ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ReD CaMp ค่ายมรณะ

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่7 :: ศูนย์บัญชาการปริศนา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 83
      0
      2 พ.ค. 54

     

                    ความมืดครึมปกคลุม รอบๆบริเวณของศูนย์บัญชาการลับที่ตั้งหลับซ่อนสายตาของบุคคลภายนอกในหุบเขาส่วนตัว ฝนหลงฤดูนำพาความชุ่มชื้นมาแต่ที่อันไกลโพ้น  กรมอุตุนิยมวิทยารายงานข่าวสถานการณ์ว่าภายในอาทิตย์นี้จะมีพายุเข้าโหมกระหน่ำบริเวณแถบนี้ติดต่อกันยาวนานราวหนึ่งสัปดาห์

                    บุคคลในชุดเครื่องแบบทหารพรางสีออกเขียว คุ้นเคยกับชุดทหารบกทั่วไปตามกองร้อย จะผิดก็เพียงแต่เครื่องแบบของเขามีลายพรางสีแดงปนอยู่ด้วย  หนวดเคราที่ดกดำร่วมมือกับความมืดภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ดูจะไร้ขอบเขตปกปิดใบหน้าของชายผู้นี้ จนไม่สามารถดูออกได้ว่าร่างที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาเดี่ยวสีชมพูกลีบกุหลาบนี้รู้สึกอะไรอยู่กันแน่

                ไม่นานนักหลังจากที่เขานั่งดูสายฝนที่พึ่งจะโปรยปรายลงมาตามหน้าต่างกระจกใส ชายอีกคนในชุดเครื่องแบบเดียวกับเขาก็เข้ามา เขาทำความเคารพอย่างแข็งขันตามแบบธรรมเนียมของทหาร แล้วบรรจงกระซิบข้างหูของชายผู้เป็นเจ้านายอย่างแผ่วเบาหรือบางทีอาจจะดังแต่โดนเสียงของสายฝนหลงฤดูกลบเสียจนหมด ปฏิกิริยาของชายผู้เป็นนายเปลี่ยนแปลงไปในทันที ความกระตือรือร้นพุ่งพล่านอยู่ภายในม่านตาสีน้ำตาลแบบคนเอเชีย เขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์เผยให้เห็นไรฟันที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านปราศจากคราบหินปูน

                    ลำแสงสีน้ำเงินจากสายฟ้าที่ผ่าลงมาบนพื้นดิน ส่องให้เห็นใบหน้าคมเข้ม และหล่อเหลาภายใต้ความมืดมิดภายในห้อง แม้จะเป็นแค่ระยะสั้นๆ แต่แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั้น ทำให้นายทหารข้างกายถึงกับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในเจ้านายของตัวเอง

                    ได้เวลาเริ่มเกมแล้วล่ะ

                    น้ำเสียงหนักแน่นของนายผสานเข้ากับเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาที่ต้นสนนอกหน้าต่างกระจกอีกครั้ง แต่สายตาที่เปลี่ยนไปนั้นทำให้นายทหารคู่กายอดหวั่นไม่ได้ว่า  ...เจ้านายนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่...

     

    .........................................................................................

     

    20 ปีก่อนหน้านี้

                    สายลมอุ่นๆพัดผ่านบ้านหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผา  เจ้าของบ้านเป็นเพียงหญิงสาววัย 28-29 ปี อาศัยอยู่กับลูกชาย 2 คน ในวัย 12 และ 7 ปีตามลำดับ เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีรถยนต์เข้ามาภายในบริเวณนี้ ทหารชายในยศพันฯโทก้าวลงมาจากรถยนต์คันดังกล่าว หญิงสาวส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่เธอกำลังเก็บผ้าที่ถูกตากไว้ตั้งแต่รุ่งเช้า  เด็กชายทั้งสองวิ่งโร่มาจากภายในบ้านราวกับพึ่งได้เจอกับตัวการ์ตูนในโทรทัศน์ ทั้งคู่ตรงรี่เข้ามาโอบกอดชายผู้นั้นในทันที

                    นานเท่าไหร่แล้วนะที่คุณไม่กลับบ้าน?หญิงสาวเอ่ยถามในขณะที่ตะกร้าผ้ายังอยู่ภายในออมแขน

                    ทหารหนุ่มยืนขึ้นโดยที่ทิ้งบุตรชายทั้งสองให้อยู่กับพื้น แล้วบรรจงประทับรอยจูบบนริมฝีปากของเธอ ราวๆ 10 วินาที  นานพอที่...ผมจะจำหน้าลูกไม่ได้นั่นแหล่ะ

                    จริงๆเลย ทานอะไรมาหรือยังค่ะ?

                    ก็กะจะมาฝากท้องที่บ้านนี้นั่นแหล่ะ เขาพูดกับหญิงสาวผู้เป็นภรรยา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีลูกชายอีก 2 คนอยู่ด้วย เขานั่งลงอีกครั้งเพื่อผู้กับลูกชาย บางครั้งร่างกายที่สูงเกือบ 2 เมตรของเขาก็เป็นอุปสรรคในหลายๆเรื่อง พ่อมีของฝากสำหรับลูกชายสุดที่รักของพ่ออยู่ในรถแน่ะ

                    ครับ ลูกชายทั้งสองตอบเสียงใส ก่อนที่จะวิ่งตรงรี่ไปที่รถยนต์ ของชายผู้เป็นพ่อ

                    ราวๆ 2 ชั่วโมงต่อจากนั้น ร่างกายของทหารหนุ่มที่เคยถูกพอกด้วยคราบเหงื่อไคล ถูกชำระล้าง ด้วยน้ำจากลำธารเล็กๆที่ไหลผ่านหลังบ้านริมหน้าผา ทหารหนุ่มสวมเสื้อยืดสีขาวล้วนกับ กางเกงนอนสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างคล้ายกางเกงเลของชาวประมง แต่..ท่าทางจะใส่สบายหน้าดู ทหารหนุ่มผู้สลัดคราบไคลเดินเช็ดผมลงมานั่งบนโต๊ะไม้เล็กๆ ใต้ชายคาบ้าน บรรยากาศภายนอกชุ่มชื้นด้วยด้วยไอของสายหมอกและน้ำค้างยามราตรี จักจั่นส่งเสียงอยู่เป็นระรอกๆคล้ายเป็นเพลงขับกล่อมให้ ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่เป็นโต๊ะอาหารได้เพลิดเพลิน รอยยิ้มเบิกบานของลูกชายทั้งคู่ของเขา  ทำให้บ้างหลังน้อยริมผากลางหุบเขาเป็นสวรรค์ที่น่าอยู่มากเลยที่เดียว อาหารบนโต๊ะถูกจัดใส่จานกระเบื้องสีขาวสะอาดถูกหญิงสาวผู้เป็นศรีภรรยาของบ้านยกมาทีละจาน ทีละจานจนแทบจะเต็มโต๊ะ

                    นานๆทีจะได้กลับบ้าน ต้องฉลองกันหน่อยนะครับพ่อ ลูกชายผู้พี่กล่าวอย่างเบิกบาน ลักยิ้มปรากฏขึ้นบนแก้มขาวเนียนทั้ง 2 ข้าง ผมสีดำที่ปรกหน้าอยู่สะบัดไปมาเหมือนหางสุนัข เวลาที่เจอเจ้านาย

                    ถ้างั้นผมเปิดงานเลยละกันครับลูกชายคนเล็กตัดบท พลางเอื้อมมือหยิบน่องไก่ทอดมาเคี้ยวตุ้ยๆอย่างหน้าตาเฉย

                    ทั้งครอบครัวต่างก็สนุกสนานกับอาหารมื้อพิเศษต้อนรับการกลับบ้านของชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ออกไปปฏิบัติภารกิจในแทบเอเชียตะวันออกมานานแสนนาน

                    ระหว่างที่ช่วงเวลาสุขสันต์หรรษาในครอบครัวกำลังดำเนินไปอย่างออกรถออกชาติ การขัดจังหวะเล็กๆอย่างเสียงโทรศัพท์มือถือของนายทหารหนุ่มก็ดังขึ้น  นายทหารหนุ่มลุกออกจากที่นั่ง หลบสายตากังวลของหญิงผู้เป็นภรรยาออกไปเพื่อรับโทรศัพท์ในทันที หน้าจอของโทรศัพท์แสดงชื่อผู้ที่โทรเข้าเป็นภาษาอังกฤษ ‘Pitak calling’ นายทหารหนุ่มกดรับในทันที

                    ว่าไง พิทักษ์?  นายทหารหนุ่มเป็นผู้เปิดฉากสนทนา โทรมามีธุระอะไรหรือเปล่า?

                    มีแน่ครับท่านพันฯโทเสียงปลายสายดูลุกลี้ลุกลน จนนายทหารผู้รับสายถึงกับต้องพลิกเสียงเคร่งขรึม

                    ใจเย็นๆ พิทักษ์ ค่อยๆเล่า ผมฟังไม่รู้เรื่อง

                    พันฯโทครับ ตอนนี้พันฯโทชลิต กับพันฯตรีอนุรักษ์ตายแล้วนะครับ

                    นายทหารหนุ่มถึงกับช๊อค มือไม้สั่นไปหมด อันที่จริงจากการไปปฏิบัติหน้าที่ที่เอเชียตะวันออกทำให้เขา  พันฯโทชลิต  พันฯตรีอนุรักษ์ และร้อยฯโทพิทักษ์กรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกันในสนามรบ และบัดนี้เขาพึ่งรู้ข่าวจากน้องเล็กว่า พี่โตและน้องรองในกลุ่มเสียชีวิตแล้ว ... ทั้งๆที่  ทั้งๆที่  พึ่งลากันแท้ๆ  ทำไม  ทำไม?...  เขาอยากจะตะโกน แต่ก็ต้องข่มไว้ เพื่อไม่ให้น้องเล็กรู้สึกไร้ที่พึ่ง  เขาจึงได้แต่แสร้งทำเสียงเข้มตอบกลับไป ได้ไง พิทักษ์  พี่ชลิตกับอนุรักษ์ตายได้ยังไง?

                    มัน...มัน ไอ้...ไอ้ธี   ไอ้สารเลว!   มันหักหลังเรา...มันหักหลังเราพันฯโทเสียงของพิทักษ์ปะปนกับเสียงสะอึกสะอื้น จนเด็กอนุบาลก็ยังสามารถรู้ได้ว่า เขาร้องไห้ มันต้องฆ่าเราแน่พันฯโท มันฆ่าแน่   เรารู้ความลับของมัน มันฆ่าเราแน่   ระวังตัวนะพันฯโท   ระวังตัว

                    เขารู้สึกรำคาญที่พิทักษ์พูดจาอะไรซ้ำๆ แต่...เขาก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่ทำให้พิทักษ์กลัวมากถึงขนาดนี้ ไม่เป็นไรนะ....ใจเย็นๆ   เดี๋ยวพี่จะไปหา

                    พันฯโท

                    ความรู้สึกแปลกๆแล่นเขามาในหัวสมองของนายทหารหนุ่ม อะไร?

                    ฝากธิดากับลูกชายผมด้วยนะครับ พิทักษ์เอ่ยเสียงเรียบ

                    ปัง!

                    ... เสียงปืน บ้าฉิบ! ...  พิทักษ์ ... พิทักษ์ ... ตอบสิพิทักษ์ ... พิทักษ์

                    ฮัลโหล

                    วินาทีหัวใจของเขาหล่นไปอยู่ที่พื้น ลูกชายทั้งสองที่รู้สึกว่าพ่อหายไปนานวิ่งมาตาม สายในโทรศัพท์ปลายสายยังคงทักทายด้วยคำว่า ฮัลโหล   เขารู้ว่าใครเป็นคนพูดสายต่อจากพิทักษ์ และเขาก็รู้ว่าพิทักษ์ต้องเจอกับอะไร  ปริศนาน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของพิทักษ์ไขกระจ่างแล้ว...  เขาพูดสายในขณะที่มีปืนจ่ออยู่ที่หัว!!!

                    กรี๊ดดดดดดดดด!!!

                    เขาและบุตรชายทั้งสองหันหน้าไปตามเสียงกรีดร้อง ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะมองหน้ากัน

                    แม่!!!

                    หยุด...นัทฟังพ่อนะ  พาน้องหนีไป

                    เกิดอะไรขึ้นกับแม่ครับพ่อ? บุตรชายผู้น้องถามด้วยความงุนงงในขณะที่น้ำตาไหลออกมาเหมือนท่อรั่ว แม่ร้องทำไม?

                    ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปกับพี่นะ เดียวพ่อจะจัดการเองสิ้นสุดคำสั่งเสีย ในขณะที่พ่อกำลังจะผละออกไปนั่นเอง ลูกชายคนโตก็คว้าแขนกำยำของชายผู้เป็นพ่อนั้นไว้ น้ำตาของเด็กชายร่วงหล่นราวกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย

                    ผมรักพ่อครับ

                    ผู้เป็นพ่อยิ้มด้วยความอ่อนโยน ไปหาปู่ที่อยุธยานะนัท ปู่ต้องช่วยลูกได้แน่ ผู้เป็นพ่อหันหลังให้ลูกทั้งสอง  แล้วออกวิ่ง ดูแลตัวเองด้วยนะ

                    ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!

                    ผู้พี่เอามือปิดปากน้องชายที่ร้องไห้ไม่หยุด  ในขณะที่ออกวิ่งอย่างสุดชีวิตไปทางป่าหลังบ้าน  นัยน์ตาของเด็กชายผู้พี่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความแค้นถึงจุดเดือดสูงสุด และเผาไหม้ดุจไฟในโลกันต์นรก  ... ต่อให้ตายก็ต้องแก้แค้นพวกมันให้ได้

     

    …………………………………………………..

     

                    เวลาผ่านมาราวๆหนี่งวันแล้วหลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์จากบุคคลผู้หนึ่งถึงการจัดตั้ง  โปรแกรมบางอย่างอย่างที่ใช้โค๊ดลับว่า... ‘RED CAMP’ เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอด แต่มันไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เพราะกฎหมายของประเทศนี้ไม่มีช่องโหว่เพียงพอที่จะทำให้แผนของเขาสำเร็จได้ แต่ด้วยการรับรองจากองค์กรลึกลับที่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานของรัฐบาลทำให้ โปรแกรม กับ แผนการ ของเขามาบรรจบกันได้พอดิบพอดี 

    สายตาคมกริบจ้องผ่านกระจกไปยังต้นสนที่ถูกฟ้าผ่าไปเมื่อวาน โซฟาสีกลีบกุหลาบตัวเก่ายังคงหันไปทางทิศเดิม แต่เบื้องหลังของเขากลับเป็นหน้าจอมอนิเตอร์มากมายหลายเครื่อง แต่ละเครื่องมีแสงเรืองสว่างบ่งบอกว่ากำลังถูกใช้งานอยู่ในความมืดมิด แต่เขากลับไม่สนใจ ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์นั้น  เรือนหน้าหล่อเข้มภายใต้หนวดเคราบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย และเจ้าเล่ห์เพทุบาย สิ่งเดียวที่เขาจ้องมองสลับกับซากต้นสนที่ถูกฟ้าผ่า นั้นก็คือ... โทรศัพท์มือถือ   ฝนตกลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าเมื่อวาน แต่แปลกที่วันนี้ไม่มีเสียงฟ้าร้องเลยสักนิด

                    หัวหน้าครับนี่ คือ...รายชื่อนักโทษที่ตายเมื่อเช้าครับเอกสาร 5 แผ่นถูกยืนมาจากนายทหารคู่กายที่ยืนอยู่ด้านหลัง เหลือแค่พวกกลุ่ม 4 เท่านั้นครับ

                    รอยยิ้มของผู้เป็นนายถูกแสยะเหยียดยาว หมายความว่าผมต้องจ่ายคุณสินะ...ดิน

                    คงต้องเป็นเช่นนั้นล่ะครับ...หัวหน้า นายทหารดิน หรือ บดินทร์พูดขณะที่เสียงยังสั่นๆแฝงลึก

                    ถึงเวลาที่พวกมันต้องฆ่ากันเองแล้วสินะหัวหน้าพูดในขณะที่กำลังพลิกเอกสารดูที่ละแผ่น แผ่นแรกเป็นรูปของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพถูกบาดคอด้วยของมีคม เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลลึกนั้นนองเต็มพื้น  แผ่นที่ 2 , 3 เป็นรูปเศษชิ้นเนื้อที่ไหม้จนเป็นตอตะโกสีดำสนิททั้งสองแผ่น ถึงตอนนี้หัวหน้าถึงกับหัวเราะในลำคอ แผ่นที่ 4 เป็นรูปชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่มีดวงตาสีขาว และมีคราบน้ำลายสีขาวปนกับเลือดสีแดงที่ผสมกันกันแล้วได้สีแปลกๆ และแผ่นสุดท้ายเป็นลำตัวช่วงล่างของใครบางคน ที่ไร้ร่างครึ่งบนโดยสิ้นเชิง  ดินประกาศออกไปว่า... ถึงเวลาที่พวกมันต้องฆ่ากันแล้ว

                    เอกสารในมือถูกทิ้งลงไปรวมกับเอกสารแผ่นอื่นๆที่ถูกทิ้งลงไปก่อนหน้าในถังขยะข้างโซฟา  นายทหารบดินทร์รับคำสั่งอย่างแข็งขัน ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั่นเอง เขาก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง  เนื่องด้วยเสียงโทรศัพท์ที่หัวหน้ารอดังขึ้นมาแล้ว รังสีความเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งผ่านไป แต่ดูเหมือนหัวหน้าที่พึ่งรับโทรศัพท์จะไม่สนใจมันเลย

                    พี่ครับ ผม...ผมทำสำเร็จแล้วคะ...ครับเสียงปลายสายสั่นเครือ

                    ดีแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ คิดถึงสิ่งที่พ่อมันทำไว้กับเรานายทหารหนุ่มตะคอก แล้วทำตามที่พี่บอกหรือเปล่า?

                    ทำครับ

                     ดี..ดีมาก แล้วพวกเด็กๆล่ะ

                    ออกไปตั้งแต่เย็นวานแล้วครับ เสียงกลับมาเป็นปกติแล้ว โทรศัพท์ไปหาดนัยแล้วครับ มันบอกว่าใกล้ถึงแล้วแล้วเสียงเริ่มเปลี่ยนกลับมาสะอื้นอีกครั้ง พี่ครับผมไม่อยากทำ ผม...ผมไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว

                    ไม่ได้หรอก มีคนรู้เรื่องนายแล้วไม่ใช่หรอ?ผู้พี่หัวเราะฮึฮึในลำคอ ไม่ฆ่าไม่ได้หรอก

                    ผมไม่อยากทำครับพี่ เสียงปลายสายสั่นคลอนอีกครั้ง แค่นี้ผมก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว

                    แต่แกทำไปแล้ว เสียงของพี่ชายหนักแน่น แกฆ่าคนไปแล้ว ต่อให้แกฆ่าอีกสักกี่คนพี่ชายหัวเหราะฮึในลำคออีกครั้ง แกก็กลายเป็นฆาตกรไปแล้ว... แกเข้าใจที่พี่พูดไหม?

                    แต่...

                    แกไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ แกก็รู้คนอย่างพี่ไม่มีวันปล่อยให้แกเป็นอะไรหรอก  พี่ชายหัวเราะในลำคออีกครั้ง อีกอย่างพี่มีเกมที่เตรียมไว้สำหรับช่วยแกให้เป็นอิสระแล้ว

                    เกมอะไรครับ?

                    แกรีบมาที่นี่สิ แล้วแกก็จะรู้เอง

                    แต่พี่ครับ...ปลายสายกระอักกระอ่วนที่จะพูด ผมจะต้องฆ่าคนอีกจริงๆใช่ไหมครับ?

                    แกเชื่อพี่นะ เสียงปลายสายฟังดูอ่อนโยนผิดจากเดิม ต่อให้มือแกจะต้องเปื้อนเลือดอีกสักกี่ร้อยศพ พี่ก็ไม่มีวันให้แกไปติดคุกหรอก... “เพราะคนที่ผิดก็คือพวกมัน ไม่ใช่เรา”

                    พี่ครับ ปลายสายทอดเสียง ถ้าทุกอย่างจบแล้วพวกเราจะกลับไปเป็นอย่างเดิมหรือเปล่าครับ?

                    แน่นอน...ขอแค่แก ทำตามที่พี่บอก พี่ชายย้ำหนักแน่น ต้องฆ่าพวกมันทั้งหมด

                    ครับพี่  น้องชายตอบรับ  ....ผมจะ...จะฆ่า...ฆ่าพวกมันทุกคน!!!!”….

     

    ………………………………………………………

                   

     

    นายครับนาย แย่แล้วครับ

                    นายทหารผู้เดิมกูลีกูจอวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นนายที่นั่งเอกเขนกอย่างสบายใจบนโซฟาสีชมพูกลีบกุหลาบ สายตาทั้งคู่ยังจ้องมองออกไปที่ต้นสนเหมือนเคย ผู้เป็นนายหันหน้ามามองนายทหารบดินทร์เพียงเล็กน้อย ก่อนจะทอดสายตาไปที่ต้นสนตามเดิม

                     นายครับ กล้องตัวที่ 75 , 78 , 32 , 36 , 5 , 4 , 6, 25, 29 , 28 , 120 , 121 ,123 , 66 , 68 , 85 , 84 , 82 และ 80 จับภาพกลุ่มบุกคนอายุราวๆ 14-17 ปีได้หลายกลุ่มเลยครับ  ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ดูลักษณะจากการแต่งกายคาดว่าจะเป็นนักเรียนมัธยมครับบดินทร์พูดอย่างร้อนรน คาดว่าน่าจะเป็น...นักเรียนจากโรงเรียนอายุวัฒน์วิทยาครับ

                    แล้วไงล่ะหัวหน้าหน่วยผู้เย็นชาตอบกลับมาอย่างเรียบๆ พูดต่อสิดิน

                    อ้อ!!! แต่โรงเรียนนั้นมัน...

                    อย่านอกเรื่อง....ดิน หัวหน้าหน่วยย้ำเด็ดขาด ทำหน้าที่ของนายต่อไป

                    นายทหารหนุ่มถึงกับสับสนในถ้าทีของหัวหน้าหน่วย หรือ นายที่เขาเคารพ กล้องตัวที่ 55 และ 56 จับภาพรถคันหนึ่งที่แล่นเข้ามาในเขตของเกม และเกิดอุบัติเหตุได้ครับ คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากสะพานไม้ที่ใช้ข้ามชำรุดบวกกับแรงของน้ำที่ไหลเชี่ยวจากน้ำในเขื่อนด้านเหนือแตกครับ เอกสารในมือถูกเปิดขึ้นมาอีกแผ่น ส่วนผู้เสียชีวิตมีเกือบ 40 คน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักเรียนที่โดยสารรถคันนั้นมาครับ

                    ....

                    ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากผู้ฟัง ...  ...นายกำลังคิดอะไรอยู่?... นายครับ

                    เออ

                    เอาอย่างไรดีครับนาย?

                    พวกกลุ่ม 4  เล่นเกมจบกันหรือยัง?

                    ครับ นายทหารตอบรับอย่างงงๆ ยังไม่มีใครตายเพิ่มครับ กลุ่ม 4 ยังคงเล่นเกมอยู่ครับ

                    ดี

                    เขาเหยียดตัวลุกขึ้นยืนอย่างมาดมั่น รอยยิ้มดุจปีศาจร้ายผุดขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเย็นชาดุจก้อนน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้ผู้ถูกจ้องถึงกับตัวสั่น

    …“ได้เวลาเปิดเกมใหม่แล้ว!!!!”...

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×