ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝนตกแดดออก...จิ้งจอกแต่งงาน

    ลำดับตอนที่ #2 : ภาพวาดจตุรัสอวิ๋นเฉิง

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 63


    หลังการหายตัวไปของซืออิน ซื่อหยามีอารมณ์ฉุนเฉียวกับจิ้งจอกทุกตัวในฝูง

    "นางหายไปได้ยังไง "เขาตะคอกถามจ้องจอกสาวที่คอยรับใช้ซืออิน

    แต่ก่อนที่จิ้งจอกสาวจะได้ตอบคำถามของซื่อหยา จิ้งจอกหนุ่มอีกตัวก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เปียกชุ่มและมีกลิ่นคาวเลือดเต็มตัว

    ฝูงของฟ่านหลิงถอยไปแล้ว "จิ้งจอกหนุ่มรายงานข่าวให้ซื่อหยา เขามีสีหน้ากังวลใจอย่างชัดเจน เขาอึกอักอยู่ชั่วครู่

    "นาง....ซืออินนางร่วมต่อสู้ด้วย ข้ารู้ว่าเป็นนางก็ตอนที่ฟ่านหลิงส่งฝูงของมันบุกเข้ามาแล้ว หลังพวกฟ่านหลิงถอยไป ข้าก็ไม่พบนาง "จิ้งจอกหนุ่มกล่าวอย่างร้อนใจ เขามีรอยบาดแผลไปทั่วร่างจากการต่อสู้ น้ำหยดลงพื้นบริเวณที่เขายืนอยู่่

    "เจ้าว่าอะไรนะ...."ซื่อหยาพูด ดวงตาของเขาเบิกกว้างกับสิ่งที่ใด้ยิน

    ซื่อหยาทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกราวกับลมร้อนผ่าวพัดผ่านผิวหน้าไป ดวงตายังคงเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน 

    หลังจากที่ฝนหยุดตกไป ร่างสองร่างของซืออินและฟ่านหลิงถูกครอบคลุมไปด้วยไอหมอกสีดำของขุนเขา

    ซืออินลืมตาตื่นด้วยความหนาวที่เย็นเข้าถึงกระดูก แม้จะอ่อนแรงลงมากและเจ็บปวดไปทั่วร่างแต่ซืออินก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้น

    "ซืออินนนน ซืออินนน "เสียงของเหล่าจิ้งจอกแดงที่ออกค้นหาดังขึ้น แม้จะเป็นเสียงที่อยู่ห่างไกลมาก แต่ก็ทำให้ซืออินมีความหวังขึ้นมา นางยิ้มอย่างดีใจและพยายามลุกขึ้นเพื่อไปหาฝูงของตน แต่แล้วก็มีมือเย็นเฉียบปิดปากนางไว้ แรงกดของแขนฟ่านหลิงกอดรัดไว้อย่างแน่นจนซืออินไม่อาจแม้ส่งเสียงหรือสัญญาณใดๆให้ฝูงของตนได้เลย


     

     


     

    ซืออินมองดูเงาเลือนลางของเหล่าจิ้งจองแดงที่กำลังห่างออกไปทุกขณะ พวกเขาอยู่ใต้เงาหินใหญ่นั้นจนฟ่านหลิงแน่ใจว่าฝูงของซืออินห่างไปมากแล้ว เขาคลายวงแขนลง แล้วรีบลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ซืออินมองไปยังป่าเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเงาไม้ใหญ่ขึ้นรกทึบจนเป็นสีดำอันเป็นเขตแดนรัตติกาลของจิ้งจอกดำอย่างใจหาย


     

    "เดิน " ฟ่านหลิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน ซืออินที่ยังคงบาดเจ็บจากบาดแผลอยู่

    มองดูฟ่านหลิงที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จักเจ็บ ซืออินพยายามลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ไม่มีผลดีอะไรหากจะขัดขืนผู้ที่แข็งแรงกว่าในเวลานี้ เพียงรอโอกาสดีๆเพื่อจัดการฟ่านหลิงผู้นี้อย่างไม่ต้องเปลืองแรง ซืออินมองไปยังป่าเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง 

    ทั้งสองออกเดินทางมาจนไกลจากเขตเมืองลั่วหยางมากแล้ว ฟ่านหลิงเดินเร็วมาก

    จนซืออินเริ่มสงสัยว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่เจ็บอยู่หรือเขาไม่เจ็บเลยจริงๆกันแน่ พวกเขาเดินทางมาไกลมากจนถึงรอยต่อของหุบเขามรณะและเมืองอวิ๋นเฉิง

    เมืองอวิ๋นเฉิงเป็นเมืองเล็กๆที่ร้างผู้คนมานาน บ้านเรือนผุพังไร้ผู้อาศัย มีตำนานเล่าขานกันในหมู่มนุษย์ว่าเกิดจากฝีมือของจิ้งจอกดำ บ้านเรือนเก่าซอมซ่อหลายหลังถูกทิ้งร้างจนพักอาศัยไม่ได้ ซืออินมองไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ยังคงมีสภาพดีกว่าหลังอื่นๆ

    "หลังนั้น"ฟ่านหลิงชี้ ไปที่บ้านไม้ที่ดูเหมือนมีป้ายอะไรสักอย่าง แต่ตัวหนังสือบนป้ายได้ถูกกาลเวลาลบทิ้งไปหมดแล้ว

    "เจ้าเข้าไปก่อน"ฟ่านหลิงผลักซืออินให้นำไป ซืออินยิ้มมุมปากพร้อมกับเดินนำไปอย่างเชื่อฟัง

    ด้านในบ้านมีฝุ่นหนาเตอะ มีภาพวาดหลายภาพถูกทิ้งกระจายไปทั่วพื้น บางภาพถูกทำลายไปส่วนหนึ่งแล้ว มีเพียงภาพวาดที่ดูจะเป็นภาพของเมืองอวิ๋นเฉิงเมื่อครั้งยังมีผู้คนอาศัยอยู่ที่ยังคงสมบูรณ์

    "เจ้าดูสิ"ซืออินพูดพลางมองภาพวาดนั้น แต่ฟ่านหลิงกลับไม่สนใจ เขายังคงวุ่นอยู่กับการยกภาพวาดอื่นๆไปกองรวมกันเพื่อก่อกองไฟ

    "เอ๊ะ ! ตรงนี้มีดาบด้วย "ซืออินพูดด้วยท่าทีสนใจบางอย่างในภาพวาด

    ฟ่านหลิงหยุดทันที เขาเดินมาที่ภาพวาด แต่ก่อนที่จะได้โวยวายถึงดาบที่ไม่มีอยู่จริง ฟ่านหลิงก็ถูกซืออินผลักเข้าไปในภาพวาด

    ซืออินยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาจ้องมองภาพวาดอย่างตกตะลึง บัดนี้เหลือเพียงนางในบ้านร้างหลังนี้ ดาบเวทย์ของฟ่านหลิงที่มีรูปสัญลักษณ์จิ้งจอกแดงเช่นเดียวกับ

    ซืออินยังคงวางอยู่ที่พื้น ซืออินยิ้มออกมาอย่างปิติยินดีเป็นที่สุด นางไม่คิดว่าตำนานภาพวาดจตุรัสอวิ๋นเฉิงที่เย่หลันเคยเล่าให้ฟังจะยังอยู่ที่นี่จริงๆ

    คราวนี้ก็กำจัดศัตรูไปได้หนึ่ง ซืออินเดินออกมาจากบ้านร้างนั้น แม้จะไม่ใช่จุดจบของการสู้รบกับฝูงของฟ่านเหลา แต่ซืออินก็สามารถชำระความแค้นที่ฟ่านหลิงหยามเกียรติตนด้วยการสู่ขอไปเป็นเมียน้อยได้อย่างน่าพอใจ

    ที่จวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เย่หลันกำลังนั่งเขียนบางอย่างอย่างตั้งใจ เป็นเวลาดึกสงัดมากแล้ว ผู้คนในเมืองต่างหลับไหล บ้านเรือนมืดมิดเข้าสู่ความเงียบงัน มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงห้องของเจ้าเมืองหนุ่มที่ยังคงส่องสว่างอยู่บนจวนหลังงามที่สูงโดดเด่นอยู่กลางบ้านเรือนเล็กๆในเมืองลั่วหยาง

    ลมยามดึกพัดต้องใบหน้าเคร่งขรึมนั้น ทำให้เย่หลันรู้สึกตัวขึ้นมาหลังจากที่ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับกองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ เขาหันไปมองด้านนอกหน้าต่างที่เปิดค้างไว้

    เงาสีดำของกิ่งก้านต้นหลิวไหวเอนไปตามลมหนาวยามค่ำคืน หากมองไม่ผิดนั่นคงเป็นซืออินที่กำลังยืนอยู่บนกิ่งหลิวใหญ่นั้น!

    เย่หลันตื่นตัวขึ้นมาทันที เขารีบจัดการพับแขนเสื้อลง นิลสีดำถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดบนข้อมือของเย่หลัน เขาลุกไปที่หน้าต่างอย่างลนลาน จนกองกระดาษล่วงลงมาจากโต๊ะหลายแผ่น แต่เมื่อเขาไปถึงที่ขอบหน้าต่าง ต้นหลิวต้นนั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาผู้ใด เย่หลันพยายามเพ่งมองแต่ก็พบเพียงความมืดมน เขารู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที เย่หลันระบายอารมณ์กับเหยือกน้ำชาตรงหน้า เสียงแตกดังเพล้ง ! เศษกระเบื้องแตกกระจายไปทั่วพื้น เขากำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ ดวงตาดุดันคละคลุ้งไปด้วยความโกรธจัด

    ที่ใจกลางจตุรัสของเมืองอวิ๋นเฉิงในภาพวาด ฟ่านหลิงกำลังยืนอยู่อย่างมึนงง เขามองรอบตัวและเริ่มตื่นตระหนกปนเปไปกับความโกรธที่มีต่อซืออิน ผู้คนในภาพวาดที่กำลังเดินกันขวักไขว่ หยุดและพุ่งความสนใจมาที่ฟ่านหลิง

    "ซืออิน ถ้าออกไปได้ ข้าจะฆ่าเจ้า"เขาคิดในขณะที่สายตามองไปรอบๆเพื่อหาบางอย่างที่น่าจะเป็นทางออก แต่ไม่ทันได้ระวัง เขาก็ชนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง เด็กน้อยล้มลงและลุกขึ้นยืนเองโดยไม่ร้องสักแอะ นั่นสร้างความประหลาดใจให้ฟ่านหลิงเป็นอย่างมาก

    "เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม "ฟ่านหลิงพูดกับเด็กน้อยพร้อมกับย่อตัวลง แต่เด็กน้อยกลับวิ่งหายไป ทิ้งให้ยืนมองอย่างมึนงง

    ฟ่านหลิงเริ่มสังเกตว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมาที่เขา

    ฟ่านหลิงยืนตัวแข็ง เขาไม่มีแม้อาวุธข้างกาย พลังเวทย์ขั้นสูงที่มีก็ยังอ่อนแรงลงเพราะบาดแผลจากดาบเวทย์ของซืออิน ซ้ำเขายังไม่รู้ว่าจะออกไปจากภาพวาดได้หรือไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้คนที่เขาเห็นอยู่นี้ ใช่คนจริงๆหรือเปล่า จะเป็นแค่มนต์ลวงตา เหล่าภูตผีวิญญาณ หรือปีศาจสัตว์เวทย์ใดๆ เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย

    ซืออินหายใจหอบอยู่บนหลังคาจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง

    "เกือบไปแล้ว "ซืออินพูดออกมาเบาๆในขณะที่กำลังแอบมองเย่หลันทำลายข้าวของในห้องเพื่อระบายโทสะ

    ซืออินถอนหายใจ เขาคงจะโกรธแค้นที่ปล่อยให้นางหนีไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อรู้เช่นนี้ แม้จะทำให้รู้สึกกวนใจอยู่ไม่น้อย แต่นางก็อดทนจ้องมองภาพวาดที่ประดับอยู่ในห้องของเย่หลัน มันเป็นภาพวาดจตุรัสเมือง

    อวิ๋นเฉิงแบบเดียวกับที่อยู่ในหมู่บ้านร้างที่นางพึ่งผลักฟ่านหลิงเข้าไป

    เมื่อครั้งที่นางเคยมาที่นี่ ภาพวาดนี้พึ่งถูกนำเข้ามาที่ห้องของเย่หลัน

    "สวยมาก ที่นี่ที่ไหนกัน ข้าอยากไปบ้าง"

    ซืออินนั่งมองภาพวาดด้วยดวงตาเป็นประกาย

    เย่หลันมองนางแล้วยิ้มเล็กน้อย

    "เจ้าคงไม่อยากไป หากรู้ว่าภาพวาดนี้สามารถขังเจ้าไว้ในภาพได้ เย่หลันพูดพลางยกภาพวาดจตุรัสอวิ๋นเฉิงขึ้นสำรวจดู

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซืออินมีท่าทีระวังตัวมากขึ้นอย่างชัดเจน

    เย่หลันละสายตาจากภาพวาดและหันมามองปฏิกิริยาของซืออิน

    "แต่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก นี่เป็นเพียงภาพวาดที่ข้าทำขึ้นมาลอกเลียนแบบของจริงเท่านั้น "เย่หลันพูดพลางวางภาพวาดลง เขาบรรจงมันใส่กรอบไม้อย่างระมัดระวัง

    ซืออินมีท่าทีโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เย่หลันหยุด เขาหันมามองนางอีกครั้ง

    "เจ้ากลัวจะถูกขังรึ" เย่หลันพูดพร้อมกับเอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาคมโตจ้องมองมาอย่างรอคำตอบ

    ซืออินรู้สึกว่าใบหน้าของเย่หลันใกล้เกินไป แม้นางจะรู้สึกชอบมองใบหน้าของเขามาก แต่นางกลับเขินอายจนต้องถอยห่างออกมา

    "ในเมื่อมันไม่สามารถขังคนได้จริง เจ้าจะใส่ใจทำของเลียนแบบนี้ขึ้นมาทำไม แล้วภาพวาดของจริงอยู่ที่ไหนกันล่ะ" ซืออิน

    พยายามถามเย่หลันเพื่อเบี่ยงเบนเขาไปเรื่องอื่นก่อนที่เขาจะใกล้มากไปกว่านี้

    "ภาพวาดนี้มีชื่อว่า จตุรัสแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง ว่ากันว่าเมืองอวิ๋นเฉิงถูกพวกจิ้งจอกเวทย์บนหุบเขามรณะบุกทำร้าย "เย่หลันพูด

    เขาหยุดมองซืออินสักพักก่อนจะพูดต่อ

    "นักวาดภาพชื่อดังของเมืองอวิ๋นเฉิงก็เสียภรรยาและลูกไปกับเหตุการณ์นี้ด้วย

    ว่ากันว่าลูกของเขาถูกจิ้งจอกกระชากหัวหลุดต่อหน้าเขาเลย เด็กน้อยคนนั้นพึ่งจะสองขวบแท้ๆ เขาทุกข์ทรมานใจมาก ใช้ชีวิตอยู่เหมือนตาย วันหนึ่งเขากรีดเลือดตัวเองแล้วเริ่มวาดภาพจตุรัสเมืองอวิ๋นเฉิง

    ซึ่งเป็นที่ที่เขาภรรยาและลูกเคยมีความสุขร่วมกัน เขาเสียเลือดมาก และเสียชีวิตหลังจากภาพวาดเสร็จสมบูรณ์ ความแค้นความตายและดวงวิญญาณถูกหลอมรวมกันจนเกิดเป็นเวทย์มนต์อย่างหนึ่งขึ้นมาในภาพวาด

    ว่ากันว่า หากผู้ใดเพียงสัมผัสภาพวาดนี้ ก็จะถูกขังอยู่ในภาพวาดและไม่สามารถออกมาได้ ไม่มีใครรู้ว่าเมืองอวิ๋นเฉิงในภาพวาดนั้นเป็นยังไง จะงดงามดังเช่นเมืองอวิ๋นเฉิงที่เคยเป็น หรือจะเป็นเมืองอวิ๋นเฉิงในอีกรูปแบบ ไม่มีใครล่วงรู้ได้ เพราะผู้ที่เข้าไปล้วนไม่เคยได้ออกมาเล่าให้ฟัง "

    เมื่อเย่หลันพูดจบเขาหันมามองซืออินอีกครั้ง ซืออินมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเมื่อได้ฟังเรื่องจิ้งจอกผู้ชั่วร้ายในเรื่องเล่าของเย่หลัน

    "ภาพวาดนี่ถูกทำขึ้นมาเพื่อปกป้องของจริงที่อยู่ในป่าบนหุบเขานั่น "เย่หลันพูดพรางมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีทิวทัศน์ของหุบเขามรณะลูกใหญ่อยู่เบื้องหน้า

    แม้จะสงสัยว่าเขาจะปกป้องภาพวาดของจริงไปทำไม แต่นางสังเกตได้ว่าเย่หลันไม่อยากบอกความจริงนี้เป็นแน่ ซืออินปล่อยเรื่องนี้ไป พรางแสร้งลืมคำถามตนเองเช่นกัน

    บนหลังคาจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง ไฟในห้องของเย่หลันดับลงแล้ว บัดนี้เรื่องราวเช่นนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว นางไม่อาจกลับมา

    สนทนากับเขาได้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เย่หลันทำซืออินไม่อาจให้อภัยเขาได้อีกต่อไป ซืออินรอเวลาอยู่นานสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าเย่หลันหลับสนิท

    ในค่ำคืนนั้น อากาศเย็นลงจนน้ำค้างเริ่มแข็งตัว ซืออินหายไปในเงามืดพร้อมกับม้วนภาพวาดจตุรัสอวิ๋นเฉิงของปลอม นางมุ่งหน้าสู่เงามืดของหุบเขามรณะ


     


     

     


     


     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×