ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #16 : คำพูด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.29K
      87
      2 ก.พ. 64

     

     

    ตอนที่ 16

     คำพูด

     

     

    พอเดินลงจากรถได้ฐานทัพมาได้สักพัก โทรศัพท์ผมก็มีสายเรียกเข้ามาพอดี และเมื่อเห็นรายชื่อคนที่โทรเข้ามาผมก็รู้สึกมืดมนขึ้นมาทันที คือผมไม่อยากรับสายนี้เลยจริงๆ แต่ขืนผมไม่ยอมรับสายเชื่อเถอะว่าคนคนนั้นต้องโทรจิกผมไม่ยอมเลิก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำใจก่อนกดรับสายในที่สุด

    “สวัสดีครับคุณไพศาล” ผมกล่าวทักทายผู้ที่มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงของผม

    ‘กว่าจะรับสายได้ มัวไปทำอะไรอยู่ล่ะ’ น้ำเสียงห้วนพูดสะบัดเหมือนคนกำลังไม่สบอารมณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะปกติพ่อเลี้ยงของผมก็ไม่ใช่คนที่ใจดีสักเท่าไหร่ ยิ่งกับผมที่ไม่ชอบขี้หน้ายิ่งแล้วใหญ่

    “ขอโทษครับพอดีผมติดธุระนิดหน่อยครับ ว่าแต่คุณไพศาลมีอะไรหรือเปล่าครับถึงโทรมา”

    ‘อาทิตย์หน้าน้อยจะลางานไปเยี่ยมแกกับยายที่บ้านรู้รึยัง’ น้อยที่คุณไพศาลพูดถึงคือแม่แท้ๆ ของผมเองครับ ว่าแต่เมื่อกี้ว่าไงนะแม่จะมาเยี่ยมผมเหรอ?

    ผมรู้สึกดีใจมากจนแทบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้ แม่น้อยจะมาหา! นี่เกือบครึ่งปีแล้วที่ผมไม่ได้พบหน้าแม่เลย นี่มันถือว่าเป็นข่าวดีมาก ๆ ว่าแต่ทำไมแม่น้อยถึงไม่โทรมาบอกนะ? และความสงสัยของผมก็กระจ่างด้วยประโยคถัดมา

    ‘งั้นก็ดี แกบอกน้อยไปนะว่าแกกับยายสบายดีไม่ต้องมาเยี่ยมหรอก’

    “อ้าว ทำไมล่ะครับก็…”

    ‘อาทิตย์หน้าสุดเขตมีสอบสำคัญ ฉันอยากให้น้อยไปส่งสุดเขตเข้าสอบ’

    สุดเขตที่ว่าคือน้องชายต่างพ่อของผมครับ อายุเราก็ห่างกันพอสมควรสุดเขตกำลังจะขึ้นชั้นม.4 และพ่อเลี้ยงของผมเขาก็รักลูกชายคนนี้ของเขามาก

    ‘ยังไงซะการสอบของสุดเขตก็สำคัญกว่า หวังว่าแกจะให้ความร่วมมือนะ’

    “...” ผมเงียบไม่รู้จะตอบออกไปว่ายังไงดี 

    ‘ฮัลโหลนี่แกได้ยินที่ฉันพูดไหม’

    “ครับ…ผมจะพูดตามที่บอกครับ” ผมรู้สึกเหมือนเสียงของตัวเองเบาโหวง ความผิดหวังความเสียใจมันประเดประดังขึ้นมาจนจุกอกไปหมด ผมอยากเจอแม่ แต่ผมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมมีสิทธิ์อะไรจะไปเรียกร้องกันล่ะก็ผมน่ะก็แค่ลูกติดไม่ใช่รึไง

    ‘ดี แล้วแกถ้าไม่เดือดร้อนอะไรมากก็พยายามอย่ามาขอเงินน้อยเพิ่มล่ะ ช่วงนี้สุดเขตต้องสอบหลายที่ใช้เงินเยอะ’

    “ครับ ทราบแล้วครับ” ผมตอบรับกลับไปเหมือนอย่างที่ผ่านมา ก่อนปลายสายจะตัดไปดื้อๆ โดยไม่มีคำกล่าวลา 

    ผมถอนใจพรืดแล้วทรุดตัวลงนั่ง แม้คุณไพศาลจะวางสายไปแล้วแต่ไอ้ประโยคเชิงเหน็บแนมว่าผมสำคัญไม่เท่าสุดเขตมันก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและโคตรเจ็บเลยสำหรับคนที่เป็นได้แค่ส่วนเกินอย่างผม 

    อ่า อย่าไม่นึกถึงมันเลยจะดีกว่า เจ็บปวดใจเปล่าๆ ผมตบหน้าตัวเองเรียกสติ จากนั้นกะจะลุกขึ้นเดินไปหาพวกพี่จีจี้กับไอ้ฐานทัพ แต่พอหันหลังกลับมาผมดันพบเข้ากับร่างสูงที่ยืนกอดอกเอาไหล่พิงกำแพงจ้องมองผมอยู่

    “มานั่งตากยุงทำอะไรอยู่ตรงนี้”

    “พี่มาได้ไงน่ะ”

    “กูถามว่ามึงมานั่งทำอะไรตรงนี่ มืดก็มืด ยุงก็เยอะ”

    “เอ่อ ผมแค่มาคุยโทรศัพท์”

    “งั้นทีหลังมึงก็ไปคุยในที่ที่มันหลบยุงหน่อย กลัวอายุยืนเกินไปรึยังไง”

    “นี่พี่แช่งผมอายุสั้นเหรอ”

    “กูไม่ได้แช่ง แต่ถ้ามึงมัวแต่ยืนเป็นสภากาชาดบริจาคเลือดให้ยุงแดกบ่อย ๆก็ไม่แน่”

    “จิกกัดโคตรเก่ง”

    “กูไม่ได้จิก กูเป็นห่วง”

    “…” โอ้ ผมนี่ไปต่อไปถูกเลย อยู่ ๆ มาพูดแบบนี้ใครบ้างจะไม่คิด

    “แล้วยันจะมายืนทื่ออยู่อีก มานี่” พี่ปูนดึงแขนผมให้เดินตามพี่เขาไป

    “พี่จะพาผมไปไหน”

    “หลบยุงอ่ะดิ ถามได้” พี่ปูนลากตัวผมไปที่ลานใต้ตึกซึ่งพี่จีจี้ยืมสถานที่ใช้ซ้อมการเดินประกวด พอมาถึงพี่ปูนก็สั่งให้ผมนั่งดูไอ้ฐานเดินไปเดินมาส่วนตัวพี่เขานั้นก็เดินไปหาพวกพี่บีบี หลังจากนั้นก็เดินกลับมาหาผมพร้อมกับ...ยาทากันยุง

    “เอ้า ทาซะยุงจะได้ไม่กัด”

    “ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณเสียงแผ่ว ไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยที่จู่ๆ พี่ปูนก็มาทำตัวใจดีแบบนี้กับผม

    แต่เอ๊ะ หรือพี่เขาทำตัวใจดีมานานแล้วแต่ผมแค่ไม่ได้สังเกตเห็น? ผมเหลือบมองคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม

    พี่ปูนอ้าปากห้าว ขึ้นแขนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเตรียมจะเอนตัวลงนอน

    “เดี๋ยว นี่พี่จะทำอะไร”

    “นอน”

    “แต่นี่มันพื้นนะ”

    “พื้นแล้วไงก็กูจะนอน”

    “มันสกปรก”

    “ช่างแม่ง กูไม่ถือ” พี่ปูนตัดบทแค่นั้นแล้วหลับตาลงไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง หรือใครจะทำอะไรอยู่

    โคตรไม่สนโลกเลยคนอะไรเนี่ย

    ใบหน้าของเดือนนิติปีสองยามหลับ บอกได้คำเดียวว่าไม่มีอะไรน่ามองไปกว่านี้แล้ว ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ผมเพิ่งสังเกตเห็นนะว่าขนตาพี่ปูนยาวมาก นอกจากนี้ผมสีดำที่ของเจ้าตัวยังช่วยเสริมผิวที่ขาวอยู่แล้วให้ดูขาวยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟนีออน และยังจมูกโด่งกับริมฝีปากรูปกระจับสวยได้รูปนั่นอีก

    อ่า ดูน่าจับจูบแฮะ…

    เฮ้ย! เดี๋ยวนะ! นี่ผมคิดอะไรของผมอยู่วะเนี่ย!

    น่าจูบเนี่ยนะ!? บ้าแล้ว!

    ผมรีบเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองตอนนี้หน้ากำลังร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องรู้สึกเขินด้วยเนี่ย

    ไม่ๆ นี่มันไอ้พี่รหัสจอมกวนนะ มีอะไรให้น่าสนใจกัน

    อืม หรือผมควรจะกระเถิบออกไปนั่งห่างๆ ให้ไกลหูไกลตาดี? เออว่ะ น่าจะเข้าท่า

    พอตัดสินใจได้ ผมก็กำลังจะลุกหนีแต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

    “นั่นมึงจะลุกไปไหน” คนที่นอนอยู่ลืมตาโพล่งขึ้นมามองผม

    อ้าว นึกว่าหลับ

    “ไปนั่งตรงนู้นครับ”

    “ไม่ต้องไปนั่งเฝ้ากูอยู่นี่แหละ เพื่อนมึงซ้อมเสร็จแล้วปลุกกูด้วย” แล้วพี่ปูนก็ชิ่งหลับต่อ ปล่อยให้ผมนั่งคิดว่าจะเอายังไงดีจะแอบลุกออกไปหรือนั่งอยู่ต่อดี แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน นั่งเฝ้าพี่ปูนอยู่ที่เดิมนั่นแหละครับ

    เฮ้อ มานั่งดูไอ้ฐานซ้อมเดินเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อกว่าที่ผมคิด แต่เชื่อเถอะครับว่าไอ้คนที่ต้องเดินกลับไปกลับมาซ้ำคงจะเบื่อไปไม่น้อยกว่าผมแน่ ๆ

    ห้าว~

    ผมนั่งเท้าคางมองไอ้ฐานเดินไปก็เดินมาจนเริ่มรู้สึกเมื่อยลูกตาแล้ว ให้ตายดิรู้สึกว่าหนังตาแม่งหนักอึ้งเลย

    ไม่ไหวขอพักสายตาสักห้านาทีนะ =_=zZ

     

     

    ***

     

    P’Poon’Part

     

    ผมงีบหลับไปได้ราวสิบนาทีก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโหวกเหวกวี้ดว้ายกระตู้วู้อะไรกันก็ไม่รู้ แต่นั่นก็เป็นปกติอยู่แล้วที่ไหนมีพี่จีจี้กับพี่บีบีไม่มีคำว่าเงียบสงบได้หรอกครับ

    ผมชันตัวลุกขึ้นมากวาดตามอง ฝั่งพวกที่ซ้อมเดินดูเหมือนจะหยุดซ้อมกันแล้ว และไอ้สาเหตุของเสียงโหวกเหวกคงมาจากผู้ชายสี่คนที่เดินเข้ามาทักทายพวกพี่บีบี

    ผมมองเห็นหน้าไม่ค่อยชัดแต่ดูจากที่ฐานทัพมันเดินเข้าไปคุยด้วยท่าทีสนิทสนม พวกนั้นคงเป็นเด็กปีหนึ่งเพื่อนของฐานทัพมันล่ะมั้งครับ ผมที่อยากรู้ว่าไอ้แก๊งเด็กหน้าตาดีพวกนั้นเป็นใครเลยกะจะถามไอ้ลูกหมาที่นั่งอยู่ข้างๆ

    “เฮ้ย พวกนั้นน่ะ…” ผมหันไปกำลังอ้าปากถาม แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ผมกำลังจะถามมันดันนั่งสัปหงกอยู่ แถมน้ำลายยืดด้วย น่าตลกชะมัด

    ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะปลุกมันดีหรือปล่อยให้มันนั่งผงกหัวอย่างนี้ต่อไปดี เฮ้อ แต่ผมก็เลือกที่จะปลุกมันครับ ตรงนี้มันไม่ใช่ที่นอนอีกอย่างผมล่ะกลัวมันหน้าทิ่มพื้น ผมเลยเอื้อมมือไปเขย่าไหล่มันเบาๆ แล้วไอ้ลูกหมาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าตาเหวอหวาเป็นหมาตื่นตูม

    “หะ อะไร เกิดอะไรขึ้น!”

    มันหันมองซ้ายขวาแล้วหันกลับมาจ้องผมที่เป็นคนปลุกมัน ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกตัวแล้วสินะว่ามันโวยวายไปเอง

    “อ้าว พี่เองเหรอ”

    “เออกูไง รึมึงคิดว่าใคร”

    “โธ่ พี่ทำผมตกใจหมด” ไอ้ลูกหมาทำหน้าบูด มันคงเขินละมั้งครับเมื่อกี้เล่นส่งเสียงซะดังลั่นเลย

    “กูแค่ปลุกมึงเองนะ”

    “ก็ผมหลับลึกอ่ะ พี่เล่นมาปลุกผม ผมก็ตกใจอ่ะดิ”

    “คราวหลังมึงก็กลับไปนอนที่ห้อง”

    “ก็คนมันง่วงนี่ ทีพี่ยังนอนตรงนี้เลยเหอะ”

    “กูแค่งีบ”

    “งีบมันก็นอนเหมือนกันนั่นแหละ”

    “ต่อปากต่อคำเก่งนะนักมึง”

    “อยู่แล้วครับ”

    “กูไม่ได้ชม"

    “อ้าวเป็นงั้นไป”

    เฮ้อ ไอ้ลูกหมานี่กวนตีนผมได้ทุกสถานการณ์จริงๆ

    “ว่าแต่พวกนั้นใคร เพื่อนมึงเหรอ” ผมบุ้ยปากไปทางแก๊งเด็กหน้าตาดีสี่คนนั้นที่กำลังยืนคุยกับพวกพี่บีบีอย่างสนิทสนม

    “อ๋อ แก๊งเด็กวิศวะน่ะ เพื่อนโรงเรียนเดียวกันกับไอ้ฐานมัน ผมก็รู้จัก คนที่หล่อๆ ผมยาวๆ นั่นก็รูมเมทไอ้ข้าว”

    “เด็กโรงเรียนเอกชนวาโยนี่เอง”

    “พี่รู้จักด้วย”

    “กูเคยเรียนสมัยมอต้น”

    “อ้าวแล้วมอปลายพี่ย้ายโรงเรียนเหรอ”

    “เออ ย้ายกลางเทอมเลยไปเรียนโรงเรียนรัฐแถวๆ บ้าน”

    นึกถึงแล้วก็ชวนให้รู้สึกเหงาๆ นิดหน่อยครับ สมัยนั้นเพราะถูกพ่อจับย้ายโรงเรียนกลางคัน ผมที่เป็นเด็กย้ายมาใหม่จึงไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก คงนึกภาพออกใช่ไหมครับเด็กใหม่หัวเดียวกระเทียมลีบที่ปกติก็อัธยาศัยไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอไปเจอสังคมใหม่นี่ปรับตัวโคตรยาก

    แต่ช่างมันเถอะครับ ผมก็สามารถเรียนจบออกมาได้เหมือนคนอื่น ๆ เรื่องเพื่อนผมก็ไม่ค่อยจะโฟกัสมันสักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะมีปันเป็นพี่ชายที่อายุห่างกันแค่ปีเดียวผมจึงรู้สึกว่าปันเป็นทั้งพี่และเพื่อนในเวลาเดียวกัน

    “ว่าแต่มึงไปรู้จักพวกนั้นได้ไง”

    “ก็ผมเข้าชมรมเล่นไพ่ยูกิกับพวกนั้นน่ะ”

    “ชมรมอะไรนะ” ผมถามย้ำเพราะรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่า

    “ชมรมเล่นไพ่ยูกิ”

    “นี่มึงยังไม่โตสินะ”

    “อายุมันก็เป็นเพียงแค่ตัวเลข”

    “เหรอ”

    “ใช่สิ”

    “เถียงเก่ง”

    “พี่ก็เหมือนกันแหละ”

    “ว่ากูได้ไง กูรุ่นพี่มึงนะ” ผมแกล้งยีหัวมันเล่นด้วยความหมั่นไส้ เด็กอะไรพูดได้ฉอด ๆไม่รู้จักเหนื่อย

    “โอ๊ย รุ่นพี่ที่ไม่น่าเคารพสักนิดอ่ะดิ แกล้งน้องได้ไงวะ” มันโวยวายทำปากคว่ำหน้างอ

    “ก็มึงชอบกวนตีนกู”

    “พี่ก็ชอบกวนตีนผมเหมือนกันนั่นแหละ”

    “นั่นเพราะมึงเริ่มก่อน”

    “ไม่ พี่นั่นแหละเริ่มก่อน” ผมกับมันจ้องตากันโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนคิดจะยอมล่าถอย ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายซะด้วยสิ ถ้าหากยังไม่รู้ก็รู้กันไว้ซะเดี๋ยวนี้เลยนะครับว่าผมเป็นคนดื้อเงียบ

    “ตกลงนี่มึงจะไม่ยอมดี ๆ ใช่ไหม”

    “ก็ทำไมผมต้องยอมพี่ด้วยวะ”

    “เพราะกูเป็นพี่รหัสมึง”

    “พี่รหัสแบบนี้ไม่มียังดีซะกว่า”

    “…”

     โห้ไอ้สัตว์ ประโยคนี้แม่งอย่างกับโดนตบหน้าชากันไปข้าง

    “งั้นมึงจะหาพี่รหัสคนใหม่ไหมล่ะ” ผมพยายามกดเสียงให้ดูใจเย็นที่สุด ทั้งที่ความจริงแล้วผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว

    “อย่าท้านะ” แต่ไอ้ลูกหมาดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยครับว่าผมกำลังไม่พอใจในคำพูดของมัน ผมก็ยิ่งหัวร้อนน่ะสิครับ

    “กูไม่ได้ท้า กูพูดจริง”

    “เหรอครับ งั้นผมก็ทำจริงเหมือนกัน”

    “มึงกล้าเหรอ”

    “ทำไมจะไม่กล้า ค่อยดูเถอะผมหาได้ดีกว่าคนอย่างพี่ก็แล้วกัน” ไอ้ลูกหมาแลบลิ้นใส่ผมทิ้งท้ายแล้วลุกเดินหนีไป

     

     

    ***

     

    Kamint’Part

     

    วันต่อมาผมไม่ได้โผล่หน้าไปดูไอ้ฐานซ้อมเดินเลยครับ เพราะไม่อยากเจอหน้าใครบางคน

    ฮึ่ย! คิดแล้วก็โมโห ทำไมต้องมาว่าผมทำตัวเป็นเด็ก ๆ ด้วย แต่ไอ้ที่น่าโกรธคือไล่ให้ผมไปหาพี่รหัสใหม่ นี่ไม่อยากได้ผมเป็นน้องรหัสมากขนาดนั้นเลยสินะ คงรำคาญ คงเบื่อมากเลยล่ะสิ

    ได้! ผมก็ไม่อยากอยู่เป็นบ่วงคล้องคอพี่เขานักหรอก

    ผมดูดชาเขียวปั่นดังซูดจนหมดแก้วภายในไม่กี่วิ จากนั้นก็ขยำแก้วน้ำพลาสติกจะมาบี้แบบคามือ

    “ไอ้ขมิ้น นี่มึงไปโกรธเกลียดใครที่ไหนมาวะ” ไอ้ข้าวถามขึ้นอย่างหวั่นๆ

    “ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่พี่รหัสจอมกวนประสาทนั่น”

    “นี่มึงทะเลาะกับพี่ปูนอีกแล้วเหรอ” ไอ้การ์ฟิลด์ถอนหายใจดังเฮือก ต่อด้วยไอ้ฐานที่มองผมด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

    “มึงเพิ่งญาติดีกับพี่เขาได้กี่สัปดาห์วะเนี่ย”

    “ก็ให้ทำไงได้ล่ะ พี่ก็มันเริ่มก่อน”

    “พี่ปูนเริ่มหรือมึงเริ่ม”

    “กูเปล่า”

    “เห็นมึงก็เถียงอย่างนี้ทุกที กูจะบอกให้นะว่ามึงอ่ะเป็นคนประเภทไม่คิดก่อนพูด ความรู้สึกก็ช้า นี่มึงไม่รู้เหรอว่าทำให้พี่ปูนเขาโกรธ”

    “โกรธอะไร กูต่างหากที่ควรโกรธ พี่แม่งหาว่ากูยังไม่โต ไม่พอยังแกล้งกูอีก”

    “เหตุผลโคตรฟังไม่ขึ้น กูว่าที่มึงไปพูดกับพี่เขายังแรงกว่าอีก”

    “นี่พี่เขามาเล่าให้มึงฟังเหรอ”

    “เล่าห่าอะไรล่ะ วันนั้นพวกมึงเถียงกันดังป่าช้าแตก ใครบ้างไม่ได้ยิน”

    อุ่ย จริงอะ พวกผมเถียงกันดังขนาดนั้นเลยเหรอ

    “ไม่รู้ล่ะกูอยู่ข้างพี่ปูน มึงอ่ะพูดแรงไป” ไอ้ฐานแสดงจุดยืนชัดเจนมาก ผมเลยหันไปหาอีกสองคนเพื่อหาพวก แต่ไอ้สองคนนั้นกลับหนีเบือนหน้าหนีไปคนละทางประมาณว่าเรื่องนี้กูจะไม่ขอยุ่ง

    “เออได้! พวกมึงไม่เข้าข้างกูก็ไม่เป็นไร กูยืนหยัดด้วยตัวคนเดียวก็ได้!”

    ผมลุกขึ้นเดินดุ่ม ๆ ออกมา ไม่สนใจว่าไอ้ข้าวหรือไอ้ฟิลด์จะตะโกนเรียกชื่อผม หรือบอกให้ใจเย็นๆ

    ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว เพื่อนก็ไม่เข้าข้าง ทั้งยังจะลำเอียงไปฝั่งนั้นอีก มันน่าโมโหไหมล่ะครับ :(

     

                   ผมเลยหนีมากบดานที่ชมรมวงไพ่ยูกิของพวกทิวาแทน แน่นอนว่าทุกคนเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นดี คงเดาไม่ยากไอ้ฐานน่าจะเล่าให้ฟัง

    “เอาน่า ยังเพิ่งหงุดหงิดไปเลย มึงไม่ปวดคิ้วเหรอขมวดมันตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว” ทิวาพูดปลอบผม

    “ก็ทำไงได้คนมันมีเรื่องให้หงุดหงิดนี่หว่า”

    “กูเข้าใจความรู้สึกมึงนะ มีอะไรอยากพูดกับพวกกูก็พูดได้ เนี่ยพวกกูสี่คนอยู่ในดงระบบโซตัสเจอมาแย่กว่ามึงอีก”

    “ขนาดนั้นเลย?” ผมชักเริ่มอยากรู้แล้วล่ะสิครับว่าพวกนี้เจอะเจออะไรกันมาบ้าง

    “เออดิ พี่รหัสพวกกูเป็นพวกสายว้าก ทำผิดก็ด่า ไม่ผิดก็ด่า ขยับปากเป็นว้าก เสียงงี้แหลมจะทะลุแก้วหูพวกกูอยู่แล้ว” ทิวาว่าพลางติดตลก

    “ใช่ ของกูนะพี่รหัสทั้งโคตรขี้โม้เลย โคตรหลงตัวเองเลย กูละเพลีย” สิงหาว่าพลางถอนหายใจ

    “ส่วนของกูนี่เสือผู้หญิงเลยแหละ” กล้าหาญเสริมขึ้นมาบ้าง

    “ของกูนี่หนักหน่อยประธานรุ่น ระเบียบจัดฉิบหาย” และตบท้ายด้วยหมื่นไมล์ที่ดูจะเพลียจิตกับพี่รหัสของตัวเองสุดๆ

    ผมฟังแต่ละคนเล่าแล้วก็ลองนึกภาพตาม พวกนี้โชคร้ายกว่าผมเยอะ ทั้งระบบโซตัส รุ่นพี่จอมโหด การรับน้องสุดหิน และคณะวิศวะก็เข้มงวดกับอะไรพวกนี้มากซะด้วยสิ

    “บอกตามตรงพวกกูแม่งก็ไม่ได้ชอบไอ้ระบบรับน้อง พี่รหัสน้องรหัสอะไรเทือกๆ นี้นักหรอก แต่ก็นะคณะกูใครไม่เข้ารับน้องก็ไม่ได้ช็อป”

    อ๋อ เพราะอย่างนี้นี่เอง กฎเกณฑ์แกมบังคับทางอ้อมให้เข้ารับน้องสินะ

    “งั้นอย่างนี้พวกมึงไม่เข้ารับน้องก็ได้ดิ แบบยอมไม่เอารุ่น ไม่เอาช็อป”

    “ก็ได้นะ ทางคณะไม่ได้บังคับให้น้องต้องเข้าร่วมกิจกรรม เราจะไม่เข้ารับน้องก็ได้แหละ” หมื่นไมล์อธิบายให้ฟังคร่าวๆ ก่อนที่ทิวามันจะพูดโพล่งสาเหตุที่แท้จริงออกมา

    “วิศวะที่ไร้ช็อปมันก็เหมือนสิงโตไร้เขี้ยวเล็บ”

    “หะ?”

    “มันไม่เท่”

    เออ จบครับผมเข้าใจและ ที่แท้พวกมันเข้ารับน้องเพราะอยากใส่ช็อป

    “พล่ามมาซะเยอะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัญหามึงเลย เอางี้สรุปง่ายๆ นะไอ้มิ้นคือพวกกูเป็นรุ่นน้องพี่ปูนตอนเรียนม.ต้น พี่เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรในสายตาพวกกูนะ ไอ้สิงหามันเล่าว่าพี่เขาเป็นพวกเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ แต่ใจดีนะ กูเลยกล้ารับประกันเลยว่าพี่ปูนน่ะไม่ได้เกลียดอะไรมึงหรอก”

    ทิวาว่าพลางตบบ่าให้กำลังใจผม

    “พี่เขาดีกว่าที่มึงเห็นภายนอกนะเว้ย แต่กูก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะมันอยู่ที่ตัวมึงว่ามองพี่เขายังไง กูไปตัดสินความคิดของใครไม่ได้หรอก”

    ผมนิ่งเงียบแล้วเริ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างผมกับพี่ปูน มันก็จริงอยากที่ทิวามันพูดพี่ปูนมีดีกว่าที่เห็นภายนอก ทั้งใจดี ชอบช่วยเหลือ ดูแลผมมาตลอดเลยถึงพี่เขาจะไม่ได้พูดจาเพราะๆ หรือพูดดีๆ กับผมสักเท่าไหร่ แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าพี่เขาเอาใจใส่ผมขนาดไหน ผมต่างหากที่ชอบทำอะไรไม่เข้าท่า พูดจาอะไรไม่นึกถึงใจคนฟัง

    “ไอ้วากูว่ากูน่าจะเป็นคนผิดเต็มๆ ว่ะรอบนี้” ผมพูดเสียงหงอยอย่างรู้สึกผิด

    “แล้วมึงจะทำไง”

    “จะให้ทำไงได้กูก็โดนพี่เขาเกลียดขี้หน้าอะดิ”

    “ไม่หรอกน่า กูรู้จักพี่ปูนดี พี่เขาเป็นพวกแสดงออกไม่เก่ง ไม่เชื่อมึงลองไปง้อพี่เขาดูดิ”

    “ให้กูเนี่ยนะไปง้อ!”

    “ก็เออดิ พี่ปูนน่ะเป็นประเภทโกรธง่ายหายเร็ว แต่ถ้าโกรธแล้วไม่ไปง้อนี่โกรธนานแน่ กูว่า”

    คำพูดของทิวาทำให้ผมนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจเรื่องที่จะให้ผมไปง้อ

    “เอางั้นเหรอวะทิวา”

    “เอางี้แหละ”

    ทิวา หมื่นไมล์ สิงหา และกล้าหาญต่างพยักหน้าพร้อมกันประหนึ่งว่าเชียร์ให้ผมไปง้อสุดใจขาดดิ้น

    แต่ผมนี่น่ะสิครับรู้สึกไม่พร้อมยังไงก็ไม่รู้ พี่แม่งจะหายโกรธผมจริงเหรอวะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×