เงือก
มาดูช่วยอ่านกันหน่อยนะเพื่อนๆ
ผู้เข้าชมรวม
223
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ฉันจากที่นั่นมากว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่ช่วงนี้ฉันฝันถึงมันบ่อยเหลือเกิน
ฝันถึงคราวใดก็มีทั้งอบอุ่น แต่ก็แสนจะอาวรณ์และสยอง
เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันก็นึกถึงมันด้วยภาพอันสดใสในคลองสำนึก
แม้ว่าภาพเหล่านั้น เมื่อฉันเล่าให้หลานฟัง หลานบอกว่า ไม่มีภาพที่ฉันเล่าเหล่านั้นเลย
โอ้วัยเยาว์และบ้านเก่าของฉัน...
=
=
ภาพบ้านเก่าของฉัน หมู่บ้านที่เรียกว่า “บ้านทุ่ง”
บ้านทุ่งของฉันอยู่ห่างจากริมน้ำโขงไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร แต่ในความรู้สึกของเด็ก ฉันรู้สึกว่ามันห่างเป็นกิโล เพราะมองไกลไปเสมือนสุดสายตา
กลางทุ่งนามีรถแล่นผ่านขนานกับแม่น้ำโขง สมัยที่ฉันยังเด็ก ถนนั้นเป็นเลนในหน้าฝน และฝุ่นฟุ้งไปทั้งทุ่งในหน้าแล้ง เมื่อยามรถยนต์ซึ่งนานๆ จะผ่านมาสักคันก็ทั้งยาก
เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เราจะรีบวิ่งออกไปดูที่ริมทุ่งนา เพราะถ้าเป็นหน้าฝน เรามักจะได้ออกกำลังกาย ช่วยเข็นรถที่ติดหล่ม เมื่อล้อรถยนต์ตะกุยโคลนใส่พวกเรา หน้าตาเลอะเทอะเปรอะโคลน เราก็จะหัวเราะกันสนุกสนานมาก
แม้ยามหน้าแล้งฝุ่นฟุ้งไปทั้งทุ่งนา บางครั้งเราก็ต้องไปออกแรงช่วยเพราะรถติดหล่มทราย
ภาพเหล่านั้นไม่มีอีกแล้วในวันนี้ มีแต่ทางราดยาง (พจนานุกรมให้เขียน “ลาดยาง”?) ซึ่งรถยนต์วิ่งไม่กี่นาทีก็พ้นลับหูลับตาไปเสียแล้ว และมันก็มาบ่อยจนเด็กๆ ยุคนี้เบื่อที่จะวิ่งออกมาดูเหมือนยามที่พวกฉันยังเยาว์
ไม่ว่าจะหลับตาลืมตา ในสมองของฉันก็มองเห็นภาพทางเกวียนเก่าๆ แยกจากถนนเส้นเดียวที่แล่นผ่านทุ่งนา ผ่านท้องนาเข้าสู่หมู่บ้าน
ตรงทางเข้าหมู่บ้านจะมีซากประดู่ต้นมหึมาซึ่งปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟังว่าประดู่ต้นนั้นเคยสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามืดครึ้ม
ยิ่งยามโพล้เพล้หรือค่ำคืน คนจะไม่กล้าผ่านประดู่นั้นเพียงคนเดียว เพราะมีเรื่องเล่าน่ากลัวๆ ให้เราขนหัวลุก ไม่กล้าเดินผ่านยามค่ำคืน
เมื่อฉันพอจำความได้ ประดู่ถูกฟ้าผ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ยืนตายซากแต่นาคร้ามเกรง เวลาจะเดินผ่านเราต้องยกมือไหว้ขอความปลอดภัยเสียก่อน
คนแก่คนเฒ่าเล่าว่า ยามดึกดื่นคืนวันแรม ๑๔-๑๕ ค่ำ หรือวันเพ็ญ บางครั้งจะมีคนเห็นแสงสว่างดั่งดวงไฟแวววามดั่งดาวลอยวนออกมาจากซากประดู่ไป หรือบางครั้งก็อ้างว่ามีคนเห็นดวงไฟเช่นนั้นลอยมาจากไหนไม่รู้หายวูบลงไปในซากประดู่นั้น
รอบๆ หมู่บ้านของเราจะมีป่าไผ่และป่าไม้รวกรอบดูประหนึ่งจะใช้เป็นเหมือนรั้วธรรมชาติ
กอไผ่เหล่านั้นอยู่ตรงหัวนาของใครก็เป็นสิทธิของเจ้าของนาไป ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้หรือลำไม้ไผ่
ไผ่ที่ปลูกมากที่สุด ไม่เฉพาะไผ่มีหนามเท่านั้น หากมีไผ่ชนิดไม่มีหนามที่ชาวบ้านทุ่งเรียกว่า “ไม้เซียงไพ” ซึ่งฉันไม่รู้จนบัดนี้ว่าภาษากลางเขาเรียกว่ากระไร แต่ไม้ไผ่ชนิดนี้ใช้งานทำประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากมาย
ฉันจำภาพทางเดินที่ลัดเลาะผ่านบ้านคนโน้นคนนี้ ซอกแซกไปทั่วหมู่บ้านได้ดี เพราะหมู่บ้านเราไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก
และที่ฉันช่ำชองซอกแซกที่สุด เพราะมีแก๊ง ๓-๔ คน วิ่งเอา “ไก่ตี” (ไก่ชน) เที่ยวไป “ตีไก่” กับเพื่อนๆ บ้านโน้นบ้านนี้ จนชาวบ้านร้องด่าไม่เว้นแต่ละวัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันวิ่งตามไก่ตีตัวเก่งของฉันที่วิ่งหนีไก่ของเพื่อน ลอดไม้ไผ่ชนิดที่ว่า ซึ่งเขาใช้มีดลิดกิ่งไม่หมด กลายเป็นกิ่งแหลม มันบาดตรงกลางหลังของฉันเจ็บแปลบเข้าถึงหัวใจ
เอามือคลำดูก็มีเลือดแดงเปรอะเปื้อนนิ้วมือจนฉันเสียใจ เมื่อถึงบ้านนอกจากแม่จะฟาดด้วยฝ่ามือหลายฉาดก่อนใส่ยาแดงแล้ว
พี่ชายคนที่สองยังพูดจนใจหายว่า มองเห็นกระดูกขาวรำไรจากแผลนั้น พร้อมสำทับว่านั่นละกรรมตามทัน เพราะฉันชอบทรมานไก่
“ฉันต้องหยุดตีไก่ไปนานกว่าแผลจะหายและเข็ดอย่างยิ่งตั้งแต่นั้นมา
ถึงวันนี้ ฉันจำเพื่อนๆ ที่วิ่งตีไก่ เล่นหมากอี่ (ไม้หึ่ง) ชักว่าว ลูกข่าง และแกว่งโหวดด้วยกันหลายๆ คนไม่ได้เสียแล้ว
จำได้แต่คนที่สนิทที่สุดที่ชื่อ “เถียน”
บ้านของเถียนอยู่ค่อนไปมุมหนึ่งของหมู่บ้าน เดินจากบ้านของฉันผ่านต้นมะไฟใบหน้า ๓ ต้น ที่ร่มครึ้มตลอดเวลาทั้งปี
ผ่านลานบ้านของย่าออกสู่ถนนผ่านกลางหมู่บ้าน ผ่านต้นมะปรางใหญ่ร่มครึ้ม บ้านผู้ใหญ่แก้ว ซึ่งเป็นเสมือนพ่อทูนหัวของฉัน ผ่านดงมะม่วงและมะปรางหวาน (ที่เราเรียกว่าหมากผู - ภาษากลางเรียกว่ามะยงชิด) ผ่านต้นขนุนหน้าบ้าน และป่ามะม่วง...บ้านของเถียนอยู่กลางสวนที่แวดล้อมด้วยไม้ผลนานาชิด
ฉันชอบแวะไปบ้านเถียน ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน จึงมีหนังสือรูปภาพและหนังสืออะไรๆ น่าอ่านมากกว่าที่บ้านฉัน (ซึ่งมีเพียงหนังสือเรียนเก่าๆ ของพี่ๆ)
แปลกที่เถียนรู้จักเพลงพวงมาลัย (เอ้อระเหยลอยมา...) ที่เขาได้รับการสั่งสอนจากพ่อ รู้จักเพลงอะไรไม่รู้ที่ขึ้นต้นว่า “ระบำดงไหนเล่าเอย ระบำของขาวบ้านไร่ เอ้อระเหยลอยมา ชะ ลอยมาไม่ใกล้ไม่ไกล ดงไหนเอย - เอ่อ-เอ้ย- ลำไย หอมหวนอยู่ในดวงเอย ดงเอ๋ย...ลำไยหอมหวนอยู่ในดงเอย” ซึ่งดึงดูดใจให้ฉันชอบไปบ้านเถียนมาก
เราทั้งสองดูสนิทกันมาก คงเป็นเพราะนิสัยก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เถียนเป็นคนเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ชอบเล่นแรงๆ ไม่ชอบพูดคำหยาบ เพราะทั้งพ่อแม่ของเถียนและแม่ของฉันไม่ชอบให้ลูกพูดมึง-กู อย่างมากให้พูด “โต) (ตัว) “เฮา” เรา ก็พอ บางครั้งก็ให้พูด “เจ้า” (บุรุษที่ ๒) กับ “ข้อย” (ออกเสียงคล้าย “ข่อย” = ข้า)
นอกจากเถียนจะเป็นเพื่อนที่ฉันชอบสนิทกว่าเพื่อนคนอื่น เพราะเถียนไม่ชอบเอาเปรียบใคร แล้วถ้าใครจะมาแกล้งฉันหรือเอาเปรียบฉัน เถียนจะช่วยเข้าข้างฉันเสมอ ด้วยฉันค่อนข้างอ่อนแอ นิสัยเรียบร้อยจนถูกเพื่อนล้อว่าเป็นพวกผู้หญิง
ที่ชอบมากที่สุด เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อของเถียนซึ่งเป็นเพื่อนรักกับพ่อจึงมักจะให้ฉันทำอะไรๆ พร้อมๆ กับที่สอนเถียนในสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ เช่น ไปตกเบ็ด วิดปลา แม้กระทั่งไปหาเห็ด หรือหาหน่อไม้อย่างที่ผู้หญิงชอบไป พ่อของเถียนก็มักจะให้เถียนชวนฉันไปด้วยเสมอ
แม้ว่าบ้านเราค่อนข้างห่างกันก็จริง แต่เวลามีข้าวปลาอาหารก็มักจะแบ่งปันกันเสมอตามประเพณีของหมู่บ้านทางภาคอีสานมักจะทำ
สิ่งสำคัญที่มักจะขาดไม่ได้คือ เราจะเดินไปโรงเรียนและกลับพร้อมกัน รวมทั้งตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนก็มักจะเอาปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อแก้วที่วัดด้วยกันก่อนเสมอ...
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเถียน ฉันจึงเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้ และเป็นความทรงจำอันรันทดมาจนถึงวันนี้
ทั้งๆ ที่ผ่านมากว่า ๕๐ ปีได้แล้ว!
ตอนนั้นเป็นตอนโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน ซึ่งในหมู่บ้านเราจะมีประเพณีในช่วงสงกรานต์เป็นต้นไป เราจะมีประเพณีสรงน้ำพระเป็นประจำ โดยที่วัดจะเชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาตั้งบนปะรำกลางลานวัด มีรางน้ำที่ทำด้วยไม้ทั้งลำเจาะเป็นร่องเหมือนเรือ ทำเป็นรูปพญานาค ตรงปากพญานาคเป็นที่ที่น้ำจะไหลลงรดองค์พระพุทธรูปพอดี ส่วนรางน้ำจะมีดอกไม้และของหอมๆ เช่น ส้มมะกรูด ส้มเกลี้ยง น้ำอบไทยที่ชาวบ้านมารดน้ำพระพุทธรูปได้ตลอดช่วงเดือนนั้น
นอกจากในตอนกลางวันที่มีการสรงน้ำพระแล้ว ตอนบ่ายๆ พวกชาวบ้านโดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งเด็กรุ่นๆ อย่างพวกเรา จะพากันออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อไปเก็บดอกไม้ป่า เช่น ดอกคูนและดอกไม้ป่านานาชนิด ซึ่งค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ตอนออกไปป่านั้นก็จะมีคนนำกลองหาง (กลองยาว) ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ตีบรรเลงไปด้วย พวกหนุ่มสาวก็จะร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน ทั้งหยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันได้อย่างเป็นกันเอง
ยกเว้นบางครั้ง อาจมีหนุ่มๆ หมู่บ้านอื่น ซึ่งอยู่ใกล้กันเกิดยกขบวนมาเก็บดอกไม้เจอกันเข้า บางทีก็ร่วมสนุกด้วยการแข่งตีกลองกัน เสียงกลองดังลั่นไปทั้งป่าละเมาะไปไกลเป็นที่ครึกครื้น
และบางครั้งอาจเขม่นด้วยการไม่ชอบใจที่มีหนุ่มต่างถิ่นมาเกี้ยวพาราสีสาวๆ ซึ่งอาจเป็นที่หมายปองของตน หรือเป็นน้องสาวพี่สาวของตนก็อาจกระทบกระทั่งถึงลงไม้ลงมือกันก็มี
เมื่อเก็บดอกไม้ได้พอเวลาจนตะวันคล้อยไปมากก็จะรีบพากันกลับวัด เอาดอกไม้ไปบูชาพระทั้งบนรางรดน้ำและในศาลาการเปรียญ ซึ่งในตอนกลางคืนจะมีการทำวัตร สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย มักจะตมด้วยการเทศน์เป็นปกติวิสัย
กิจกรรมประเพณีเช่นนี้ เป็นการทำให้ชาวบ้านได้ร่วมทำบุญกิจกรรมเพิ่มความสามัคคี
และที่ขาดเสียมิได้คือเป็นหนทางที่หนุ่มสาวจะได้มาพบปะกัน รู้จักมักคุ้น สนิทสนมจนกลายเป็นความรัก นำไปสู่การครองเรือนตามวิถีชีวิตอันดีงามของหมู่บ้าน
วันหนึ่ง หลังการสรงน้ำพระแล้ว แทนที่จะออกไปเก็บดอกไม้กับพี่ๆ หนุ่มๆ สาวๆ เราพากันตามพี่ๆ เขาไปขนทรายที่หาดทราย
แม่น้ำโขงในหน้าแล้ง น้ำจะลงจากฝั่งลงไปมาก ขณะเดียวกันทรายที่น้ำพัดพามายามน้ำหลากก็จะจมและก่อตัวขึ้น พอน้ำลดมากๆ หาดทรายก็ปรากฏทั่วไปตามริมแม่น้ำโขง บางทีก็เป็นเนินทรายสูงและกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาก็มี
บางแห่งหาดทรายแทบจะกั้นทางเดินของน้ำไปค่อนแม่น้ำโขง จนเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือกำปั่นในบางช่วงบางตอน
การที่มีหาดทรายยื่นยาวลงไปในน้ำโขง ทำให้พวกเราสนุกสนานกับการขนทรายเข้าวัดไว้ก่อพระทรายและประกอบการก่อกำแพงหรือก่อกุฎิถือปูน
ส่วนพวกเด็กๆ อย่างพวกเราก็พลอยสนุกตรงที่ได้ลงเล่นน้ำ เพราะหาดทรายเป็นน้ำตื้น ไม่น่ากลัวเหมือนยามหน้าน้ำหลาก ซึ่งไหลแรงและลึก อาจจมน้ำได้ง่าย
เย็นนั้นเราจับกลุ่มกันได้เกือบสิบคนทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างแบ่งกลุ่มเล่นเอาเถิดบ้าง เล่นวิดน้ำใส่กัน สาดน้ำใส่กัน สารพัดอย่างด้วยความสนุกสนาน เพราะผู้ใหญ่ก็ไว้วางใจ ไม่ต้องห่วงกลัวจะจมน้ำลึก
เราเล่นกันอยู่ริมเวิ้งน้ำที่ไม่ลึกสักเท่าไร นานเท่าใดไม่รู้จนฉันรู้สึกเหนื่อย จึงมองหาเพื่อนสนิทคือเถียน จะชวนขึ้นจากน้ำเพื่อแวบไปเก็บถั่วฝักยาว หรือมะเขือเทศหรือใช้ไม้และมือขุดหาถั่วลิสงหรือมันแกวที่ไร่ผักของพี่สาวที่อยู่ใกล้ๆ นั้น
แต่มองหาเถียนเท่าไรก็ไม่พบ เราไม่รู้ว่าเถียนหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไร ฉันจึงรีบบอกเพื่อนๆ ให้ช่วยกันร้องหาเถียน
พี่ๆ พวกหนุ่มๆ สาวๆ เห็นดังนั้นก็เริ่มหันมาช่วยกันหาเถียน ต่างตะโกนหากันให้วุ่น ถามว่ามีใครเห็นว่าเถียนแอบขึ้นจากน้ำไปก่อนหรือไม่
ฉันวิ่งไปดูกางเกงและเสื้อที่เราถอดกันไว้ ปรากฏว่าของเถียนยังกองอยู่ข้างๆ ของฉันเรียบร้อยทุกตัว
จึงเกิดการโกลาหลขึ้น พร้อมกับเสียงบ่นระคนเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงบางคน พี่ๆ เรียกพวกเราขึ้นจากน้ำหมดทุกคน ผู้ใหญ่ๆ ต่างพากันลงไปงมตามริมน้ำ ตามร่องน้ำช่วงที่เว้าเป็นแอ่ง หาเท่าไรก็ไม่พบ แม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่รู้เรื่องรีบจุดกระบอง (ไต้) และถือไฟฉายมาช่วยกันค้นหาด้วยเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว บางคนก็ใช้แหและอวนออกมาเหวี่ยงหาและลากดูก็ไม่พบ...
ตอนผู้ใหญ่ช่วยกันค้นหานั้น พวกเราเด็กๆ ถูกไล่ขึ้นมานับเรียงลำดูปรากฏว่าขาดเถียนเพียงคนเดียวจริงๆ เสียงร้องไห้เริ่มจะแพร่ออกไปทุกที โดยเฉพาะแม่และพี่สาวของเถียน
พ่อของเถียนซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซักไซ้ไล่เลียงเราทุกคน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทคือฉันเอง ซึ่งตอบไปร้องไห้สะอื้นไปด้วย
ทุกคนกระซิบกระซาบไม่กล้าพูดแรงๆ ว่า เถียนคงถูก “เงือก” พาไปแล้ว
ตั้งแต่ผู้ใหญ่เฝ้าค้นหาด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นย่ำค่ำกลางคืนอยู่ ๒ วันเต็มๆ ก็ไม่ปรากฏร่างของเถียน
พอวันที่ ๓ ก็มีคนเห็นซากของเถียนลอยอยู่ใกล้ๆ หาดที่พวกเราเล่นน้ำอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ใหญ่ไม่ยอมให้เราไปดูเป็นอันขาด ได้ยินแต่ว่า ศพของเถียนลอยอืดเท่ากับคนเสียชีวิต ๓ วันไม่มีผิด
แม่ของเถียนไม่กินข้าวกินปลาหลายวันป่วยแทบแย่ ส่วนพ่อของเถียนกำชับแม่ของฉันว่า ห้ามฉันลงเล่นน้ำโขงตั้งแต่นั้นมา...
จนฉันเกือบจมน้ำตายตอนสอบวิชาลูกเสือเมื่อเรียนชั้นมัธยม เพราะแม่ไม่ให้ลงเล่นน้ำโขง จึงไม่มีโอกาสว่ายน้ำแข็งเหมือนคนอื่น...
ทุกวันนี้ฉันนึกถึงเรื่องและหน้าของเพื่อนคนอื่นไม่ออกเลย แต่จำเรื่องของเถียนได้ไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ!
ผลงานอื่นๆ ของ อารากิ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ อารากิ
ความคิดเห็น