ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ' G A N G S T E R | hunhan ft.chanbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : G A N G S T E R - 01 | is fortuitous

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.4K
      6
      4 มี.ค. 59




    G A N G S T E R  0 1





    - is fortuitous -
    มันคือความบังเอิญ


    "....."


    "นายจะไม่พูดหรือแสดงสีหน้าว่าเจ็บหน่อยหรอ?"


    "....." 


    มีแต่ความเงียบสงัดที่สะท้อนกลับมาเท่านั้น แม้ว่าผมจะพยายามพูดคุยหรือง้างปากเขาให้พูดมากเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมาเลยสักนิด


    ถ้าเขาเป็นใบ้ผมก็เชื่อนะ...


    ตอนนี้รู้สึกอยากจะเอาหัวโขกฟุตบาทเสียให้เข็ดกับการกระทำที่ไม่คิดหน้าหลังให้ดีก่อน จริงๆจะว่าแย่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว แต่จะให้บอกว่าดีก็คงไม่ใช่ จะมีสักกี่คนกันเชียวที่ยอมก้าวขาเข้าไปช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ ถ้าเข้าไปช่วยเรื่องอื่นก็พอว่า แต่นี้อะไร....


    เข้าไปช่วยหลังจากเขาถูกซ้อมจนเลือดตกยางออกแบบนี้


    "นายไม่คิดจะพูดกับฉันจริงๆหนะหรอ" แต่ผมก็ไม่ละความพยายามแม้ว่ามันจะดูไร้ประโยชน์มากๆก็ตาม เพราะยังไงซะ เขาก็คงเงียบอยู่ดี


    รู้มั้ยว่ากว่าผมจะสามารถลากเขามาทำแผลที่หน้าร้านสะดวกซื้อแบบนี้ได้ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ กว่าจะพูดกว่าจะฉุดกระชากลากถูมาก็เหนื่อยเอาการเลยล่ะ แต่ก็ไม่พ้นโดนเงียบใส่อยู่ดี


    ....ให้มันได้อย่างนี้สิ (กรอกตาขึ้นบน)


    "ทำไมอ่ะ นายไม่ไว้ใจฉันหรอ"


    "....."


    "เออว่ะ...จะไว้ใจกันก็แปลกยังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ" สุดท้ายก็ต้องมานั่งพูดเองเออเองคนเดียวราวกับคนบ้าที่พูดกับตัวเองในกระจกอะไรแบบนั้น


    ผมบรรจงลงยาฆ่าเชื้อที่บริเวณแผลอย่างเบามือที่สุด พร้อมกับปิดท้ายด้วยการแปะพาสเตอร์ลายคิตตี้สุดน่ารักที่ลงทุนเดินเข้าไปซื้อในร้านสะดวกซื้อก่อนหน้านี้


    อา...จริงสิ จะว่าเป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องก็ได้ล่ะมั้งครับ ที่เจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ยังนั่งอยู่นี้ทั้งที่จริงๆมีโอกาสให้เดินหนีไปตั้งหลายครั้ง แต่เขาก็ยังอยู่ให้ผมทำแผลจนเสร็จ และถ้าให้ผมเดาอะไรจากสายตาเขาล่ะก็....ยากครับ เชื่อสิว่ามันจะยากกว่าข้อสอบเก็ทเชื่อมโยงของประเทศไทยเสียอีก


    มนุษย์อะไรเอ่ยเดาใจยากที่สุด?


    ปิ้งป้อง


    คนตรงหน้านี้ไงครับ (เดี๋ยวนะมึงเล่นอะไรหนิ...)


    "นายจะเงียบเกินไปแล้วนะ พูดอะไรหน่อยสิ" ผมล่ะอยากจะลงไปชักดิ้นชักงอกลางถนนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ก็ทำได้แค่คิดครับ ไม่คุ้มกันหรอกถ้าเกิดมีรถวิ่งผ่านแล้วเหยียบผมจนแบนเป็นกระดาษเอสี่


    ส่วนอีกฝ่ายก็ได้แต่ปรายตามองผมเป็นชั่วครูก็หันกลับไปมองถนนดังเดิม ผมได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ทั้งๆที่ตอนนี้ผมควรจะกลับไปนั่งฉลองกับที่บ้านอย่างสุขใจแล้วเชียว แต่ก็ต้องโทรไปเล่าให้คุณน้าฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง(แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด) พร้อมกับมานั่งหงอยพูดคนเดียวอยู่ตรงนี้


    "เฮ้อออ ฉันจะเข้าไปซื้ออะไรกิน นายจะเอาอะไรมั้ย" ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยโดยประมาณพลางลุกขึ้นเต็มความสูง 


    จะมีใครได้ยินเสียงท้องผมร้องโครกครากมั้ยครับ ถ้ามีผมก็เขินนะเนี่ย


    สุดท้ายผมก็เดินเข้าไปในร้านโดยที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งผมไม่รู้ชื่อ เพราะถามแล้วเขาก็ไม่ตอบ ส่ายหน้าหน่อยๆ  


    --------------


    อีกทางด้านหนึ่ง เจ้าของเรือนผมสีสวยหันมองตามแผ่นหลังเล็กจนหายเข้าไปในร้าน เขาลุกขึ้นยืนบ้างก่อนที่จะเดินออกมาโดยไม่แม้แต่จะบอกลาหรือหันกลับไปมองเช่นกัน


    ทั้งที่เขาสามารถปฏิเสธด้วยการเดินหนีตั้งแต่คราแรก แต่เขาก็ไม่ทำ หรือจะเลือกหายตัวไปตอนที่ร่างเล็กเข้าร้านสะดวกซื้อในตอนนั้นเลยก็ได้


    ....แต่เขาก็ยังเลือกให้อีกคนทำแผลจนเสร็จ


    ไม่รู้สินะ...


    แต่เขาแค่รู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆอีกคนเท่านั้น อาจเป็นเพราะรอยยิ้มหวาน หรือเสียงพูดน่าฟังเหล่านั้น รวมถึงการกระทำต่างๆที่ชวนน่าหลงใหล


    ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นและรับรู้ กำลังค่อยๆฝั่งรากมันลงในหัวใจของเขาช้าๆ


    คล้ายว่าหัวในที่เคยด้านชาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง


    ในระหว่างที่ชายร่างสูงกำลังเดินจากไป คนตัวเล็กก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับขมวดคิ้วฉับพลัน เพราะไร้วี่แววของคนแปลกหน้าเมื่อครู่ พอมองซ้ายมองขวาก็ปรากฏแต่ความว่างเปล่า


    หายไปไหน....


    เขาถอนใจอีกครั้งพร้อมกับชูถุงอาหารขึ้นตรงหน้าพลางมองมันอย่างคิดหนัก ตั้งใจว่าจะซื้อมาให้อีกคนด้วยเพราะดูท่าคงจะยังไม่ได้ทานอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องแห้วและตกลงสู่กระเพาะของเขาแทน


    เฮ้อออ ยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ 


    ให้ตายเถอะ นายผมเทานั้น...


     

    หลายสัปดาห์ผ่านไป


    วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่ และยังเป็นวันแรกในการมาเรียนแลกเปลี่ยนของเขาอีกด้วย


    ลู่หาน ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจตัวเองว่าพร้อมออกไปสู่โลกใบใหม่นี่หรือยัง เขาจัดทรงผมและจัดเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะคว้ากระเป๋านักเรียนเดินลงมาจากชั้นสอง


    "อรุณสวัสดิ์ครับคุณน้า" เมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะทานอาหารก็เอ่ยทักทายเจ้าของบ้านด้วยความเคารพ แต่ก่อนที่จะได้นั่งลงกับเก้าอี้ หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นขัดเสียก่อน


    "เราช่วยขึ้นไปปลุกคยองซูหน่อยเร็ว จะสายแล้ว"


    เขาคานรับอย่างว่าง่ายพลางเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นบนอีกครั้งด้วยอารมณ์ร่าเริงเต็มที่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขากำลังตื่นเต้นกับโรงเรียนใหม่ด้วยล่ะมั้ง


    ว่าแล้วก็ลุ้นเพื่อนใหม่เหมือนกันแฮะ


    ก๊อก ก๊อก 


    "คยองซู ตื่นยังงงง"


    "ตื่นแล้วๆ!" เจ้าของห้องตะโกนกลับมา ดูท่าจะกำลังเร่งรีบพอสมควรเพราะนอกจากเสียงที่แสดงออกมาแบบนั้นลู่หานก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากด้านในอีกนิดหน่อย


    ร่างบางอดขำไม่ได้ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะตื่นสายก็เมื่อวานเล่นเกมกันจนดึกดื่น กว่าจะขึ้นไปนอนก็โดนคุณนายโดโหมดโหดไล่ขึ้นห้องกัน ไม่งั้นคงได้โต้รุ่งแน่ๆเลย


    "ฉันลงไปรอข้างล่างนะ"


    "โอเค!"


    ลู่หานเดินลงมาและหย่อนก้นนั่งลงในที่ของตน ไม่นานเจ้าเพื่อนตากลมโตก็นั่งลงข้างๆกันพร้อมกับหอบแฮ่กนิดหน่อย 


    ว่าแล้วก็ขำหน่อยดีกว่า


    "ฮ้าววว ขำอะไรของนายอ่ะ" คยองซูว่าเสียงงอนๆพลางจ้องเขม่งมาที่เขา ทำให้ลู่หานต้องส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ไม่วายแอบขำเล็กน้อยเมื่อเพื่อนตัวเล็กหาวแล้วหาวอีก ซึ่งแสดงถึงความง่วงงุนของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี


    "เเม่บอกแล้วว่าเมื่อคืนอย่านอนกันดึก เป็นไงล่ะ"


    "โถ่ ก็ผมไม่ง่วงนี่"


    "เราก็เหมือนกันลู่หาน อย่าไปตามใจเจ้าตัวแสบมันเยอะนัก"


    "ครับ คุณน้า" คนถูกพาดพิงได้แต่น้อมรับ พลางเหลือบตามองคนข้างๆก็ยิ้มขึ้นมาหน่อย เพราะตัวแสบที่คุณน้าว่ากำลังทำปากขมุบขมิบเป็นเชิงล้อเลียนหล่อนอยู่ ทำให้เธอต้องหันไปมองตาขวางใส่ลูกชายตัวเองอย่างเหลืออด


    ลู่หานรู้สึกดีใจมากๆ กับการมาเเลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เพราะเขาได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่น เป็นกันเอง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผิดจากครอบครัวของเขาอย่างสิ้นเชิง


    "ลู่หานคิดไรอยู่อ่ะ เหม่อเชียว" เขาแอบสะดุ้งหน่อยๆ หันไปหาเจ้าของเสียงก็ได้แต่ยินแล้วส่ายหน้าไปพลาง


    ไม่นานนักมื้ออาหารเช้าก็จบลงด้วยเสียงพูดคุยแสดงถึงความสุขที่เอ่อล้นออกมา ทั้งคู่ขอตัวไปโรงเรียนเมื่อใกล้เวลาเข้าเรียนในวันแรกเต็มที ส่วนคุณน้าคนสวยก็แยกออกไปทำงานของตน


    "วันนี้เปิดเทอมวันแรกก็ตั้งใจกันนะเด็กๆ"


    "ค้าบบบ"


     ทั้งคยองซูและลู่หานก็หันไปโบกมือลาคุณนายโดที่เคลื่อนรถยนต์ออกมานอกรั่วบ้าน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์บริเวณหน้าปากซอยเพื่อไปต่อรถไฟใต้ดิน จริงๆจากบ้านของเขาก็ไม่ได้ใกล้จากสถานีรถไฟมากนัก ถัดไปแค่รถโดยสารป้ายเดียวก็ถึง แต่เพราะเวลาที่จวนตัวบวกกับความขี้เกียจเลยเลือกไม่เดินดีกว่า หรือว่าจะให้คุณน้าไปส่งก็กระไรในเมื่อเป็นคนละทางกับที่ทำงานของเธอ


    ในเวลาเช้าประมาณนี้ป้ายรถโดยสารและสถานีรถไฟเต็มไปด้วยผู้คนหลากวัยหลายอาชีพ และทุกคนก็ต่างมีจุดหมายเดียวกัน คือการทำหน้าที่ของตัวเอง เหมือนกับลู่หานที่ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า


    และเพราะจำนวนคนในตอนนี้ มันทำให้เขาเผลอนึกถึงวันนั้น...วันแรกที่ได้เจอผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น


    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ทุกๆครั้งที่เจอคนเยอะๆหรือว่าวันไหนที่ฝนตก แววตาเด็ดเดี่ยวระคนเศร้าหมองก็จะซ้อนทับทุกความคิด


    แต่ว่านะ...ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอผู้ชายผมสีควันบุหรี่อีกเลย


    มันคงไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่เจอหรือไม่เห็นแม้แต่เงา เพราะโซลก็ไม่ใช่แคบๆ และโลกก็ไม่ได้กลมขนาดนั้น จะไปเจอกันง่ายๆได้ยังไงล่ะ


    ถ้าไม่เพราะความบังเอิญ หรือพรหมลิขิต


    ลู่หานได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดบ้าๆของตัวเองอยู่อย่างนั้น เขาไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ ทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่ปลอดภัย แต่ก็ยอมก้าวขาอย่างเต็มใจเข้าไปในโลกของผู้ชายคนนั้น


    บ้าไปแล้ว 


    ตั้งสติไว้ลู่หาน นายมาที่นี้เพื่อมาเรียน และ...


    "ลู่หาน! ลู่หาน!!" เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมกับหันขวับไปมองที่ต้นเสียง 


    "จะตะโกนทำไม"


    "ฉันเรียกนายตั้งหลายรอบแล้วเหอะ"


    "อ้าวหรอ แล้ว?"


    "สถานีหน้าก็ถึงโรงเรียนแล้วเนี่ย"


    "อ่อออ" เขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะท่องในใจว่าให้มีสติมากกว่านี้ และไม่นานก็ถึงสถานีปลายทาง


     เดินกันมาอีกนิดหน่อยก็ถึงหน้าประตูรั่วโรงเรียนที่ออกจะเว่อร์วังอลังการไปสักนิด แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลกึ่งเอกชนก็ตาม แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีคุณภาพมากๆในเกาหลีใต้


    ลู่หานดูไม่ค่อยแปลกใจหรือตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะวันก่อนที่คยองซูมาเดินเล่นแล้วและเขาก็ตื่นเต้นไปแล้วในวันนั้น อีกส่วนก็คงเพราะโรงเรียนที่เขาเรียนที่จีนอยู่ก่อนหน้าออกจะหรูหรากว่านี้พอสมควร


    แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนนี้ก็เป็นอีกโรงเรียนได้ชื่อว่าสอบเข้ายากมาก ยิ่งทุนแลกเปลี่ยนแบบเขายิ่งยากเข้าไปอีก แต่มันก็ไม่เกินความสามารถของเขาเท่าไหร่นัก


    อีกอย่างนะ...ถึงไม่สอบชิงทุนมา เขาก็เข้าได้สบายๆด้วยอำนาจของคุณพ่อผู้อาวุโส


    "เสียดายที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเนอะ" คยองซูพูดขึ้นในขณะที่เดินไปห้องพักครูหลังจากที่เปลี่ยนรองเท้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว


    "นั้นสินะ"


    "เอาเถอะ ห้องบีก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี"


    "เรื่องโอเซฮุนอะไรนั้นอ่ะนะ"


    "อือฮึ"


    "นี่นายเตือนฉันมาหลายรอบแล้วนะ จำได้ขึ้นใจแล้วหน่า"


    "ให้มันจริง อ่ะ ฉันส่งแค่นี้นะ ไปล่ะ บาย"


    "บาย" หลังจากมาถึงหน้าห้องพักครูบริเวณชั้นสองของตึกเรียน ทั้งคู่ก็ล่ำลากันนิดหน่อยก่อนที่คยองซูจะขอแยกไปอีกทาง


    เนื่องจากลู่หานเป็นเด็กที่เข้ามาใหม่ แม้ว่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแต่ตามปกติก็ต้องมาหาอาจารย์ประจำชั้นเสียก่อน แล้วจึงไปห้องเรียนพร้อมอาจารย์เพื่อแนะนำตัว


    ตอนแรกเขาก็แอบใจหายนึกว่ามีแค่เขาคนเดียวที่มาแลกเปลี่ยนที่นี้ แต่ก็ได้มารู้ที่หลังว่ามีอีกหนึ่งคน ซึ่งอยู่ในขั้นปีเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง


    รู้สึกว่าจะชื่อจาง อี้ชิง อยู่ห้องเอ ห้องเดียวกันกับคยองซู


    เมื่อถึงเวลาสัญญาณก็บ่งบอกถึงการเข้าเรียนในคาบเเรกของวัน อาจารย์ประจำชั้นของเขาก็พาไปยังห้องเรียนใหม่หลังจากที่ได้พูดคุยอะไรกันเล็กน้อย ลู่หานเริ่มรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะเขาไม่รู้ว่าในห้องเรียนจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีเพื่อนแบบไหนบ้าง


    อีกใจหนึ่งก็รู้สึกประหม่าเพราะกลัวจะไปทำให้ใครไม่ชอบขี้หน้าเข้า ไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหาตามมาเลยก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ...


    ลู่หานสู้!


    ครืดดด


    ประตูห้องทางด้านหน้าถูกเลื่อนเปิด พร้อมๆกับนักเรียนในห้องที่ต่างกุรีกุจอกลับที่นั่งของตัวเอง ผู้อาวุโสเดินเข้าไปด้านใน ทำให้ลู่หานต้องเดินตามเข้าไป และทันทีที่ได้เหยียบเข้ามาให้ห้องเสียงโห่แซวของนักเรียนชายดังขึ้น


    "เงียบๆได้แล้ว! .....เอาล่ะนี่คือนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เคยพูดเอาไว้เมื่อเทอมที่แล้ว" หญิงสาวมีอายุเอ่ยเสียงดุ ส่วนลู่หานก็โค้งให้กับทุกคนอย่างสุภาพก่อนจะยิ้มหวานให้แก่คนทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกเขาต่างก็หลงเสน่ห์รอยยิ้มนี่ไปตามๆกัน


    "สวัสดีครับ เสี่ยว ลู่หาน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" ร่างเล็กแนะนำตัวทันทีหลังจากที่อาจารย์พยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต


    "ซึ่งเขาจะมาอยู่กับเราเป็นเวลาหนึ่งเทอมเต็มๆ ช่วยดูแลเขาด้วยล่ะ"


    "ค้าบ/ค่า" นักเรียนทั้งห้องเอ่ยรับขำอย่างกระตือรือร้น ลู่หานรู้สึกอุ่นใจขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเพื่อนๆในห้องต้อนรับเขาเป็นอย่างดี


    "ลู่หานจ๊ะ เรานั่งตรงนู้นได้มั้ยเอ่ย" เธอเอ่ยถามพร้อมชี้ไปยังโต๊ะนักเรียนแถวริมหน้าต่างเกือบตัวท้ายสุดที่ยังว่างอยู่


    "ได้ครับ" เขาตอบพร้อมกับโค้งขอบคุณเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนกายไปยังโต๊ะตัวนั้นที่อาจารย์เป็นคนบอก


    ไม่รู้ว่าลู่หานจะรู้สึกไปเองมั้ย เขารู้สึกถึงสายตาแปลกของนักเรียนทุกคนในห้อง แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็ไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


    พอเดินมาถึงเขาก็ต้องแปลกใจ ไม่ใช่กับโต๊ะของตัวเองหรอกนะ เเต่กลับเป็นโต๊ะตัวด้านหลังเขาอีกตัวต่างหาก ข้างๆกันเองก็เช่นกัน เป็นโต๊ะสองตัวที่ยังวางไม่มีใครนั่งแต่เต็มไปด้วยของขวัญ ขนม และอะไรต่อมีอะไรที่วางกันเกลื่อนโต๊ะและเก้าอี้ ทำให้เขาเดาไม่ยากเลย ว่าเจ้าของโต๊ะทั้งสองตัวคงฮอตไม่เบา


    "สวัสดี~" เพื่อนที่อยู่โต๊ะข้างๆเอ่ยทักทายขึ้นทำให้เขาต้องเก็บสงสัยเอาไว้ก่อน


    "หวัดดี" 


     "ชื่อลู่หานใช่มั้ย ฉันชื่อมินซอก คิม มินซอก" เจ้าตัวเอ่ยเเนะนำด้วยท่าทางร่าเริง รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายทำให้ลู่หานรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก


    "อื้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"


    และมินซอกก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนแรกในห้องเรียนแห่งนี้ไปโดยปริยาย ไม่นานหลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อน อาจารย์ประจำคาบแรกก็เข้าสอนต่อทันที แม้ว่าจะเริ่มเรียนไปกว่าสองคาบโต๊ะข้างหลังเขาก็ยังว่างไร้เจ้าของอยู่ดี ซึ่งจะให้เอ่ยถามกับมินซอกก็คงจะแปลกๆหรือเปล่านะ


    ครืดดด


    ประตูด้านหลังห้องถูกเปิดออกพร้อมกับผู้มาเยือนใหม่ในระหว่างรอเรียนคาบที่สี่ ปรากฏให้เห็นชายร่างสูงผิวสีเข้มเดินนำเข้ามาด้านในก่อนจะตามด้วยเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่แสนคุ้นเคย


    ลู่หานนิ่งอึ่งไปทันทีที่ได้สบสายตาหน้ากลัวของอีกฝ่าย ใจดวงน้อยเต้นระรั่วอย่างน่าประหลาด และไม่ทันที่จะได้มองใบหน้าหล่อมากกว่านั้นเจ้าตัวก็เบือนหนีก่อนที่จะเดินมาโต๊ะตัวด้านหลังของเขา


    เสียงกุกกักดังขึ้นมาแต่ร่างบางตรงนี้พยายามที่จะไม่สนใจอะไรก่อนจะกดมือถือหยิกๆเป็นการฆ่าเวลาเล่นๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหันไปทักทายแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อใจไม่กล้าพอ


    "เอาๆ นั่งที่กันได้แล้ว" ทันทีที่เสียงอาจารย์ดังขึ้นจากหน้าห้อง นักเรียนทุกคนต่างเข้าที่ตัวเองอีกครั้ง และเริ่มเรียนในคาบต่อไปอีกครา


    ถึงภายนอกลู่หานจะดูสนใจเรียนแต่ในใจเขาเริ่มว้าวุ่นแปลกๆ หลายครั้งที่เขาแอบหันไปมองด้านหลังแต่ก็พบแต่ภาพเดิมๆที่อีกคนฟุบหน้าหลับกับโต๊ะ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หานเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้


    คาบเรียนในช่วงเช้าหมดลง และทันทีที่เสียงออดดังขึ้นชายหนุ่มด้านหลังก็ลุกเดินออกไปจากห้อง จะก้าวตามออกไปก็ไม่ทันเพื่อนๆที่เข้ามารุมล้อมเต็มไปหมด


    ลู่หานพยายามแกะตัวเองออกมาจากเกาหลีมุงเพื่อตามอีกคนออกไป และมันก็สำเร็จเมื่อสามารถออกมานอกห้องได้แม้จะกินเวลาไปบ้างก็ตาม ดวงตาหวานมองไปรอบๆทางเดินก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้น จึงออกฝีเท้าเดินไปแถวบันไดจนเห็นผมสีประหลาดไหวไปตามแรงลมตรงบันไดขั้นล่างกว่า


    "นาย!" เสียงหวานเอ่ยเรียกรั้งเอาไว้ ทำให้เขาต้องหยุดชะงักก่อนหันกลับมามองด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนตัวของร่างบางนั้นก็เดินลงบันไดมาอีกหน่อย และสิ่งที่สะกิดใจเขาเข้าคือแผลที่มุมปาก...เหมือนวันนั้นไม่มีผิด


    "แผลนายยะ-"


    เพี๊ยะ


     ด้วยความตั้งใจแรกที่จะเอื้อมไปจับที่มุมปากเรียวนั้น ก็ถูกทำลายลงด้วยมือหนาซึ่งปัดมือเข้าออกอย่างไม่ใยดี คนตัวเล็กกว่าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ไม่ใช่เฉพาะเขาหรอกที่อึ้ง แต่เพื่อนร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เช่นกัน


    ลู่หานรีบเก็บมือลงไว้ข้างตัวก่อนจะเม้มปากและเสหน้าไปทางอื่น


    "....ยุ่ง" ร่างสูงเอ่ยไว้แค่นั้น ก่อนจะหันหลังเดินหนีไปโดยที่ลากเพื่อนของตนออกไปด้วย ทิ้งร่างบางให้ยืนอยู่ที่เดิม 


    แม้ว่าจะไม่มีใครเดินผ่านให้เอาไปนินทาจนอับอาย แต่ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ก็เรียกได้เลยว่าหน้าชา และที่สำคัญก็รู้สึกแย่เอามากๆ


    สุดท้ายภายในดวงตาหวานของลู่หานก็เห็นแต่แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆหายลับไป....


    "ลู่หาน! เกิดอะไรขึ้นนะ" ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของคยองซูดังขึ้นพร้อมๆกับคนตาโตที่เดินลงบันไดมาอยู่ข้างๆ


    "เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะ" 

     


    ในเย็นวันนั้น


    ลู่หานได้เล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกให้คยองซูฟังทั้งหมดในระหว่างกลับบ้าน โดยที่เล่าไปด้วยก็โดนบ่นไปด้วยตลอดทาง จนเขารู้สึกเริ่มเหนื่อยกับการเล่าในครั้งนี้


    และสิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดคงไม่พ้นการที่ผู้ชายคนนั้นชื่อว่า โอ เซฮุน คนที่คยองซูเตือนอย่างดิบดีว่าอย่ายุ่งอย่าเข้าใกล้ เพราะเขาเป็นผู้ชายอันตราย


    ซึ่งลู่หานก็พอเข้าใจในจุดนี้อยู่บ้าง แต่เท่าที่ได้อยู่ด้วยกันในวันนั้นเขาก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะดูน่าอันตรายเท่าไหร่ มีเพียงแค่เรื่องวันนี้เท่านั้นล่ะที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ และเขาก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ


    "เฮ้อออ อาจารย์นะอาจารย์ ทำไมต้องให้นายไปนั่งอยู่หน้ามันด้วยนะ"


    "เอาหน่า ก็มันไม่เหลือที่นั่งแล้วนี่"


    "ก็ยังดีที่หมอนั้นไม่ค่อยเข้าเรียน คงจะได้เจอกันน้อยอยู่หรอก" คยองซูพูดพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ก่อนจะหันมามองเพื่อนตาเขียว ส่วนลู่หานก็ได้แต่ยิ้มแหย่ตอบกลับเพียงเท่านั้น


    "คยองซู"


    "ว่า??"


     "ทำไมนะ-"


    บรื้นนนนนนน


    ยังไม่ทันที่ลู่หานจะเอ่ยถามได้จบประโยค เสียงเครื่องยนต์ก็ดังใกล้มากจนเรียกความสนใจจากเขาไปทั้งหมด และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือภาพแผ่นหลังที่แสนคุ้นตากำลังไกลออกไปเรื่อยๆ


    “อะไรนะ”


    “เปล่าๆ”


    เขาไม่มั่นใจหรอกนะว่าใช่หรือเปล่า แต่ลู่หานคิดว่าตัวเองจำแผ่นหลังนั้นได้แม้ว่าจะเห็นมันเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม


    ในวันนี้คยองซูได้พูดกับเขา...


    ถ้าตัดปัญหาเรื่องการชกต่อยของเซฮุนออกไป เจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่คนนั่นคงจะเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟคที่สุดในโลก


    และเขาก็เชื่อแบบนั้น


    -------------


    ประมาณสามวันต่อมา


    สวัสดีอีกครั้งนะครับทุกคน คงต้องขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเลยล่ะกัน ผมชื่อเสี่ยว ลู่หาน เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีน ที่มาอยู่เกาหลีได้ประมาณหนึ่งเดือนก่อนเปิดเทอม เพราะโรงเรียนของผมที่จีนนั้นปิดก่อนโรงเรียนที่นี้ ทำให้ผมมีเวลามาเที่ยวเล่นในโซลเป็นเวลาเกือบเดือน


    จริงๆก็มีหลายที่ให้ผมไปแลกเปลี่ยน แต่ผมชอบเกาหลีนะครับ อาจเป็นเพราะแม่ผมเป็นคนเกาหลีและตัวผมเองก็เกิดที่นี้ ทำให้ผมรู้สึกผูกผันเป็นพิเศษ อาจจะมีคนแปลกใจที่ผมสามารถพูดเกาหลีได้คล่อง ส่วนหนึ่งก็อย่างที่บอกไปว่าผมชอบที่นี้ ผมจึงเรียนรู้วัฒนธรรมมาตั้งแต่เด็ก และอีกส่วนคือผมตั้งใจเอาไว้นานแล้ว


    แต่เหตุผลนอกเนื่องจากความชอบ ผมคงบอกอะไรไม่ได้


    ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนก็เกือบๆจะหกโมงเย็นแล้วด้วยซ้ำ และที่ผมยังอยู่ที่โรงเรียนอยู่เพราะรอคยองซูอยู่ครับ รายนั้นเขาประชุมคณะกรรมการนักเรียนอยู่ ผมเลยต้องรอ


    จริงๆจะกลับไปก่อนเลยก็ได้ แต่ผมไม่อยากกลับคนเดียว และไม่อยากให้คยองซูต้องกลับคนเดียวเช่นกัน ก็เลยรอมาจนถึงตอนนี้


    โชคดีที่ผมรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยเตรียมกล้องมาถ่ายรูปเอาไว้ด้วย


    ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปครับ เลยมักจะพกกล้องไปทุกการเดินทาง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ไปไหนไกลมาก และจุดมุ่งหมายในวันนี้คือการถ่ายพระอาทิตย์ตกบนดาดฟ้าตึกไหนสักตึกในรั่วโรงเรียน


     ซึ่งตึกที่ผมเลือกคงไม่พ้นตึกที่ผมเรียนอยู่ โชคเข้าข้างอีกครั้งเมื่อประตูดาดฟ้าไม่ได้ล๊อกอย่างที่กลัว จึงทำให้ผมยิ้มกริ่มอยู่ในใจราวกับผู้ชนะ


    ไม่อยากจะบอกเลยว่าโรงเรียนที่นี้สวยไม่แพ้ที่จีน มีสถานที่หลายแห่งเหมาะกับการถ่ายรูป ไม่ว่าจะเซลฟี่หรือถ่ายวิวก็ตาม แต่ผมไม่ชอบถ่ายตัวเองเท่าไหร่ ผมชอบเก็บภาพความทรงจำเป็นรูปสิ่งของหรือสถานที่มากกว่า


    และการมาเยือนในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นความทรงจำหนึ่งเช่นกัน


    แม้ว่าตลอดหนึ่งเดือนจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมาบ้างก็ตาม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ผมรู้จักเขาแล้ว เขาชื่อโอ เซฮุน แต่ผมก็รู้จักเขาเพียงแค่นั้น เท่าที่คยองซูหรือเพื่อนๆเล่าให้ฟัง ซึ่งเมื่อผมพูดถึงเขาก็แอบรู้สึกแปลกเหมือนกัน


    มันยินดีที่พบกันอีกครั้ง แต่มันก็รู้สึกแย่ที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น


    ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากแน่ๆ เพราะนอกจากจะไม่พูด การเข้าเรียนของเขาก็ช่างประหลาด มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ตั้งแต่วันที่โดนปัดมือไป ผมก็ไม่เห็นเขาจะเข้าห้องเรียนอีกเลย และมินซอกเพื่อนของผมก็บอกต่ออีกว่ามันคือเรื่องปกติของผู้ชายคนนั้น


    เป็นมนุษย์ประหลาดที่เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร


    พอคิดอะไรไปได้สักพักก็พึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วและผมก็ยังหาที่เหมาะๆในการถ่ายรูปไม่ได้เลย 


    จนมองไปรอบๆก็เห็นว่าตรงด้านบนของประตูเป็นที่ๆเหมาะสมมากที่สุด เพราะคงสามารถเห็นได้ทั้ง 360 องศา


    สรุปกับตัวเองได้เสร็จก็เดินหาบันไดขึ้น และผมก็แทบจะหงายหลังเมื่อปีนขึ้นไปแล้วพบกับอะไร


    ชายหนุ่มคุ้นตาด้วยเรือนผมสีเทาควันบุหรี่ กำลังเหยียดตัวนอนราบไปกับพื้นด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาคมดุที่เคยเห็นอยู่ทุกครั้งกำลังปิดสนิท พร้อมกับลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ บ่งบอกได้อย่างดีว่าอีกคนกำลังท่องอยู่ในโลกนิทรา


    ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมกำลังย่องไปนั่งลงใกล้ๆกับเขาให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง และพอได้เห็นใบหน้าเขาใกล้ๆ ใจของผมก็เต้นรั่วเสียอย่างนั้น


    ผมจ้องหน้าของเขาไปหลายนาทีจนลืมไปแล้วว่าผมขึ้นมาทำอะไรที่นี้ และไม่รู้ตัวเลยว่ายกล้องขึ้นมาหวังจะถ่ายรูปเขาตั้งแต่เมื่อไหร่


    รู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้กดถ่าย และแสงแฟลชสว่างขึ้น


    นั้นทำให้ผมรู้ว่าความซวยและความชิบหายกำลังตามมา เมื่อเปลือกตาของเซฮุนค่อยๆปรือขึ้น



    เอาแล้วไงลู่หาน!








    [TBC.]

    เด็กดี้เป็นไรก็ไม่รู้ 
    ตอนแรกก็ว่าอัพใหม่แล้ว พอมาเปิดใหม่อีกที
    อ้าว ไหงเป็นงี้ ทำไมยังเป็นเนื้อหาเก่าอยู่ 
    ไอเราที่กำลังจะเตรียมตัวนอนก็พุ่งมาแก้ใหม่เลยเนี่ย
    ให้มันได้อย่างนี้สิ ฮึ่ยยยย

    ยังไงก็ฝากติดตามเวอร์รีไรท์ด้วยนะ
    เนื้อเรื่องเหมือนดิม เพิ่มเติมคือบทของลู่หานและเนื้อหาที่ลื่นไหลมากขึ้น
    จะมาอัพให้ได้บ่อยๆเลยเนอะ

    ฝากติดตามกันด้วยน้าาา

    เม้น โหวต เฟบ แท็ก = ล้านกำลังใจ
    ช่วยกันสกรีมแท็ก #ฟิคนักเลงเซฮุน ด้วยนะค่ะ
    รออ่านอยู่เน้ออ 

    รีไรท์ 04/03/16



    (c)              Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×