เงือก - เงือก นิยาย เงือก : Dek-D.com - Writer

    เงือก

    มาดูช่วยอ่านกันหน่อยนะเพื่อนๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    223

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    223

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ต.ค. 49 / 00:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือมันเกิดอะไรขึ้นแก่ฉัน

            ฉันจากที่นั่นมากว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่ช่วงนี้ฉันฝันถึงมันบ่อยเหลือเกิน

            ฝันถึงคราวใดก็มีทั้งอบอุ่น แต่ก็แสนจะอาวรณ์และสยอง

            เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันก็นึกถึงมันด้วยภาพอันสดใสในคลองสำนึก

            แม้ว่าภาพเหล่านั้น เมื่อฉันเล่าให้หลานฟัง หลานบอกว่า ไม่มีภาพที่ฉันเล่าเหล่านั้นเลย

            โอ้วัยเยาว์และบ้านเก่าของฉัน...           
      = =

            ภาพบ้านเก่าของฉัน หมู่บ้านที่เรียกว่า บ้านทุ่ง

            บ้านทุ่งของฉันอยู่ห่างจากริมน้ำโขงไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร แต่ในความรู้สึกของเด็ก ฉันรู้สึกว่ามันห่างเป็นกิโล เพราะมองไกลไปเสมือนสุดสายตา

            กลางทุ่งนามีรถแล่นผ่านขนานกับแม่น้ำโขง สมัยที่ฉันยังเด็ก ถนนั้นเป็นเลนในหน้าฝน และฝุ่นฟุ้งไปทั้งทุ่งในหน้าแล้ง เมื่อยามรถยนต์ซึ่งนานๆ จะผ่านมาสักคันก็ทั้งยาก

            เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เราจะรีบวิ่งออกไปดูที่ริมทุ่งนา เพราะถ้าเป็นหน้าฝน เรามักจะได้ออกกำลังกาย ช่วยเข็นรถที่ติดหล่ม เมื่อล้อรถยนต์ตะกุยโคลนใส่พวกเรา หน้าตาเลอะเทอะเปรอะโคลน เราก็จะหัวเราะกันสนุกสนานมาก

            แม้ยามหน้าแล้งฝุ่นฟุ้งไปทั้งทุ่งนา บางครั้งเราก็ต้องไปออกแรงช่วยเพราะรถติดหล่มทราย

            ภาพเหล่านั้นไม่มีอีกแล้วในวันนี้ มีแต่ทางราดยาง (พจนานุกรมให้เขียน ลาดยาง”?) ซึ่งรถยนต์วิ่งไม่กี่นาทีก็พ้นลับหูลับตาไปเสียแล้ว และมันก็มาบ่อยจนเด็กๆ ยุคนี้เบื่อที่จะวิ่งออกมาดูเหมือนยามที่พวกฉันยังเยาว์

            ไม่ว่าจะหลับตาลืมตา ในสมองของฉันก็มองเห็นภาพทางเกวียนเก่าๆ แยกจากถนนเส้นเดียวที่แล่นผ่านทุ่งนา ผ่านท้องนาเข้าสู่หมู่บ้าน

            ตรงทางเข้าหมู่บ้านจะมีซากประดู่ต้นมหึมาซึ่งปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟังว่าประดู่ต้นนั้นเคยสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามืดครึ้ม

            ยิ่งยามโพล้เพล้หรือค่ำคืน คนจะไม่กล้าผ่านประดู่นั้นเพียงคนเดียว เพราะมีเรื่องเล่าน่ากลัวๆ ให้เราขนหัวลุก ไม่กล้าเดินผ่านยามค่ำคืน

            เมื่อฉันพอจำความได้ ประดู่ถูกฟ้าผ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ยืนตายซากแต่นาคร้ามเกรง เวลาจะเดินผ่านเราต้องยกมือไหว้ขอความปลอดภัยเสียก่อน

            คนแก่คนเฒ่าเล่าว่า ยามดึกดื่นคืนวันแรม ๑๔-๑๕ ค่ำ หรือวันเพ็ญ บางครั้งจะมีคนเห็นแสงสว่างดั่งดวงไฟแวววามดั่งดาวลอยวนออกมาจากซากประดู่ไป หรือบางครั้งก็อ้างว่ามีคนเห็นดวงไฟเช่นนั้นลอยมาจากไหนไม่รู้หายวูบลงไปในซากประดู่นั้น

            รอบๆ หมู่บ้านของเราจะมีป่าไผ่และป่าไม้รวกรอบดูประหนึ่งจะใช้เป็นเหมือนรั้วธรรมชาติ

            กอไผ่เหล่านั้นอยู่ตรงหัวนาของใครก็เป็นสิทธิของเจ้าของนาไป ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้หรือลำไม้ไผ่

            ไผ่ที่ปลูกมากที่สุด ไม่เฉพาะไผ่มีหนามเท่านั้น หากมีไผ่ชนิดไม่มีหนามที่ชาวบ้านทุ่งเรียกว่า ไม้เซียงไพซึ่งฉันไม่รู้จนบัดนี้ว่าภาษากลางเขาเรียกว่ากระไร แต่ไม้ไผ่ชนิดนี้ใช้งานทำประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากมาย

            ฉันจำภาพทางเดินที่ลัดเลาะผ่านบ้านคนโน้นคนนี้ ซอกแซกไปทั่วหมู่บ้านได้ดี เพราะหมู่บ้านเราไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก

            และที่ฉันช่ำชองซอกแซกที่สุด เพราะมีแก๊ง ๓-๔ คน วิ่งเอา ไก่ตี(ไก่ชน) เที่ยวไป ตีไก่กับเพื่อนๆ บ้านโน้นบ้านนี้ จนชาวบ้านร้องด่าไม่เว้นแต่ละวัน

            จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันวิ่งตามไก่ตีตัวเก่งของฉันที่วิ่งหนีไก่ของเพื่อน ลอดไม้ไผ่ชนิดที่ว่า ซึ่งเขาใช้มีดลิดกิ่งไม่หมด กลายเป็นกิ่งแหลม มันบาดตรงกลางหลังของฉันเจ็บแปลบเข้าถึงหัวใจ

            เอามือคลำดูก็มีเลือดแดงเปรอะเปื้อนนิ้วมือจนฉันเสียใจ เมื่อถึงบ้านนอกจากแม่จะฟาดด้วยฝ่ามือหลายฉาดก่อนใส่ยาแดงแล้ว

            พี่ชายคนที่สองยังพูดจนใจหายว่า มองเห็นกระดูกขาวรำไรจากแผลนั้น พร้อมสำทับว่านั่นละกรรมตามทัน เพราะฉันชอบทรมานไก่

             ฉันต้องหยุดตีไก่ไปนานกว่าแผลจะหายและเข็ดอย่างยิ่งตั้งแต่นั้นมา

            ถึงวันนี้ ฉันจำเพื่อนๆ ที่วิ่งตีไก่ เล่นหมากอี่ (ไม้หึ่ง) ชักว่าว ลูกข่าง และแกว่งโหวดด้วยกันหลายๆ คนไม่ได้เสียแล้ว

            จำได้แต่คนที่สนิทที่สุดที่ชื่อ เถียน

            บ้านของเถียนอยู่ค่อนไปมุมหนึ่งของหมู่บ้าน เดินจากบ้านของฉันผ่านต้นมะไฟใบหน้า ๓ ต้น ที่ร่มครึ้มตลอดเวลาทั้งปี

            ผ่านลานบ้านของย่าออกสู่ถนนผ่านกลางหมู่บ้าน ผ่านต้นมะปรางใหญ่ร่มครึ้ม บ้านผู้ใหญ่แก้ว ซึ่งเป็นเสมือนพ่อทูนหัวของฉัน ผ่านดงมะม่วงและมะปรางหวาน (ที่เราเรียกว่าหมากผู - ภาษากลางเรียกว่ามะยงชิด) ผ่านต้นขนุนหน้าบ้าน และป่ามะม่วง...บ้านของเถียนอยู่กลางสวนที่แวดล้อมด้วยไม้ผลนานาชิด

            ฉันชอบแวะไปบ้านเถียน ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน จึงมีหนังสือรูปภาพและหนังสืออะไรๆ น่าอ่านมากกว่าที่บ้านฉัน (ซึ่งมีเพียงหนังสือเรียนเก่าๆ ของพี่ๆ)

            แปลกที่เถียนรู้จักเพลงพวงมาลัย (เอ้อระเหยลอยมา...) ที่เขาได้รับการสั่งสอนจากพ่อ รู้จักเพลงอะไรไม่รู้ที่ขึ้นต้นว่า ระบำดงไหนเล่าเอย ระบำของขาวบ้านไร่ เอ้อระเหยลอยมา ชะ ลอยมาไม่ใกล้ไม่ไกล ดงไหนเอย - เอ่อ-เอ้ย- ลำไย หอมหวนอยู่ในดวงเอย ดงเอ๋ย...ลำไยหอมหวนอยู่ในดงเอยซึ่งดึงดูดใจให้ฉันชอบไปบ้านเถียนมาก

            เราทั้งสองดูสนิทกันมาก คงเป็นเพราะนิสัยก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เถียนเป็นคนเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ชอบเล่นแรงๆ ไม่ชอบพูดคำหยาบ เพราะทั้งพ่อแม่ของเถียนและแม่ของฉันไม่ชอบให้ลูกพูดมึง-กู อย่างมากให้พูด โต) (ตัว) เฮาเรา ก็พอ บางครั้งก็ให้พูด เจ้า(บุรุษที่ ๒) กับ ข้อย(ออกเสียงคล้าย ข่อย= ข้า)

            นอกจากเถียนจะเป็นเพื่อนที่ฉันชอบสนิทกว่าเพื่อนคนอื่น เพราะเถียนไม่ชอบเอาเปรียบใคร แล้วถ้าใครจะมาแกล้งฉันหรือเอาเปรียบฉัน เถียนจะช่วยเข้าข้างฉันเสมอ ด้วยฉันค่อนข้างอ่อนแอ นิสัยเรียบร้อยจนถูกเพื่อนล้อว่าเป็นพวกผู้หญิง

            ที่ชอบมากที่สุด เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อของเถียนซึ่งเป็นเพื่อนรักกับพ่อจึงมักจะให้ฉันทำอะไรๆ พร้อมๆ กับที่สอนเถียนในสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ เช่น ไปตกเบ็ด วิดปลา แม้กระทั่งไปหาเห็ด หรือหาหน่อไม้อย่างที่ผู้หญิงชอบไป พ่อของเถียนก็มักจะให้เถียนชวนฉันไปด้วยเสมอ

            แม้ว่าบ้านเราค่อนข้างห่างกันก็จริง แต่เวลามีข้าวปลาอาหารก็มักจะแบ่งปันกันเสมอตามประเพณีของหมู่บ้านทางภาคอีสานมักจะทำ

            สิ่งสำคัญที่มักจะขาดไม่ได้คือ เราจะเดินไปโรงเรียนและกลับพร้อมกัน รวมทั้งตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนก็มักจะเอาปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อแก้วที่วัดด้วยกันก่อนเสมอ...

            ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเถียน ฉันจึงเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้ และเป็นความทรงจำอันรันทดมาจนถึงวันนี้

            ทั้งๆ ที่ผ่านมากว่า ๕๐ ปีได้แล้ว!

            ตอนนั้นเป็นตอนโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน ซึ่งในหมู่บ้านเราจะมีประเพณีในช่วงสงกรานต์เป็นต้นไป เราจะมีประเพณีสรงน้ำพระเป็นประจำ โดยที่วัดจะเชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาตั้งบนปะรำกลางลานวัด มีรางน้ำที่ทำด้วยไม้ทั้งลำเจาะเป็นร่องเหมือนเรือ ทำเป็นรูปพญานาค ตรงปากพญานาคเป็นที่ที่น้ำจะไหลลงรดองค์พระพุทธรูปพอดี ส่วนรางน้ำจะมีดอกไม้และของหอมๆ เช่น ส้มมะกรูด ส้มเกลี้ยง น้ำอบไทยที่ชาวบ้านมารดน้ำพระพุทธรูปได้ตลอดช่วงเดือนนั้น

            นอกจากในตอนกลางวันที่มีการสรงน้ำพระแล้ว ตอนบ่ายๆ พวกชาวบ้านโดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งเด็กรุ่นๆ อย่างพวกเรา จะพากันออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อไปเก็บดอกไม้ป่า เช่น ดอกคูนและดอกไม้ป่านานาชนิด ซึ่งค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ตอนออกไปป่านั้นก็จะมีคนนำกลองหาง (กลองยาว) ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ตีบรรเลงไปด้วย พวกหนุ่มสาวก็จะร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน ทั้งหยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันได้อย่างเป็นกันเอง

            ยกเว้นบางครั้ง อาจมีหนุ่มๆ หมู่บ้านอื่น ซึ่งอยู่ใกล้กันเกิดยกขบวนมาเก็บดอกไม้เจอกันเข้า บางทีก็ร่วมสนุกด้วยการแข่งตีกลองกัน เสียงกลองดังลั่นไปทั้งป่าละเมาะไปไกลเป็นที่ครึกครื้น

            และบางครั้งอาจเขม่นด้วยการไม่ชอบใจที่มีหนุ่มต่างถิ่นมาเกี้ยวพาราสีสาวๆ ซึ่งอาจเป็นที่หมายปองของตน หรือเป็นน้องสาวพี่สาวของตนก็อาจกระทบกระทั่งถึงลงไม้ลงมือกันก็มี

            เมื่อเก็บดอกไม้ได้พอเวลาจนตะวันคล้อยไปมากก็จะรีบพากันกลับวัด เอาดอกไม้ไปบูชาพระทั้งบนรางรดน้ำและในศาลาการเปรียญ ซึ่งในตอนกลางคืนจะมีการทำวัตร สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย มักจะตมด้วยการเทศน์เป็นปกติวิสัย

            กิจกรรมประเพณีเช่นนี้ เป็นการทำให้ชาวบ้านได้ร่วมทำบุญกิจกรรมเพิ่มความสามัคคี

            และที่ขาดเสียมิได้คือเป็นหนทางที่หนุ่มสาวจะได้มาพบปะกัน รู้จักมักคุ้น สนิทสนมจนกลายเป็นความรัก นำไปสู่การครองเรือนตามวิถีชีวิตอันดีงามของหมู่บ้าน

            วันหนึ่ง หลังการสรงน้ำพระแล้ว แทนที่จะออกไปเก็บดอกไม้กับพี่ๆ หนุ่มๆ สาวๆ เราพากันตามพี่ๆ เขาไปขนทรายที่หาดทราย

            แม่น้ำโขงในหน้าแล้ง น้ำจะลงจากฝั่งลงไปมาก ขณะเดียวกันทรายที่น้ำพัดพามายามน้ำหลากก็จะจมและก่อตัวขึ้น พอน้ำลดมากๆ หาดทรายก็ปรากฏทั่วไปตามริมแม่น้ำโขง บางทีก็เป็นเนินทรายสูงและกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาก็มี

            บางแห่งหาดทรายแทบจะกั้นทางเดินของน้ำไปค่อนแม่น้ำโขง จนเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือกำปั่นในบางช่วงบางตอน

            การที่มีหาดทรายยื่นยาวลงไปในน้ำโขง ทำให้พวกเราสนุกสนานกับการขนทรายเข้าวัดไว้ก่อพระทรายและประกอบการก่อกำแพงหรือก่อกุฎิถือปูน

            ส่วนพวกเด็กๆ อย่างพวกเราก็พลอยสนุกตรงที่ได้ลงเล่นน้ำ เพราะหาดทรายเป็นน้ำตื้น ไม่น่ากลัวเหมือนยามหน้าน้ำหลาก ซึ่งไหลแรงและลึก อาจจมน้ำได้ง่าย

            เย็นนั้นเราจับกลุ่มกันได้เกือบสิบคนทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างแบ่งกลุ่มเล่นเอาเถิดบ้าง เล่นวิดน้ำใส่กัน สาดน้ำใส่กัน สารพัดอย่างด้วยความสนุกสนาน เพราะผู้ใหญ่ก็ไว้วางใจ ไม่ต้องห่วงกลัวจะจมน้ำลึก

            เราเล่นกันอยู่ริมเวิ้งน้ำที่ไม่ลึกสักเท่าไร นานเท่าใดไม่รู้จนฉันรู้สึกเหนื่อย จึงมองหาเพื่อนสนิทคือเถียน จะชวนขึ้นจากน้ำเพื่อแวบไปเก็บถั่วฝักยาว หรือมะเขือเทศหรือใช้ไม้และมือขุดหาถั่วลิสงหรือมันแกวที่ไร่ผักของพี่สาวที่อยู่ใกล้ๆ นั้น

            แต่มองหาเถียนเท่าไรก็ไม่พบ เราไม่รู้ว่าเถียนหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไร ฉันจึงรีบบอกเพื่อนๆ ให้ช่วยกันร้องหาเถียน

            พี่ๆ พวกหนุ่มๆ สาวๆ เห็นดังนั้นก็เริ่มหันมาช่วยกันหาเถียน ต่างตะโกนหากันให้วุ่น ถามว่ามีใครเห็นว่าเถียนแอบขึ้นจากน้ำไปก่อนหรือไม่

            ฉันวิ่งไปดูกางเกงและเสื้อที่เราถอดกันไว้ ปรากฏว่าของเถียนยังกองอยู่ข้างๆ ของฉันเรียบร้อยทุกตัว

            จึงเกิดการโกลาหลขึ้น พร้อมกับเสียงบ่นระคนเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงบางคน พี่ๆ เรียกพวกเราขึ้นจากน้ำหมดทุกคน ผู้ใหญ่ๆ ต่างพากันลงไปงมตามริมน้ำ ตามร่องน้ำช่วงที่เว้าเป็นแอ่ง หาเท่าไรก็ไม่พบ แม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่รู้เรื่องรีบจุดกระบอง (ไต้) และถือไฟฉายมาช่วยกันค้นหาด้วยเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว บางคนก็ใช้แหและอวนออกมาเหวี่ยงหาและลากดูก็ไม่พบ...

            ตอนผู้ใหญ่ช่วยกันค้นหานั้น พวกเราเด็กๆ ถูกไล่ขึ้นมานับเรียงลำดูปรากฏว่าขาดเถียนเพียงคนเดียวจริงๆ เสียงร้องไห้เริ่มจะแพร่ออกไปทุกที โดยเฉพาะแม่และพี่สาวของเถียน

            พ่อของเถียนซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซักไซ้ไล่เลียงเราทุกคน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทคือฉันเอง ซึ่งตอบไปร้องไห้สะอื้นไปด้วย

            ทุกคนกระซิบกระซาบไม่กล้าพูดแรงๆ ว่า เถียนคงถูก เงือกพาไปแล้ว

            ตั้งแต่ผู้ใหญ่เฝ้าค้นหาด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นย่ำค่ำกลางคืนอยู่ ๒ วันเต็มๆ ก็ไม่ปรากฏร่างของเถียน

            พอวันที่ ๓ ก็มีคนเห็นซากของเถียนลอยอยู่ใกล้ๆ หาดที่พวกเราเล่นน้ำอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ใหญ่ไม่ยอมให้เราไปดูเป็นอันขาด ได้ยินแต่ว่า ศพของเถียนลอยอืดเท่ากับคนเสียชีวิต ๓ วันไม่มีผิด

            แม่ของเถียนไม่กินข้าวกินปลาหลายวันป่วยแทบแย่ ส่วนพ่อของเถียนกำชับแม่ของฉันว่า ห้ามฉันลงเล่นน้ำโขงตั้งแต่นั้นมา...

            จนฉันเกือบจมน้ำตายตอนสอบวิชาลูกเสือเมื่อเรียนชั้นมัธยม เพราะแม่ไม่ให้ลงเล่นน้ำโขง จึงไม่มีโอกาสว่ายน้ำแข็งเหมือนคนอื่น...

            ทุกวันนี้ฉันนึกถึงเรื่องและหน้าของเพื่อนคนอื่นไม่ออกเลย แต่จำเรื่องของเถียนได้ไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ!

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×