คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ให้อภัยผมนะ
ตอนที่ 17
ให้อภัยผมนะ
หลังจากได้คำแนะนำให้มาง้อพี่รหัสตัวเอง ผมก็ชั่งใจอยู่นานครับว่าจะเอายังไงดี ไม่ใช่ผมไม่อยากคืนดีกับพี่ปูนนะ แต่แบบว่าผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงน่ะสิครับ เฮ้อ
“ทำไงดีวะ” ผมเลยหันไปถามคนที่น่าจะให้ไอเดียดี ๆ กับผมได้อย่างไอ้แมวส้ม
“ซื้อของไปง้อไหม”
“แล้วจะให้กูซื้ออะไร”
“ก็พี่เขาชอบกินอะไรก็ซื้ออันนั้น”
“แล้วพี่เขาชอบกินอะไรล่ะ”
“กูจะรู้กับมึงไหมเนี่ย นั่นพี่รหัสมึงนะ”
เออเนาะ ไอ้แมวส้มพูดมันก็มีเหตุผล ว่าแต่ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพี่ปูนชอบกินเค้กสตรอว์เบอร์รี ไอ้อันที่ซื้อมาให้ผมกินบ่อย ๆ มันเค้กร้านไหนวะ?
“แถวไหนมีร้านเค้กมั่งวะ?”
“ก็เยอะแยะ พวกร้านกาแฟก็มีขาย”
“ไม่เอาเค้กทั่วไปดิขอเจ้าอร่อยๆ”
“งั้นกูแนะนำร้านเด็ดให้ แถวหน้ามอถัดจากร้านชานมไข่มุกไปหน่อยมีคาเฟ่เบเกอรี่เจ้าอร่อยอยู่”
“จริงอ่ะ แล้วมีเค้กสตรอว์เบอร์รีไหม”
“น่าจะมีมั้ง มึงลองไปดูดิ”
“เออเค ขอบใจมากมึง”
ผมเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อเค้กตามคำแนะนำ แต่ไอ้การ์ฟิลด์กลับรั้งผมไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไร?”
“ฝากซื้อบราวนี่กล่องหนึ่งดิ”
“ได้ทีใช้กูเลยดิ”
“เขาเรียกไหว้วาน ไหน ๆ มึงก็ไปแล้วไง”
“ไม่ต้องมาทำตาอ้อน ใช้กับกูไม่ได้ผล”
“โธ่ มึงเห็นแก่เพื่อนตาดำที่กำลังหิวคนนี้หน่อยเถอะ”
“มึงยังจะหิวอีกเหรอวะ เพิ่งแดกข้าวมันไก่ไปสองจาน”
“เออน่ะ กูยังไม่อิ่ม อีกอย่างบราวน์นี่ร้านนั้นอร่อยโคตร~”
“เออ ไม่ต้องมาทำเสียงสองเซ้าซี้กูเดี๋ยวซื้อมาให้โอเคไหม?”
“โอเคเลยครับเพื่อน”
ไอ้แมวส้มโบกมือส่งผมด้วยท่าทีแช่มชื่น ดูเหมือนคำแนะนำของมันจะเป็นอุบายหลอกให้ผมไปซื้อบราวนี่ให้มันซะละมั้งเนี่ย
ผมขี่รถไปหน้ามอ สายตากวาดหาร้านที่ไอ้ฟิลด์บอกและก็เจอครับ ร้านเบเกอรี่นี้เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ถัดจากร้านชานมไปราว ๆสองช่วงตึกได้ ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็ส่งเสียงใสต้อนรับ ผมก็เดินไปสั่งบราวนี่ให้ไอ้ฟิลด์และถามว่าที่ร้านพอจะมีเค้กสตรอว์เบอร์รีบ้างไหม
แต่น่าเสียดายครับเพราะที่ร้านนี่จะขายพวกขนมปังเป็นหลักซะส่วนใหญ่ จะมีก็แค่บัตเตอร์เค้กกับบราวนี่เท่านั้น ผมเลยเปลี่ยนใจซื้อบราวนี่มาแทน พอคิดเงินเสร็จสรรพผมก็รีบเดินออกจากร้านขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้ามอเพื่อเอาส่วนของไอ้แมวส้มไปให้มันและเก็บตัง ส่วนของอีกคนที่ผมต้องไปตามตัวให้เจอ ผมก็พอจะรู้ครับว่าต้องไปตามหาที่ไหนแต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่พร้อมยังไงไม่รู้สิครับ
เวลาล่วงเลยมาจนราว ๆ ห้าโมงครึ่ง ผมถือถุงใส่บราวน์นี่ยืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาพยายามเพ่งมองหาร่างสูงของเดือนคณะที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะโผล่มาไหม รอไปรอมา ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหมต้องไลน์ไปถามไอ้ฐานทัพครับ
ขมิ้น (ชู) ชัน: วันนี้พี่ปูนมาปะ?
Base_K: ไม่เห็นว่ะ ว่าแต่มึงจะทำไม
แหมไอ้นี่ตอบเฉยๆ ไม่ได้ต้องมีถามต่อนะ
ผมกำลังพิมพ์ตอบมันไปว่ามีธุระนิดหน่อยแต่ยังไม่ทันจะพิมพ์คำแรกจบ ไอ้ฐานมันก็โทรไลน์มาหาผมเลยครับ
“จะโทรมาเพื่อ”
‘ก็กูอยากรู้ว่ามึงถามหาพี่เขาทำไม’
“กูก็แค่…อยากเจอ”
‘แล้วทำไมต้องอยากเจอ’
“ไม่ต้องเสือกครับคุณเพื่อน”
‘อ้าว ก็เพื่อนอยากเสือก’
“มึงว่างมากรึไงวะ ไม่มีซ้อมเดินเหรอ”
‘กูซ้อมจนกูโปรแล้ว หลับตาเดินยังได้’
“ไม่ต้องมาโม้ กูไม่อยากฟังโว้ย สรุปเห็นพี่ปูนมั่งปะ”
‘ไม่เห็น’
“งั้นกูวางแล้ว แค่นี้นะไม่ได้ช่วยห่าอะไรกูเลย”
‘เดี๋ยวดิใจเย็น’
“อะไรอีก”
‘เห็นว่าพวกไอ้วาชวนพี่ปูนไปกินเหล้า’
“กินเหล้า? เดี๋ยวก่อนนะพวกไอ้ทิวามันอายุถึงแล้วเหรอ?”
‘ก็ยัง เลยชวนไปกินที่บ้านสิงหาแทน’
“พ่อแม่ไม่ด่ารึไงวะนั่น”
‘พ่อแม่มันไปต่างประเทศไม่มีคนอยู่บ้านหรอก’
“เป็นลูกที่ดีจริง ๆ พาเพื่อนฝูงมาก๊งเหล้าเนี่ย”
‘ธรรมดาพวกมันก็แบบนี้’ ไอ้ฐานพูดพลางถอนหายใจ เหมือนมันจะรู้จักพวกทิวาดีว่าเป็นยังไง
‘เอาไงจะให้กูโทรบอกไอ้สิงหาให้ไหมว่ามึงจะไปแจมด้วย’
“เฮ้ยๆ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปขอแจม”
‘แต่มึงอยากเจอพี่ปูนไม่ใช่เหรอ ก็ไปดิพวกมันไม่ว่าหรอก’
พวกไอ้ทิวาไอ้สิงหาน่ะผมไม่ห่วง ผมห่วงคนที่ผมอยากไปเจอมากกว่า
เชี่ยแม่ง เอาไงดีวะ…
‘งั้นเดี๋ยวกูให้ทิวามารับมึงละกัน มึงก็เลิกเป็นเทพารักษ์พิทักษ์ต้นไม้แล้วออกมาได้แล้ว กูเห็นมึงมาตั้งนานละโว้ยไม่ต้องแอบ’
อ้าว นี่ผมหลบไม่เนียนเหรอครับ หรือต้องโทษที่ต้นไม้นี่มันเล็กไปจนบังตัวผมไม่มิด
ในเมื่อถูกไอ้ฐานจับไต๋ได้ ผมเลยต้องเดินหน้าจ๋อยมาหามันที่ยืนกอดอกรออยู่อย่างกับผู้ปกครองมารอรับลูกชายเดินออกจากห้องปกครอง
“ไงมึง สำนึกแล้วดิ” มันพูดพร้อมมองมาที่ถุงบราวน์นี่ของผม อ่า นี่พวกทิวาคงเล่าให้มันฟังแล้วสินะถึงได้ทำหน้าเป็นนกรู้แบบนี้
“ไม่ต้องมาซ้ำเติมกูเลยนะสัตว์”
“มึงรู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว รีบไปง้อพี่เขาด้วย โกรธมึงตายห่าล่ะมั่งนั่น”
“พี่เขาโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ไม่รู้ดิ แต่ใครก็เข้าหน้าพี่แกไม่ติดสักคน ดุอย่างกับหมีกินผึ้ง”
อ่า…ทำไมผมรู้สึกว่าแผนง้อของผมมันน่าจะไม่ได้ผลนะ TOT
“มึงอยากพึ่งท้อดิ ยังไม่ทันง้อพี่เขาเลย”
“ก็ดูมึงพูดซะ”
“กูก็พูดไปงั้นแหละ มึงอย่าคิดมาก กูไลน์ไปบอกไอ้วามันและ เดี๋ยวมันบอกกล้ามันจะขับรถมารับมึงไปบ้านสิงหาพร้อมกัน”
“มึงไปด้วยกันไหม” ผมเริ่มหาพวก รู้สึกเกร็งแปลกๆ ที่ต้องไปคนเดียว
“กูว่างไหมล่ะ”
“งั้นมึงว่างให้กูหน่อยดิ”
“ได้ก็เหี้ยล่ะ อาทิตย์หน้าก็ประกวดแล้วไหม”
“ง่ะ T^T”
“มึงไม่ต้องห่วง พวกไอ้วาจะดูแลมึงเอง” ไอ้ฐานตบบ่าผมให้กำลังใจ จากนั้นไม่นานรถยนต์สีบรอนซ์เทาคันงามก็ขับเข้ามาเพื่อรับตัวผม
“ขึ้นมาเลย” หมื่นไมล์ที่นั่งข้างคนขับโบกมือยิ้มรับ ขณะเดียวกันทิวาที่นั่งมาข้างหลังก็เปิดประตูเชื้อเชิญผมขึ้นรถ
แม่งอย่างกับแก๊งมาเฟียเลยว่ะ พอเข้ามาประตูก็ปิดลงและผมก็อยู่ท่ามกลางพวกเด็กวิศวะที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มกันแปลกๆ
“พวกมึงทำหน้าตาโคตรน่ากลัวรู้ตัวปะ”
“ไม่หรอกมึงอะคิดมาก” ไอ้วาตบบ่าผมดังอัก ดูยังไงก็มีพิรุธชัดๆ
“อย่ามองกันแบบนี้ดิ นี่พวกกูช่วยมึงง้อพี่ปูนเขาเลยนะเว้ย”
“กูว่ากูง้อคนเดียวดีกว่า”
“คนเดียวมันจะดีกว่าหลายหัวได้ไงล่ะจริงไหม ไปเว้ยไอ้กล้าออกรถ”
“จัดไปครับเพื่อน”
แล้วกล้าหาญก็ขับรถบึ่งออกไปโดยที่ผมตกอยู่ในกำมือของพวกแก๊งเด็กวิศวะที่ดูจะไม่ชอบมาพากลแบบแปลกๆ
ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีกล้าหาญก็ขับรถมาถึงบ้านหลังใหญ่ซึ่งเจ้าของบ้านอย่างสิงหาก็ยืนรอเปิดประตูต้อนรับอย่างดิบดี
“เชิญตามสบายเลยคิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง” ไอ้วาเป็นคนแรกที่เดินล้วงกระเป๋าลงมาจากรถ
“กูต่างหากที่ควรพูดคำนั้นโว้ยไอ้เหี้ยวา”
“เอาน่า บ้านมึงก็เหมือนบ้านกู มีหลังคา มีหน้าต่าง มีประตู”
สิงหาถอนใจพรืดเหมือนระอาเต็มที่กับมุกกวนตีนของทิวา
“อย่ามัวแต่คุยไร้สาระ ว่าแต่ไอ้สิงหาพี่ปูนมารึยัง” หมื่นไมล์เข้ามาแทรกกลางบทสนทนา
“มานานแล้ว แดกเหล้ารอพวกมึงจนจะหมดขวดอยู่แล้วมั้งน่ะ”
“มึงก็อย่าเวอร์ พวกกูไม่ได้มาสายขนาดนั้นซะหน่อย” กล้าหาญที่เป็นคนขับรถรีบท้วง
“ไม่สายบ้านมึงสิไอ้กล้า นี่เลทมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะสัตว์ ปล่อยให้กูรอ”
“เออกูขอโทษ”
“ไม่ให้อภัยไอ้สัตว์” แล้วสิงหาก็เดินหนีเข้าไปในบ้าน ฝั่งกล้าหาญก็รีบเดินตามไปทันที ผมมองการกระทำของสองคนนั้นแล้วก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“พวกมันสองคนก็แบบนี้แหละ กูเห็นมาตั้งแต่ประถมจนเบื่อ” หมื่นไมล์พูดพลางทำหน้าเหยเก
“ไปเหอะเข้าไปข้างในกัน พี่รหัสมึงป่านนี้นั่งรอจนรากงอกแล้วมั้ง" ทิวาลากตัวผมให้เดินดุ่มๆ ตามพวกสิงหาเข้าไปในบ้าน
พอเข้ามาในบ้านสิงหา ผมก็ต้องอึ้งกับความใหญ่โตกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ไม่ว่าจะมองยังไงนี่มันก็บ้านคนรวยชัดๆ มีบาร์ในบ้านด้วยอ่ะคิดดูสิครับ
“พ่อสิงหาเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์น่ะ หมู่บ้านจัดสรรที่กูอยู่ก็ของกิจการพ่อมัน”
“ไมล์อยู่บ้านจัดสรรเหรอ”
“ใช่ ก็ได้ไอ้สิงหาแนะนำมานั่นแหละเลยได้ที่ทำเลดีที่สุดของหมู่บ้านด้วย”
“งั้นก็ดีเลยดิ”
“ก็ดีแหละ แต่ไม่ดีตรงเพื่อนข้างบ้าน”
“อ้าวทำไมล่ะ”
“อย่าให้กูเล่าเลยเดี๋ยวยาว นู่นคนที่มึงอยากจะคุยด้วยควรจะเป็นคนนู้นมากกว่ากูนะ”
หมื่นไมล์ชี้ไปที่ร่างสูงที่กำลังนั่งจิบเหล้าอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ เหมือนพี่ปูนจะยังไม่รู้ว่ามีผมมาร่วมแจมปาร์ตี้นี้ด้วยอีกคน
ผมแอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“กูว่ากูมาใหม่วันหลังดีกว่า” ผมเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ไอ้ทิวาที่ไม่รู้โผล่มาตอนไหนก็รีบเข้าชาร์ต ลากตัวผมมาหาพี่ปูนถึงที่
“พี่ๆ มีคนอยากเจอ อะนี่ฝากพี่ไว้ก่อนนะ”
แล้วไอ้ทิวาทิ้งผมไว้กับพี่ปูนแล้วตัวเองก็รีบลากหมื่นไมล์ชิ่งหนีไปไหนก็ไม่รู้
อ้าวฉิบหาย! เล่นทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ!?
ผมที่ไม่รู้จะทำตัวยังไงก็ได้แต่ยืนค้างเป็นรูปปั้นอยู่ที่เดิม คนที่นั่งอยู่ก็ดูจะไม่ทักทายหรือสงสัยอะไรเลยว่าผมนั้นมานี่ได้ยังไง
…
บรรยากาศตอนนี้แม่งโคตรน่าอึดอัดเลยครับ เหมือนคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกับแก้วดังกังวานเป็นระยะ ๆ ผมเองก็เหลือบตามอง คนตัวสูงก็ยังคงนั่งจิบเหล้าอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับว่ารอให้ผมเป็นฝ่ายพูดก่อน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าพูดออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
“พี่ปูน” ผมเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเรียกชื่อ และผลลัพธ์ที่ได้คือมือที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจิบหยุดชะงัก
ผมจึงค่อยๆ พูดต่อ
“คือผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“…”
“พี่ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไรนะ คือ…ผมแค่อยากมาขอโทษที่พูดไม่ดีกับพี่วันนั้น”
“…”
“ผมรู้ว่าผมมันปากไม่ค่อยดี พูดอะไรไม่รู้จักคิด”
“…”
“พี่อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ”
…เงียบฉี่ นี่สรุปว่าผมง้อไม่สำเร็จงั้นเหรอครับ หรือต้องขอโทษใหม่เอาแบบให้ได้ยินชัดๆ
“พี่ครับผมขอโทษ พี่ได้ยินผมไหมเนี่ย พะ…”
“กูได้ยินนานแล้ว” พี่ปูนหันขวับมองจ้องผมด้วยสีหน้าที่อ่านยากมากว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
“งั้นถ้าพี่ได้ยินแล้ว…” ผมเม้มปากปากแน่น ก่อนจะทำเสียงอ่อนขอความเมตตา “ให้อภัยผมนะ”
…
ฮึก ทำไมพี่ปูนแกเอาแต่จ้องหน้าผมวะเนี่ย สรุปคือไม่หายโกรธจริงเหรอ T ^ T
“พี่ปูน อย่าโกรธผมเลยนะครับ ผมผิดไปแล้วจริง ๆ ที่ปากไม่ดี”
“กูก็ยังไม่ได้พูดนี่ว่าโกรธมึง”
หะ?
“พะ พี่ไม่ได้โกรธผมเหรอ?”
“ตอนแรกโกรธ”
ฮึก ทำไมต้องทำหน้าดุด้วยวะใจบ่ดี T - T
“แต่ตอนนี้หายละ ก็มึงมาขอโทษกูแล้วนี่”
“พี่ไม่โกรธผมจริง ๆ แล้วแน่นนะ” คือผมไม่อยากเชื่ออะ อะไรจะหายโกรธง่ายปานนี้ ผมนึกว่าต้องลงไปคุกเข่าขอขมาตามด้วยก้มกราบอีกสามรอบพี่เขาถึงจะยอมยกโทษให้ซะอีก
“กูหายโกรธแล้วไม่ดีรึไง หรืออยากให้กูโกรธ?”
“มะ ไม่ล่ะครับพี่ไม่โกรธน่ะดีแล้ว”
“ก็แค่นี้ ทีหลังพูดอะไรระวังปากด้วย”
“ครับ”
“เพราะว่ากูไม่อยากได้ยินอีก”
ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาพี่ปูนด้วยความรู้สึกแคลงใจในประโยคกำกวมเมื่อตะกี้นี้ แต่พี่ปูนกลับให้ความสนใจมาที่บราวนี่ในมือของผมแทน
“แล้วนั่นน่ะซื้อมาง้อกูใช่ไหม”
“อ่า ก็ใช่ครับ”
“ก็เอามาดิ”
ผมเลยส่งถุงบราวนี่ไปให้แบบงงๆ พี่ปูนดูท่าจะไม่สนใจหยิบบราวน์นี่ที่ผมซื้อขึ้นมาเปิดกล่องใช้ส้อมตักกินก่อนจะหันมาคอมเมนท์
“หวานไปหน่อย แต่ก็อร่อยดี” พี่ปูนว่าแล้วตักบราวน์นี่กินต่อเหมือนคนกำลังหิว
“กินไหม”
“มะ ไม่ล่ะครับ”
“งั้นกูกินหมดแล้วนะ”
ครับพี่เชิญตามสบายเลยครับ ว่าแต่พี่ไปอดอยากปากแห้งจากที่ไหนมาครับเนี่ย บ้านไอ้สิงหามันไม่มีข้าวให้พี่กินหรือยังไงกันวะครับ?
...
หลังจากฟาดบราวนี่ของผมไปจนหมดเกลี้ยงพี่ปูนก็บอกว่าจะไปส่งผม และลากตัวผมออกมาจากบ้านสิงหาโดยไม่คิดจะบอกกล่าวเจ้าบ้านสักคำ
“เดินออกมากันเฉยๆ แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ”
“ไม่หรอก กูมาบ้านไอ้สิงหามันบ่อย พ่อมันกับพ่อกูสนิทกัน”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง
“ว่าแต่พี่จะให้ผม…ซ้อน?” ผมมองพี่ปูนที่กำลังขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์สีดำคันงาม
“ให้เกาะล้อไปมั้งถามมาได้”
“เดี๋ยวๆ แต่เมื่อกี้พี่ดื่ม จะขี่รถได้ไง”
“กูแดกไปแค่แก้วเดียว จะไปเมาเหี้ยอะไร”
“ถึงงั้นก็เถอะ”
“กูไม่ได้เมา”
แต่พี่โคตรทำตัวแปลกเหมือนคนเมาเลย อย่างอาสาไปส่งผมนี่แหละ
“เร็วดิจะไปไม่ไปเดี๋ยวกูก็ทิ้งไว้ให้เก็บซากพวกขี้เมานั่นหรอก”
ผมหันไปมองในบ้าน ที่มีเสียงโหวกเหวกมันตั้งแต่เมื่อตะกี้นี้แล้ว เหมือนพวกทิวากำลังเมากันได้ที่ เล่นเปิดเพลงดังกระหึ่มชนิดที่เรียกว่าไม่เกรงใจข้างบ้านกันเลยทีเดียว
“แล้วปล่อยไว้แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?”
ผมล่ะชักเป็นกังวลขึ้นมาแล้วดิ
“มึงไม่ต้องไปห่วงพวกมันหรอก หมื่นไมล์มันรู้หน้าที่ กล้ามันก็กินแต่พอดี ส่วนไอ้สองตัวที่ชอบเมาแอ๋เดี๋ยวเพื่อนมันก็ดูแลกันเองแหละ”
“เหรอครับ”
“เออ ทีนี้มึงจะไปกับกูได้ยัง”
พี่ปูนสตาร์ทรถ บิดเบิ้ลเครื่องเสียงดังเร่งให้ผมรีบๆ สวมหมวกกันน็อกและขึ้นมาซ้อนท้ายสักที ผมก็เลยลุกลี้ลุกลนปีนขึ้นมานั่ง พอขึ้นมานั่งบนเบาะสูงได้แล้วผมก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง
“พี่ที่จับอยู่ตรงไหน”
คือรถบิ๊กไบค์มันทั้งใหญ่ทั้งสูง ยิ่งเบาะคนซ้อนยิ่งยกระดับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่
“ไม่มีที่จับหรอก”
“อ้าว งี้ผมก็ตกอะดิถ้าพี่ขี่เร็วๆ”
“ก็เกาะเอวคนขี่ดิวะ”
“…” ผมนิ่งอึ้งไปชั่ววูบ รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้
“ไม่เกาะ มึงหงายหลังกูไม่รับผิดชอบนะ” พี่ปูนเร่งเครื่องเสียงดังจนผมตกใจรีบโผเข้ากอดหมับโดยอัตโนมัติ
“เกาะแล้วครับเกาะแล้ว!”
“ก็แค่นี้”
จากนั้นบิ๊กไบค์คันงามก็พุ่งทะยานออกไปโดยมีผมเกาะเอวพี่ปูนเป็นลูกลิงพร้อมหลับตาปี๋
ไอ้ฉิบหาย พี่เขาขี่เร็วจังวะ!
***
P’Poon’Part
ผมมานั่งกินเหล้าตามคำชวนของไอ้สิงหารุ่นน้องผมสมัยเรียนมัธยมต้นด้วยกัน ทีแรกผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรที่มันชวนผมหรอก ผมกับไอ้สิงหาก็สนิทกันมากพอควรเพราะพ่อผมกับพ่อมันทำธุรกิจด้วยกันอยู่บ่อยๆ คือพ่อผมทำธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างครับ ส่วนพ่อไอ้สิงหาเป็นนายทุนที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างโครงการหมู่บ้านจัดสรรเป็นต้น ก็เลยได้เจอหน้ามันอยู่บ่อยๆ ครับ
ทีนี้มาเข้าประเด็นที่ผมเริ่มเอะใจกันดีกว่า นั่นคือผมมาถึงบ้านไอ้สิงหาคนแรก คนเดียวโดดๆ มาถึงก็งงว่าทำไมมีแค่ผมไหนมันบอกว่าพวกไอ้ทิวาก็จะมากินด้วย ผมเลยถามไอ้สิงหาไปมันก็ตอบเหมือนบ่ายเบี่ยงแล้วให้ผมนั่งรอไปก่อน
ผมก็ชงเหล้ากินแก้วหนึ่ง ค่อยๆ จิบไปอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นผมก็หมั่นดูเวลาว่าเมื่อไหร่ไอ้พวกนั้นจะมากันสักที นั่งรอไปรอมาผมก็เริ่มหมดความอดทนเลยหันไปเรียกไอ้สิงหามาถามให้รู้เรื่องว่านี่พวกแม่งเล่นพิเรนทร์อะไร นัดมาเวลาไหนทำไมถึงไม่เห็นหัวใครสักคน
ไอ้สิงหามันก็บอกว่าที่พวกไอ้ทิวามาช้า นั่นเพราะต้องแวะไปรับใครบางคน และใครบางคนที่ว่านั่นมันก็...ดันกลายเป็นไอ้ลูกหมาได้ยังไงก็ไม่รู้ครับ
เฮ้อ ตกลงไอ้พวกนี้แม่งเล่นเชี่ยอะไรกันวะ แม่งก็น่าจะรู้อยู่ว่าผมกำลังมีความขุ่นข้องหมองใจกับไอ้น้องรหัสนี่อยู่ แล้วแม่งจะพามันมาหาผมทำไม?
แต่ความข้องใจของผมก็ถูกไขกระจ่างในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา สีหน้าละห้อยบวกน้ำเสียงเศร้าๆ ของไอ้ลูกหมาทำให้ผมเดาได้ว่ามันคงจะมาขอโทษ ตอนแรกผมก็นิ่งฟัง ในใจก็ยังเคืองๆ มันอยู่นั่นแหละครับ แต่พอได้ยินเสียงอ้อนออดขอให้ผมให้อภัยจู่ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีมันก็ดันมลายหายไปซะดื้อๆ
จะว่าไงดีล่ะ โกรธไม่ลงแฮะมันอุตส่าห์มาพูดถึงขนาดนี้ ผมก็เลยกลบเกลื่อนโดยการบอกมันไปว่าผมนั้นไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนฉกของฝากที่มันซื้อมาง้อมาแกะกินเพื่อเป็นการถนอมน้ำใจคนซื้อ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบพวกช็อกโกแลตสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ ผมก็กินของที่มันซื้อมาง้อผมจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นผมก็มองดูเวลาที่มันค่อนข้างจะเริ่มดึกมากแล้ว ผมจึงอาสาไปส่งไอ้ลูกหมาเอง เพราะถ้าผมไม่ไปส่งมีหวังไอ้ลูกหมาได้นอนค้างบ้านไอ้สิงหาแน่ๆ พวกนั้นแม่งบางทีก็ดื่มกันหนัก ผมไม่ค่อยอยากเสี่ยงทิ้งมันไว้กับพวกขี้เมาด้วย
ผมขี่บิ๊กไบค์ออกจากบ้านไอ้สิงหามาตอนสี่ทุ่มครึ่ง ด้วยการจราจรที่ค่อนข้างโล่งผมจึงบิดเร่งความเร็วพอสมควรเพื่อทำเวลา ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ถึงแขนที่รัดเอวผมแน่นพร้อมกับไออุ่นจากคนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง
“กลัวตกเหรอไง” ผมตะโกนฝ่าเสียงลมไปถาม ไอ้ลูกหมาก็รีบตอบกลับมาทันทีว่า “ไม่กลัวก็บ้าแล้ว!”
หึ ไม่นึกว่าคนอย่างมันจะกลัวอะไรแบบนี้ มันดูเหมือนคนที่ไม่กลัวอะไรเลย
“พี่ขี่ช้า ๆ ก็ได้ ไม่ต้องรีบ!”
“แต่พอดีกูรีบ” ผมตัดบทแล้วบิดเร่งความเร็วขึ้นอีก คนที่นั่งซ้อนท้ายก็ร้องโหยหวนกอดเอวผมแน่นใหญ่เลย
เออว่ะ แกล้งมันนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน
***
ผมก้าวลงมาจากบิ๊กไบค์แล้วก็จริงแต่ขานี่ยังสั่นพั่บๆ อยู่เลย ให้ตายดิพี่ปูนแม่งต้องจงใจขี่เร็วเพื่อแกล้งผมชัวร์ คงไม่มีคนบ้าที่ไหนบิดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อมาส่งผมที่มหา’ลัยหรอก
“ขอบคุณครับพี่ที่มาส่ง เดี๋ยวผมขี่รถกลับหอแล้ว”
“มึงขี่ไว้ไหมเนี่ย ไม่ใช่ขี่ลงข้างทางนะเว้ย”
“ถ้าผมขี่ลงข้างทางก็ความผิดพี่นั่นแหละ”
“เหรอ แอดมิดโรงบาลไหนก็บอกละกันเดี๋ยวไปเยี่ยม”
“กวนตีนว่ะพี่”
“มึงเพิ่งรู้รึไง”
เพิ่งรู้อะไรล่ะ รู้นานแล้วต่างหาก
“งั้นผมกลับหอแล้วนะ”
“เออ”
ผมขี่คร่อมมอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อก ในระหว่างที่ผมกำลังสตาร์ทรถ เสียงทุ้มก็พูดขึ้นมาอีกว่า
"ขี่กลับดี ๆ ล่ะ อย่าไปลงข้างทางที่ไหนเข้าละกัน"
"ผมขี่ดีอยู่แล้วแหละน่า" ผมตอบกลับไป ในอกรู้สึกอุ่นวาบไปหมด เสมือนดวงอาทิตย์ทั้งดวงกำลังโอบกอดหัวใจผม
"ขอบคุณนะครับ"
"มึงจะมาขอบคุณอะไรกู"
"ก็หลายๆ อย่างที่พี่ทำให้ผม"
“…” คนตัวสูงนิ่งเงียบไปพร้อมกับเสมองไปทางอื่น
“ฮั่นแน่ นี่พี่เขินเหรอ”
“เขินพ่อง”
“แค่แซวเล่นไม่เห็นต้องทำตาดุใส่เลย”
“กูไม่ได้ทำตาดุ”
“ก็ตาพี่ดุจริงๆ นี่ เนี่ยอย่างกับโกรธใครมา”
“จะโกรธมึงเนี่ยแหละถ้ามึงไม่รีบกลับหอ”
“เป็นห่วงผมเหรอ”
“ใครเขาจะห่วงมึง”
นั่นแน่ะ ทำไมตอนพูดต้องหลบตาผมด้วย ยายผมเคยพูดเอาไว้ว่าเวลาคนพูดจาไม่ยอมสบตาแสดงว่ากำลังโกหก
“ยิ้มเหี้ยอะไร”
“ใครยิ้ม ไม่มี๊”
“อย่ามาตอแหล กูเห็นมึงยิ้มอยู่คาตา”
“พี่คิดไปเองมั้ง” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วรีบบิดมอเตอร์ไซค์หนีกลับหอทันที โดยพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
จะไม่ให้ผมยิ้มได้ยังไงล่ะ ก็พี่รหัสใครไม่รู้กำลังแอบทำตัวน่ารัก :)
---------------------------------------------------
สวัสดีค่า หายไปนานเลยขอโทษนะคะ T^T
ความคิดเห็น