คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ อุบัติกาลแห่งอารยาโลก
บทนำ
อุบัติกาลแห่งอารยาโลก
คริสต์ศักราชที่สองพันสี่สิบเจ็ด
เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลจนเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำในหลาย ๆ ประเทศ
ผืนดินแห้งแล้ง พืชพันธุ์ทางธรรมชาติและการทำเกษตรกรรมไม่อาจงอกเงย อันเนื่องมาจากสภาพอากาศภายในโลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในทุกปีและมลพิษทางอากาศที่มากจนเกินไป
อุตสาหกรรมโลกในหลาย ๆ ด้านต่างหยุดชะงักลงเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เหล่านานาประเทศต่างตกอยู่ในสภาวะวิกฤตอันเนื่องมาจากประชากรในเเต่ละประเทศเกิดสภาวะขาดเเคลนอาหารอันเป็นสาเหตุที่มาจากอุตสาหกรรมโลกในหลายด้านได้หยุดชะงักลง
คริสต์ศักราชที่สองพันห้าสิบสี่
เจ็ดปีให้หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
โดยจุดที่คาดว่าเป็นจุดศูนย์กลางของแรงสั่นสะเทือนนั้นอยู่ที่บริเวณใจกลางมหาสมุทรแอตแลนติกอันเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองลงจากมหาสมุทรแปซิฟิก
ทำให้ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปยุโรปและทวีปเเอฟริกาบางประเทศในทวีปเหล่านี้ที่มีภูมิประเทศอยู่ติดทะเลทำให้มีพื้นที่บางเเห่งจมลงหายลงไปในมหาสมุทร
แม้จะกล่าวว่าเป็นเพียงบางเเห่งเเต่เหตุการครั้งนี้ก็ได้คร่าชีวิตของประชากรของทั้งสี่ทวีปไปอย่างมากมาย ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่
ประชากรหลายแสนคนได้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเกิดความตระหนกโกลาหลและเริ่มหันมารวมกลุ่มกันเพื่อปรึกษาปัญหา ร่วมหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ห้าปีต่อมา
หลังจากที่ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้น ในปีคริสต์ศักราชที่สอง
พันหกสิบเก้าได้มีวัตถุประหลาดจากนอกโลกตกมายังโลกของเรา หรือที่ใครหลาย ๆ คนเรียกกันว่าอุกาบาต
มันได้ตกลงมายังโลกบริเวณมหาสมุทรเเปซิฟิก
เกิดเเรงสั่นไหวไปทั่วอาณาบริเวณ นับเป็นโชคดีในคราวนี้ที่ไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายเหมือนครั้งเเผ่นดินไหวในปีคริสต์ศักราชสองพันห้าสิบสี่
ทว่าในการตกลงมาของอุกกาบาตครั้งนี้มันกลับมาพร้อมกับคลื่นเสียงประหลาดที่แผ่กระจายไปทั่วโลก
ประชากรโลกต่างได้รับคลื่นเสียงนี้กันทุกคนอย่างทั่วถึงทุกซอกหลืบของโลก แม้แต่เหล่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกเองต่างก็มีปฏิกิริยาต่อคลื่นเสียงนี้เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนต่างรับรู้
หลังจากอุกกาบาตตกลงมามันใช้ระยะเวลานานกว่าสองสัปดาห์ในการแผ่กระจายเสียงไปทั่วโลกเเละหยุดลงในสัปดาห์ที่สี่ หรือก็คือหนึ่งเดือนที่มันเเผ่กระจายคลื่นเสียงสัญญาณประหลาดไปทั่วโลก
แม้เเต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจตรวจสอบคลื่นเสียงนั้นได้ ว่าเป็นคลื่นเสียงชนิดใด
หลังจากเหตุการณ์คลื่นเสียงประหลาดจากอุกาบาต ที่ได้ตกมายังโลกวันเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมาเเล้วถึงหนึ่งปีเต็ม
และเเล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนและประชากรโลกต่างเห็นความเปลี่ยแปลงอันน่าเเปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนเอง นั่นคือพวกเขาค้นพบว่าพวกเขาต่างมีพลังพิเศษเกิดขึ้นภายในกาย
พลังที่ราวกับหลุดออกมาจากหนังสือในโลกเเห่งเทพนิยาย
พลังที่เหนือจินตนาการ
เป็นพลังที่เหมือนกับในหนังหรือภาพยนตร์เเฟนตาซีที่ผู้คนต่างหลงใหลชื่นชอบในวัยเด็ก แต่ในตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างมีมัน…
‘เวทมนตร์’
ความตระหนกมีเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ความวุ่นวายโกลาหลจะตามมา เป็นธรรมดาของมนุษย์โลกที่จะเกิดความตระหนกโกลาหลขึ้นเมื่อได้เกิดสิ่งที่แปลกประหลาดไม่คุ้นเคยขึ้นกับตนเอง
จากความโกลาหลที่เกิดขึ้นผู้นำประเทศทั่วโลกต่างเร่งรวมตัวกันพูดคุยหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกหรือเเม้เเต่ตัวของพวกเขาเองในตอนนี้ ถึงสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนเเปลงต่าง ๆ
แต่อย่างไรก็เเล้วเเต่ ไม่ใช่ประชากรทุกคนที่ได้รับคลื่นเสียงประหลาดนั้นแล้วจะมีพลังทุกคนเสมอไป
หากจะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสมอไป
เพียงแต่ต้องกล่าวว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับคลื่นเสียงเเล้วจะมีพลังเวทมนตร์มากพอจะเเสดงมันออกมาได้ต่างหาก นี่คือสิ่งที่…
‘ศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน’
กล่าวไว้กับเหล่าผู้นำประเทศ แต่ก็นำมาซึ่งความสงสัยที่ว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับคลื่นเสียงประหลาดกัน ทั้งที่ผ่านไปหนึ่งปีเต็มถึงได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาจากศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน อีกเช่นเคยว่ามันต้องใช้ระยะเวลาในการกระตุ้นพลังภายในกายของประชากรเพื่อเรียกใช้ศักยภาพให้เเสดงออกมา
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่อาจให้คำตอบได้ว่ามันคือคลื่นเสียงอะไรกันเเน่ เเต่ที่บอกได้ในช่วงเวลานี้นั่นคือต่อจากนี้มันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรื่องทางด้านวิทยาการเวทมนตร์เเละเทคโนโลยีให้อยู่ในจุดสูงสุดของมนุษยชาติอย่างเเน่นอน
จากการตรวจสอบพบว่าประชากรที่มีพลังพิเศษหลังจากได้รับคลื่นเสียงมีเพียงยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์ทั่วโลกเท่านั้นที่มีพลังพิเศษเกิดขึ้น ส่วนที่เหลือกลับมีมันน้อยมากเสียจนไม่อาจแสดงพลังพวกนั้นออกมาได้
ทว่ากลับมีการเปลี่ยนแปลงทางสมรรถภาพร่างกายที่แข็งแก่รงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างก้าวกระโดด
จากการทดสอบร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นมานี้ของมีคมไม่อาจสร้างแม้รอยบาดเเผลใด ๆ ให้ได้เลยหากไม่จงใจเสียบเเทงเข้าไปตรง ๆ ด้วยพละกำลังที่มากพอ
แต่หากฝึกฝนสภาพร่างกายจนมีสภาวะร่างกายที่มีความพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ก็อาจเเข็งเเกร่งขึ้นจนไม่มีอะไรสร้างบาดเเผลให้ได้เลย ข้อความข้างต้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน เท่านั้น
ศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน เป็นนักวิทยาศาสตร์เเละทีมวิจัยที่ถูกเเต่งตั้งขึ้นมาจากรัฐบาลโลกให้มารับตำเเหน่งดูเเลเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้
สิบเอ็ดปีต่อมา
หลังจากที่ประชากรต่างเริ่มมีความคุ้นชินกับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีเวทมนตร์เพิ่มเข้ามาเเล้ว ศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน หัวหน้าหน่วยวิจัยของรัฐบาลโลกได้ออกมาประกาศบางอย่างที่น่าตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับชาวโลกที่เพิ่งจะรู้ว่าตนเองสามารถใช้เวทมนตร์ได้นั่นก็คือ
เขาได้ประกาศออกไปว่าตนเองนั้นคือหนึ่งในผู้ที่รู้ตัวตนเบื้องหลังของโลกใบนี้มาช้านานแล้ว และคำว่าหนึ่งในผู้ที่รู้ตัวตนของโลกของศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสันนั้นเอง ที่ทำให้รู้ว่ามีผู้ที่รู้มากกว่าหนึ่งและพวกเขาเหล่านั้นก็ได้เปิดเผยตนเองออกมา
โดยพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย หากแต่เป็นเหล่าผู้นำประเทศและตระกูลผู้มีอำนาจ
คิดเป็นประชากรกว่ายี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของโลกที่รู้ถึงการมีอยู่ของพลังพิเศษหรือที่เรียกกันว่าเวทมนตร์อยู่เเล้ว
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าตกตะลึงเหนือยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก นั่นก็คือประชากรบางส่วนในยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ใช้เวทมนต์ที่มีศักยภาพที่เหนือขั้นกว่านั้นขึ้นไปอีก เหล่าผู้รู้เบื้องหลังของโลกใบนี้ต่างเรียกพวกเขากันว่า
‘แกรนด์เดียซ’
หรือก็คือคนที่มีศักยภาพเหมือนสัตว์ มีร่างจำเเลงที่เรียกว่าฮาล์ฟ เเละสามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกด้วย เหมือนที่ใครหลาย ๆ คนเคยเห็นในหนังหรือเเม้กระทั่งเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นได้เลยหากพวกเขามีศักยภาพที่มากพอ
แกรนด์เดียซคือหนึ่งในประชากรสองกลุ่มในยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์
ของโลกที่รู้ถึงการมีพลังพิเศษ
ในยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์นี้มีสิบสามเปอร์เซ็นต์ที่เป็นเเกรนด์เดียซและอีกสิบสี่เปอร์เซ็นต์คือมนุษย์ธรรมดาที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เราเรียกคนสิบสี่เปอร์เซ็นต์กลุ่มนี้ว่า…
‘เออร์ลีย์’ หรือ ‘จอมเวท’
หลังจากประชากรทั่วโลกต่างรับรู้ความจริงที่เเท้จริงว่าโลกนี้นั้นมีพลังเวทมนตร์มาตั้งเเต่ต้นเเล้ว เพียงเเต่ไม่มีสิ่งใดกระตุ้นให้ศักยภาพพวกนี้ให้แสดงออกมาเท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ความสามารถพวกนี้เเสดงออกมานั้นเกิดจากการที่ได้มีอุกกาบาตตกมายังโลก ทำให้เกิดคลื่นเสียงกระจายไปทั่วโลกและคลื่นเสียงนั้นได้ไปกระตุ้นศักยภาพทางเวทมนตร์ออกมานั่นเอง
นี่เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์คาร์ล เมดิสัน ที่ส่งต่อไปยังคนทั่วโลก และเกิดความฮือฮาเป็นอย่างมาก
คริสต์ศักราชที่สองพันแปดสิบเจ็ด
ได้เกิดการปฏิวัติเเกรนด์เดียซจากเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ที่เพิ่งได้รับพลังจากการกระตุ้นของคลื่นเสียงที่มาพร้อมอุกาบาต
มนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองว่าสัตว์ประเสริฐ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการพัฒนา การเรียนรู้ และการศึกษาเพื่อยกระดับสติปัญญาของตนเองตลอดเวลา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่อาจขัดเกลามันออกไปจากจิตใจได้เลยก็คือ ความอิจฉา ความริษา ความโลภ ความอยากมีอยากได้ในสิ่งที่ตนเองไม่มี หรือที่ใคร ๆ ต่างเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า
‘กิเลส’
กิเลสเหล่านี้นับวันยิ่งสะสมมากขึ้นจากการได้รับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดจากการกระทำของเหล่าชาวเเกรนด์เดียซ ที่ทุกวันนี้พวกเขาได้มีบทบาทในการฟื้นฟูโลกมากยิ่งขึ้น
ด้วยความที่ชาวเเกรนด์เดียซมีศักยภาพที่พิเศษกว่าผู้ใช้เวทมนตร์ทั่วไปทำให้การฟื้นฟูสภาพเเวดล้อมของโลกให้กลับมาฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ป่าไม้ ลำธาร ภูเขา เเม้เเต่ผืนดินที่แห้งแล้งขาดความอุดมสมบูรณ์ก็กลับมาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
ทว่าก็ไม่ใช่ความสามารถของแกรนด์เดียซเพียงเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ที่อุกาบาตตกมายังโลกมันได้ไปกระตุ้นบางสิ่งที่อยู่ภายในโลกที่นอกเหนือจากการกระตุ้นให้ศักยภาพของมนุษย์ตื่นขึ้นมาเเล้ว
มันยังทำให้โลกเกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาอีกขั้นโดยที่คนส่วนใหญ่
ไม่รู้ตัว ทำให้สภาพเเวดล้อมเเละสิ่งต่าง ๆ ในโลกได้รับการฟื้นฟูและยกระดับไปกว่าสามในสิบเเล้วเเละยังคงมีการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
เหล่าแกรนด์เดียซที่รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนเเล้วเพียงทำให้เกิดการฟื้นฟูที่เร็วขึ้นและควบคุมไม่ให้การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ส่งผลเสียมากว่าผลดีต่อมนุษย์โลกผู้ไม่รู้ประสาเท่านั้น
เพราะเเม้เเต่เหล่าผู้ใช้เวทมนตร์เองก็สามารถฟื้นฟูสภาพเเวดล้อมของโลกได้ เพียงเเต่ผู้ใช้เวทมนตร์ในเวลานี้ไม่อาจมีพลังทัดเทียมกับเหล่าแกรนด์เดียซได้เท่านั้น
ความอิจฉาในพลังที่มากกว่าของเหล่าแกรนด์เดียซ ความริษยาในตัวของผู้ที่มีศักยภาพเเละความสามารถที่มากกว่าตนนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับมนุษย์มาอย่างช้านาน ทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นในสังคม ตลอดจนก่อให้เกิดการปฏิวัติขึ้นในที่สุด
คริสต์ศักราชที่สองพันแปดสิบเก้า
‘วิหารศักสิทธิ์ไชน์’ และ 'สภาเวทมนต์ศักสิทธิ์รีลไนท์'
ได้ออกมาเผยโฉมให้โลกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสองสถานที่เเห่งนี้ เป็นครั้งแรก สถานที่ที่ดูเเลเรื่องราวของประชากรทั้งสองกลุ่มมาตั้งเเต่ต้น ก่อนที่มนุษย์ทั่วโลกจะได้รับพลังมาในครอบครองในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุผที่สองสถานที่นี้ได้ออกมาเผยตัวตนออกมานั้นมีด้วยกันสองประการ
ประการที่หนึ่ง คือ ประชากรผู้ใช้เวทมนตร์นั้นควรอยู่ในการควบคุมที่สามารถดูแลได้โดยสภาเวทมนตร์ เพราะคนของสภาเวทมนต์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชำนาญและเป็นตัวตนที่รู้ถึงพลังมาเเต่ต้นเเล้ว
ในการควบคุมตรงนี้ไม่ใช่การกักขังหรือการบังคับให้ปฏิบัติตามแต่อย่างใด เป็นเพียงการควบคุมดูเเลเเละสอนสั่งในการใช้พลัง การใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองเเละสิ่งรอบข้างให้ได้มากที่สุด
ไม่ใช่ใช้เพื่อความเพลิดเพลินเเละความสุนทรียภาพของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างจนอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ประการที่สอง คือ เพื่อยุติการก่อการปฏิวัติในครั้งนี้ โดยการเรียกรวมตัวของผู้ทรงอิทธิพลของทุกฝ่ายออกมาพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยใช้เหตุและผลที่สมควร
แต่อย่างไรก็เเล้วแต่หากคาดหวังอย่างไรมันก็คงไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปตลอด ด้วยธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่อาจเห็นสิ่งใดสูงส่งไปกว่าตนเองไปได้
สุดท้ายมหาวิหารศักสิทธิ์ไชน์ก็เป็นผู้ที่เอ่ยสิ่งหนึ่งออกมานั่นคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้เเละจะไม่ปรากฎตัวเป็นเวลาสิบปีหากว่าการที่พวกเขาชาวเเกรนด์เดียซหายไปจากโลกใบนี้เป็นสิ่งที่ดีเเล้วสำหรับประชากรผู้ใช้วทมนตร์ที่เกิดใหม่พวกเขาก็ยินดี
พวกเขาชาวเเกรนด์เดียซเเม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูอย่างไรก็มีศักยภาพมากพอที่จะอยู่ในโลกใบนี้มากกว่าพวกมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่เป็นเสมือนเพียงเด็กน้อยเเรกเกิดเท่านั้นสำหรับโลกใบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
แต่หากไม่ทำให้หลาบจำก็คงยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
หลังจากนี้จนกว่าจะครบสิบปี พวกเขาจะไม่ปรากฏตัวยังโลกภายนอกเด็ดขาด ถือเสียว่าพวกเขาได้พักผ่อนก็เเล้วกันและถือเสียอีกว่าพวกเขาจะได้สอนสั่งพวกมนุษย์ผู้โง่เขลา และเห็นเเก่ตัวพวกนี้โดยไม่ต้องเปลืองเเรงเเม้จะน้อย
เพราะธรรมชาติที่ได้รับการวิวัฒนากาแล้วนั้นมันจะขาดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแกรนด์เดียซไปไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเเกรนด์เดียซคือผู้ถ่วงดุลอำนาจในธรรมชาติของโลกแห่งนี้อย่างไรเล่า เเละมันยังคงเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์แม้จะเป็นประชากรมนุษย์ผู้ใช้พลังเวทมนตร์เเต่หาได้มีส่วนร่วมในการก่อการปฏิวัติเเต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เข้ามาห้ามปรามการก่อการปฏิวัติเสียด้วยซ้ำไป
แต่เหล่ามนุษย์ที่โง่งมนั้นหาได้เชื่อฟังคำเตือนที่พวกเขาได้กล่าวตักเตือนเพื่อตัวเองไม่
คริสต์ศักราชที่สองพันเก้าสิบเอ็ด
หลังจากที่วิหารศักสิทธิ์ไชน์ได้ประกาศตนก้องเเก่ประชากรมนุษย์โลกผู้ใช้เวทมนตน์แล้วว่าชาวเเกรนด์เดียซจะหายไปจากโลกเป็นเวลาสิบปี และตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าสองปีเเล้วที่ประชากรเเกรนด์เดียซหายไปจากสายตาของประชาคมโลก
แม้จะกล่าวว่าเเกรนด์เดียซเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพมากกว่ามนุษย์มากมาย เเต่ก็ใช่ว่าใคร ๆ ก็สามารถพบเจอได้
เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตตกมายังโลก หรือที่ทางการได้ตั้งชื่อในเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
‘รีเทรซ’
การกลับมาของพลังอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเเกรนด์เดียซได้เปิดเผยตัวตนออกมา
ทว่ามีเพียงเเค่ระดับผู้นำประเทศเท่านั้นที่ได้เจอพวกเขาตัวเป็น ๆ ส่วนประชาชนทั่วไปเพียงได้รับรู้ถึงการมีอยู่เท่านั้นและติดตามข่าวถึงสิ่งที่
เเกรนด์เดียซได้กระทำเท่านั้น
ยิ่งมีตัวตนลึกลับเท่าไหร่มันก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นมากเท่านั้นสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวก็เกิดการปฏิวัติขึ้นในที่สุด
เพราะความโง่เขลาในครั้งนั้นสองปีให้หลังก็เริ่มมีความเปลี่ยแปลงเกิดขึ้นมา แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะยังอยู่ในการควบคุมจากสภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์
เหล่าผู้นำของสภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ ได้เเต่กล่าวโทษเหล่ามนุษย์ผู้เห็นเเก่ตัวพวกนั้น เเต่ก็ทำได้เเค่นั้น เพราะต่อจากนี้พวกเขาน่าจะเจอศึกหนักไม่น้อย เเม้เเต่มนุษย์พวกนั้นก็คงไม่ต่างกัน เพราะเพียงลำพังสภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ไม่อาจปกป้องทุกคน เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาทำได้เเต่เพียงเร่งฝึกฝนคนพวกนั้นเท่านั้นถึงจะอยู่รอดภายในโลกใบใหม่เเห่งนี้ได้
โลกในตอนนี้นั้นได้รับฟื้นฟูจนผู้คนในโลกไม่อาจคิดจินตนาการได้เลยทีเดียว
ป่าไม้ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามหว่านปลูกเท่าไหร่ก็ไม่อาจเเตกหน่อออกมาจากเมล็ด สายน้ำที่แห้งขอดจนคนทั้งประเทศไม่มีน้ำจะกิน เเต่ตอนนี้พวกเขามีมันมากพอจนพวกเขานำมันมาใช้อย่างไรก็ไม่อาจมองเห็นว่าเมื่อไหรมันจะหมดไปได้เลย
การใช้ชีวิตอันอู้ฟู่ของมนุษย์โลกตอนนี้มันช่างน่าสมเพชยิ่งนักสำหรับเหล่าเออร์ลีย์จอมเวทผู้รู้เบื้องหลังของโลกมาแต่แรก โดยที่ไม่รู้เลยว่าภัยใกล้ตัวนั้นกำลังคลืบคลานเข้ามาหาตนอย่างช้า ๆ เพราะตอนนี้สภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์นั้นเร่งจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น หรือคาดว่าจะเกิดขึ้นมาจนหมด
แต่มันก็ได้เเค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น
พวกเขานั้นรู้ตัวดี
กรี๊ดด!
อั่กก!
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างขวัญผวาหวาดกลัวสุดขีด พร้อมกับเสียงกระอักโลหิตของชายหนุ่มข้างกาย
เวลานี้เนื้อตัวของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เสื้อผ้าที่ฉีกขาดทำให้รับรู้ได้ว่าพวกเขาคงผ่านการสู้รบมาอย่างหนักหน่วงอย่างเเน่นอน เวลานี้เบื้องหน้าก็ได้ปรากฎเงาร่างของปีศาจร้ายตนหนึ่งออกมา
โฮกก! ปังง!
อุ้งเท้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนเขามาใกล้ร่างของหญิงสาวที่เวลานี้ตัวของเธอนั้นอยู่ใกล้กับร่างของหมีป่าที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าสาม
เมตรมากที่สุด
เหตุที่มันตามทำร้ายทั้งสองคนนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาได้หลงเข้าไปในป่าที่เป็นอาณาเขตของหมีตัวนี้เข้า เเละพวกเขาได้จับตัวลูกหมีน้อยตัวหนึ่งมาด้วย นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาถูกตามล่าจากเจ้าป่าในเวลานี้ และเกรงว่าวันนี้เวลานี้พวกเขาทั้งสองนั้นจะไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปได้เเล้ว…
เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งครั้งเเล้วและไม่ใช่เพราะการลักขโมยตัวลูกของสัตว์ป่า แต่เป็นการถูกโจมตีจากสัตว์ป่าต่างหาก นักวิจัยของรัฐบาลโลกที่เช้าร่วมกับสภาเวทมนตน์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ได้ออกมากล่าวถึงการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอื่น
ที่นอกจากมนุษย์เเล้วแม้เเต่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกล้วนเเล้วเเต่เกิดการวิวัฒนาการทั้งสิ้น
ทั้งยังมีสภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ออกมายืนยันเพิ่มเติมอีกด้วยถึงการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกในด้านต่าง ๆ เเละการยกระดับของศักยภาพเดิมให้เเข็งเเกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อให้เกิดการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมของโลกที่เกิดการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ผ่านไปเพียงแค่สี่ปีเศษมนุษย์โลกผู้โอหังก็ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว หากจะกล่าวให้ถูกคงราว ๆ ช่วงเข้าปีที่สาม ที่เหล่าแกรนด์เดียซหายไปจากโลก สภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ก็ไม่อาจต่อต้านการเปลี่ยแปลงที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป จนส่งผลกระทบจากเล็กน้อยไปจนถึงชีวิตของคนในโลก
หากจะกล่าวโทษสภาเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์รีลไนท์ก็ไม่ถูก หากเเต่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ปกป้องมนุษยชาติมาได้จนถึงตอนนี้
หลังจากนี้คงต้องเเล้วเเต่ความสามารถในการเอาตัวรอดของตนเองเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะมาเยือน หากไม่พัฒนาตนเองเพื่อให้อยู่รอดภายในโลกที่โหดร้ายได้
สิบปีผ่านไป
หลังจากที่แกรนด์เดียซได้หายไปจากโลก เหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาก็ได้รู้ซึ้งถึงธรรมชาติที่โหดร้ายแล้ว ตอนนี้ธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนเเปลงไปมากเพียงขาดแกรนด์เดียซผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่เเละสายใยอาหารตามธรรรมชาติ
แกรนด์เดียซหายไปเพียงสิบปีก็ทำให้เกิดการเปลี่ยแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ หากหายไปตลอดกาลเล่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่อย่างสงบมาตลอดจะอยู่อย่างไร ทุกสิ่งล้วนเเล้วเเต่ต้องอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทั้งนั้น
ไม่อาจมีสิ่งใดอยู่ได้ด้วยตนเองเพียงลำพังเเละจะอยู่รอดได้
ในธรรมชาติที่โหดร้าย
คริสต์ศักราชที่สองพันเก้าสิบเก้า
แกรนด์เดียซได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปสิบปี ตามกำหนดเวลาที่ได้ให้คำสัตย์ไว้ ในเวลานี้ ตอนนี้ พวกเขาล้วนได้รับสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจไปเเละมันคงมากพอให้พวกเขาได้สำนึกตนเเล้ว
หากทำเพียงจ้องมองภาพที่เกิดการสูญเสียต่อไปมันคงจะเป็นอะไรที่ดูจะใจดำไปสักหน่อยหรือเปล่านะ สำหรับคนที่เฝ้ามองมันมาตลอดสิบปี ที่ผ่านมา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เเล้วการสูญเสียที่มากเกินไปไม่อาจนับว่าเป็นสิ่งที่ดีได้ หากเกิดกาชรเปลี่ยนเเปลงมากขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คงยากเกินที่จะควบคุมเเล้ว ตอนนี้ผู้ที่ดูแลเเละปกครองวิหารศักสิทธิ์ไชน์อยู่คือ…
‘ตระกูล เลต ฮาวล์’
ผู้นำตระกูลในเวลานี้คือ…
‘เลออน เลต ฮาวล์'
เป็นตระกูลแกรนด์เดียซเผ่าพันธุ์ราชสีห์ผู้ซึ่งน่าเกรงขามเเละน่าเคารพยำเกรง
หากเอ่ยถึงตระกูลนี้ไม่อาจไม่มีใครไม่รู้จักเพราะ เลต ฮาวล์ นั้นเป็นตระกูลราชวงศ์ของยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ เพียงการเผยตนออกมาอีกครั้งก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในช่วงเวลาสองปีเต็มหลังจากที่แกรนด์เดียซได้กลับออกมาสู่โลกภายนอกโดยปราศจากการต่อต้านจากมนุษย์โลก สรรพสิ่งล้วนเเล้วเเต่ถูกจัดการได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้เหล่ามนุษย์ที่เคยต่อต้านเเกรนด์เดียซมาก่อนก็ได้เเต่ปิดปากเงียบเพราะพวกเขาต่างได้รับการช่วยเหลือจากเเกรนด์เดียซทั้งนั้นหลังจากที่ได้ประสบพบเจอกับความโหดร้ายของโลกมาตลอดสิบปีที่โลกเกิดการเปลี่ยนเเปลง
‘พวกเขาล้วนรู้ซึ้งถึงพลังของธรรมชาติที่สรรสร้างสรรพสิ่ง’
ความคิดเห็น