[OS] อาย {WIN : BJIN} - [OS] อาย {WIN : BJIN} นิยาย [OS] อาย {WIN : BJIN} : Dek-D.com - Writer

    [OS] อาย {WIN : BJIN}

    ฮันบินคนป๊อด กับ พี่จินฮวานคนมุ้งมิ้ง

    ผู้เข้าชมรวม

    1,644

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.64K

    ความคิดเห็น


    18

    คนติดตาม


    66
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ย. 56 / 23:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     ถ้าเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีดีเหมือนกัน
    แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้นที่จะต้องพูดมา
    แค่ร้องว่าอาอียาอียา อาอียาอียาก็พอ


    Hanbin x Jinhwan
    WIN : Who Is Next



    twitter : @WwaiWs
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       




      อาย


      Hanbin x Jinhwan

       
      song : 
      อาย – สิงโต นำโชค


       

       

       
       
       

       
      แค่ร้องว่า อาอียาอียา อาอียาอียา ~ 
       
       
       



       
       
      ท้องทะเล ท้องฟ้ามีเพียงแค่เราท่ามกลางหาดทรายขาว และตอนนี้คิมฮันบินที่เคยคิดว่าตัวเองเซลฟ์สุดๆก็กำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่ต่อหน้าเจ้าของบ้านติดริมทะเลบนเกาะเชจู โดยไร้วี่แววไอ้พี่บ้าอีกคนที่มาด้วยกัน และครอบครัวที่น่ารักเจ้าของบ้านหลังนี้ หลังจากที่ทานมื้อเย็นเป็นเนื้อย่างฝีมือเจ้าของบ้านและคุยโม้อะไรต่อมิอะไรกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ดูจะร่วมใจกันหายตัวเข้าไปในบ้านภายในเวลาไม่กี่นาที 

       


      เหลือแค่ทะเล สายลม คิมฮันบิน และจินฮวานฮยอง 

       
       

      "ไปยืนทำไมตรงนั้น ไม่เข้าบ้านหรือไง" 
       
      "เอ่อ ฮยองเข้าไปก่อนดิ" 
       
      "ได้ยังไงเล่า เจ้าบ้านี่" 

       

      พูดพลางพาร่างกายบอบบางที่ดูเหมือนจะหยุดโตไปแล้วเข้ามาใกล้ คิมฮันบินเลยตอบแทนด้วยการถอยเท้าไปข้างหลังหนึ่งสเต็ปแบบไม่รู้ตัว แน่นอนว่าการกระทำนั้นสามารถทำให้เรียวคิ้วที่อยู่เหนือดวงตาเล็กนั่นขมวดมุ่นเข้าหากันได้ไม่ยาก จินฮวานหรี่ตามองท่าทางแปลกประหลาดของคนอายุน้อยกว่าที่ยศเป็นถึงลีดเดอร์ทีมบีอย่างไม่พอใจนัก 

       

      "เป็นอะไรของนายล่ะเนี่ย" 
       
      "เปล๊า ฮยองเข้าบ้านไปเหอะ เดี๋ยวจะไปขี่รถจักรยานชมวิว" 
       
      "ตอน ทุ่มเนี่ยนะ" 
       


      ว่าพลางยกนาฬิกาที่ข้อมือบางขึ้นดูเป็นการยืนยัน คิมฮันบินได้แต่ยิ้มแห้งๆใส่คนตัวเล็ก ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกเพราะหาเหตุผลมารองรับไอ้ความอยากชื่นชมธรรมชาติที่ดูไม่เป็นธรรมชาตินี่ไม่ได้ จินฮวานเหล่ตามองอย่างไม่เชื่อใจ 

       

      "งั้นฉันไปด้วย" 
       
      "ฮยองจะไปทำไมเนี่ย" 
       
      "แล้วนายรู้ทางหรือไง นี่มันบ้านฉันนะ คิมฮันบิน" 

       
       
      เน้นย้ำคำสุดท้ายด้วยเสียงที่กดลงต่ำจากโทนเดิมไปนิด เจ้าตัวคงคิดว่ามันดูเข้มและ เอ่อ อาจจะน่ากลัวขึ้นทั้งที่จริงๆไม่ใช่ คิมจินฮวานทำเป็นโหดไปก็เท่านั้น ใครๆก็รู้ว่าคนตัวเล็กนี่โกรธคนอื่นนานๆได้ที่ไหน ถึงขนาดไอ้พวกมัเน่อมแสบนั่นรวมหัวกันแกล้ง พี่ใหญ่ของวงยังทำได้แค่ขู่เลย 

       
       
      ถ้าอย่างนั้น คิมฮันบินก็จะทำเป็นยอมแพ้ไปก็แล้วกัน 

       

      "เออๆๆ ฮยองก็ไปเอาจักรยานมาดิ" 
       
      "เดี๋ยวไปตามจิวอนด้วย" 
       

       

      เหออออ!! 

       
       
       

      คิมจิวอน ไอ้พี่หน้าแป๊ะนั่นคงจะตอบรับคำชวนหรอก จินฮวานฮยองน่ะไม่รู้เสียแล้วว่าที่คิมฮันบินต้องทำท่าประหลาดๆแล้วก็รู้สึกแปลกๆใส่นี่มันก็เพราะไอ้ฮยองเวรนั่นทั้งนั้น เจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เพิ่งหายเข้าไปในบ้านไม่รู้หรอกว่าบาบิฮยองเป่าหูอะไรเขาไว้บ้าง บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้บ้างล่ะ ว่าเขาป๊อดบ้างล่ะ ตบท้ายด้วยการไล่ให้ไปทำอะไรสักอย่างให้การมาบ้านฮยองตัวเล็กก่อนกลับไปซ้อมหนักนี่ไม่ไร้ความหมาย 
       

       
      เออ ก็ให้มันรู้ไปสิว่าคิมฮันบินจะทำไม่ได้!! 

       

       

       

       

       

       

      ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น 

      อยากให้เชื่อกัน :D 

       

       



       

       

       

      จักรยานคันน้อยค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากคาเฟ่ที่ปิดไปตั้งแต่สองทุ่ม ตามถนนเล็กที่คนขี่ไม่ค่อยคุ้นนัก ยังดีที่ว่ามีคนตัวเบาซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังคอยบอกทางค่อยๆ เสียงเล็กที่เป็นเอกลักษณ์ของเมนโวคอลทีมบียังคงน่าฟังไม่เปลี่ยนในความคิดของฮันบิน คิมจินฮวานนั่งซ้อนท้ายแบบพิสดารด้วยการหันแผ่นหลังบางให้คนขี่อย่างเขา แถมยังกางมือเหมือนเด็กที่ถูกพาออกมาเที่ยวอย่างไม่กลัวว่าจะกลิ้งตกลงไปจูบพื้น 

       

      “เลี้ยวซ้ายข้างหน้าอีกทีก็ถึงแล้ว” 

       

      เอ่ยย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นทางแยกข้างหน้า จุดหมายของเขาสองคนคือทะเลที่เมื่อกลางวันไปแอบไปเล่นจนเปียกมะล่อกมะแล่กกลับบ้านกันมาแล้ว พร้อมด้วยอุปกรณ์เพิ่มความสนุกอย่างไฟเย็นและสารพัดของเด็กเล่นที่มีประกายไฟที่คนตัวเล็กไปขุดมาจากในบ้าน 

       

      จิวอนต้องเสียใจแน่ๆที่ไม่ได้มา อ่ จอดนี่เลยฮันบิน” 

       

      ต้นแขนของคนขับรับรู้ถึงแรงสะกิดจากข้อศอกมนของคนซ้อน รถสองล้อที่ปั่นมาด้วยความเร็วคงที่จึงค่อยชะลอตัวลงและหยุดในที่สุด ไม่รอให้ฮันบินจอดรถให้เสร็จดี พี่ใหญ่ของทีมที่เป็นเจ้าของบ้านก็กระโดดแผล็วลงจากรถ วิ่งย่ำถอดรองเท้าแตะไว้ที่พื้นปูนก่อนจะลงไปเหยียบพื้นทรายอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อกลางวันไม่มีผิด 

       

      ร่างเล็กในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นพลิ้วๆอันเป็นสไตล์ วิ่งหาที่ทางไปมาบนหาดอย่างไม่กลัวว่าตัวจะเหนียวลมทะเล เสียงคลื่นกระทบฝั่งพร้อมกับกลิ่นลมทะเลและแสงจันทร์บางๆ ยิ่งทำให้ท้องทะเลยามใกล้จะเที่ยงคืนดูน่าหลงใหลเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แม้คิมฮันบินที่เป็นเด็กในเมืองหลวงที่แสนจะวุ่นวายนั่นมาตลอดจะยังไม่แน่ใจว่า 

       

      ระหว่างทะเลที่เขาสาธยายมาทั้งหมดนั่น กับเจ้าของร่างเล็กจ้อยที่อยู่ด้วยกันมาสามปี 

        


      อย่างไหนที่ น่าหลงใหล กว่ากัน 

       

       

      ฮันบินไฟอยู่ไหน เล่นไอ้นี่ไหม” 


      พูดพลางโบกของเล่นที่ยังไม่ได้จุดไฟในมือไปมา เจ้าของชื่อที่โดนถามหาอุปกรณ์เบ้หน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ถึงแม้มือจะคว้าไฟ
      แช็กในกระเป๋ากางเกงที่หยิบติดมาโยนให้คนขอไปแล้ว 

       

      ม่ายอ้ะ ฮยองเล่นไรเป็นเด็ก” 

      “ได้ไง รู้งี้ลากจิวอนมาด้วยยังจะดีกว่าเจ้าคนน่าเบื่อ 

       

      พูดพลางพยายามจุดไฟไปพลาง แต่คิมจินฮวานคงจะลืมไปว่าเจ้าตัวไม่เคยทำอะไรแบบนี้สำเร็จเลยสักครั้ง ฮันบินเลยอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหา แล้วลงมือจุดเจ้าไฟเย็นที่คนตัวเล็กดูจะชอบแสนชอบนั่นให้เสีย คนที่ทำตัวเหมือนเด็กๆยิ้มกว้างเมื่อเห็นแสงไฟสว่างวูบในมือ ก่อนมันจะปะทุคล้ายดอกไม้ที่มีประกายระยิบระยับ 

       

      ดูน่ามองไม่ต่างจากรอยยิ้มถูกใจนั่นเลย 

       

      ฮันบินย่อตัวนั่งลงบนผืนทรายละเอียดอันเป็นจุดเด่นของเกาะ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งหนึ่งในเกาหลีอย่างไม่กลัวเปื้อน คิดไว้ในใจว่าคงต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเข้านอนแน่ๆ เลยไม่ทันเห็นว่าเจ้าของที่พักพิงบนเกาะเล็กนี้เดินเข้ามาใกล้พร้อมแสงไฟสว่างไสวในมือ 

       

      เล่นด้วยกันเหอะน่า 

      “ก็บอกว่า...” 

       

      ยังไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธเป็นรอบที่สอง มือนุ่มที่เขาหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องมาทั้งวันก็ยื่นมาจับมือเขาไว้ ไฟเย็นในมือถูกส่งผ่านและบังคับให้กำไว้แบบมัดมือชก ฮันบินเลยต้องถือต่อไปจนกว่าไฟที่ปะทุอยู่นั้นจะวิ่งไปจนหมดแท่งอย่างเลยตามเลย เสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์หันมายิ้มเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนพยายามทำนั้นสำเร็จ เท่านั้นไม่พอ จินฮวานฮยองยังดึงเขาให้ทรุดนั่งลงบนหาดทรายด้วยกันเสียเฉย 

       

      ย๊า เปื้อนไหมเนี่ยฮยอง” 

      “นิดหน่อยเองน่า ขี้โวยวายจริงๆ” 

       

       

       

       

      ถ้าปล่อยคืนนี้ผ่านไป เก็บความรักไว้อย่างนั้น ก็คงไม่รู้ว่าใจตรงกัน 
       
       

       

       
       
       
       
      หลังถูกว่าด้วยเสียงง้องแง้ง คิมฮันบินจ้องหน้าฮยองคนโตของทีม ไม่รู้ว่าเพราะเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้ากระทบฝั่งจนฟังเหมือนทำนองเพลง หรือเพราะแสงสะท้อนของดาวที่ทอประกายบนผิวน้ำ แต่เขารู้สึกว่านี่มันเป็นเวลาที่เหมาะสมดีแล้ว ที่จะพูดอะไรที่อยู่ในใจออกไป ฮันบินคว้ามือฮยองมาจับด้วยอาการสั่นที่รู้สึกได้ 

       

      นี่ฮยอง” 

       

      เอ่ยเรียกคนที่ยังชื่นชมแสงไฟจะปลายแท่งของไฟเย็น แล้วเว้นวรรคให้ได้ใช้เวลาว่างอันน้อยนิดนี่เรียกขวัญและกำลังใจออกมาให้ได้ คำพูดของบาบิฮยองวนเวียนไปมาในหัวไม่จบไม่สิ้น รอจนแสงสวยงามนั่นมอดลงจนหมดแท่งนั่นแหละ จินวานฮยองถึงได้หันมาสนใจเขาที่นั่งสูดหายใจเข้าออกจนเหมือนจะทำสมาธิได้ 

       
       
      "เป็นแฟนกันมั้ย?" 

       
       
      จินฮวานที่ยิ้มแย้ม อยู่ดีๆก็ชะงักลง คิ้วเรียวขมวดเป็นปม ปากเล็กเผยอออกอย่างทุกทีที่ติดใจสงสัย เหมือนเจ้าของเสียงใสจะเอ่ยถามในลำคออย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก 

       
       
      "คือหมายถึง ..เอ่อ.. แบบ.. ผมชอบฮยอง.." 

       
       
      คราวนี้ไม่ใช่แค่ติดใจสงสัย ฮยองตัวเล็กถึงกับทิ้งน้ำหนักตัวลงไปกองกับพื้นทรายอย่างไม่กลัวเจ็บ  

       
       
      "คือ.. ไม่ใช่ ..แบบ.. คือผมชอบฮยองมานานมากแล้ว แล้ว.. แล้วก็.. อยากรู้ว่า ..คิดเหมือนกันมั้ย?" 

       
       
      จบคำถามประโยคยาวและตะกุกตะกักที่สุดในชีวิต ความมั่นอกมั่นใจในฐานะลีดเดอร์ก็ล่มสลายลง 
       

       
      ฮันบินกำลังรู้สึกแย่ ในอกสั่นรัวไปหมดเหมือนมีใครเอาลำโพงที่เปิดเพลงบีทหนักๆมาตั้งไว้ข้างๆ หัวสมองขาวโพลนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยมีความั่นใจมากกว่านี้ เคยควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้หลายเท่า ทั้งยังเคยเด็ดขาดจนคนในทีมไม่กล้าเถียงอะไรด้วยซ้ำ 

       

      ดูเหมือนว่าจะเป็นการบอกรักครั้งแรก และถูกปฏิเสธเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยเหมือนกัน  
       

       
      "ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบก็ได้ ถือว่าไม่ได้พูดแล้วกันนะ" 
       

       
      ว่าจบก็หมุนตัวไปเก็บของเล่นต่างๆนานา ที่กองอยู่บนพื้นทราย แล้วควบตัวขึ้นจักรยานอย่างทุลักทุเล ไม่รอให้คนตัวเล็กที่ยังมึนๆงงๆอยู่ได้พูดอะไรสักคำ 
       

       
      "ไปเถอะ กลับดึกกว่านี้จะไม่สบายนะ" 
       

       
      จินฮวานเหมือนยังไม่หายอึ้ง แต่ก็ก้าวเท้าออกเดินช้าๆมาขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน มือเล็กกอดเอวเขาหลวมๆ พลางซบใบหน้าน่ารักลงกับแผ่นหลัง คล้ายเป็นสัญญาณให้ออกรถได้ ฮันบินพยายามออกแรงถีบเท่าที่คิดว่าร่างกายจะทำได้แล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะจิตใจกำลังห่อเหี่ยว เจ้าจักรยานคันเดิมที่เคยแล่นฉิวออกจากบ้านของฮยองนั้น ดูจะช้ากว่าเดิมหลายเท่านัก 

       

      ยิ่งคนซ้อนท้ายเงียบไป เขายิ่งใจเสีย 

       

      อยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้า ดีที่ฮยองยังไม่เว้นระห่างแบบปุบปับ เพราะมือเล็กยังคงคล้องบางๆที่เอวเขาอยู่ แต่ขากลับหลังจากเจอกระสุนคำถามที่สุดจะอัปยศอดสูเข้าไป จินฮวานฮยองก็ไม่เรียกร้องจะนั่งกลับหลัง หรือไม่แม้แต่ชวนคุย ปล่อยให้ฮันบินคิดเอาเองว่าความเงียบนั่นคือการปฏิเสธ 

       

      “พูดจริงหรอ” 

       

      น้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ที่เจ้าตัวเคยพูดว่าเหมาะที่จะฟังยามค่ำคืนดังขึ้น ในช่วงเวลาที่รอบกายทั้งภายในห้วงคิดของฮันบินเงียบงัน เขาแทบจะหยุดจักรยานแล้วหันไปหาอีกคนแล้ว ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะลงไปวัดถนนด้วยกันทั้งคู่ ที่แย่กว่าอะไรต่อมิอะไรที่กำลังลอยไปมาในหัวคือเขาไม่สามารถเห็นใหน้าใสนั่นได้เลยเพราะอยู่ข้างหน้า 

       

      “ก็บอกให้ฮยองลืมๆไปไงเล่า” 

      “ง่า..ชอบ เหมือนกับที่ชอบจิวอนหรือเปล่า 

       


       

      ห๊ะ 

       


       

      ฮยองว่าไงนะ!!!! 

       

      อดจะพูดเสียงดังใส่ไม่ได้เมื่อที่จริงนิสัยคิมฮันบินก็เป็นพวกชอบโวยวายอยู่แล้ว คราวนี้สารถีจำเป็นได้หยุดรถคันน้อยลงเสียจริงๆ ร่างสูงโปร่งเอี้ยวตัวมาข้างหลังหวังจะเห็นหน้าของคนที่ถามคำถามประหลาดออกมา ไอ้ฮยองหน้าแป๊ะนั่นมันมาเกี่ยวอะไรด้วย แต่คิมจินฮวานก็ไม่แม้แต่จะให้ความร่วมมือ เจ้าของจักรยานรีบซุกหน้าเข้าหาเสื้อเขาอยู่อย่างนั้น 

       

      “ก็แค่อยากรู้ว่าชอบแบบไหน 

      “โว้ย ไม่ว่าจะแบบไหนผมก็ไม่ชอบบาบิฮยองแน่ๆอ่ะ ผมแค่ชอบฮยองเองเนี่ย เข้าใจยากไปได้” 

       

      เจ้าเด็กขี้โมโหทำท่าเหมือนจะพ่นไฟใส่หน้าคนที่บอกชอบไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว คิมฮันบินเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรโวยวายใส่จินฮวานฮยองที่ตอนนี้นิ่งเงียบไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยขอโทษหรืออะไร 

       

      ประโยคต่อมาก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ 

       


      .
        

      . 
      . 

      . 



      “แล้วถ้าจะตอบตกลงนี่ต้องทำไง?” 

       

       

      มือบางที่กอดเอวอยู่กระชับมือให้แน่นขึ้น เจ้าของใบหน้าที่เขาอยากเห็นพยายามมุดหน้าลงกับเสื้อเขาแล้วส่ายหัวไปมา ฮันบินไม่รู้ว่าจินฮวานฮยองกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ รู้แต่ความรู้สึกตัวเองที่มันเต็มตื้นไปหมดจนคิดอะไรดีดีในหัวไม่ออก ยิ่งเห็นใบหูเล็กจากปลายตาว่ามันกำลังแดงก่ำบอกความรู้สึกเจ้าของ 

       

       

      ความรู้สึกที่...ตรงกัน 

       

       

      งะ...งั้น ฮยองก็แค่...” 

       

       

       

       

       

      แค่ร้องว่า อาอียาอียา อาอียาอียา ก็พอ~ 

      แค่เพียงเท่านี้เป็นอันเข้าใจ 

       

       

       

       

       

       THE END.











      :)  Shalunla

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×