ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #17 : ให้อภัยผมนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.06K
      74
      22 ก.พ. 64

     

     

    ตอนที่ 17

    ให้อภัยผมนะ

     

     

    หลังจากได้คำแนะนำให้มาง้อพี่รหัสตัวเอง ผมก็ชั่งใจอยู่นานครับว่าจะเอายังไงดี ไม่ใช่ผมไม่อยากคืนดีกับพี่ปูนนะ แต่แบบว่าผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงน่ะสิครับ เฮ้อ

    “ทำไงดีวะ” ผมเลยหันไปถามคนที่น่าจะให้ไอเดียดี ๆ กับผมได้อย่างไอ้แมวส้ม

    “ซื้อของไปง้อไหม”

    “แล้วจะให้กูซื้ออะไร”

    “ก็พี่เขาชอบกินอะไรก็ซื้ออันนั้น”

    “แล้วพี่เขาชอบกินอะไรล่ะ”

    “กูจะรู้กับมึงไหมเนี่ย นั่นพี่รหัสมึงนะ”

    เออเนาะ ไอ้แมวส้มพูดมันก็มีเหตุผล ว่าแต่ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพี่ปูนชอบกินเค้กสตรอว์เบอร์รี ไอ้อันที่ซื้อมาให้ผมกินบ่อย ๆ มันเค้กร้านไหนวะ?

    “แถวไหนมีร้านเค้กมั่งวะ?”

    “ก็เยอะแยะ พวกร้านกาแฟก็มีขาย”

    “ไม่เอาเค้กทั่วไปดิขอเจ้าอร่อยๆ”

    “งั้นกูแนะนำร้านเด็ดให้ แถวหน้ามอถัดจากร้านชานมไข่มุกไปหน่อยมีคาเฟ่เบเกอรี่เจ้าอร่อยอยู่”

    “จริงอ่ะ แล้วมีเค้กสตรอว์เบอร์รีไหม”

    “น่าจะมีมั้ง มึงลองไปดูดิ”

    “เออเค ขอบใจมากมึง”

    ผมเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อเค้กตามคำแนะนำ แต่ไอ้การ์ฟิลด์กลับรั้งผมไว้ก่อน

    “เดี๋ยวก่อน”

    “อะไร?”

    “ฝากซื้อบราวนี่กล่องหนึ่งดิ”

    “ได้ทีใช้กูเลยดิ”

    “เขาเรียกไหว้วาน ไหน ๆ มึงก็ไปแล้วไง” 

    “ไม่ต้องมาทำตาอ้อน ใช้กับกูไม่ได้ผล”

    “โธ่ มึงเห็นแก่เพื่อนตาดำที่กำลังหิวคนนี้หน่อยเถอะ”

    “มึงยังจะหิวอีกเหรอวะ เพิ่งแดกข้าวมันไก่ไปสองจาน”

    “เออน่ะ กูยังไม่อิ่ม อีกอย่างบราวน์นี่ร้านนั้นอร่อยโคตร~”

    “เออ ไม่ต้องมาทำเสียงสองเซ้าซี้กูเดี๋ยวซื้อมาให้โอเคไหม?”

    “โอเคเลยครับเพื่อน”

    ไอ้แมวส้มโบกมือส่งผมด้วยท่าทีแช่มชื่น ดูเหมือนคำแนะนำของมันจะเป็นอุบายหลอกให้ผมไปซื้อบราวนี่ให้มันซะละมั้งเนี่ย

     

    ผมขี่รถไปหน้ามอ สายตากวาดหาร้านที่ไอ้ฟิลด์บอกและก็เจอครับ ร้านเบเกอรี่นี้เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ถัดจากร้านชานมไปราว ๆสองช่วงตึกได้ ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็ส่งเสียงใสต้อนรับ ผมก็เดินไปสั่งบราวนี่ให้ไอ้ฟิลด์และถามว่าที่ร้านพอจะมีเค้กสตรอว์เบอร์รีบ้างไหม

    แต่น่าเสียดายครับเพราะที่ร้านนี่จะขายพวกขนมปังเป็นหลักซะส่วนใหญ่ จะมีก็แค่บัตเตอร์เค้กกับบราวนี่เท่านั้น ผมเลยเปลี่ยนใจซื้อบราวนี่มาแทน พอคิดเงินเสร็จสรรพผมก็รีบเดินออกจากร้านขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้ามอเพื่อเอาส่วนของไอ้แมวส้มไปให้มันและเก็บตัง ส่วนของอีกคนที่ผมต้องไปตามตัวให้เจอ ผมก็พอจะรู้ครับว่าต้องไปตามหาที่ไหนแต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่พร้อมยังไงไม่รู้สิครับ

    เวลาล่วงเลยมาจนราว ๆ ห้าโมงครึ่ง ผมถือถุงใส่บราวน์นี่ยืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาพยายามเพ่งมองหาร่างสูงของเดือนคณะที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะโผล่มาไหม รอไปรอมา ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหมต้องไลน์ไปถามไอ้ฐานทัพครับ

     

    ขมิ้น (ชู) ชัน: วันนี้พี่ปูนมาปะ?

    Base_K: ไม่เห็นว่ะ ว่าแต่มึงจะทำไม

     

    แหมไอ้นี่ตอบเฉยๆ ไม่ได้ต้องมีถามต่อนะ

    ผมกำลังพิมพ์ตอบมันไปว่ามีธุระนิดหน่อยแต่ยังไม่ทันจะพิมพ์คำแรกจบ ไอ้ฐานมันก็โทรไลน์มาหาผมเลยครับ

    “จะโทรมาเพื่อ”

    ‘ก็กูอยากรู้ว่ามึงถามหาพี่เขาทำไม’

    “กูก็แค่…อยากเจอ”

    ‘แล้วทำไมต้องอยากเจอ’

    “ไม่ต้องเสือกครับคุณเพื่อน”

    ‘อ้าว ก็เพื่อนอยากเสือก’

    “มึงว่างมากรึไงวะ ไม่มีซ้อมเดินเหรอ”

    ‘กูซ้อมจนกูโปรแล้ว หลับตาเดินยังได้’

    “ไม่ต้องมาโม้ กูไม่อยากฟังโว้ย สรุปเห็นพี่ปูนมั่งปะ”

    ‘ไม่เห็น’

    “งั้นกูวางแล้ว แค่นี้นะไม่ได้ช่วยห่าอะไรกูเลย”

    ‘เดี๋ยวดิใจเย็น’

    “อะไรอีก”

    ‘เห็นว่าพวกไอ้วาชวนพี่ปูนไปกินเหล้า’

    “กินเหล้า? เดี๋ยวก่อนนะพวกไอ้ทิวามันอายุถึงแล้วเหรอ?”

    ‘ก็ยัง เลยชวนไปกินที่บ้านสิงหาแทน’

    “พ่อแม่ไม่ด่ารึไงวะนั่น”

    ‘พ่อแม่มันไปต่างประเทศไม่มีคนอยู่บ้านหรอก’

    “เป็นลูกที่ดีจริง ๆ พาเพื่อนฝูงมาก๊งเหล้าเนี่ย”

    ‘ธรรมดาพวกมันก็แบบนี้’ ไอ้ฐานพูดพลางถอนหายใจ เหมือนมันจะรู้จักพวกทิวาดีว่าเป็นยังไง

    ‘เอาไงจะให้กูโทรบอกไอ้สิงหาให้ไหมว่ามึงจะไปแจมด้วย’

    “เฮ้ยๆ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปขอแจม”

    ‘แต่มึงอยากเจอพี่ปูนไม่ใช่เหรอ ก็ไปดิพวกมันไม่ว่าหรอก’

    พวกไอ้ทิวาไอ้สิงหาน่ะผมไม่ห่วง ผมห่วงคนที่ผมอยากไปเจอมากกว่า

    เชี่ยแม่ง เอาไงดีวะ…

    ‘งั้นเดี๋ยวกูให้ทิวามารับมึงละกัน มึงก็เลิกเป็นเทพารักษ์พิทักษ์ต้นไม้แล้วออกมาได้แล้ว กูเห็นมึงมาตั้งนานละโว้ยไม่ต้องแอบ’

    อ้าว นี่ผมหลบไม่เนียนเหรอครับ หรือต้องโทษที่ต้นไม้นี่มันเล็กไปจนบังตัวผมไม่มิด

    ในเมื่อถูกไอ้ฐานจับไต๋ได้ ผมเลยต้องเดินหน้าจ๋อยมาหามันที่ยืนกอดอกรออยู่อย่างกับผู้ปกครองมารอรับลูกชายเดินออกจากห้องปกครอง

    “ไงมึง สำนึกแล้วดิ” มันพูดพร้อมมองมาที่ถุงบราวน์นี่ของผม อ่า นี่พวกทิวาคงเล่าให้มันฟังแล้วสินะถึงได้ทำหน้าเป็นนกรู้แบบนี้

    “ไม่ต้องมาซ้ำเติมกูเลยนะสัตว์”

    “มึงรู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว รีบไปง้อพี่เขาด้วย โกรธมึงตายห่าล่ะมั่งนั่น”

    “พี่เขาโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “ก็ไม่รู้ดิ แต่ใครก็เข้าหน้าพี่แกไม่ติดสักคน ดุอย่างกับหมีกินผึ้ง”

    อ่า…ทำไมผมรู้สึกว่าแผนง้อของผมมันน่าจะไม่ได้ผลนะ TOT

    “มึงอยากพึ่งท้อดิ ยังไม่ทันง้อพี่เขาเลย”

    “ก็ดูมึงพูดซะ”

    “กูก็พูดไปงั้นแหละ มึงอย่าคิดมาก กูไลน์ไปบอกไอ้วามันและ เดี๋ยวมันบอกกล้ามันจะขับรถมารับมึงไปบ้านสิงหาพร้อมกัน”

    “มึงไปด้วยกันไหม” ผมเริ่มหาพวก รู้สึกเกร็งแปลกๆ ที่ต้องไปคนเดียว

    “กูว่างไหมล่ะ”

    “งั้นมึงว่างให้กูหน่อยดิ”

    “ได้ก็เหี้ยล่ะ อาทิตย์หน้าก็ประกวดแล้วไหม”

    “ง่ะ T^T”

    “มึงไม่ต้องห่วง พวกไอ้วาจะดูแลมึงเอง” ไอ้ฐานตบบ่าผมให้กำลังใจ จากนั้นไม่นานรถยนต์สีบรอนซ์เทาคันงามก็ขับเข้ามาเพื่อรับตัวผม

    “ขึ้นมาเลย” หมื่นไมล์ที่นั่งข้างคนขับโบกมือยิ้มรับ ขณะเดียวกันทิวาที่นั่งมาข้างหลังก็เปิดประตูเชื้อเชิญผมขึ้นรถ

    แม่งอย่างกับแก๊งมาเฟียเลยว่ะ พอเข้ามาประตูก็ปิดลงและผมก็อยู่ท่ามกลางพวกเด็กวิศวะที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มกันแปลกๆ

    “พวกมึงทำหน้าตาโคตรน่ากลัวรู้ตัวปะ”

    “ไม่หรอกมึงอะคิดมาก” ไอ้วาตบบ่าผมดังอัก ดูยังไงก็มีพิรุธชัดๆ

    “อย่ามองกันแบบนี้ดิ นี่พวกกูช่วยมึงง้อพี่ปูนเขาเลยนะเว้ย”

    “กูว่ากูง้อคนเดียวดีกว่า”

    “คนเดียวมันจะดีกว่าหลายหัวได้ไงล่ะจริงไหม ไปเว้ยไอ้กล้าออกรถ”

    “จัดไปครับเพื่อน”

    แล้วกล้าหาญก็ขับรถบึ่งออกไปโดยที่ผมตกอยู่ในกำมือของพวกแก๊งเด็กวิศวะที่ดูจะไม่ชอบมาพากลแบบแปลกๆ

     

    ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีกล้าหาญก็ขับรถมาถึงบ้านหลังใหญ่ซึ่งเจ้าของบ้านอย่างสิงหาก็ยืนรอเปิดประตูต้อนรับอย่างดิบดี

    “เชิญตามสบายเลยคิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง” ไอ้วาเป็นคนแรกที่เดินล้วงกระเป๋าลงมาจากรถ

    “กูต่างหากที่ควรพูดคำนั้นโว้ยไอ้เหี้ยวา”

    “เอาน่า บ้านมึงก็เหมือนบ้านกู มีหลังคา มีหน้าต่าง มีประตู”

    สิงหาถอนใจพรืดเหมือนระอาเต็มที่กับมุกกวนตีนของทิวา

    “อย่ามัวแต่คุยไร้สาระ ว่าแต่ไอ้สิงหาพี่ปูนมารึยัง” หมื่นไมล์เข้ามาแทรกกลางบทสนทนา

    “มานานแล้ว แดกเหล้ารอพวกมึงจนจะหมดขวดอยู่แล้วมั้งน่ะ”

    “มึงก็อย่าเวอร์ พวกกูไม่ได้มาสายขนาดนั้นซะหน่อย” กล้าหาญที่เป็นคนขับรถรีบท้วง

    “ไม่สายบ้านมึงสิไอ้กล้า นี่เลทมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะสัตว์ ปล่อยให้กูรอ”

    “เออกูขอโทษ”

    “ไม่ให้อภัยไอ้สัตว์” แล้วสิงหาก็เดินหนีเข้าไปในบ้าน ฝั่งกล้าหาญก็รีบเดินตามไปทันที ผมมองการกระทำของสองคนนั้นแล้วก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

    “พวกมันสองคนก็แบบนี้แหละ กูเห็นมาตั้งแต่ประถมจนเบื่อ” หมื่นไมล์พูดพลางทำหน้าเหยเก

    “ไปเหอะเข้าไปข้างในกัน พี่รหัสมึงป่านนี้นั่งรอจนรากงอกแล้วมั้ง" ทิวาลากตัวผมให้เดินดุ่มๆ ตามพวกสิงหาเข้าไปในบ้าน

     

    พอเข้ามาในบ้านสิงหา ผมก็ต้องอึ้งกับความใหญ่โตกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ไม่ว่าจะมองยังไงนี่มันก็บ้านคนรวยชัดๆ มีบาร์ในบ้านด้วยอ่ะคิดดูสิครับ

    “พ่อสิงหาเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์น่ะ หมู่บ้านจัดสรรที่กูอยู่ก็ของกิจการพ่อมัน”

    “ไมล์อยู่บ้านจัดสรรเหรอ”

    “ใช่ ก็ได้ไอ้สิงหาแนะนำมานั่นแหละเลยได้ที่ทำเลดีที่สุดของหมู่บ้านด้วย”

    “งั้นก็ดีเลยดิ”

    “ก็ดีแหละ แต่ไม่ดีตรงเพื่อนข้างบ้าน”

    “อ้าวทำไมล่ะ”

    “อย่าให้กูเล่าเลยเดี๋ยวยาว นู่นคนที่มึงอยากจะคุยด้วยควรจะเป็นคนนู้นมากกว่ากูนะ”

    หมื่นไมล์ชี้ไปที่ร่างสูงที่กำลังนั่งจิบเหล้าอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ เหมือนพี่ปูนจะยังไม่รู้ว่ามีผมมาร่วมแจมปาร์ตี้นี้ด้วยอีกคน

    ผมแอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “กูว่ากูมาใหม่วันหลังดีกว่า” ผมเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ไอ้ทิวาที่ไม่รู้โผล่มาตอนไหนก็รีบเข้าชาร์ต ลากตัวผมมาหาพี่ปูนถึงที่

    “พี่ๆ มีคนอยากเจอ อะนี่ฝากพี่ไว้ก่อนนะ”

    แล้วไอ้ทิวาทิ้งผมไว้กับพี่ปูนแล้วตัวเองก็รีบลากหมื่นไมล์ชิ่งหนีไปไหนก็ไม่รู้

    อ้าวฉิบหาย! เล่นทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ!?

    ผมที่ไม่รู้จะทำตัวยังไงก็ได้แต่ยืนค้างเป็นรูปปั้นอยู่ที่เดิม คนที่นั่งอยู่ก็ดูจะไม่ทักทายหรือสงสัยอะไรเลยว่าผมนั้นมานี่ได้ยังไง

    บรรยากาศตอนนี้แม่งโคตรน่าอึดอัดเลยครับ เหมือนคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

    เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกับแก้วดังกังวานเป็นระยะ ๆ ผมเองก็เหลือบตามอง คนตัวสูงก็ยังคงนั่งจิบเหล้าอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับว่ารอให้ผมเป็นฝ่ายพูดก่อน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าพูดออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

    “พี่ปูน” ผมเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเรียกชื่อ และผลลัพธ์ที่ได้คือมือที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจิบหยุดชะงัก

    ผมจึงค่อยๆ พูดต่อ

    “คือผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

    “…”

    “พี่ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไรนะ คือ…ผมแค่อยากมาขอโทษที่พูดไม่ดีกับพี่วันนั้น”

    “…”

    “ผมรู้ว่าผมมันปากไม่ค่อยดี พูดอะไรไม่รู้จักคิด”

    “…”

    “พี่อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ”

    …เงียบฉี่ นี่สรุปว่าผมง้อไม่สำเร็จงั้นเหรอครับ หรือต้องขอโทษใหม่เอาแบบให้ได้ยินชัดๆ

    “พี่ครับผมขอโทษ พี่ได้ยินผมไหมเนี่ย พะ…”

    “กูได้ยินนานแล้ว” พี่ปูนหันขวับมองจ้องผมด้วยสีหน้าที่อ่านยากมากว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

    “งั้นถ้าพี่ได้ยินแล้ว…” ผมเม้มปากปากแน่น ก่อนจะทำเสียงอ่อนขอความเมตตา “ให้อภัยผมนะ”

    ฮึก ทำไมพี่ปูนแกเอาแต่จ้องหน้าผมวะเนี่ย สรุปคือไม่หายโกรธจริงเหรอ T ^ T

    “พี่ปูน อย่าโกรธผมเลยนะครับ ผมผิดไปแล้วจริง ๆ ที่ปากไม่ดี”

    “กูก็ยังไม่ได้พูดนี่ว่าโกรธมึง”

    หะ?

    “พะ พี่ไม่ได้โกรธผมเหรอ?”

    “ตอนแรกโกรธ”

    ฮึก ทำไมต้องทำหน้าดุด้วยวะใจบ่ดี T - T

    “แต่ตอนนี้หายละ ก็มึงมาขอโทษกูแล้วนี่”

    “พี่ไม่โกรธผมจริง ๆ แล้วแน่นนะ” คือผมไม่อยากเชื่ออะ อะไรจะหายโกรธง่ายปานนี้ ผมนึกว่าต้องลงไปคุกเข่าขอขมาตามด้วยก้มกราบอีกสามรอบพี่เขาถึงจะยอมยกโทษให้ซะอีก

    “กูหายโกรธแล้วไม่ดีรึไง หรืออยากให้กูโกรธ?”

    “มะ ไม่ล่ะครับพี่ไม่โกรธน่ะดีแล้ว”

    “ก็แค่นี้ ทีหลังพูดอะไรระวังปากด้วย”

    “ครับ” 

    “เพราะว่ากูไม่อยากได้ยินอีก”

    ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาพี่ปูนด้วยความรู้สึกแคลงใจในประโยคกำกวมเมื่อตะกี้นี้ แต่พี่ปูนกลับให้ความสนใจมาที่บราวนี่ในมือของผมแทน

    “แล้วนั่นน่ะซื้อมาง้อกูใช่ไหม”

    “อ่า ก็ใช่ครับ”

    “ก็เอามาดิ”

    ผมเลยส่งถุงบราวนี่ไปให้แบบงงๆ พี่ปูนดูท่าจะไม่สนใจหยิบบราวน์นี่ที่ผมซื้อขึ้นมาเปิดกล่องใช้ส้อมตักกินก่อนจะหันมาคอมเมนท์

    “หวานไปหน่อย แต่ก็อร่อยดี” พี่ปูนว่าแล้วตักบราวน์นี่กินต่อเหมือนคนกำลังหิว

    “กินไหม”

    “มะ ไม่ล่ะครับ”

    “งั้นกูกินหมดแล้วนะ”

    ครับพี่เชิญตามสบายเลยครับ ว่าแต่พี่ไปอดอยากปากแห้งจากที่ไหนมาครับเนี่ย บ้านไอ้สิงหามันไม่มีข้าวให้พี่กินหรือยังไงกันวะครับ?

    ...

    หลังจากฟาดบราวนี่ของผมไปจนหมดเกลี้ยงพี่ปูนก็บอกว่าจะไปส่งผม และลากตัวผมออกมาจากบ้านสิงหาโดยไม่คิดจะบอกกล่าวเจ้าบ้านสักคำ

    “เดินออกมากันเฉยๆ แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ”

    “ไม่หรอก กูมาบ้านไอ้สิงหามันบ่อย พ่อมันกับพ่อกูสนิทกัน”

    อ้อ อย่างนี้นี่เอง

    “ว่าแต่พี่จะให้ผม…ซ้อน?” ผมมองพี่ปูนที่กำลังขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์สีดำคันงาม

    “ให้เกาะล้อไปมั้งถามมาได้”

    “เดี๋ยวๆ แต่เมื่อกี้พี่ดื่ม จะขี่รถได้ไง”

    “กูแดกไปแค่แก้วเดียว จะไปเมาเหี้ยอะไร”

    “ถึงงั้นก็เถอะ”

    “กูไม่ได้เมา”

    แต่พี่โคตรทำตัวแปลกเหมือนคนเมาเลย อย่างอาสาไปส่งผมนี่แหละ

    “เร็วดิจะไปไม่ไปเดี๋ยวกูก็ทิ้งไว้ให้เก็บซากพวกขี้เมานั่นหรอก”

    ผมหันไปมองในบ้าน ที่มีเสียงโหวกเหวกมันตั้งแต่เมื่อตะกี้นี้แล้ว เหมือนพวกทิวากำลังเมากันได้ที่ เล่นเปิดเพลงดังกระหึ่มชนิดที่เรียกว่าไม่เกรงใจข้างบ้านกันเลยทีเดียว

    “แล้วปล่อยไว้แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?”

    ผมล่ะชักเป็นกังวลขึ้นมาแล้วดิ

    “มึงไม่ต้องไปห่วงพวกมันหรอก หมื่นไมล์มันรู้หน้าที่ กล้ามันก็กินแต่พอดี ส่วนไอ้สองตัวที่ชอบเมาแอ๋เดี๋ยวเพื่อนมันก็ดูแลกันเองแหละ”

    “เหรอครับ”

    “เออ ทีนี้มึงจะไปกับกูได้ยัง”

    พี่ปูนสตาร์ทรถ บิดเบิ้ลเครื่องเสียงดังเร่งให้ผมรีบๆ สวมหมวกกันน็อกและขึ้นมาซ้อนท้ายสักที ผมก็เลยลุกลี้ลุกลนปีนขึ้นมานั่ง พอขึ้นมานั่งบนเบาะสูงได้แล้วผมก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง

    “พี่ที่จับอยู่ตรงไหน”

    คือรถบิ๊กไบค์มันทั้งใหญ่ทั้งสูง ยิ่งเบาะคนซ้อนยิ่งยกระดับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่

    “ไม่มีที่จับหรอก”

    “อ้าว งี้ผมก็ตกอะดิถ้าพี่ขี่เร็วๆ”

    “ก็เกาะเอวคนขี่ดิวะ”

    “…” ผมนิ่งอึ้งไปชั่ววูบ รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้

    “ไม่เกาะ มึงหงายหลังกูไม่รับผิดชอบนะ” พี่ปูนเร่งเครื่องเสียงดังจนผมตกใจรีบโผเข้ากอดหมับโดยอัตโนมัติ

    “เกาะแล้วครับเกาะแล้ว!”

    “ก็แค่นี้”

    จากนั้นบิ๊กไบค์คันงามก็พุ่งทะยานออกไปโดยมีผมเกาะเอวพี่ปูนเป็นลูกลิงพร้อมหลับตาปี๋

    ไอ้ฉิบหาย พี่เขาขี่เร็วจังวะ!

     

    ***

     

    P’Poon’Part

     

    ผมมานั่งกินเหล้าตามคำชวนของไอ้สิงหารุ่นน้องผมสมัยเรียนมัธยมต้นด้วยกัน ทีแรกผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรที่มันชวนผมหรอก ผมกับไอ้สิงหาก็สนิทกันมากพอควรเพราะพ่อผมกับพ่อมันทำธุรกิจด้วยกันอยู่บ่อยๆ คือพ่อผมทำธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างครับ ส่วนพ่อไอ้สิงหาเป็นนายทุนที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างโครงการหมู่บ้านจัดสรรเป็นต้น ก็เลยได้เจอหน้ามันอยู่บ่อยๆ ครับ

    ทีนี้มาเข้าประเด็นที่ผมเริ่มเอะใจกันดีกว่า นั่นคือผมมาถึงบ้านไอ้สิงหาคนแรก คนเดียวโดดๆ มาถึงก็งงว่าทำไมมีแค่ผมไหนมันบอกว่าพวกไอ้ทิวาก็จะมากินด้วย ผมเลยถามไอ้สิงหาไปมันก็ตอบเหมือนบ่ายเบี่ยงแล้วให้ผมนั่งรอไปก่อน

    ผมก็ชงเหล้ากินแก้วหนึ่ง ค่อยๆ จิบไปอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นผมก็หมั่นดูเวลาว่าเมื่อไหร่ไอ้พวกนั้นจะมากันสักที นั่งรอไปรอมาผมก็เริ่มหมดความอดทนเลยหันไปเรียกไอ้สิงหามาถามให้รู้เรื่องว่านี่พวกแม่งเล่นพิเรนทร์อะไร นัดมาเวลาไหนทำไมถึงไม่เห็นหัวใครสักคน

    ไอ้สิงหามันก็บอกว่าที่พวกไอ้ทิวามาช้า นั่นเพราะต้องแวะไปรับใครบางคน และใครบางคนที่ว่านั่นมันก็...ดันกลายเป็นไอ้ลูกหมาได้ยังไงก็ไม่รู้ครับ

    เฮ้อ ตกลงไอ้พวกนี้แม่งเล่นเชี่ยอะไรกันวะ แม่งก็น่าจะรู้อยู่ว่าผมกำลังมีความขุ่นข้องหมองใจกับไอ้น้องรหัสนี่อยู่ แล้วแม่งจะพามันมาหาผมทำไม?

    แต่ความข้องใจของผมก็ถูกไขกระจ่างในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา สีหน้าละห้อยบวกน้ำเสียงเศร้าๆ ของไอ้ลูกหมาทำให้ผมเดาได้ว่ามันคงจะมาขอโทษ ตอนแรกผมก็นิ่งฟัง ในใจก็ยังเคืองๆ มันอยู่นั่นแหละครับ แต่พอได้ยินเสียงอ้อนออดขอให้ผมให้อภัยจู่ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีมันก็ดันมลายหายไปซะดื้อๆ

    จะว่าไงดีล่ะ โกรธไม่ลงแฮะมันอุตส่าห์มาพูดถึงขนาดนี้ ผมก็เลยกลบเกลื่อนโดยการบอกมันไปว่าผมนั้นไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนฉกของฝากที่มันซื้อมาง้อมาแกะกินเพื่อเป็นการถนอมน้ำใจคนซื้อ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบพวกช็อกโกแลตสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ ผมก็กินของที่มันซื้อมาง้อผมจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นผมก็มองดูเวลาที่มันค่อนข้างจะเริ่มดึกมากแล้ว ผมจึงอาสาไปส่งไอ้ลูกหมาเอง เพราะถ้าผมไม่ไปส่งมีหวังไอ้ลูกหมาได้นอนค้างบ้านไอ้สิงหาแน่ๆ พวกนั้นแม่งบางทีก็ดื่มกันหนัก ผมไม่ค่อยอยากเสี่ยงทิ้งมันไว้กับพวกขี้เมาด้วย

     

     

    ผมขี่บิ๊กไบค์ออกจากบ้านไอ้สิงหามาตอนสี่ทุ่มครึ่ง ด้วยการจราจรที่ค่อนข้างโล่งผมจึงบิดเร่งความเร็วพอสมควรเพื่อทำเวลา ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ถึงแขนที่รัดเอวผมแน่นพร้อมกับไออุ่นจากคนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง

    “กลัวตกเหรอไง” ผมตะโกนฝ่าเสียงลมไปถาม ไอ้ลูกหมาก็รีบตอบกลับมาทันทีว่า “ไม่กลัวก็บ้าแล้ว!”

    หึ ไม่นึกว่าคนอย่างมันจะกลัวอะไรแบบนี้ มันดูเหมือนคนที่ไม่กลัวอะไรเลย

    “พี่ขี่ช้า ๆ ก็ได้ ไม่ต้องรีบ!”

    “แต่พอดีกูรีบ” ผมตัดบทแล้วบิดเร่งความเร็วขึ้นอีก คนที่นั่งซ้อนท้ายก็ร้องโหยหวนกอดเอวผมแน่นใหญ่เลย

    เออว่ะ แกล้งมันนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน

     

    ***

     

    ผมก้าวลงมาจากบิ๊กไบค์แล้วก็จริงแต่ขานี่ยังสั่นพั่บๆ อยู่เลย ให้ตายดิพี่ปูนแม่งต้องจงใจขี่เร็วเพื่อแกล้งผมชัวร์ คงไม่มีคนบ้าที่ไหนบิดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อมาส่งผมที่มหา’ลัยหรอก

    “ขอบคุณครับพี่ที่มาส่ง เดี๋ยวผมขี่รถกลับหอแล้ว”

    “มึงขี่ไว้ไหมเนี่ย ไม่ใช่ขี่ลงข้างทางนะเว้ย”

    “ถ้าผมขี่ลงข้างทางก็ความผิดพี่นั่นแหละ”

    “เหรอ แอดมิดโรงบาลไหนก็บอกละกันเดี๋ยวไปเยี่ยม”

    “กวนตีนว่ะพี่”

    “มึงเพิ่งรู้รึไง”

    เพิ่งรู้อะไรล่ะ รู้นานแล้วต่างหาก

    “งั้นผมกลับหอแล้วนะ”

    “เออ”

    ผมขี่คร่อมมอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อก ในระหว่างที่ผมกำลังสตาร์ทรถ เสียงทุ้มก็พูดขึ้นมาอีกว่า

    "ขี่กลับดี ๆ ล่ะ อย่าไปลงข้างทางที่ไหนเข้าละกัน"

    "ผมขี่ดีอยู่แล้วแหละน่า" ผมตอบกลับไป ในอกรู้สึกอุ่นวาบไปหมด เสมือนดวงอาทิตย์ทั้งดวงกำลังโอบกอดหัวใจผม

    "ขอบคุณนะครับ"

    "มึงจะมาขอบคุณอะไรกู"

    "ก็หลายๆ อย่างที่พี่ทำให้ผม"

    “…” คนตัวสูงนิ่งเงียบไปพร้อมกับเสมองไปทางอื่น

    “ฮั่นแน่ นี่พี่เขินเหรอ”

    “เขินพ่อง”

    “แค่แซวเล่นไม่เห็นต้องทำตาดุใส่เลย”

    “กูไม่ได้ทำตาดุ”

    “ก็ตาพี่ดุจริงๆ นี่ เนี่ยอย่างกับโกรธใครมา”

    “จะโกรธมึงเนี่ยแหละถ้ามึงไม่รีบกลับหอ”

    “เป็นห่วงผมเหรอ”

    “ใครเขาจะห่วงมึง”

    นั่นแน่ะ ทำไมตอนพูดต้องหลบตาผมด้วย ยายผมเคยพูดเอาไว้ว่าเวลาคนพูดจาไม่ยอมสบตาแสดงว่ากำลังโกหก

    “ยิ้มเหี้ยอะไร”

    “ใครยิ้ม ไม่มี๊”

    “อย่ามาตอแหล กูเห็นมึงยิ้มอยู่คาตา”

    “พี่คิดไปเองมั้ง” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วรีบบิดมอเตอร์ไซค์หนีกลับหอทันที โดยพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ

    จะไม่ให้ผมยิ้มได้ยังไงล่ะ ก็พี่รหัสใครไม่รู้กำลังแอบทำตัวน่ารัก :)

     

     

    ---------------------------------------------------

    สวัสดีค่า หายไปนานเลยขอโทษนะคะ T^T

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×