ่งมากแล้ว ไหนจะงานที่ไปตกลงช่วยรุ่นพี่เอาไว้อีก
อือ ที่รู้เพราะมีคนนั่งพูดอยู่ได้ ไม่คิดตั้งใจฟังหรอก ก็แค่ทั้งหมดมันเข้าหูมาผ่านๆเท่านั้นแหละ
และหนึ่งในเรื่องผ่านมาที่ไม่ยอมผ่านไปก็คือการมาบอกกันโต้งๆว่า ‘หนูว่าหนูเป็นไบเซ็กชวล’ มันยังกระเด้งกระดอนในหัวเมษาแม้อายุของประโยคนั้นจะเลื่อนจากวันเป็นสัปดาห์ เธอนึกหงุดหงิดตัวเองไม่หายเวลานึกถึงบทสนทนาหลังจากนั้น อยากตบปากที่เอ่ยคำถามไร้สาระออกไป
‘ทำไมคิดงั้น?’
‘เพราะพี่เลย’
‘ฮะ? ยังไงนะ ไม่เข้าใจ’
‘ก็พี่ไง พี่อ่ะ ที่ทำให้รู้สึกว่าถ้าคบกับผู้หญิงก็น่าจะโอเค’
‘ขอโทษนะ แต่ไม่หายงงกะเราเลยจริงๆ’
‘ลองคบกันมั้ยพี่เมษ’
‘…’
‘คบแบบที่เป็นแฟนด้า’
ไม่รู้หรอกว่าคืนก่อนหน้าเจ้าตัวไปฝันร้ายหรือคุยอะไรแปลกๆกับใครมา อย่างเดียวที่รู้คือเมษาโคตรงง ชงกาแฟอยู่ดีๆก็มีเด็กที่กำลังจะขึ้นปีหนึ่ง วันๆแบกแต่กระดานวาดรูปกับสารพัดอุปกรณ์มานั่งจ๋องตรงหน้า พูดอะไรไม่รู้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วจบด้วยการขอเป็นแฟน
“พี่เมษ”
“…”
“เมษา เลิกเหม่อได้แล้ว” เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่หลังมือ อย่างแรกที่เห็นคือนัยน์ตากลมโตที่มองมานิ่งๆ อย่างที่สองคือไอน้ำร้อนจากของเหลวที่น่าจะถูกปัดล้มอยู่ไม่ไกล อย่างที่สามคือมือเรียวที่มีสีเปื้อนปลายนิ้วขึ้นจุดแดงคล้ายโดนบางอย่างกระเด็นใส่
กระเด็นใส่เหรอ..?
เชี่ย! น้ำร้อน!
“เอามือออกไปเดี๋ยวนี้ไอด้า”
“ใช่เวลาหวงตัวเหรอคุณ?”
“ไม่ตลก”
“ด้าจริงจังอยู่”
“ปล่อย พี่บอกให้ปล่อยไงน้องด้า”
“มีอะไรกันวะเมษ เฮ้ย! เมษถอย! นันท์ดูมือไอด้าหน่อย” อยากกราบตักจินเจอร์ที่โผล่มาถูกทั้งจังหวะและเวลา คนที่เทคแคร์เพศแม่เก่งที่สุดในโลกแทบจะกระโดดข้ามเคาน์เตอร์มาจัดการทุกอย่าง มือของเธอโดนอะไรสักอย่างเย็นๆประคบ เหมือนได้ยินเพื่อนสนิทวานพนักงานสักคนหามาให้ เมษากระพริบตางุนงง ตกใจอยู่แต่ไม่เข้าใจมากกว่า เธอเห็นหลังมือของเด็กผู้หญิงคนเดิมแดงขึ้นเรื่อยๆ เพราะตัวขาวไง ไวต่อสัมผัสไปหมด
“เจ็บมั้ย? ทำอะไรไม่คิดเลยนะเรา” นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องกลับมาราบเรียบ หลุบมองมือเธอที่โดนจินเจอร์จับแวบเดียวแล้วก็หันหนีทางอื่น
“…”
เด็กหนอเด็ก…
“ถ้ามือเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ทำแผล” คำเถียงข้างๆคูๆทำคนฟังถอนหายใจ ก็เป็นซะอย่างนี้ไง ถึงได้บอกว่าไม่ชอบเด็ก
งี่เง่า
“วาดรูปไม่ได้ก็ช่างเนอะ”
“…”
“ไม่ต้องแคร์หรอกอะไรที่รักมากๆน่ะ”
“ก็แคร์อยู่นี่ไง”
จินเจอร์มองเพื่อนตัวเองที่นิ่งไป สบตากับนันท์เป็นเชิงให้หาจังหวะออกมา ในเมื่อสองคนเหมือนลืมสิ่งรอบข้างไปแล้ว …เอาไว้มีเวลาเมื่อไหร่ค่อยเรียกคุยสักหน่อยแล้วกัน
“ทำไมชอบเถียงวะ?”
“แล้วทำไมชอบทำเหมือนไม่สำคัญอ่ะ?”
“ใครกันแน่ที่ลำดับความสำคัญไม่เป็น?”
“…” คล้ายบางคนจะน้อยใจจนเถียงต่อไม่ออกแล้ว
“พยายามตั้งเท่าไหร่กว่าจะสอบได้ จู่ๆจะมาปล่อยให้ตัวเองเจ็บตัวจนวาดรูปไม่ได้มันใช่เรื่องมั้ย?”
“…”
“ปากบอกสำคัญแต่ไม่เห็นรักษาเลย”
“แค่กลัวพี่เจ็บ ผิดมากเหรอ?”
“พี่ดูแลตัวเองได้”
“ใจร้ายว่ะ”
เมษมองคนที่ปกติไม่เคยงี่เง่านั่งทำหน้างออยู่หลังเคาน์เตอร์ จ้องกันไปกันมาสุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายถอนหายใจ เดินผละออกไปชงกาแฟตามหน้าที่ที่ควรจะเป็น
“เมษโคตรใจแข็งเลย” เจอร์มองนันท์ที่เอามือเขาไปคลึงเล่นด้วยปลายคางอย่างปลงตก เขามองไอด้าคนเท่ที่ตอนนี้นั่งคอตกอยู่ที่เดิม ก่อนจะอมยิ้มนิดๆ เมื่อพอมองให้ดีสีหน้าของคนใจแข็งดูไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย
“ไม่หรอก”
“ไม่ตรงไหน ทำงานไม่สนใจน้อง”
“ดูให้จบ ดูดีๆ”
เพราะบางอย่างต้องใช้เวลา บางสิ่งจะค่อยๆเติบโตเชื่องช้า ไม่ได้ชัดเจนจนมองไปก็เจอแต่หากลองละเอียดขึ้นอีกหน่อย ใส่ใจเพิ่มสักนิดก็จะรู้
ดอปปิโอ้ในแก้วทรงเก่าถูกวางลงตรงที่เดิม ตรงหน้าเด็กคนนั้นที่ยังไม่ถูกกัดกร่อนด้วยประสบการณ์ ไม่ต้องคิดอะไรมากขนาดนั้นในแต่ละการกระทำ
“เอาแต่ฟังอย่างเดียวก็ไม่ได้ยินหรอก” จินเจอร์ยิ้มบางเบา มองเพื่อนที่ยังคงลังเลแต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเทความดูแลใส่อีกคนไปตั้งเท่าไหร่
“เจตนาของคนพูดน่ะ”
เหมือนกับเขาที่เข้าใจ ปกติไม่ใช่คนพูดเก่งหรอกแต่เพราะนันท์นั่นแหละถึงอยากพยายาม เอาเข้าจริงการกระทำมันก็ยังคงมากกว่า ในเมื่อมันเป็นทางที่ถนัด และพอถนัดก็จะทำได้เยอะโดยไม่รู้ตัว
อยากทำให้รู้ว่ารักเยอะๆ แต่ก็ทำได้เท่านี้
“พี่เมษ!”
“ทำงานให้เสร็จค่อยมาว่ากัน”
จินเจอร์ยกยิ้มจางก่อนกวาดมองรอบตัว ลากสายตาไปเรื่อยจนวนมาตรงที่สุดท้าย เป็นตำแหน่งเดิมที่ยังคงมองเสมอไม่เปลี่ยนแม้เวลาจะเดินมานานมากๆแล้ว นันท์ที่เอามือของเขาไปรองใต้คางก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ความใกล้ชิดในห้วงฝันเลือนรางกลายเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ รอยยิ้มที่เคยระบายอยู่ในกระดาษตอนนี้เปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่โค้งขึ้นให้กันทุกเช้า
“มองอะไรครับคุณขิง?”
ก็ยังยืนยันคำเดิม...ว่าไม่เคยคาดหวัง
“ถามไม่ตอบ”
“มองแฟน ทำไม?”
“ไม่ทำไม เพราะว่าเป็นแฟนจริงๆนั่นแหละ :)”
รอยยิ้มถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยเมื่อทุกอย่างถูกเติมเต็ม จินเจอร์ใช้มือข้างที่เหลือเท้าคาง เล่นจ้องตากับคนที่นอนทับมือแล้วหันหน้าด้านข้างมาแข่งกัน
“ขอโทษนะ”
“อือ”
“ขอบคุณด้วย”
ที่บอกว่ายิ่งเอาคำพูดเดิมมาใช้ซ้ำเท่าไหร่ คุณค่าและความหมายของมันจะจืดลงเท่านั้นคงไม่เป็นความจริงสำหรับจินเจอร์ มวลสารอุ่นๆก่อตัวขึ้นในอกเสมอเมื่อนันท์นึกย้อนถึงอดีตแล้วเอ่ยสองประโยคนี้ออกมา 'ขอโทษที่เคยทำร้ายและขอบคุณที่เลือกรักกันในวันนี้' เขาไม่ได้อยากตอกย้ำให้ใครรู้สึกผิด มันเป็นเพียงความดีใจ...ดีใจที่สุดท้ายเราก็ผ่านพ้นแต่ละเรื่องราวเพื่อเติบโต เข้าใจ ให้อภัย
เพื่อรัก
“เหมือนกันครับ” เขากระซิบตอบและกดจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผากของคนตาดุที่ตอนนี้หันหนีไปมองอย่างอื่นแล้ว เหลือเพียงใบหูแดงๆกับนิ้วยาวที่ยังจับแน่นบนฝ่ามือ
ร้านกาแฟของเมษาเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ตัวก่อนสุดท้ายฝั่งขวามือ โซฟาคู่ติดกระจก โต๊ะไม้ยาวกลางร้านที่เคยปีนไปลองติดโคมไฟหน้าตาตลกให้ หรือแม้กระทั่งหน้าห้องน้ำที่ยืนเลือกป้ายสัญลักษณ์ที่ตรงใจอยู่นาน
“นันท์”
แต่ในวันนี้พื้นที่และความทรงจำจะไม่ได้มีเพียงเขา
“กลับบ้านมั้ย? ดูง่วง”
มันมีใครอีกคนค่อยๆเข้ามาสร้างภาพจำชิ้นใหม่ไปด้วยกัน
“งานเสร็จแล้วเหรอ?”
“เดี๋ยวซื้อกาแฟกลับไปก็ได้”
“แต่อยู่นี่แล้วคิดงานออก”
“ไม่ได้ขนาดนั้น”
“จินเจอร์”
“หือ?” นัยน์ตาคู่นั้นก็ยังดูคมเฉี่ยวจนดุในบางมุมเหมือนเดิม และความดื้อดึงเอาแต่ใจก็ไม่ได้ลดลงกว่าเก่าสักเท่าไหร่
“ไม่ต้องห่วง รอได้ครับ”
แต่จินเจอร์รู้ดีว่ามีบางอย่างเพิ่มเข้ามาในตัวตนของคนข้างกายคนนี้ มันมีความใส่ใจ ให้เกียรติ และห่วงใย
“ยังเคยรอมาตั้งนานไม่ใช่หรือไง? แค่นี้สบายมาก” ริมฝีปากกระจับยกยิ้มที่พักหลังเห็นบ่อยจนเริ่มไม่ชอบ เพราะหัวใจคนมองเต้นแรงจนเหนื่อย แถมพอหน้าขึ้นสีก็ยังมีคนที่ชอบล้อ
“กลับบ้านเถอะ”
“ก็บอกแล้วไงว่า—”
“อยากจูบ”
“...”
“อยากจูบมึง”
อาจจะเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย เรื่องที่ร่างกายเราสองคนเสพติดกันและกัน จินเจอร์ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจุดเริ่มต้นที่ยุ่งเหยิงของพวกเขาอย่างความสัมพันธ์เซ็กส์เฟรนด์นั่นจะเกี่ยวไหม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนั่งหาคำตอบไปทำไมเมื่อมันไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย
“อื้อ!”
รึเปล่านะ..?
ทันทีที่ประตูห้องของคนตาดุถูกปิดลงเขาก็ถูกปล้ำจูบจนริมฝีปากชาไปหมด นันท์เบียดเขากับผนังห้องโทนสีคุ้นตา แนบทุกส่วนของร่างกายจนสนิทแน่นไม่เหลืออากาศแทรกผ่าน
“คนเก่ง” มาอีกแล้ว สรรพนามหวานเลี่ยนที่ไม่รู้ทำไมถึงได้ผลกับจินเจอร์ทุกที เขาครางเครือในลำคอเมื่ออีกฝ่ายรุกล้ำกันเหมือนอยากจะกลืนกิน ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงแทบจะยืนไม่ไหวเลยต้องผลักให้คนใจร้อนพาเข้าไปในจุดที่ดีกว่าข้างๆชั้นวางรองเท้า
“นันท์ ฮ่ะ...ไม่” โซฟาตัวนั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวบนโลกที่ถูกสถาปนิกคนเก่งเกลียดจนขึ้นสมอง นันท์หลุดหัวเราะออกมาทว่าไม่ยอมหยุดแกล้งที่จะดึงอีกคนเข้าไปใกล้
“ถ้าทำตรงนี้คือโกรธจริงๆนะ”
“ขี้โมโหจังเลย”
“ฮื่อ...ไม่เล่น”
“ไม่เล่นครับ ใครจะกล้าเล่นกับคุณอ่ะ” ปากจะด่าว่ากวนประสาทแต่พูดอะไรไม่ออกสักคำเพราะความรู้สึกประหลาดแล่นวูบขึ้นมาในท้องน้อย เจ้าของห้องทรุดนั่งแล้วดันให้เขาขึ้นบนตัก เงยหน้าอ้อนจะเอาจูบระหว่างที่มือซนๆนั้นแกะนู่นนี่ไปเรื่อย นันท์ลูบหลังปลอบคนที่ยังต่อต้านสถานที่ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปกระซิบบางอย่างที่ทำให้จินเจอร์ตัวเหลวไปหมด
“อะไรไม่ดีนันท์ลบออกให้นะ”
ทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำให้เขาเกลียดไอ้โซฟาเนื้อผ้าตัวนี้แท้ๆแต่กลับปากดีไม่หยุด ลมหายใจอุ่นร้อนลอยปนในบรรยากาศ จินเจอร์เลื่อนมือซุกซนไปปลดซิบท่อนล่างเพื่อความยุติธรรม เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อตัวเหลือเพียงเชิ้ตตัวโคร่งเป็นท่อนบน คอยปิดสะโพกและอะไรๆอย่างหมิ่นเหม่อยู่เท่านั้น
“อะ...เอาแบบนี้เหรอ”
“เอาแบบนี้เจอร์จะไม่เจ็บหลังไงครับ :)” อดไม่ได้กับความทะลึ่งตึงตังเลยฟาดไหล่กว้างไปหนึ่งที รีแอคชันที่ได้ยังคเป็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้เหมือนเคยจนอยากจะตีอีกคนรัวๆให้เลิกเล่นได้แล้ว มือหนาประคองเอวคอดอย่างพอดิบพอดีในตอนที่จินเจอร์เอื้อมมือไปด้านหลังและเตรียมพร้อมร่างกายตัวเองเหมือนกับครั้งแรก
ครั้งแรกที่เขาสองคนได้ใกล้ชิดกัน
“อือ...รอ กะ ก่อน” ช่วงนี้นันท์ขอให้เขาทำบ่อยเหมือนอยากจะจำทุกภาพเอาไว้ให้ขึ้นใจ เป็นฝ่ายนั้นที่มาสารภาพเองว่าเหตุการณ์ที่ทะเลพร่าเบลอเกินไปในความทรงจำ เลยอยากเห็นเวอร์ชันชัดๆที่ทำจินเจอร์อายจนแทบบ้า
“รอครับ” คำที่ถูกพูดซ้ำเยอะที่สุดในวันนี้คงเป็นคำว่ารอ มันเคยฟังดูเหงาปนเศร้านิดหน่อยในความคิดของจินเจอร์ แต่พอได้ลองฟังจากปากคนที่ยืนยันและมั่นคงกลับให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะเขารักนันท์จนสมองเพี้ยนไปหมดแล้ว หรือไม่ก็เพราะว่าสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นที่ซ่อนอยู่ในนั้น
หลายอย่างเหมือนเดิม และหลายอย่างก็ได้เปลี่ยนไป
--XOXO--
“แรงพอมั้ยครับ?”
“อ่ะ...อ้ะ นันท์ นันท์...” ชื่อเรียกตัวเองนุ่มหูที่สุดเมื่อหลุดออกจากปากอีกฝ่ายคล้ายกับเพ้อ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายตามผิวเนื้อ พอร่างกายแนบกันมันเลยทั้งร้อนทั้งลื่นกระตุ้นอารมณ์ที่สุด
“คนเก่งของนันท์”
“ระ รัก”
“พูดอีก”
“รักนันท์”
“นั่นแหละครับคนดี นันท์ก็เหมือนกัน”
“พูด...บ้าง” คำร้องคอในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังจะแตะปลายสุดและหลุดลอยไปตามอารมณ์ทำให้นันท์ก้มลงกอดแน่น กระซิบย้ำๆข้างหูของคนที่วันนี้รู้แล้วว่าอดทนรอมาตั้งมากมายขนาดไหน
“รัก”
คำกริยาคำเดียวสั้นๆ ไม่มีประธานและกรรมแต่รับรู้ได้จากคนให้ว่าใครคือคนรับ
“รักแต่จินเจอร์”
แค่นั้นเจ้าของชื่อก็หลับตาและปล่อยให้ร่างกายจมไปกับความนุ่มนวล วินาทีแรกที่ได้สบตากับอีกฝ่ายดูเลือนราง วินาทีถัดมาที่เราทะเลาะยังตราตรึงเป็นแผลลึกที่คงจะเหลือรอยแผลเป็นให้จดจำ และวินาทีนี้ที่มีกันและกันมันก็ชัดเจนที่สุดจนต้องยิ้มทั้งน้ำตา
นาฬิกายังคนวนเข็มเรื่อยไป จากวินาที่ที่ศูนย์ไปจนถึงชั่วโมงที่พัน และความรู้สึกที่ลดลงจนเฉียดศูนย์ก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งจนกลายเป็นวัดค่าไม่ได้
สุดท้ายจึงอาจต้องแทนด้วยสัญลักษณ์ที่บรรจบกันทุกส่วนไม่ขาดเพื่อแสดงความมากมายของทุกอย่างที่มีในใจเขา
จินเจอร์สบตาเจ้าของอ้อมกอดที่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมของเขาเล่นอย่างแผ่วเบา ระบายรอยยิ้มที่เปื้อนน้ำตาอีกครั้งและพูดประโยคอย่างที่คนชอบเอาชนะคนนึงจะพูด
“รักนันท์ เป็นอนันต์เลย”
และนั่นแหละ...คนขี้แพ้อย่างนายพัทธนันท์น่ะ ไม่มีวันเอาชนะเขาในเรื่องนี้ได้หรอก :)
end.
________________________________________________________________________
จบแล้วววว
เรื่องราวของคุณขิงและนายพัทธนันท์คนตาดุของเรา
สองคนนี้เป็นรูปแบบความสัมพันธ์อีกแบบที่เราชอบมากๆ
ขอบคุณทุกคนจริงๆที่เริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่ตัวอักษรแรกจนถึงตอนนี้
ฮืออ มันซึ้งจังเลยเนอะ55555
ก่อนจะประกาศเรื่องสำคัญก็อยากจะ special thanks กันก่อน
ขอบคุณคุณ MMAAYY สำหรับทุกคอมเมนต์ที่พิมพ์มานะคะ คุณโคตรน่ารักกับเราเลย
เป็นกำลังใจก้อนใหญ่ๆที่ช่วยได้มากกกกที่สุด
เรา appreciate คุณๆที่มาอ่านเรื่องเราทุกคนจากใจ เอาจริงที่เจอมาคือยังไม่เคยมีคอมเมนต์ที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
ขอกราบตักที่อ่อนโยนกับใจเรานะคะ55555
มาถึง 'ประกาศสำคัญ' ของเรากันหน่อยย
เนื่องจากที่ทุกคนได้เห็นว่าเราผิดสัญญาเรื่องคุณขิงไปเกี่ยวกับเวลาในการอัปเดต
เป็นเพราะเราเองค่ะที่ยังตะกุกตะกักกับชีวิตมหาลัย
ดังนั้นเราเลยขออนุญาตพักเบรกจากการอัปเดตนิยายไปชั่วคราวนะคะทุกคน แง้TT
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ คือเราไม่ได้จะหยุดเขียน ตอนนี้ก็มีเรื่องใหม่ที่กำลังเขียนอยู่ ได้จำนวนตอนประมาณนึงแล้ว
แต่เราไม่อยากให้ทุกคนต้องรอ (ถึงพวกคุณจะเท่มากๆด้วยการบอกว่ารอได้ก็เถอะTT)
เพราะงั้นถ้าเราแต่งจบเมื่อไหร่จะมาทยอยอัปแบบสม่ำเสมอไปเลยนะทุกคน! เย้!
บ๊ายบายค่ะ รักซัมเหมอ มาเจอกันเรื่องหน้าเนอะ♥
-Kapitan (กะปิ)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

♡ appreciate your writing tee sud
ขอบคุุณนะคะ^^
ขอบคุณค่ะ นิยายสนุกมาก
เป็นกำลังใจให้มีงานเขียนต่อไปนะคะ
เราพึ่งได้อ่านเรื่องนี้มันน่ารักมากเลยค่ะ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ช่วงเเรกๆถึงกลางเรื่องมันหน่วงมากเลยค่ะ;-; เเต่สุดท้ายมันก็จบด้วยดี ขอบคุณมากนะคะคุณเก่งมากค่ะที่เเต่งนิยายดีๆออกมา