คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่7 :: ศูนย์บัญชาการปริศนา
ความมืดครึมปกคลุม รอบๆบริเวณของศูนย์บัญชาการลับที่ตั้งหลับซ่อนสายตาของบุคคลภายนอกในหุบเขาส่วนตัว ฝนหลงฤดูนำพาความชุ่มชื้นมาแต่ที่อันไกลโพ้น กรมอุตุนิยมวิทยารายงานข่าวสถานการณ์ว่าภายในอาทิตย์นี้จะมีพายุเข้าโหมกระหน่ำบริเวณแถบนี้ติดต่อกันยาวนานราวหนึ่งสัปดาห์
บุคคลในชุดเครื่องแบบทหารพรางสีออกเขียว คุ้นเคยกับชุดทหารบกทั่วไปตามกองร้อย จะผิดก็เพียงแต่เครื่องแบบของเขามีลายพรางสีแดงปนอยู่ด้วย หนวดเคราที่ดกดำร่วมมือกับความมืดภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ดูจะไร้ขอบเขตปกปิดใบหน้าของชายผู้นี้ จนไม่สามารถดูออกได้ว่าร่างที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาเดี่ยวสีชมพูกลีบกุหลาบนี้รู้สึกอะไรอยู่กันแน่
ไม่นานนักหลังจากที่เขานั่งดูสายฝนที่พึ่งจะโปรยปรายลงมาตามหน้าต่างกระจกใส ชายอีกคนในชุดเครื่องแบบเดียวกับเขาก็เข้ามา เขาทำความเคารพอย่างแข็งขันตามแบบธรรมเนียมของทหาร แล้วบรรจงกระซิบข้างหูของชายผู้เป็นเจ้านายอย่างแผ่วเบาหรือบางทีอาจจะดังแต่โดนเสียงของสายฝนหลงฤดูกลบเสียจนหมด ปฏิกิริยาของชายผู้เป็นนายเปลี่ยนแปลงไปในทันที ความกระตือรือร้นพุ่งพล่านอยู่ภายในม่านตาสีน้ำตาลแบบคนเอเชีย เขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์เผยให้เห็นไรฟันที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านปราศจากคราบหินปูน
ลำแสงสีน้ำเงินจากสายฟ้าที่ผ่าลงมาบนพื้นดิน ส่องให้เห็นใบหน้าคมเข้ม และหล่อเหลาภายใต้ความมืดมิดภายในห้อง แม้จะเป็นแค่ระยะสั้นๆ แต่แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั้น ทำให้นายทหารข้างกายถึงกับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในเจ้านายของตัวเอง
“ได้เวลาเริ่มเกมแล้วล่ะ”
น้ำเสียงหนักแน่นของนายผสานเข้ากับเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาที่ต้นสนนอกหน้าต่างกระจกอีกครั้ง แต่สายตาที่เปลี่ยนไปนั้นทำให้นายทหารคู่กายอดหวั่นไม่ได้ว่า ...เจ้านายนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่...
.........................................................................................
20 ปีก่อนหน้านี้…
สายลมอุ่นๆพัดผ่านบ้านหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผา เจ้าของบ้านเป็นเพียงหญิงสาววัย 28-29 ปี อาศัยอยู่กับลูกชาย 2 คน ในวัย 12 และ 7 ปีตามลำดับ เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีรถยนต์เข้ามาภายในบริเวณนี้ ทหารชายในยศพันฯโทก้าวลงมาจากรถยนต์คันดังกล่าว หญิงสาวส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่เธอกำลังเก็บผ้าที่ถูกตากไว้ตั้งแต่รุ่งเช้า เด็กชายทั้งสองวิ่งโร่มาจากภายในบ้านราวกับพึ่งได้เจอกับตัวการ์ตูนในโทรทัศน์ ทั้งคู่ตรงรี่เข้ามาโอบกอดชายผู้นั้นในทันที
“นานเท่าไหร่แล้วนะที่คุณไม่กลับบ้าน?” หญิงสาวเอ่ยถามในขณะที่ตะกร้าผ้ายังอยู่ภายในออมแขน
ทหารหนุ่มยืนขึ้นโดยที่ทิ้งบุตรชายทั้งสองให้อยู่กับพื้น แล้วบรรจงประทับรอยจูบบนริมฝีปากของเธอ ราวๆ 10 วินาที “นานพอที่...ผมจะจำหน้าลูกไม่ได้นั่นแหล่ะ”
“จริงๆเลย ทานอะไรมาหรือยังค่ะ?”
“ก็กะจะมาฝากท้องที่บ้านนี้นั่นแหล่ะ” เขาพูดกับหญิงสาวผู้เป็นภรรยา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีลูกชายอีก 2 คนอยู่ด้วย เขานั่งลงอีกครั้งเพื่อผู้กับลูกชาย บางครั้งร่างกายที่สูงเกือบ 2 เมตรของเขาก็เป็นอุปสรรคในหลายๆเรื่อง “พ่อมีของฝากสำหรับลูกชายสุดที่รักของพ่ออยู่ในรถแน่ะ”
“ครับ” ลูกชายทั้งสองตอบเสียงใส ก่อนที่จะวิ่งตรงรี่ไปที่รถยนต์ ของชายผู้เป็นพ่อ
ราวๆ 2 ชั่วโมงต่อจากนั้น ร่างกายของทหารหนุ่มที่เคยถูกพอกด้วยคราบเหงื่อไคล ถูกชำระล้าง ด้วยน้ำจากลำธารเล็กๆที่ไหลผ่านหลังบ้านริมหน้าผา ทหารหนุ่มสวมเสื้อยืดสีขาวล้วนกับ กางเกงนอนสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างคล้ายกางเกงเลของชาวประมง แต่..ท่าทางจะใส่สบายหน้าดู ทหารหนุ่มผู้สลัดคราบไคลเดินเช็ดผมลงมานั่งบนโต๊ะไม้เล็กๆ ใต้ชายคาบ้าน บรรยากาศภายนอกชุ่มชื้นด้วยด้วยไอของสายหมอกและน้ำค้างยามราตรี จักจั่นส่งเสียงอยู่เป็นระรอกๆคล้ายเป็นเพลงขับกล่อมให้ ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่เป็นโต๊ะอาหารได้เพลิดเพลิน รอยยิ้มเบิกบานของลูกชายทั้งคู่ของเขา ทำให้บ้างหลังน้อยริมผากลางหุบเขาเป็นสวรรค์ที่น่าอยู่มากเลยที่เดียว อาหารบนโต๊ะถูกจัดใส่จานกระเบื้องสีขาวสะอาดถูกหญิงสาวผู้เป็นศรีภรรยาของบ้านยกมาทีละจาน ทีละจานจนแทบจะเต็มโต๊ะ
“นานๆทีจะได้กลับบ้าน ต้องฉลองกันหน่อยนะครับพ่อ” ลูกชายผู้พี่กล่าวอย่างเบิกบาน ลักยิ้มปรากฏขึ้นบนแก้มขาวเนียนทั้ง 2 ข้าง ผมสีดำที่ปรกหน้าอยู่สะบัดไปมาเหมือนหางสุนัข เวลาที่เจอเจ้านาย
“ถ้างั้นผมเปิดงานเลยละกันครับ” ลูกชายคนเล็กตัดบท พลางเอื้อมมือหยิบน่องไก่ทอดมาเคี้ยวตุ้ยๆอย่างหน้าตาเฉย
ทั้งครอบครัวต่างก็สนุกสนานกับอาหารมื้อพิเศษต้อนรับการกลับบ้านของชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ออกไปปฏิบัติภารกิจในแทบเอเชียตะวันออกมานานแสนนาน
ระหว่างที่ช่วงเวลาสุขสันต์หรรษาในครอบครัวกำลังดำเนินไปอย่างออกรถออกชาติ การขัดจังหวะเล็กๆอย่างเสียงโทรศัพท์มือถือของนายทหารหนุ่มก็ดังขึ้น นายทหารหนุ่มลุกออกจากที่นั่ง หลบสายตากังวลของหญิงผู้เป็นภรรยาออกไปเพื่อรับโทรศัพท์ในทันที หน้าจอของโทรศัพท์แสดงชื่อผู้ที่โทรเข้าเป็นภาษาอังกฤษ ‘Pitak calling’ นายทหารหนุ่มกดรับในทันที
“ว่าไง พิทักษ์?” นายทหารหนุ่มเป็นผู้เปิดฉากสนทนา “โทรมามีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“มีแน่ครับท่านพันฯโท” เสียงปลายสายดูลุกลี้ลุกลน จนนายทหารผู้รับสายถึงกับต้องพลิกเสียงเคร่งขรึม
“ใจเย็นๆ พิทักษ์ ค่อยๆเล่า ผมฟังไม่รู้เรื่อง”
“พันฯโทครับ ตอนนี้พันฯโทชลิต กับพันฯตรีอนุรักษ์ตายแล้วนะครับ”
นายทหารหนุ่มถึงกับช๊อค มือไม้สั่นไปหมด อันที่จริงจากการไปปฏิบัติหน้าที่ที่เอเชียตะวันออกทำให้เขา พันฯโทชลิต พันฯตรีอนุรักษ์ และร้อยฯโทพิทักษ์กรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกันในสนามรบ และบัดนี้เขาพึ่งรู้ข่าวจากน้องเล็กว่า พี่โตและน้องรองในกลุ่มเสียชีวิตแล้ว ... ทั้งๆที่ ทั้งๆที่ พึ่งลากันแท้ๆ ทำไม ทำไม?... เขาอยากจะตะโกน แต่ก็ต้องข่มไว้ เพื่อไม่ให้น้องเล็กรู้สึกไร้ที่พึ่ง เขาจึงได้แต่แสร้งทำเสียงเข้มตอบกลับไป “ได้ไง พิทักษ์ พี่ชลิตกับอนุรักษ์ตายได้ยังไง?”
“มัน...มัน ไอ้...ไอ้ธี ไอ้สารเลว! มันหักหลังเรา...มันหักหลังเราพันฯโท” เสียงของพิทักษ์ปะปนกับเสียงสะอึกสะอื้น จนเด็กอนุบาลก็ยังสามารถรู้ได้ว่า เขาร้องไห้ “มันต้องฆ่าเราแน่พันฯโท มันฆ่าแน่ เรารู้ความลับของมัน มันฆ่าเราแน่ ระวังตัวนะพันฯโท ระวังตัว”
เขารู้สึกรำคาญที่พิทักษ์พูดจาอะไรซ้ำๆ แต่...เขาก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่ทำให้พิทักษ์กลัวมากถึงขนาดนี้ “ไม่เป็นไรนะ....ใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่จะไปหา”
“พันฯโท”
ความรู้สึกแปลกๆแล่นเขามาในหัวสมองของนายทหารหนุ่ม “อะไร?”
“ฝากธิดากับลูกชายผมด้วยนะครับ” พิทักษ์เอ่ยเสียงเรียบ
ปัง!
... เสียงปืน บ้าฉิบ! ... “พิทักษ์ ... พิทักษ์ ... ตอบสิพิทักษ์ ... พิทักษ์”
“ฮัลโหล”
วินาทีหัวใจของเขาหล่นไปอยู่ที่พื้น ลูกชายทั้งสองที่รู้สึกว่าพ่อหายไปนานวิ่งมาตาม สายในโทรศัพท์ปลายสายยังคงทักทายด้วยคำว่า ‘ฮัลโหล’ เขารู้ว่าใครเป็นคนพูดสายต่อจากพิทักษ์ และเขาก็รู้ว่าพิทักษ์ต้องเจอกับอะไร ปริศนาน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของพิทักษ์ไขกระจ่างแล้ว... เขาพูดสายในขณะที่มีปืนจ่ออยู่ที่หัว!!!
กรี๊ดดดดดดดดด!!!
เขาและบุตรชายทั้งสองหันหน้าไปตามเสียงกรีดร้อง ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะมองหน้ากัน
“แม่!!!”
“หยุด...นัทฟังพ่อนะ พาน้องหนีไป”
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่ครับพ่อ?” บุตรชายผู้น้องถามด้วยความงุนงงในขณะที่น้ำตาไหลออกมาเหมือนท่อรั่ว “แม่ร้องทำไม?”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปกับพี่นะ เดียวพ่อจะจัดการเอง” สิ้นสุดคำสั่งเสีย ในขณะที่พ่อกำลังจะผละออกไปนั่นเอง ลูกชายคนโตก็คว้าแขนกำยำของชายผู้เป็นพ่อนั้นไว้ น้ำตาของเด็กชายร่วงหล่นราวกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย
“ผมรักพ่อครับ”
ผู้เป็นพ่อยิ้มด้วยความอ่อนโยน “ไปหาปู่ที่อยุธยานะนัท ปู่ต้องช่วยลูกได้แน่” ผู้เป็นพ่อหันหลังให้ลูกทั้งสอง แล้วออกวิ่ง “ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ผู้พี่เอามือปิดปากน้องชายที่ร้องไห้ไม่หยุด ในขณะที่ออกวิ่งอย่างสุดชีวิตไปทางป่าหลังบ้าน นัยน์ตาของเด็กชายผู้พี่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความแค้นถึงจุดเดือดสูงสุด และเผาไหม้ดุจไฟในโลกันต์นรก ... ต่อให้ตายก็ต้องแก้แค้นพวกมันให้ได้…
…………………………………………………..
เวลาผ่านมาราวๆหนี่งวันแล้วหลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์จากบุคคลผู้หนึ่งถึงการจัดตั้ง โปรแกรมบางอย่างอย่างที่ใช้โค๊ดลับว่า... ‘RED CAMP’ เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอด แต่มันไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เพราะกฎหมายของประเทศนี้ไม่มีช่องโหว่เพียงพอที่จะทำให้แผนของเขาสำเร็จได้ แต่ด้วยการรับรองจากองค์กรลึกลับที่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานของรัฐบาลทำให้ ‘โปรแกรม’ กับ ‘แผนการ’ ของเขามาบรรจบกันได้พอดิบพอดี
สายตาคมกริบจ้องผ่านกระจกไปยังต้นสนที่ถูกฟ้าผ่าไปเมื่อวาน โซฟาสีกลีบกุหลาบตัวเก่ายังคงหันไปทางทิศเดิม แต่เบื้องหลังของเขากลับเป็นหน้าจอมอนิเตอร์มากมายหลายเครื่อง แต่ละเครื่องมีแสงเรืองสว่างบ่งบอกว่ากำลังถูกใช้งานอยู่ในความมืดมิด แต่เขากลับไม่สนใจ ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์นั้น เรือนหน้าหล่อเข้มภายใต้หนวดเคราบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย และเจ้าเล่ห์เพทุบาย สิ่งเดียวที่เขาจ้องมองสลับกับซากต้นสนที่ถูกฟ้าผ่า นั้นก็คือ... โทรศัพท์มือถือ ฝนตกลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าเมื่อวาน แต่แปลกที่วันนี้ไม่มีเสียงฟ้าร้องเลยสักนิด
“หัวหน้าครับนี่ คือ...รายชื่อนักโทษที่ตายเมื่อเช้าครับ” เอกสาร 5 แผ่นถูกยืนมาจากนายทหารคู่กายที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เหลือแค่พวกกลุ่ม 4 เท่านั้นครับ”
รอยยิ้มของผู้เป็นนายถูกแสยะเหยียดยาว “หมายความว่าผมต้องจ่ายคุณสินะ...ดิน”
“คงต้องเป็นเช่นนั้นล่ะครับ...หัวหน้า” นายทหารดิน หรือ บดินทร์พูดขณะที่เสียงยังสั่นๆแฝงลึก
“ถึงเวลาที่พวกมันต้องฆ่ากันเองแล้วสินะ” หัวหน้าพูดในขณะที่กำลังพลิกเอกสารดูที่ละแผ่น แผ่นแรกเป็นรูปของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพถูกบาดคอด้วยของมีคม เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลลึกนั้นนองเต็มพื้น แผ่นที่ 2 , 3 เป็นรูปเศษชิ้นเนื้อที่ไหม้จนเป็นตอตะโกสีดำสนิททั้งสองแผ่น ถึงตอนนี้หัวหน้าถึงกับหัวเราะในลำคอ แผ่นที่ 4 เป็นรูปชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่มีดวงตาสีขาว และมีคราบน้ำลายสีขาวปนกับเลือดสีแดงที่ผสมกันกันแล้วได้สีแปลกๆ และแผ่นสุดท้ายเป็นลำตัวช่วงล่างของใครบางคน ที่ไร้ร่างครึ่งบนโดยสิ้นเชิง “ดินประกาศออกไปว่า... ถึงเวลาที่พวกมันต้องฆ่ากันแล้ว”
เอกสารในมือถูกทิ้งลงไปรวมกับเอกสารแผ่นอื่นๆที่ถูกทิ้งลงไปก่อนหน้าในถังขยะข้างโซฟา นายทหารบดินทร์รับคำสั่งอย่างแข็งขัน ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั่นเอง เขาก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง เนื่องด้วยเสียงโทรศัพท์ที่หัวหน้ารอดังขึ้นมาแล้ว รังสีความเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งผ่านไป แต่ดูเหมือนหัวหน้าที่พึ่งรับโทรศัพท์จะไม่สนใจมันเลย
“พี่ครับ ผม...ผมทำสำเร็จแล้วคะ...ครับ” เสียงปลายสายสั่นเครือ
“ดีแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ คิดถึงสิ่งที่พ่อมันทำไว้กับเรา” นายทหารหนุ่มตะคอก “แล้วทำตามที่พี่บอกหรือเปล่า?”
“ทำครับ”
“ดี..ดีมาก แล้วพวกเด็กๆล่ะ”
“ออกไปตั้งแต่เย็นวานแล้วครับ” เสียงกลับมาเป็นปกติแล้ว “โทรศัพท์ไปหาดนัยแล้วครับ มันบอกว่าใกล้ถึงแล้วแล้ว” เสียงเริ่มเปลี่ยนกลับมาสะอื้นอีกครั้ง “พี่ครับผมไม่อยากทำ ผม...ผมไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว”
“ไม่ได้หรอก มีคนรู้เรื่องนายแล้วไม่ใช่หรอ?” ผู้พี่หัวเราะฮึฮึในลำคอ “ไม่ฆ่าไม่ได้หรอก”
“ผมไม่อยากทำครับพี่” เสียงปลายสายสั่นคลอนอีกครั้ง “แค่นี้ผมก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่แกทำไปแล้ว” เสียงของพี่ชายหนักแน่น “แกฆ่าคนไปแล้ว ต่อให้แกฆ่าอีกสักกี่คน” พี่ชายหัวเหราะฮึในลำคออีกครั้ง “แกก็กลายเป็นฆาตกรไปแล้ว”... “แกเข้าใจที่พี่พูดไหม?”
“แต่...”
“แกไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ แกก็รู้คนอย่างพี่ไม่มีวันปล่อยให้แกเป็นอะไรหรอก” พี่ชายหัวเราะในลำคออีกครั้ง “อีกอย่างพี่มีเกมที่เตรียมไว้สำหรับช่วยแกให้เป็นอิสระแล้ว”
“เกมอะไรครับ?”
“แกรีบมาที่นี่สิ แล้วแกก็จะรู้เอง”
“แต่พี่ครับ...” ปลายสายกระอักกระอ่วนที่จะพูด “ผมจะต้องฆ่าคนอีกจริงๆใช่ไหมครับ?”
“แกเชื่อพี่นะ” เสียงปลายสายฟังดูอ่อนโยนผิดจากเดิม “ต่อให้มือแกจะต้องเปื้อนเลือดอีกสักกี่ร้อยศพ พี่ก็ไม่มีวันให้แกไปติดคุกหรอก”... “เพราะคนที่ผิดก็คือพวกมัน ไม่ใช่เรา”
“พี่ครับ” ปลายสายทอดเสียง “ถ้าทุกอย่างจบแล้วพวกเราจะกลับไปเป็นอย่างเดิมหรือเปล่าครับ?”
“แน่นอน...ขอแค่แก ทำตามที่พี่บอก” พี่ชายย้ำหนักแน่น “ต้องฆ่าพวกมันทั้งหมด”
“ครับพี่” น้องชายตอบรับ ....“ผมจะ...จะฆ่า...ฆ่าพวกมันทุกคน!!!!”….
………………………………………………………
“นายครับนาย แย่แล้วครับ”
นายทหารผู้เดิมกูลีกูจอวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นนายที่นั่งเอกเขนกอย่างสบายใจบนโซฟาสีชมพูกลีบกุหลาบ สายตาทั้งคู่ยังจ้องมองออกไปที่ต้นสนเหมือนเคย ผู้เป็นนายหันหน้ามามองนายทหารบดินทร์เพียงเล็กน้อย ก่อนจะทอดสายตาไปที่ต้นสนตามเดิม
“นายครับ กล้องตัวที่ 75 , 78 , 32 , 36 , 5 , 4 , 6, 25, 29 , 28 , 120 , 121 ,123 , 66 , 68 , 85 , 84 , 82 และ 80 จับภาพกลุ่มบุกคนอายุราวๆ 14-17 ปีได้หลายกลุ่มเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ดูลักษณะจากการแต่งกายคาดว่าจะเป็นนักเรียนมัธยมครับ” บดินทร์พูดอย่างร้อนรน “คาดว่าน่าจะเป็น...นักเรียนจากโรงเรียนอายุวัฒน์วิทยาครับ”
“แล้วไงล่ะ” หัวหน้าหน่วยผู้เย็นชาตอบกลับมาอย่างเรียบๆ “พูดต่อสิดิน”
“อ้อ!!! แต่โรงเรียนนั้นมัน...”
“อย่านอกเรื่อง....ดิน” หัวหน้าหน่วยย้ำเด็ดขาด “ทำหน้าที่ของนายต่อไป”
นายทหารหนุ่มถึงกับสับสนในถ้าทีของหัวหน้าหน่วย หรือ นายที่เขาเคารพ “กล้องตัวที่ 55 และ 56 จับภาพรถคันหนึ่งที่แล่นเข้ามาในเขตของเกม และเกิดอุบัติเหตุได้ครับ คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากสะพานไม้ที่ใช้ข้ามชำรุดบวกกับแรงของน้ำที่ไหลเชี่ยวจากน้ำในเขื่อนด้านเหนือแตกครับ” เอกสารในมือถูกเปิดขึ้นมาอีกแผ่น “ส่วนผู้เสียชีวิตมีเกือบ 40 คน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักเรียนที่โดยสารรถคันนั้นมาครับ”
“....”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากผู้ฟัง ... ...นายกำลังคิดอะไรอยู่?... … “นายครับ”
“เออ”
“เอาอย่างไรดีครับนาย?”
“พวกกลุ่ม 4 เล่นเกมจบกันหรือยัง?”
“ครับ” นายทหารตอบรับอย่างงงๆ “ยังไม่มีใครตายเพิ่มครับ กลุ่ม 4 ยังคงเล่นเกมอยู่ครับ”
“ดี”
เขาเหยียดตัวลุกขึ้นยืนอย่างมาดมั่น รอยยิ้มดุจปีศาจร้ายผุดขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเย็นชาดุจก้อนน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้ผู้ถูกจ้องถึงกับตัวสั่น
…“ได้เวลาเปิดเกมใหม่แล้ว!!!!”...
ความคิดเห็น