ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ReD CaMp ค่ายมรณะ

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่6 :: บันทึกของผู้รอดชีวิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 114
      0
      2 พ.ค. 54

     

     

    ~ เชอร์รี่ ~

    สายลมอุ่นๆพัดผ่านเศษซากของตอไม้เก่าๆสีดำคล้ำ เนื่องจากถูกเผาไหม้ด้วยไฟป่า  เศษซากของตอตะโกดำๆบางชิ้นให้ความรู้สึกราวกับเหล็กแหลมในหลุมกับดักสัตว์ของนายพราน หากแต่ว่าหลุมกับดักคราวนี้รู้สึกจะใหญ่โตเป็นพิเศษ  เสียงของน้ำในแม่น้ำซัดเข้ากับแก่งหินอย่างรุนแรง แรงมากเสียจนสามารถกระตุ้นโสตประสาทของฉันกลับมาได้  ฉันกระพริบตาถี่รั่วเพื่อให้เซลล์ประสาทในม่านตาคุ้นเคยกับแสงอาทิตย์ที่ทอดแสงอย่างรุนแรง ทำให้ฉันคิดว่า ...ถ้าฉันนอนนานกว่านี้สักครึ่งชั่วโมง  ฉันจะต้องกลายเป็นไก่ย่างแน่ๆ...  กระเป๋าสีดำถูกพาดอยู่บนคอของฉัน มันเป็นของตาต้า  คงจะเผลอหยิบติดมือมาตอนที่ฉันกับเขาตกลงมาจากรถบัสมรณะคันนั้น ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนกัน?...

    ระหว่างที่ฉันกำลังเดินงุนงงอยู่กับสิ่งแวดล้อมโดยรอบอยู่นั้นเอง ใครบางคนชุดสีดำสนิทก็ใช้มือปิดปากฉันอยู่ด้านหลัง สิ่งที่คั่นระหว่างมือของชายคนนั้นกับปากและจมูกของฉันก็  คือ... ผ้าเช็ดหน้าชุ่ม ยาสลบ

     

    ....................................................................

    ~ อิ๊บ ~  

                    เป็นอย่างไรบ้าง...อิ๊บ?

                    นี่เป็นคำพูดแรกที่เขาพูดกับฉัน หลังจากที่เราทั้งคู่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด 

                    หิวไหม?

                    ...

                    เราพอมีปลากระป๋องที่ไอซ์มันฝากไว้น่ะ

                    มาร์สกินเถอะ เราไม่หิวหรอก

                    อิ๊บน่าจะกินสักหน่อยนะ

    แม้เขาจะพยายาม แต่เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จจึงเก็บปลากระป๋องใส่กระเป๋าเป้พาดบ่าสีดำลงไปตามเดิม ก่อนจะหยิบมีดพกอเนกประสงค์ออกมา

                    ไอ้นี่ ก็ของไอซ์สินะ

                    อืม...มันพกมาหลายเล่มน่ะ แบ่งๆกันไป

                    แล้ว...

                    จะไปหาของกินเพิ่มนะ เผื่ออิ๊บจะอยากกินอย่างอื่นเขาพูด เดี๋ยวเรามา

                    เขาเดินหันหลังจากฉันไป ด้วยคำสัญญาที่ว่า เขาจะกลับมา...   ระหว่างนั้นเอง นิสัยแย่ๆส่วนตัวของฉันก็กลับมาอีกครั้ง ฉันรูดซิปกระเป๋าเป้ของเขาออกอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าที่มือฉันสั่นนั้น เป็น เพราะว่าฉันหนาว หรือว่าฉันตื่นเต้นกันแน่ แต่เปอร์เซ็นท์ของความหนาวดูจะมากกว่า ความตื่นเต้น ก็เพราะว่า... เขาเป็นแค่เพื่อนกับฉันเท่านั้น

                    ภายในกระเป๋าของเขาดูจะมีแต่เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวที่เปียกโชก  ...แต่...เอ๊ะ!!!... 

    จะด้วยโชคชะตาหรืออะไรก็ไม่ทราบ  ตรงส่วนที่ลึกที่สุดของกระเป๋านั่นเอง...ฉันก็เจอมัน

     

    .......................................................

    ~ วิน ~

                    ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวดของใครสักคน  ไม่สิ!  หลายคน  ฉันลุกขึ้นยืนอย่างกระวนกระวาย พลางมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครหรืออะไร  จะมีก็แต่พันธุ์ไม้หน้าตาแปลกๆอยู่เต็มไปหมด  ฉันเดินกะโพลกกะเพลกออกมาตามช่องทางที่มีแสงสว่างทอดออกมา ก่อนที่จะรู้สึกว่ามันเป็นทางเดียวกันกับที่มีเสียงร้องดังออกมา  แต่...

     

    โอ๊ย!!!

     

                    ดูเหมือนว่า ฉันจะสะดุดอะไรบ้างอย่างที่ทำให้ฉันล้มไม่เป็นท่า ฉันคลำหาไฟฉายในกระโปรง  แต่...สิ่งที่แสงของไฟฉายสาดไปถึงก็ทำให้ฉันถึงกับผวา  ร่างกายของใครบางคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอม  ฉันตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก...

     

                    จะทำยังไงดี

     

                    เมื่อฉันได้สติ จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องทำให้เขาฟื้น  ฉันก้มตัวจับลงไปที่แขนข้างหนึ่งของเขา ก่อนทีจะเริ่มต้นเขย่าตัวของเขาเบาๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น

    ตื่น...สิ...ตื่น  ตื่น...สิ...นิว

     

    ……………………………………………

    ~ หมิว ~

                    ตื่นแล้วเหรอ

                    ฉันพูดกับชายคนที่เมื่อครู่นั้น ได้นอนสลบเหมือบอยู่ตรงหน้าของฉัน  ฉันเผอิญพบร่างของเขาพอดี  ในระหว่างที่เดินสำรวจที่นี่

                    หมิวไปเจอเราได้ยังไง?”

                    เรื่องมันยาวน่ะ

                    ว่าแต่แล้วต้นล่ะ ไปนอนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง?”

                    ตรงไหนหรอ?

                    ก็...ตรง ช่างมันเถอะ ฉันบอกปัด เอาเป็นว่า...ที่ที่เราอยู่ตอนนี้ รู้สึกมันจะมีสภาพคล้ายๆเกาะนะ แต่มันต้องมีสักจุดที่มีทางออกแน่ๆ

                    แน่ใจหรอ

                    ค่อนข้าง...นะ เพราะว่าเราเคยดูในหนังหลายๆเรื่องมันต้องมีทางออกแน่ๆ

                    แค่เคยดูหนังเนี่ยนะ

                    อืม  ฉันสร้างความมั่นใจให้กับต้น ทั้งๆทีตัวฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่า...ไอ้ที่ที่ฉันอยู่เนี่ยมันจะมีทางออกจริงๆ

                    แต่ก่อนอื่นเราว่า น่าจะลองหาเพื่อนๆคนอื่นดูก่อน

                    จริงด้วย ต้นเห็นด้วย อาจจะมีคนอื่นที่รอดชีวิตเหมือนกันกับเราอีกก็ได้

                    นั้นเราไปกันเลยนะ

                    หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็รีบเก็บของแล้วก็เริ่มต้นการค้นหาเพื่อนๆคนอื่นที่เราคิดว่าน่าจะมีชีวิตรอดจากอุบัติเหตุเหมือนกับฉันและต้นอีก  แต่...

     

    ..........................................................................

    ~ พริม ~

                    แค็ก...แค็ก

                    น้ำในแม่น้ำยามบ่ายแก่ๆเอ่อขึ้นมาบริเวณริมฝีปากจนทำให้ฉันสำลัก ร่างกายช่วงล่างเฉื่อยชาและอ่อนระโหยโรยแรงจมอยู่ใต้น้ำ  แผ่นหลังของฉันมีเพียงหินก้อนหนึ่งเป็นที่พักพิง ในขณะที่น้ำค่อยๆไหลเข้ามาภายในปากและโพรงจมูกจนลมหายใจสุดท้ายใกล้หมด  แต่แล้วจนถึงที่สุด....ก็มีเพียงแค่ความว่างเปล่าที่หลงเหลือในชีวิตเท่านั้น เรียวขาไร้เรียวแรงที่ถูทับด้วยหิน น้ำในแม่น้ำยามบ่ายแก่ๆที่เอ่อล้นจนมิดหัว และสติครั้งสุดท้ายที่เหลืออยู่  ฉันจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ

     

    ......................................................................................

    ~ แอน ~

                    นี่...มีใครอยู่ไหม?

     

                    ใครก็ได้ ตอบหน่อยสิ

     

                    เฮ้...ตอบฉันทีสิ

     

                    หมิว...เนอส...กุล

     

                    ตอบหน่อยสิ  ฉันกลัวนะ

     

                    จะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ

     

                    พลันสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง กำลังเดินลับๆล่อๆอยู่หลังพุ่มไม้พุ่มใหญ่กิ่งของพุ่มไม้ส่ายไปมาเมื่อใครคนนั้นเคลื่อนไหวร่างกาย เข้าเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆและเป็นจังหวะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ ในความคิดของฉัน...ฉันคิดว่าเขากำลังบาดเจ็บอยู่เป็นแน่  ด้วยเหตุนี้เองอีกความคิดหนึ่งก็พุ่งพวดเข้ามาในโสตเซลล์สมอง อาจจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่รอดชีวิตก็ได้    ฉันรีบเดินกึ่งๆวิ่งไปที่พุ่มไม้พุ่มนั้น เสียงสายน้ำกระทบฝั่ง กิ่งของไม้พุ่มขูดขีดกับหินก้อนใหญ่พอประมาณ ภาพเงาของบุคคลดังกล่าวเริ่มชัดเจนขึ้น และแล้วเมื่อฉันชะโงกหน้าผ่านพุ่มไม้ไปเพื่อขอความช่วยเหลือนั้นเอง ฉันก็พบกับ...

     

    ...กรี๊ดดดดดดดด!!!....

     

    ……………………………………………………

    ~ น้ำส้ม ~

                    กรี๊ดดดดดดด!!!

     

                    ชั่วอึดใจแรกที่แววตาของฉันกลับมาเป็นปกติจากการนอนหลับใหลอยู่หลายชั่วโมง เบื้องหน้าของฉันเป็นศพเด็กหญิงไร้ศีรษะ หันด้านหน้าของลำตัวมาทางฉัน ร่างกายท่อนหนึ่งที่จมอยู่ในน้ำบ่งบอกได้ดีว่าจุดที่ฉันและร่างไร้หัวของเธอคนหนึ่งอยู่นี่ คือ...จุดที่น้ำจากแม่น้ำไหลเขามาในพื้นที่แทบนี้  กระแสน้ำพัดเข้ามาอีกครั้ง ครานี้ลำตัวตั้งแต่ลำคอลงไปเปียกไปเต็มๆ ทำให้เสื้อนักเรียนของร่างไร้หัวคนนั้นถูกชะล้างรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตรงที่ปักชื่อ เด็กหญิงสิโรธร ศรีโชติ

     

                    นี่คือ...ออมเหรอ?...

                   

                    นี่คือ...เพื่อนของฉันจริงๆนะเหรอ?...

                   

                    ฉันเอื้อมมือไปแตะร่างไร้หัวของเพื่อนคนสนิทของฉัน ด้วยความสะเทือนใจ มือไม้และสติสัมปชัญญะของฉันอยู่ ครบถ้วนและแข็งแรงดี แต่...แปลกที่ฉันไม่อาจที่จะลุกเดินไปไหนได้ ทั้งๆที่แผลในร่างกายของฉันมีแค่แห่งเดียวเท่านั้น คือ...แผลแตกที่ศีรษะ จากการกระแทกกับของแข็งสักอย่าง แววตาของฉันยังคงจองมองที่ร่างไร้หัวของเธอ แล้วจินตนาการถึงหน้าของออมที่ยังมีอยู่ในเศษเสี้ยวของความทรงจำอยู่  ใบหน้ายิ้มของออม  ใบหน้าหัวเราะของออม ใบหน้าร้องไห้ของออมคิดไปคิดมาน้ำตาของฉันก็ไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                    หลับให้สบายนะออม เดี๋ยวส้มกับออมก็จะได้เจอกันแล้วล่ะ

                    ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา ไม่รู้ว่าในตอนนี้ฉัน เสียใจที่เพื่อนสนิทตาย หรือว่าดีใจเพราะฉันได้อยู่กับเพื่อนสนิทของฉัน อยู่ๆฉันก็เริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวก ก่อนที่มันจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ มือข้างหนึ่งของฉันจิกลงไปบนพื้นดินที่บัดนี้จมอยู่ใต้น้ำ ส่วนอีกข้างของฉันก็จับแน่นอยู่กับมือข้างหนึ่งของร่างไร้หัวของเพื่อน ฉันพยายามดิ้นรนที่จะหายใจให้ได้ แม้จะรู้ว่าถ้าไม่มียา ยังไงฉันก็คงจะไม่รอด ลมหายใจทวีความถี่รั้วขึ้นเป็นเท่าตัว ลูกตาดำทั้งสองข้างเหลือกขึ้นไปด้านบนจนหายไป เพราะขาดอากาศ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่า  อวัยวะต่างๆภายในร่างค่อยๆหยุดทำงานไปทีละส่วน ทีละส่วน

                    เดี๋ยวจะเราได้เจอกันแล้วนะ...ออม

                    ความรู้สึกท้ายจากโสตประสาทของฉัน ก่อนที่จะดับวูบลงไป มันคือเสียงของออม  ออมพูดกับฉัน 

    มันยังไม่ถึงเวลานะส้ม เราไม่ยอมให้เธอตายหรอก

    ลืมตาขึ้นมาสิ ลืมตาขึ้นมา….

     

    ………………………………………………………

    ~ เฟิร์น ~

                   

                    ชลิตา

                   

                    ชลิตา

                   

                    เฟิร์น

                   

                    เฟิร์น...เฟิร์น

                   

                    ไอ้เฟิร์นตื่น!!!

                    ฉันสะดุ้งสุดตัวลืมตาตื่นขึ้นมาจากโต๊ะไม้ตัวใดตัวหนึ่งภายในห้องเรียน พลางใช้มือขยี้หูขยี้ตาไปมาเพื่อให้ตื่นจากอาการหลับค้าง เพื่อนๆทุกคนในห้องหันมามองที่ฉันเพียงคนเดียว ฉันส่ายหัวไปมาด้วยความมึนงง ก่อนที่จะถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งๆที่สายตาของเพื่อนๆคนอื่นก็ยังมองมาทางฉันอยู่

                    พัฒน์มีอะไรวะ? ฉันถาม

                    “อย่าเรียกฉันแบบนั้น”พัชชี่ทำหน้านิ่ว หลับสบายไหมยะ?

                    ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ

                    ถึงว่า... แนนเริ่มพูด

                    อะไรวะ?

                    แกละเมอซะใหญ่โตเลยอ่ะดิ ปอนด์ผสมโรง

                    กูเนี่ยนะละเมอ

                    ก็ไม่เท่าไหร่หรอนะ กูลพูดจีบปากจีบคอ ก็แค่สะดุ้งกันทั้งห้อง

                    ตกลงมึงฝันเรื่องอะไร? แนนถาม

                    กูว่าเรื่องรุ่นพี่คนเมื่อวานแน่เลยล่ะ พัชชี่ล้อเลียนก่อนที่ทั้งกลุ่มจะหัวเราะกันยกใหญ่

                    ถึงไหนล่ะมึง? แนนแกล้งหยอกซ้ำ ทั้งหมดต่างตบมือกันไปมาด้วยความสะใจ

                    กูฝันว่า...พวกมึงตาย

                    ตอนนี้ทั้งหมดถึงกับเงียบ แล้วหัวเราะต่อไม่ออก พลางสุ่มหัวมาฟังเฟิร์นเล่า

                    จริงๆนะ ในฝันพวกมึงตายกันหมดเลย

                    ฉันเล่า ทั้งที่ในใจก็กลัวมือจับกระเป๋าแน่น พร้อมกับก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นเลือดสีแดงสดไหลมาจากทางหน้าห้อง

                    แล้วใครว่ามึงฝันล่ะเฟิร์น

                    ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่ยืนล้อมรอบตัวฉันอยู่ ก็ต้องตกตะลึง ร่างของแนนที่ตรงช่วงท้องทะลุเป็นรูสำลักเลือดออกมาจนเปรอะหน้าหนังสือที่ฉันกางไว้บนโต๊ะ กูลค่อยๆครางพร้อมกับอ้าปากอย่างช้าๆทำให้เห็นเศษของกระจกจอโทรทัศน์ที่เสียบตั้งแต่ใต้คางขึ้นไปจนทะลุเพดานปาก เลือดกำเดาไหลลงมาจากจมูกอย่างช้าๆก่อนที่จะหยดลงบนมือของฉัน ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนพร้อมที่จะอ้วกออกมาได้ทุกชั่วขณะ

                    เฟิร์น

                    เสียงของปอนด์เรียกฉันอยู่ข้างหลังจนต้องหันไปดู ร่างของปอนด์ถูกพันธนาการด้วยไม้แหลมมากมายที่โผล่ออกมจากผนังตรงหลังห้อง ปอนด์ร้องครวญครางก่อนที่เลือดจะค่อยหยดจากปลายไม้ที่ละน้อยและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆทุกวินาที สภาพของปอนด์ทำให้ฉันต้องหันหน้ากลับมาที่เดิม มือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตาจนแน่ ก่อนที่ฉันจะค่อยๆขยับง่ามนิ้วออกเพื่อดูสภาพการณ์ภายนอก จนเห็นว่าไม่มีใคร และประตูก็ยังเปิดกว้างฉันจึงรีบลุกขึ้นวิ่งทันที แต่ก็ต้องสะดุดล้มเพราะมีใครบางคนมาดึงที่ขาของฉัน

                    ร่างของพัชชี่ที่มีขลุ่ยของฉันปักอยู่ที่หัวค่อยๆคลานขึ้นมาค่อมตัวฉันเรื่อยๆ เขาอ้าปากครางด้วยความทรมานก่อนที่จะสำลักเลือดจำนวนมากออกมาเช่นเดียวกับ แนน

    เฟิร์นมึงทำกูทำไม?

                    เสียงจากการพูดไม่ถนัดของพัชชี่ส่งออกมาจากลำคอก่อนที่เขา และพวกเพื่อนคนอื่นๆที่ยืนอยู่ในร่างที่โชกเลือดจะค่อยๆกระโจนเข้ามาใส่ตัวฉัน

                    กรี๊ดดดดดดดด!!!!!

                    ฉันตื่นขึ้นมาในขณะที่หลังยังคงพิงกับต้นไม้ สติสตางค์ดูลางเลือนไม่สามารถประกอบเป็นรูปภาพได้ เมื่อฉันหันมองไปทางขาวมือก็ต้องตกใจครั้งใหญ่เมื่อร่างของพัชชี่ที่มีขลุ่ยเสียบอยู่บนหัวนอนแน่นิ่ง โดยที่ดวงตาทั้งคู่ยังเบิกโพลงและจ้องเข็งมาที่ฉัน ฉันหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนที่จะมือข้างหนึ่งกดลงไปที่ใบหน้าของเขา  และใช้มืออีกข้างหนึ่งค่อยๆดึงขลุ่ยออกมาจากหัวของเขา และขลุ่ยเลานี้ก็พร้อมอีกครั้งที่จะได้บรรเลงด้วยเพลงที่ฉันชอบที่สุด โดยตัวของฉันเองที่เป็นคนบรรเลงท่วงทำนองนี้ อยู่ภายใต้ความปรารถนาสุดท้ายของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ชลิตา

     

    ..........................................................................

    ~ บุตร ~

                    ตอนนี้น่าจะห้าโมงได้ล่ะมั้ง

                    ผมพูดกับตัวเองหลังจากดูนาฬิกาข้อมือเรือนสีเงิน ราคา 199 บาท ที่บัดนี้เข็มทั้ง 2 หยุดแน่นิ่งราวกับเสียชีวิต

                    สงสัยตอนตกลงมา แกคงตายแทนฉันสินะ

                    ผมรำพึงรำพันกับนาฬิกาเรือนนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินอย่างไม่ค่อยถนัดนัก เพราะขาแพลงจากการกระแทกน้ำ ผมเดินตามชายหาดไปเรื่อยๆ อันที่จริงผมก็เดินมาตั้งแต่รู้สึกตัวนั่นแหล่ะ ยังดีที่เข็มทิศตรงนาฬิกาข้อมือยังใช้ได้อยู่ ผมเลยเดินมาทางทิศเหนือเรื่อยมา แต่ถึงอย่างนั้นการที่เดินมาราวๆซัก 2-3 ชั่วโมงก็ไม่ได้ช่วยให้ผมพบเพื่อนเลยสักคน อาจจะเป็นไปได้ว่าผมอาจจะมาติดบนเกาะนี้คนเดียวก็ได้

                    มีใครอยู่บ้าง มะ...ไหม?

                    ระหว่างที่กำลังจะตะโกนเรียกเพื่อนๆที่อาจจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหนซักแห่ง ผมก็ต้องหยุดชะงักลงเนื่องด้วยได้ยินเสียงดนตรีไทยดังแว่วลอยมากับสายลม ท่วงทำนองที่คนเล่นตั้งใจจะสื่อถึง ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความรู้สึกของผม ...มันช่างเป็นเพลงที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้...

                    ผมไม่รอช้าเดินตามที่มาของเสียงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เสียงที่ลอยมาตามลมอย่างแผ่วเบา จนกระทั่งเสียงเริ่มชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ และในที่สุดผมก็เห็นผู้ที่บรรเลงท่วงทำนองที่น่าเศร้านั้น

                    เฟิร์น...เฟิร์น

                    ผมพยายามตะโกนเรียกเธอ แต่...ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากเธอ ผมเดินข้ามผ่านกิ่งไม้ใหญ่ 2-3 กิ่งที่ขวางเท้าอยู่ จึงได้เห็นว่า นอกจากเฟิร์นที่นั่งเป่าขลุ่ยอยู่แล้วยังมีผู้ชายอีกคนนอกอยู่ข้างๆเธอด้วย ...ถึงว่า จู๋จี๋อยู่กับหนุ่มๆนี่เองถึงไม่ยอมตอบ แอบเข้าไปขัดจังหวะซะเลยดีกว่า... ผมคิดได้ยังไงก็ไม่รู้ เฟิร์นจู๋จี๋อยู่กับหนุ่มๆ ทั้งๆที่เกิดเรื่องเมื่อเช้านี้แท้ๆ อีกทั้งยังคิดจะเข้าไปแกล้งอีก              ไม่ช้าน้ำตาอุ่นๆของผมก็ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้ง 2 ข้าง เมื่อผมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ผู้ชายที่ผมเห็น เมื่อครู่ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เขาคือ...พัชชี่  ไม่สิ!  นั่นคือ... ร่างไร้วิญญาณของ สุพัฒน์ต่างหาก  ผมเดินตรงเข้าไปหาเฟิร์นเพื่อจะปลอบเธอ  แต่เธอก็ยังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่สนใจเสียงรอบข้างตัวเธอ หรือแม้แต่เสียงของผมที่เรียกเธออยู่

                    เฟิร์น....เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย?

                    เธอยังคงนั่งเป่าขลุ่ยของเธอต่อไป

                    ถามไม่ตอบ...เอาเป็นว่าหิวไหมเดี๋ยวเราหาอะไรให้กิน?

                    เธอก็ยังคงนั่งเป่าขลุ่ยของเธอต่อไป ผมเอื้อมดูนาฬิกาข้อมือของเธอ ที่บอกเวลา 18.00 น.

                    รอเราอยู่นี่นะเดี๋ยวมา

                    ผมสั่งเธอ ทั้งๆที่ในใจผมก็รู้อยู่แล้วว่า...เธออาจจะช๊อคกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ผมก็ช๊อค และก็เสียใจเช่นเดียวกับเธอ แต่ยังไงชีวิตมันก็ยงคงต้องดำเนินต่อไป แม้เราจะต้องอยู่คนเดียวก็ตาม ผมเดินไปมาอยู่แถวๆนั้นไม่นานก็ได้ปลาจากในทะสาบมาสามตัว ลำตัวมันใหญ่พอที่คนสองคนจะพอประทังชีวิตให้อิ่มไปได้มื้อหนึ่ง  แต่แล้วเมื่อผมเดินกลับมาถึงที่เดิมราวๆสักชั่วโมงหลังจากที่ออกไปนั้น บริเวณที่เคยมีเฟิร์นนั่งอยู่เมื่อครู่ก็ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครเคยนั่งมาก่อน กระเป๋าทั้งสองใบก็หายไป  แม้แต่...ศพของสุพัฒน์ก็หายไป วินาทีนั้นผมตกใจมากเสียจนทำปลาทั้งหมดหลุดมือโดยไม่รู้ตัว

                    เฟิร์น...เฟิร์น

                    ผมตะโกนเรียกเธอ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ ผมหมุนตัวไปมาเพราะทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดผมก็เห็นขลุ่ยของเฟิร์นที่ตกอยู่ตรงหน้าต้นไม้ต้นใหญ่ พร้อมกับรอยลากเป็นทางยาวเข้าไปในป่า ผมหยิบเศษของกิ่งไม้ที่อยู่แถวๆนั้นมากำไว้ในมือ ที่บัดนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของผม ผมค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณที่เป็นป่า แต่แล้วก็มีบางสิ่งเข้ามากระแทกตรงบริเวณท้ายทอยของผมอย่างแรง ผมล้มลงไปกองกับพื้นในทันที สายตาของผมเลือนรางจับโฟกัสไปมีค่อยถนัด แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่า

    …“ผมกำลังจะรู้แล้วว่าเฟิร์นหายไปไหน?...

     

    ...........................................................................

    ~ ไอซ์ ~

                    ลืมตาสิ เฮ้ย!...ส้ม อย่าหลับตานะ

                    ออม   

                    เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหมดสติไป อันที่จริงเธอก็เป็นเช่นนี้ที่โรงเรียนอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน บางครั้งก็แค่เบาๆนั่งนิ่งสักพักก็หาย บางครั้งก็หนักถึงกับต้องเข้าห้องฉุกเฉินเลยที่เดียว ความจริงผมก็มีโรคประจำตัวแบบเดียวกับเธอ แต่ก็ไม่เคยเป็นถึงขนาดเธอมาก่อน คงเป็นเพราะเธอเป็นเด็กเรียนมากกว่า ส่วนผมมันเด็กกิจกรรม ประสิทธิภาพของภูมิต้านทานมันเลยไม่เท่ากัน และด้วยเหตุนี้อีกนั่นแหล่ะที่พอเวลาจะทำกิจกรรมที่ไหนไกลๆ เราก็จะไปด้วยกันตลอด สาเหตุก็เพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน และอย่างที่บอกมาตอนต้นเรามีโรคประจำตัวเดียวกัน ดังนั้นเมื่อยาผมหมด ผมก็พ่นยาของเธอหรือเมื่อยาเธอหมด เธอก็พ่นยาของผม แต่คงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะยาพ่นของผมมันไม่มีทางหมดหรอก พอเวลาไปที่ไหนๆ ผมก็พกกระบอกยาเกินหนึ่งกระบอกเสมอ และก็ด้วยความที่ผมทำอย่างนี้เสมอวันนี้เธอก็เลยรอดมาได้อีกครั้ง ผมมองดูนาฬิกาข้อมือกันน้ำของผม บอกเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว ผมเปิดกระเป๋าเป้หยิบเอาไฟแช็ค ขึ้นมาจุดเพื่อก่อไฟกับเศษกิ่งไม้แห้งแถวๆริมธารน้ำที่ผมเจอเธอนั่นเอง ผ่านไปเกือบชั่วโมง  เธอก็ฟื้นขึ้นมา

                    ใครน่ะ? เธอถามด้วยสีหน้าสะลืมสะลือ

                    จะใครซะอีกล่ะ

                    ไอซ์ ...ไอซ์หรอ?

                    ไม่มั้ง ผมแกล้งกวน เธออมยิ้มเล็กๆแบบเด็กๆ หิวยัง?

                    หิวจนบอกไม่ถูกแล้วล่ะ

                    แล้วนั่งรออะไรล่ะ เข้ามาดิ

                    ก็เจ็บขา”

                    เออ...จริงด้วย ฉันไม่แน่ใจน่ะว่านั่นเลือดแกหรือสีกระโปรงแก

                    นี่...สีมันไม่เห็นจะเหมือนกันเลย สีกระโปรงเข้มกว่าตั้งเยอะ

                    โทษที...คอนเท็กเลนส์มันหล่นหายน่ะผมควานหาแว่นตาในกระเป๋า ก่อนที่จะหยิบมันเข้ามาสวมนั่งอยู่ตรงนั้นแหล่ะ เดี๋ยวยกไปถวาย

                    เออ...ในกระเป๋าส้มมีกล่องปฐมพยาบาลน่ะ  มือไอซ์ถ้าจะเจ็บ

                    จ้าเจ๊

                    ส้มเกิดก่อนแค่วันกว่านะ ไม่ถือว่าเป็นเจ๊หรอ

                    แล้วในที่สุดเราก็ทำแผลทั้งทางกาย และทางใจด้วยกล่องปฐมพยายาลของน้ำส้มนั่นเอง อาหารมื้อนี้ดูๆไปมันก็น่าอร่อยไม่ใช่น้อย แม้มันจะเป็นแค่... ปลากระป๋องกับขนมปังไส้หมูหยองก็เถอะ

                    คนอื่นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้เนอะ เธอพูดในขณะที่นั่งด้วยท่ากอดเข่า

                    ถ้าพวกไอ้นิวคงไม่ต้องเป็นห่วงหรอ แต่พวกเชอร์รี่ท่าจะแย่

                    ไม่หรอกเชอร์รี่เก่งจะตาย

    ถ้าโทรศัพท์มือถือมีสัญญาณก็ดีหรอกผมพูดพลางมองโทรศัพท์ไร้สัญญาณที่รอดจากการจมน้ำอยู่ในมือ  แล้ววางลงข้างตัวอย่างนึกเสียดาย ไม่พังก็เหมือนพังล่ะวะ

    ไอซ์...น้ำส้มเรียกด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล หวาดกลัว และสิ้นหวัง  รู้อะไรไหม???...ส้มเป็นห่วงเพื่อนๆที่เหลือมากเลย ยิ่งส้มเห็นออมแล้วยิ่ง...

                    เธอเว้นวรรค ในขณะที่ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย ความจริงต่อให้เราเป็นเด็ก  ม.3  แล้วก็เหอะ  แต่ต้องมาเห็นเพื่อนๆตายไปต่อหน้าต่อตามันก็อาจจะหวั่นไหวได้เหมือนกัน

                    พวกที่เหลือต้องเอาตัวรอดได้แน่ ..... ส่วนออมเขาก็ยังอยู่นี่

                    ไปต้องมาปลอบส้มหรอก

                    จริงๆนะออม ไม่สิ! พวกเราทุกคนยังอยู่กับเราที่นี่ไง

                    ผมกำมือแน่น และค่อยๆใช้นิ้วชี้ ชี้ไปที่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย เพื่อเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า... เพื่อนๆทุกคนยังคงอยู่ในใจของเราเสมอ เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย

                    แหวะ

                    ตอนนั้นเองในขณะที่พวกเรากำลังหัวเราะอยู่ มีสิ่งๆหนึ่งพุ่งผ่านอากาศเข้ามา โชคดีที่ผมไหวตัวทัน ผมฉุดมือของน้ำส้มอย่างแรงให้เธอลุกขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ของสิ่งนั้นปักไปที่กระเป๋าใส่กล้องที่วางอยู่ข้างตัวเธอพอดี

                    ลูกดอกผมพูดในขณะที่สายตาจ้องมองไปรอบตัว

                    นั่นมันกล้องไอซ์นี่

                    เธอเดินถลาเข้าไปหยิบกล้องVDO ของผม ทั้งๆที่ขายังเจ็บอยู่ เธอจึงเสียหลักล้มลงไป เป็นเวลาเดียวกับที่ลูกดอกอีกดอกพุ่งออกมาจากทิศทางเดิมพอดี

                    ส้ม!!!”

                    ลูกดอกพุ่งตรงปักเข้าที่บริเวณไหล่ด้านขวาของน้ำส้ม เธอทำหน้ามึนงงเล็กน้อย ก่อนที่จะหมดสติล้มพับลงไป ...ยาสลบ!!!  ใครกัน?... สายตาของผมสอดส่ายไปมา ในระหว่างที่ขาของผมค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้กระเป๋า พร้อมกับหยิบมีดพกในกระเป๋าขึ้นมากาง

                    ใครน่ะ?

                    ต้องการอะไร?

                    เงาดำๆกระโดดจากพุ่มไม้ไปมา จากซ้ายไปขวาบ้าง จากขวาไปซ้ายบ้าง ทำให้ผมงุนงง ผมหลับตาลงเพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงลูกดอกฝ่าลมอีกครั้ง ครั้งนี้มันมาจากทางซ้ายมือ ผมกระโดดหลบแต่พลาดท่าล้มลง พร้อมกับแว่นตาที่หล่นหายไป ชายผู้ยิงลูกดอกเผยโฉม แล้วเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ เขายกปืนยิงลูกดอกขึ้นมาจ่อไปที่เป้าหมาย ซึ่งก็คือ...ตัวผม เขาแสยะยิ้มจนเห็นไรฟันชัดเจน แต่ผมไม่สามารถได้ชัดนัก เพราะไม่มีทั้งแว่นตา และคอนเท็กเลนส์  เขาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อยๆ

                    ผมแอบแสยะยิ้มก่อนที่จะปาก้อนหินก้อนหนึ่งมั่วๆไปทางเขา  ก้อนหินบังเอิญพุ่งตรงไปกระแทกที่ปืนยิงลูกดอกจนปืนกระบอกนั่นกระเด็นหลุดออกจากมือของชายผู้นั้นไป เขาตกใจ และลนลานก้มลงเก็บปืน ผมใช้จังหวะนี้วิ่งพุ่งตรงไปที่เขา แล้วยกเท้าถีบเขาจนกระเด็นไปอีกทาง ก่อนที่ผมจะยกมีดพกขึ้นมาขู่เขา ในขณะที่ตัวผมคร่อมอยู่บนตัวของชายผู้นั้น มือข้างซ้ายของผมดันไหล่ด้านขวาของเขาแนบติดกับพื้น ส่วนมือข้างขวาของผมถือมีดพกกดอยู่บริเวณลำคอของเขา

                    อย่าขยับนะ!!! บอกมาว่าแกเป็นใคร ผมขู่ แต่มันกลับทำเป็นหัวเราะเยาะเย้ย ผมจึงกดมีดพกลงไปอีก

                    เดี๋ยวนายก็รู้เอง

                    หมายความว่ายังไง?

                    ปั่ก!!!

     

    ......................................................................

    ~ แชมป์ ~

                    กรี๊ดดดดดดด!!!

                    เสียงกรี๊ดของผู้หญิงดังเข้ามาในโสตประสาทของผม อันที่จริงระหว่างที่ผมเดินมาตามแนวชายฝั่ง ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งผมไม่สามารถจับทิศทางที่มาของเสียงได้ เนื่องจากเป็นเสียงที่รู้สึกว่าห่างไกลมากเหลือเกิน แต่...คราวนี้ไม่เหมือครั้งก่อน เสียงกรีดร้องที่ได้ยินอยู่ใกล้กว่าที่คิด แถมผมยังสามารถจับทิศทางของเสียงนี้ได้ซะอีก ผมรีบวิ่งไปตามเสียงนั้นในทันที  ด้วยความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้ ที่อยู่ดีๆมันก็แล่นเข้ามาภายในกล้ามเนื้อ ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่ค่อยอยากจะเห็นนัก และแล้วผมก็พบกับต้นเสียงที่แท้จริง

                    เธอส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด  เธอนั่งกอดเข่าทั้งสองแน่นราวกับเห็นปีศาจ  น้ำตาของเธอไหลพรั่งพรูออกมา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นหน้าผม สภาพของเธอไม่ต่างกับเด็กหญิงที่พึ่งโดนข่มขืนมา ผมเผ้ารุงรังไม่เป็นทรง เสื้อผ้าฉีกขาดเหมือนโดนสัตว์ร้ายขย้ำ สภาพร่างกายแบบนี้ใครพบเธอก็คงต้องบอกว่าเธอคงโดนข่มขืนมาเป็นแน่ แต่ถ้าเป็นคนที่เจอเหตุการณ์แบบเมื่อเช้า เหมือนผม เหมือนเธอ คงต้องพลิกลิ้น แล้วบอกว่า แบบเธอยังน้อยไป…. แต่ถึงจะรู้แล้วก็เถอะสภาพของเธอไม่ได้เหมือนคนที่โดนข่มขืนทางร่างกาย แต่เป็นคนที่โดนข่มขืนทางจิตใจมากกว่า ถึงกระนั้นสภาพร่างกายอย่างเธอดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงอะไร แต่ตรงข้ามเธอกลับวิ่งเข้ามาโผกอดผม จนผมล้มลงไป น้ำตาของเธอเปียกเปื้อนลงเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมที่พึ่งแห้งไปหมาดๆ ทั้งๆที่ความเป็นจริง ผมกับเธอก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ ไม่สิ! เรียกได้เต็มปากเลยว่าเป็นศัตรูกัน แต่เสียงสะอึกสะอื้นของเธอมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะใช้ฝ่ามือของผมลูบหัวเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจเธอ ราวๆสัก นาทีที่ผ่านไปกับสายลม ผมดันร่างเธอให้นั่งตัวตรงเพื่อที่จะได้คุยให้ถนัดขึ้น

                    แอนเป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม?

                    เธอไม่เอ่ยปากอะไร  เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น  จู่ๆเธอก็ชี้นิ้วไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ข้างหลังผม ผมสังเกตเห็นเงาดำๆเคลื่อนไหวหลังพุ่มไม้นั้น แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะพูดเต็มปากว่ามันเป็นคน 100 % เพียงแต่สิ่งๆนั้น มันมีลักษณะคล้ายคนและเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้นี้เท่านั้น

                    อะไร?

                    ผมถามเธออีกครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบมาเช่นเคย

                    กริ้งงงงงงงง!!!   กริ้งงงงงงงง!!!

                    เสียงโทรศัพท์มือถือของใครสักคนดังขึ้น ผมกับเธอมองหน้ากัน อันที่จริงโทรศัพท์ของผมหายไปตอนที่ตกลงมาจากรถ และของเธอก็เช่นกัน มันหายไปตอนที่เธอถูกผลักลงมาจากรถ ผมมองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนที่จะเอียงหูฟังทิศทางของเสียงโทรศัพท์  ไม่ผิดแน่ เสียงดังมาจากหลังพุ่มไม้นี้ ผมลุกขึ้นยืนในทันที แต่เธอคว้าแขนของผมไว้พร้อมกับส่ายหน้าอ้อนวอนอะไรสักอย่าง

                    อะไร?

                    อย่า

                    อาจจะเป็นใครสักคนก็ได้

                    ผมสะบัดมือของเธอออกจากแขน พร้อมกับยืนขึ้นอย่างสุดตัว ระดับสายตาของผมอยู่เหนือพุ่มไม้ ทำให้ผมเห็นสิ่งที่เธอกลัวมาโดยตลอด ศพมากมายลอยอยู่เหนือน้ำในบริเวณนี้ แต่ละศพล้วนมีสภาพน่าเกลียดน่ากลัวชวนขยะแขยง แต่เมื่อผมพิจารณาอย่างที่ถ้วนแล้ว ผมก็ต้องตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกศพล้วนแต่เป็นผู้เคราะห์ร้ายจากอุบัติเหตุเมื่อเช้าทั้งสิ้น ดวงตาของผมลุกโพลง สติของผมเลือนรางลงไปในทันที  แล้วตอนนั้นเอง มีมือๆหนึ่งเอื้อมเข้ามาปิดปากของผม มือนั้นใหญ่กว่าที่จะเป็นมือของเด็กหญิงอายุ 15 เช่น แอน

                    เงียบๆ อย่าส่งเสียง ถ้าไม่อยากเป็นอย่างยัยนั่น

                    เขากระซิบข้างหูผม ก่อนที่จะให้ผมดูแอนที่อยู่ในสภาพหมดสติ นอนแผ่หลาอยู่กับพื้น เขานำผ้าผืนหนึ่งยาวเกือบเมตร กว้าง 10 เซนติเมตรเห็นจะได้ รัดปากของผม เพื่อไม่ให้ผมส่งเสียง ก่อนที่เข้าจะนำผ้าขนาดเดียวกันอีกผืนมาผูกตาของผม

    ...นี่มันอะไรกันวะ?’…

    ...บ้าน่า! เรากำลังจะโดนพาไปที่ไหนวะเนี่ย?

     

    .........................................................................

    ~ ตั้ง ~

                    เธอค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาหลังจากหมดสติไป เพราะการจมน้ำ  ย้อนกลับไปกว่าห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้  ผมเผอิญเดินไปพบเธอตอนที่น้ำกำลังมิดหัวเธอพอดี  ผมไม่ทราบหรอกนะว่าเธอไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร และซ้ำร้ายขาซ้ายของเธอยังเข้าไปติดกับซอกหินก้อนใหญ่เสียอีก กว่าจะช่วยออกมาได้ ก็เกือบได้ตายสมใจ เธอขยับตัวไปมาจึงทำให้เสียงกระท่อมไม้ที่ไม่มั่นคงเท่าไหร่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าหวาดเสียว

                    พริมเป็นไงบ้าง? หลับไปตั้งแต่เย็น

                    ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?

                    กระท่อมไม้ริมฝั่ง ผมเว้นวรรค แล้วก็เมื่อบ่ายๆเธอจมน้ำ แล้วเธอก็หมดสติไป นับแล้วก็เกือบๆ 5 ชั่วโมงได้  พึ่งตื่นใหม่ๆเธอน่าจะหาอะไรกินรองท้องก่อนนะ เพราะว่าตั้งแต่เช้ายังไม่มีใครกินอะไรเลยไม่ใช่หรอ? แต่เดี๋ยวถ้ากินเสร็จแล้วกระเป๋าเธอวางอยู่ตรงใกล้ๆประตูนะ แถวนี้เป็นริมฝั่งทะเลสาบ ฉันว่าเธอลงไปอาบน้ำหน่อยน่าจะดี เออ! แล้วถ้าเธอเป็นแผลตรงไหน ฉันมียาใส่แผลอยู่ในกระเป๋านะ มาหยิบได้เลยฉันไม่ได้ล๊อคกระเป๋า และปลาย่างถ้ากินไม่อิ่มก็มาเอาปลากระป๋องในกระเป๋าถือฉันนะ ของไอ้ไอซ์มันน่ะฝากไว้  แล้วถ้าต้องการอะไรเพิ่มเรียกฉันได้ทุกเวลาเลยนะ หัวหน้าห้องดีเด่น 3 ปีซ้อน ยินดีให้บริการครับ

                    177 พยางค์ ภายใน 30 วินาที

                    ...”

                    เออ...ถามจริงเถอะบุรินทร์ ตัวนายก็เล็กกว่าฉันตั้งเยอะ แล้วนายอุ้มฉันมาที่นี่ได้ยังไง?

                    ไม่รู้สิตั้งอมยิ้ม “เธอไอคิวตั้งเกือบสองร้อย...เรื่องแค่นี้ ฉันว่าเธอน่าจะรู้นะ”

                    ถึงอย่างนั้นก็เถอะพริมพูด “ฉันพึ่งตื่นขึ้นมา จะให้มาประมวลผลวิธีการทั้งหมด หัวฉันคงระเบิดแน่”

                    “’ถ้าอย่างนั้นปริศนานี้ ถือว่าฉันชนะนะ”ตั้งพูดอย่างยิ้มๆ

                    “เจ้าเล่ห์ชะมัดเลย  นายน่ะ”

                    ตอนนั้นเองที่ผมและเธอต่างหัวเราะออกมาด้วยกันอย่างเปิดเผย อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่หมายความว่าผมไม่จริงใจนะ  แต่เป็นเพราะศักดิ์ศรีของการเป็นหัวหน้าห้องมั้ง ผมจึงต้องไม่ทำท่าทีดูสนิทสนมกับใครมากนัก เธอก็เหมือนกันศักดิ์ศรีความเป็นที่ หนึ่งของเธอมันก็ทำให้เธอมีเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่สุดยอดทั้งสองของห้องมานั่งหัวเราะกันอย่างเปิดเผย  เธอหยุดหัวเราะไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่านี่เป็นอีกหนึ่งความสามารถของอัจฉริยะประจำห้องหรือเปล่า  น้ำใสไหลย้อยลงมาอาบแก้มอมชมพูของเธอ เธอถอนแว่นตาออกแล้วใช้หลังมือป้ายน้ำตาที่ไหลออกมา

                     ขอโทษนะ นายเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้เห็นน้ำตาของฉันเลยล่ะ เธอเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มและหัวเราะ จนผมเริ่มสงสัยว่าอาจจะเสียสติ ถ้าไม่นับพ่อฉัน

                    น่าภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

                    เธอเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ผมรอดูว่าสีหน้าของเธอจะเปลี่ยนไปอารมณ์ไหนอีก เธอทำหน้าสงสัยในบางอย่าง ก่อนจะหันหน้าหันหลังไปมาเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง เธอก้มหน้าลงประมาณ 45 องศา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าต่างของกระท่อม ที่ปิดลงทันทีที่เธอมอง ผมสงสัยว่าบางทีเธออาจจะมีพลังจิตด้วยซ้ำ

                    มีคนอยู่ข้างนอก เธอพูดก่อนที่จะวิ่งไปค้นกระเป๋าของผม เธอหยิบเอาขวดแก้ว ที่ภายในบรรจุด้วยน้ำสีฟ้าใสๆอยู่เกินครึ่ง มันคือ...แอลกอฮอล์ล้างแผล แต่ผมสงสัยว่าเธอจะมาทำแผลอะไรตอนนี้

                    ทำอะไรน่ะพริม?

                    อาวุธไง เราไม่รู้ว่าใครอยู่ข้างนอกนั่น เราต้องเตรียมไว้ก่อนเธอพูดก่อนที่จะลงมือค้นหาอีกสิ่งที่อยู่ภายในกระเป๋า บุรินทร์ นายมีไฟแช๊กไหม?

                    อย่าบอกนะว่าเธอจะ... ผมเริ่มเข้าใจ ได้สิฉันเอาด้วย

                    ผมนำปลากระป๋องทั้งหมดที่มีอยู่มาเจาะรู แล้วนำน้ำที่น่าจะเป็นน้ำมะเขือเทศออกเท่าที่จะเอาออกได้ พริมเทแอลกอฮอล์ใส่ลงไปในรูนั้น ก่อนที่เธอจะฉีกเศษผ้าเช็ดหน้าหย่อนลงไปเพื่อเป็นชนวน เมื่อระเบิดขนาดย่อมสำเร็จ ผู้บุกรุกก็เปิดประตูกระท่อมเข้ามาพอดี เขายิงวัตถุบางอย่างที่คล้ายลูกดอกมาทางพริม โชคดีที่เธอยกกระเป๋าขึ้นมากันไป ระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ กับผู้บุรุกราวๆ 5 เมตรเห็นจะได้  พิมพ์โยนปลากระป๋องที่กลายเป็นระเบิด มาให้ผม ผมไม่รอช้าใช้ไฟแช๊กในกระเป๋ากางเกงจุดชนวนที่ยืนออกมาในทันที วินาทีนั้นมีเสียงดังคล้ายไม้กระแทกข้างฝา เศษชิ้นเนื้อปลาสีแดงอมส้มกระจายไปทั่วบริเวณ  ชิ้นส่วนของกระป๋องกระเด็นไปทางผู้บุกรุกเสียส่วนใหญ่  ... สุดยอดมันใช้ได้จริงๆด้วย... ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังชุลมุน ผมเห็นว่าพริมใช้ช่วงโอกาสนี้พาตัวเองออกไปทางหน้าต่าง ... ความจริงเธอก็บู๊เก่งใช่ย่อยเหมือนกัน... ผมใช้ร่างที่เล็กกว่าเธอตามไปอย่างติด ก่อนที่จะรู้สึกว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาตรงช่วงหลังพอดี สติของผมรางเลือน โฟกัสทุกอย่างดูพล่ามัวไปหมด ร่างกายเล็กๆของผมหนักอึ้ง ผมหล่นลงมาจากขอบหน้าต่างของกระท่อมก่อนจะเห็นร่างของพริมที่นอนอยู่ก่อนแล้ว แล้วร่างของผมก็ปะทะกับพื้นอย่างแรง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงกระแทกหรือเปล่า?  แต่ผมหมดสติลงไปในทันที

     

    ...........................................................................................

    ~ ต้น ~

                    นี่เราเดินกันมานานเท่าไหร่แล้ว?

                    น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ครึ่งกว่าๆได้มั้ง

                    หมายความว่าไง?

                    ไม่รู้สินาฬิกาข้อมือฉันมันไม่เดินแล้ว เธอโชว์นาฬิกาข้อมือให้ดู เห็นได้ชัดว่าแขนเธอไม่มีบาดแผลเลย น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที

                    พักก่อนไหม?

                    ก็ดีนะ...หิวแล้วด้วย

                    ผมวางกระเป๋าที่แบกมานานลงบริเวณโขดหินก้อนใหญ่ชายทะเลสาบ เธอก็วางของเธอลงเช่นกัน ในกระเป๋าเรามีขนมปังกับนมอยู่กินได้ตามสบายเลยนะ

                    อ้าว! แล้วต้นกินอะไร?

                    ไม่รู้ดิ แต่เรายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ...ความจริง ผมอยากดื่มเกลือแร่มากกว่า... ไม่รู้ว่าใครจะเป็นไงบ้างเนอะ? ผมเว้นวรรคดูปฏิกิริยาของคู่สนทนา ก่อนที่จะก้มหน้าแล้วพูดต่อ ตอนที่เราลงมา เราเห็นตั้ง... หมายถึงบุรินทร์ลอยคออยู่คนเดียว ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง?

                    ไม่รู้สิ เราคิดว่ามีอีกหลายคนนะที่น่าจะปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเกาะนี้แหล่ะ

                    ดูหมิวจะมั่นใจมากเลยนะ ว่าที่นี่เป็นเกาะ

                    ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึก

                    เธอใช้จินตนาการแบบนี้บ่อยหรอ?  หมายถึงตอนแต่งหนังสือน่ะ ผมหยิบเศษไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาหักเล่น

                    ก็ทุกเรื่องนั้นแหล่ะ เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างสดใส แววตาของเธอสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย แล้วตอนนายแข่งเทนนิส นายไม่ดูดวงให้ตัวเองก่อนหรอ?

                    มันก็ไม่สนุกน่ะสิ หมายถึงเราไม่ชอบดูให้ตัวเองน่ะ

                    หรอเธอพยักหน้าไปมา ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร หิวจัง ขนมปังในกระเป๋าเราขอนะ เธอรอผมพยักหน้า แต่ผมส่งรอยยิ้มเล็กๆไปให้เธอแทน เธอไม่รอช้าตั้งหน้าตั้งตาค้นกระเป๋าของผม ก่อนที่จะมีขนมปังในมือขวา และกล่องนมจืดในมือซ้าย เธอส่งกล่องนมมาให้ผม ก่อนที่จะลงมือจัดการกับขนมปังในมือ ฉันว่าแล้วทำไมต้นถึงสูงนัก เธอพูดในขณะที่มีขนมปังครึ่งหนึ่งอยู่ภายในช่องปาก ความจริงฉันว่าเธอไม่เหมาะกับนมจืดนะ

                    ผมใช้หลอดเจาะกล่องนมจืด ก่อนที่จะลงมือดูดน้ำนมขึ้นมาหนึ่งอึกใหญ่ ทำไม?  หลอดสีขาวใสเลื่อนหลุดจากริมฝีปาก หน้าฉันมันไม่เข้ากับนมจืดหรอ?

                    ดูจากสีผิวนาย น่าจะชอบกินรสช๊อคโกแลต

                    อ้าว!!!

                    เราหัวเราะกันยกใหญ่ เผลอพักเดียวเวลาก็ล่วงเลยมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท นอกจากแสงดาวแล้ว ก็มีเพียงแสงจากกองไฟเล็กที่ก่อกันเองเท่านั้นที่ส่องสว่าง หมอกสีขาวจางๆเริ่มลงหนาขึ้นผสมปนเปกับควันไฟที่ลอยออกมาจากกองไฟ เราทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเช้า

                    นายว่าเราจะรอดกันไหม? ร่างของหมิวนอนราบอยู่กับพื้นของโขดหิน ตอนนี้เธอกำลังผู้อยู่กับผม แต่สายตาของเธอกลับจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์ อันที่จริงบนท้องฟ้าก็มีแค่แสงดาวเพียงไม่กี่ดวง  ส่วนผมก็นั่งเขี่ยไฟอยู่ใกล้ๆกับเธอนี่เอง สายตาของผมเลือกที่จะมองเปลวไฟมากกว่าท้องฟ้าสีดำสนิท

                    ไม่รู้สิพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงเลย

                    นี่นายรู้ไหม? เธอหยุดฟังปฏิกิริยาของคู่สนทนา ก่อนจะพูดต่อ เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาว่ากันว่า คนที่ตายไปแล้ว จะไปเกิดเป็น ดวงดาว

                    ก็ไม่รู้สิ

                    นายว่า ดาวดวงไหน เป็น... เสียงของเธอเริ่มขาดเป็นห้วงๆ ซึ่งผมก็รู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร เพื่อนของเรา เพียงเท่านี้น้ำใสๆก็ไหลจากนัยน์ตาทั้งสองข้างของเธอ

                    ผมก้มหน้าลง 45 องศา มันไม่สำคัญหรอก พวกเขาไปแล้ว แต่คนที่เหลืออยู่ต่างหากที่จะต้องอยู่ต่อไป

                    เธอพลิกตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับแมวป่า(ตอนนี้เธออยู่ในท่านั่ง) ถ้างั้นพรุ่งนี้เราต้องไปหาทุกคนนะ

                    ผมหันหน้าไปหาเธอ ตอนนี้ผมแน่ใจในความคิด เธอร้องไห้อยู่จริงๆ ผมยิ้มให้เธอ แค่นี้ก็ต้องร้องไห้ด้วย

                    เธอยิ้มกลับ พลางเอามือปาดน้ำตาตัวเอง อะไรกัน! เป็นเพราะควันเข้าตาต่างหากล่ะ

                    ผมและเธอหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบริเวณโดยรอบมาหมอกควันสีขาวอมเทาลอยอยู่รอบเราทั้งคู่ ดูเหมือนมันจะโรแมนติก แต่ทันทีที่ผมรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไอหมอกนั้นมัน คือ... แก๊สสลบ   ...มันก็สายไปเสียแล้ว...

     

    ...........................................................................................

    ~ นิว ~

                    ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน? และเป็นอะไร? แต่รู้สึกได้ถึงความเจ็บตามจุดต่างๆทั่วร่างกาย

    ...ราวๆ สัก 3 ชั่วโมงก่อน ...

                    ผมพาร่างกายสะบักสะบอมของผมเดินออกมาจากริมชายฝั่งของทะเลสาบที่ไหนสักแห่ง เป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ คือ...แคมป์ลูกเสือระดับประเทศ ที่ จ.กาญจนบุรี (แต่เท่าที่รู้เรายังไม่ถึงจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราแทบจะแวะทุกปั๊มที่รถขับผ่าน)  เราเดินทางวันนี้เป็นวันที่ 2 โดยที่อาจารย์ประจำห้องทั้งสองคนขอล่วงหน้าไปก่อน(หรือตามหลังเรามาก็ไม่รู้)  ระหว่างทางจำเป็นต้องข้ามสะพานไม้ที่เป็น ทางผ่านตามแผ่นที่ (ที่ผู้จัดงานให้มา) แต่เกิดเหตุไม้คาดฝันขึ้น เมื่อสะพานไม้ที่ว่าเกิดหักในระหว่างที่รถของพวกเรากำลังจะข้าม ผู้โดยสารบนรถเกือบทั้งหมดเสียชีวิตในทันที มีเพียงไม่กี่ชีวิตที่รอดมาได้ และหนึ่งในนั้นก็ คือ.... ผม

                    อย่างที่บอกไปในข้างต้น ร่างกายของผมหล่นลงน้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกลาด ทำให้ตอนแรกที่ผมและเพื่อนอีกสองคนที่รอดมาพร้อมกัน โดนคลื่นน้ำซัดจนต้องแยกกันอีกครั้ง และตอนนี้ผมลอยมาติดด้านๆหนึ่งเขาอันเป็นจุดหมายของการข้ามสะพาน ร่างกายของผมกระแทกกับหินไปหลายครั้ง โชคดีที่ยังไม่ถึงกับตาย แต่ก็โชคร้ายที่ร่างกายผมไม่เหลือเรี่ยวแรงเลย ผมคลานจากชายฝั่งด้วยความยากลำบาก โดยใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาตัวเองเข้ามาในชายป่าจนได้ ยังไงมันก็น่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ชายฝั่ง ที่ไม่รู้ว่าน้ำจะขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ล่ะน่า...    แต่...ที่ตรงนี้เอง ที่ทำให้สติของผมก็หลุดลอยไปในทันที

                   

    ...ราวๆ 3 ชั่วโมง ต่อจากนั้น...

                    ความปวดล้าแล่นตรงมาจากแผ่นหลัง ทำให้ผมสะดุ้งตื่น บริเวณต้นขาเกี่ยวกับเศษจนเกิดรอยถลอกเล็ก บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โฟกัสของผมจับไม่ถูกจุด ความรู้สึกเหมือนแขนถูกใครบางคนดึงอยู่ แผ่นหลังเสียดสีกับพื้นดินจนแสบและล้าไปหมด เมื่อผมหันหน้าไปทางขาวมือก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น     วินเคลื่อนตัวมาพร้อมๆกับผม ในท่าทางที่เหมือนกำลังตีกรรเชียงอยู่ในน้ำ ซึ่งผมพึ่งรู้ว่าผมก็ทำท่าเดียวกับเธอ แผ่นหลังของใครบางคนปรากฏขึ้น เมื่อผมแหงนหน้าสูงขึ้น    ...นี่เรากำลังโดนลากอยู่หรือเปล่าเนี่ย?’ …

                    วิน...วิน

                    ราวกับเสียงผมเป็นตัวเบรก ผมและเธอหยุดกึ๊กอยู่กับที่  ใครบางคนส่งเสียงพูดไปมาอยู่บนหัวผม ซึ่งผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาพูดอะไรกัน แต่วินาทีที่แขนทั้งสองข้างของวินร่วงลงพื้น ของแข็งบางอย่างก็กระทบเขากับหัวของผม โฟกัสของผมดับวูบลงทันที แต่แผ่นหลัง และสติบางส่วนยังรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวได้  ... กูโดนลากอยู่จริงๆด้วย [0 0]

     

    …………………………………………………..

     

    ~ มาร์ส ~

                    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตหรือนรกกลั่นแกล้ง  ผมเฝ้าปรารถนามาโดยตลอดว่าให้เราอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แล้วในที่สุดเราก็ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งจริงๆ แต่...ในสภาพที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด  ... ไม่รู้เธอจะยังคิดเหมือนเราหรือเปล่านะ?...  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมดีใจมากที่เรารอดมาได้ และยิ่งดีใจมากขึ้นอีกเมื่อรู้ว่า... เราได้อยู่ด้วยกัน

                    ระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่นั่นเอง ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น สายเอ็นใสๆ เส้นเล็กๆที่หย่อนลงไปในน้ำกระตุก 4-5 ครั้ง ทำให้ผมรู้ว่า ขนาดเศษขนมปังหุ้มก้อนกรวดที่ผูกติดกับเอ็นของไม้เบดฯก็ยังสามารถตกปลาได้ ... เยี่ยมจริงๆ ไม่เสียแรงที่ชอบวิชาลูกเสือ ปกติผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดี๊ด๊าหรือร่าเริงขนาดนี้ ตรงข้ามผมกลับเป็นคนเงียบๆ เรียบๆ ขรึมๆ เสียมากกว่า โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ  ... หรือว่าเมื่อเช้าหัวเรากระแทก จนสมองกลับไปแล้ว? แต่ช่างเถอะไม่เห็นจะสน อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วนี่

     

    10 นาทีต่อมา

    ผมก็เดินกลับมาที่เดิม ที่บอกให้เธอรออยู่ ในมือของผมมีปลา (อะไรก็ไม่รู้ แต่น่าจะกินได้) 5-6 ตัว ติดมือมาด้วย  ... ไม่รู้ว่าปลาพวกนี้ไปตายอดตายอยากมาจากไหน  พอหย่อนขนมปังลงไปก็ติดขึ้นมาเลย เอ๊ะ! หรือเราเป็นพระสังข์?

                    อิ๊บ...ได้กินปลากระป๋องไหม? ถ้ายังเรามีปลาอีกนะ ผมเดินตะโกนมาแต่ไกล ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมเบิกบานได้ถึงขนาดนี้  หรืออาจจะเป็นเพราะเธอก็เป็นได้   เธอยื่นบางอย่างให้กับผม บางอย่างที่ผมแอบเก็บซ่อนไว้มาตลอด ผมวางปลาลงบนหินก้อนหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือที่เหม็นคาวปลาไปหยิบสิ่งที่เธอยื่นให้  เห็นแล้วสินะ เรายืนยันว่าทั้งหมดเป็นความจริง

                    นายทำอย่างนี้ทำไม...มาร์ส? เธอเอ่ยถาม ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรื่องของเรามันจบลงแล้ว นายยังไม่เข้าใจอีกหรอ?

                    เรารู้ แต่...

                    ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เลิกทำแบบนี้เถอะ...มาร์ส เธอเว้นวรรค ผมสังเกตว่าน้ำเสียงของเธอสะอื้นขึ้น และน้ำตาของเธอเริ่มคลอๆแล้ว เลิกซะ ก่อนที่เราจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน

                    ทำไมล่ะ?  น้ำเสียงของผมอ่อนลง แต่แฝงด้วยความเข้มแข็ง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเราขอฟังเหตุผลของเธอได้ไหม?

                    น้ำตาที่คลออยู่ ตอนนี้ไหลลงมาแล้ว ฉันไม่ได้รักนายแล้ว เธอสะบัดหน้าหนีทันที ผมของเธอสยายราวกับนกยูงรำแพน ก่อนจะกลับมาเข้าทรงดังเดิม นี่ไงเหตุผล

                    แต่... ผมพูด แต่เป็นครั้งที่ 2

                    ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เธอเอามือปิดหูของตัวเอง แล้ววิ่งออกไปในทันที

                    ผมมองตามไปอย่างเศร้าสร้อย แต่...ไม่รู้ด้วยเหตุใด ผมจึงก้าวเท้าไม่ออก ผมก้มหน้าดูสมุดไดอารี่สีดำในมือในนั้นมีความลับสุดยอดของผม  ผมจ้องมองไดอารี่เล่มนั้น ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงไป  หน้าหนึ่งของไดอารี่ถูกเปิดขึ้น หน้านั้นมีรูปถ่ายชายหญิงคู่กันหนึ่งใบ  แต่...   ภาพในวันวานของเขากำลังยิ้มแย้มอยู่ในหน้าของไดอารี่   แต่ตอนนี้เขากำลังร้องไห้ หยดน้ำตาอุ่นๆนั้นตกลงบนรูปถ่ายใบนั้น ฉันรักเธอ

                   

                    กรี๊ดดดดดด!!!

     

                    ผมหันหน้าไปตามเสียงกรีดร้องของคนที่ผมรักที่สุด ด้วยความตกใจผมลุกขึ้นยืนในทันที ทว่ามีของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยเข้าอย่างจัง  ผมหมดสิ้นลงในทันที  

    ...โดยที่ช่วยอะไรคนที่ผมรักไม่ได้เลย...

     

    ...............................................................................

    ~ ตาต้า ~

        ผมเดินตามหาเพื่อนๆคนอื่นๆมาเกือบจะค่อนวันเท่าที่ผมรู้ตอนนี้ มี..ผม  เชอร์รี่  นิว  มาร์ส อิ๊บ  น้ำส้ม  แชมป์  วิน  พริม  บุตร  เฟิร์น   ต้น   หมิว  แอน  ตั้ง และไอซ์ (คนสุดท้ายนี่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่เขาน่าจะรอด) แต่เท่าที่เดินสำรวจมาทั้งวันแล้วไม่เจอใครเลยสักคน

                    ท้องของผมส่งเสียงคำรามราวกับราชสีห์คำราม อันที่จริงวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ความจริงถ้ากระเป๋าของผมอยู่ ยังพอจะมีอะไรรองท้องไปได้ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้กระเป๋าของผมไปอยู่ที่ไหน นี่ยังดีที่เลือดจากแผลที่ข้อมือหยุดแล้ว ไม่อย่างนั้นผมน่าจะแย่ยิ่งกว่านี้

                    เฮ้ย!!! ไปไหนกันหมด? ผมตะโกนอย่างหมดความอดทน หิวแล้วนะ

                    หลังจากนั้นผมก็ทนเดินเอามือกุมท้องต่อไป ถ้านับรวมระยะทางที่เดินมาตั้งแต่ผมฟื้นก็ราวๆ 6-7 กิโลเมตรได้ ผมเดินจนผมแน่ใจว่าที่นี่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายเกาะมากกว่าภูเขาตามที่พี่ดนัยคนนำทางที่มากับรถบอก พูดถึงพี่ดนัยเขาเป็นคนหนึ่งที่น่าจะรอดชีวิต แต่...หลังจากที่ผมเดินได้ระยะทางราว 3 กิโลเมตร ผมก็พบกับศพของพี่ดนัยในเขตที่เป็นป่า  เขาไม่ตายในทันทีคาดว่า...น่าจะทนพิษบาดแผลที่ช่วงท้องไม่ไหวจึงเสียชีวิต ขณะที่กำลังหาคนช่วยภายในภูเขา  นึกดูดีๆถ้าตอนนั้นกระจกบาดตัดเส้นเลือดใหญ่ ผมคงมีสภาพไม่ต่างจากพี่ดนัยเท่าไหร่ โชคดีที่กระจกแค่บาดเฉียดไปเท่านั้น เลือดเลยหลุดไหลได้ง่ายๆ

                    ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วย!!!”

                    เสียงผู้หญิงร้องของความช่วยเหลือ เท่าที่ผมจำได้ เสียงนั้นเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของผม ผมวิ่งตามเสียงนั้นไปจนในที่สุดก็พบต้นเสียง  เชอร์รี่เธอถูกผู้ชายคนหนึ่งต่อยที่ท้อง จนล้มลง ผมคว้าเศษไม้ดำๆที่มอดไฟได้ท่อนหนึ่ง ผมฟาดลงไปที่ศูนย์รวมประสาทที่ท้ายทอยของชายผู้นั้นในทันที เขาล้มลงไปกองกับพื้น ผมวิ่งไปประคองเชอร์รี่ที่ล้มอยู่

                    ไปไรไหม?

                    ไหวอยู่ ขอบใจนะ

                    คนนั้นเป็นใคร?

                    ไม่รู้ มันพยายามจะโปะยาสลบฉัน อยู่ๆเธอก็ตาลุกโพล่งขึ้น หนี...ระ...เร็วเธอหมดสติลงในอ้อมแขนของผม ทันทีที่ร่างของเธอไม่บดบังวิสัยทัศน์ของผม ทำให้ผมได้เห็น ชายที่ยืนเล็งปืนยิงลูกดอกอยู่ข้างหลังเธอ และลูกดอกยาสลบที่ปักอยู่ข้างหลังเธอ

                    ปั๊กกก!!!

                    ชายคนที่ล้มลงไปเมื่อครู่นำไม้ที่ผมใช้ฟาดเขา ฟาดผมกลับอย่างสุดแรงเกิด ผลของมันทำให้ผมหมดสติลงไปกองกับพื้นข้างๆเชอร์รี่ที่ถึงพื้นก่อนในทันที  วินาทีก่อนที่ร่างของผมจะปะทะพื้นนั้น เฉียบพลันนั้นความคิดบางก็แล่นเข้ามาในสมองผม

    บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่เราก็ได้ ที่รอดชีวิตอยู่ที่นี่...

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×