ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 63


    CHAPTER 12

                

    "เปิดประตูให้หน่อยสิพี่...."

    เคนยืนอยู่หน้าประตูลายไม้โทนสีเทาสไตล์โมเดิร์น  กดปุ่มกล่องเสียงที่อยู่ติดกัน เพื่อเรียกให้คนด้านในออกมาเปิดประตู ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักประตูบานนี้ก็เปิดออก

    ตี๊ด! ตี๊ด!

    ชายหนุ่มร่างสูงกำยำในเสื้อยืดสีดำหม่นตัวโคร่งและกางเกงวอร์มสีแดงสด พร้อมทรงผมใหม่ซึ่งถูกไถให้เป็นรองทรงสูง เหลือไว้เพียงกลุ่มผมสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกหวีปาดขึ้นตรงกลาง เลิกคิ้วหนาเป็นเชิงถามอย่างกวนโอ

    "มีไร'รึ"

    "เบื่อ" ไม่รีรอให้เจ้าของห้องได้เชื้อเชิญ เคนก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้องชุดทันที

    "แวะมาหาพี่ตอนกลางดึกแบบนี้...แกคิดอะไรกับฉันปะเนี่ย  แต่บอกไว้ก่อนว่าใจพี่ไม่ว่างแล้วนะครับ"

    ร่างสูงปิดประตูพร้อมกอดอกเดินตามหลังยกยิ้มอย่างยียวนกวนอารมณ์   คนน้องจึงรีบหันกลับมาทำหน้าเอือมให้ผู้เป็นพี่

    "เอ้า! นึกว่าหัวใจจะว่างซะอีก เห็นโดนทิ้ง" เคนแสร้งทำหน้าไร้เดียงสาแบบตลกร้าย

    "ไอ้เด็กนี่! เดี๋ยวก็ตบออกไปนอกห้องซะเลย คนยิ่งเฮิร์ทๆอยู่...." เดย์ง้างหลังมือเรียวยาวสีน้ำผึ้งขึ้นอย่างนักเลง

    "ป๋าใจเย็นๆดิ....เฮ้ย! เจ๋งวะ"

    เคนใช้มือป้องหน้าหลบหลังมือของคนพี่ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปในห้องอย่างตื่นเต้นในทันทีที่เห็นรังหนูนี้ถูกตกแต่งไปด้วยชุดเครื่องดนตรีทั้ง กลอง กีตาร์เบส กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์โปร่ง คีย์บอร์ดและจอคอมขนาดใหญ่ใหม่เอี่ยมไว้เพื่อสำหรับตัดต่อเสียง ซึ่งเดย์ขอให้พี่เลี้ยงที่บ้านช่วยติดต่อคนที่จะสามารถเนรมิตห้องดนตรีเก็บเสียงนี้ให้เขาได้ภายในไม่กี่วัน

    "ตื่นเต้นทำอย่างกับไม่เคยเห็น"

    เดย์ส่ายหัวเดินตามหลังคนตัวสูงใหญ่ ที่กำลังสนอกสนใจกีตาร์เบสห้าสายสีดำมืดตัวหนึ่งอยู่

    "ทั้งหมดนี่แพงไหมพี่"

    "ของมือสองเหลือเดนทั้งนั้นแหละ ...จำไว้นะเคน นักดนตรีไม่จำเป็นต้องใช้ของแพงให้สิ้นเปลืองหรอก มันอยู่ที่คนเล่นว่าจะเล่นออกมาให้ดีได้หรือเปล่า"

    เดย์ใช้มือลูบกีตาร์ไฟฟ้าสเตโทรคาสเตอร์พลางยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

    "ป๋าเท่จังเลย ไอดอลของผม" คำพูดเท่ๆนี้จึงทำให้เขาได้รับสัมผัสอ้อมกอดซบจากเคนที่น่าขนลุกอย่างเลี่ยงไม่ได้

    "บางทีแกก็..น่ากลัวไปนะ"

    เดย์เหล่มองเคนอย่างหวั่นเกรง

    "อุ้ย! แหะๆ ลืมตัว....ว่าแต่ป๋าจะทำเพลงขายเองหรือไงถึงได้ต้องมีเครื่องดนตรีครบขนาดนี้"

    เคนถูคออย่างเก้อเขิน  ทว่าเดย์กลับก้มหน้าหลบตาพยักหน้าเบาๆให้เป็นคำตอบ ส่วนเคนพักทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าปริปากอีกครั้ง

    ป๋าได้ติดต่อกับดาริณบ้างไหมเดี๋ยวนี้"

    เป็นฝ่ายเดย์ที่ก้มหน้ามองพื้นอย่างเหม่อลอยบ้าง พลางส่ายหัวให้เป็นคำตอบ

    เฮ้อ! ช่องทางติดต่อมันก็มีอยู่ แต่เจ้าตัวอยากตอบกลับมาหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ

    แล้วป๋าคิดว่าป๋าจะเอายังไงต่อ…” เคนก้มหน้ามองพื้น รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

    ไม่รู้เลยว่ะ มืดแปดด้าน

    คำตอบที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเดย์นั้นฟังดูเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง

    ถ้ามันบั่นทอนจิตใจป๋าขนาดนั้น ก็ยอมแพ้ไปเถอะป๋า ผู้หญิงบนโลกนี้มีตั้งเยอะแยะน่า

    แต่แบบดาริณมีคนเดียวนะเคน

    แต่....ดาริณทิ้งพี่ไปแล้ว เข้าใจไหม

    ดาริณทิ้งพี่เพราะเธอคงไม่พร้อม...ถ้าเธอตั้งใจทิ้งพี่จริง คงไม่ยอมเป็นแฟนพี่

    เป็นแฟน?”

    ใช่ เราเป็นแฟนกันแล้ว

    เคนถอนหายใจ ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วจึงเบี่ยงสายตาไปทางอื่น

    "แล้วป๋า....จะออกจากวงเหรอ"

    "ไม่

    “............”

    ว่าแต่แกมาหาฉัน..มีอะไรรึเปล่า

    "ที่มาเนี่ยเพราะ...เอ่อ...”  เคนลังเลเล็กน้อยก่อนจะโพล่งความในใจออกมาตรงๆ

    พี่เดย์....กลับไปอธิบายให้ทุกคนเาเข้าใจเถอะนะว่าพี่กับพี่มินซูเป็นเพื่อนกันจริงๆ"

    "พี่อธิบายไปหมดแล้ว พูดไปก็เหมือนแก้ตัว ไม่มีใครเชื่อคำพูดพี่หรอกเคน" เดย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เดินปลีกตัวเข้าห้องครัวไปดื่มน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนาที่จะก่อไฟโทสะให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง 

    "แต่ตอนนี้ทุกคนคิดว่าพี่กับพี่มินซูย้ายตามกันมา เข้าใจไหม"

    "ก็ถ้าพวกเขาคิดได้แค่นั้น ก็สุดแล้วแต่เถอะ พี่ก็ย้ายของออกมาอยู่คนเดียวแล้วนี่ไง ไม่ทำให้ใครต้องมาอึดอัดใจที่ต้องเห็นหน้าพี่แล้ว จะอะไรกันอีกวะ"  

    เดย์หันมาจ้องเคน  ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพรวดจนหมดในคราวเดียว  พลันกระแทกวางแก้วไว้บนเคาน์เตอร์ลายหินแกรนิโทนสีเทาอย่างหัวเสีย

    "มันเป็นการเข้าใจผิดกันไปหมด...ใช่ไหมพี่"    ขอให้ทั้งหมดมันเป็นแค่การเข้าใจผิดกันก็พอ  เคนยินดีและยอมจะช่วยเหลือพี่ชายคนนี้อย่างสุดกำลัง  ทว่าสีหน้าท่าทางและอารมณ์ฉุนเฉียวของเดย์กลับทำให้เคนเองชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง  เหตุใดเดย์จึงกลับทำเหมือนกำลังยอมรับผิด เหตุใดเขาถึงไม่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาถึงไม่พยายาม? หรือมันคือเรื่องจริง? ถ้าอย่างนั้น...ดาริณละ?

    "แกมาที่นี่ก็เพราะแกไม่เชื่อฉันอีกคนใช่ไหม งั้นก็กลับไปซะ! ฉันไม่มีอะไรจะอธิบายเหมือนกัน"

    คนร่างสูงโปร่งส่งสายตาดุดัน ก่อนจะชี้นิ้วขวางไปที่ประตูเป็นเชิงไล่

    "เฮ้ย! พี่เดย์ใจเย็นก่อนดิวะ.... ที่มาเนี่ยก็อยากมาช่วยเคลียร์ทุกคนให้หันหน้ามาคุยกันสักที พี่ก็รู้ว่าผมกุมความลับเรื่องพี่กับพี่มินซูมานานแค่ไหน ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรคืออะไร แต่คนอื่นไม่ได้มารับรู้เหมือนผมนี่พี่"

    เคนจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาของเดย์

    "ไม่เล่า! จะทำไม! ใครจะอยากคิดยังไงก็เชิญ ในเมื่อทุกคนไม่แคร์ความรู้สึกของฉัน ฉัน...ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกใครเหมือนกัน ออกไป!”

    เดย์ส่งสายตาขึงขังอย่างหาเรื่อง เพราะตอนนี้เขาไม่อยากจะกลายเป็นคนอ่อนแอต่อหน้าใคร เขาต้องเข้มแข็ง เขาจะไม่มีวันร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่มีวันเสียหรอก!

    "ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง พี่คิดถึงแต่ตัวเอง พี่ไม่เคยใส่ใจว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง พี่ถึงเสียทุกคนไปแบบนี้  ที่พี่จีซุนและทุกคนโกรธพี่อยู่แบบนี้ก็เพราะอะไรล่ะ เคยมาลองนั่งนึกย้อนมองดูการกระทำของตัวเองบ้างไหมห้ะ! พี่จีซุนโกรธก็เพราะพี่เอาแต่คอยไปหาพี่มินซู  รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่านี่เมียเพื่อนแต่ก็ยังแอบไปหากัน  พี่เคยคิดในมุมกลับกันบ้างไหม เคยเอาใจของเขามาใส่ใจเราบ้างไหมว่าคนที่สำคัญในชีวิตพี่จะรู้สึกยังไงอะ!...โลกนี้ไม่ได้มีแค่พี่เป็นศูนย์กลางจักรวาลนะเว้ย!"                           

    เคนโพล่งความในใจออกมาทั้งหมดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวยากเกินควบคุม เขาให้โอกาสเดย์แล้ว โอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เดย์จะได้จากน้องสุดที่รักคนนี้ เขาอดทนกับเดย์มามากพอแล้ว พอกันที

    "อย่ามาพูดมั่วซั่วแบบนี้นะ! ถ้าไม่คิดจะอยู่ข้างฉันแกก็ออกไปซะ!“

    เดย์ตะโกนย้ำอย่างหนักแน่น พลางชี้นิ้วขวางไปที่ประตูทางออก

    "ผมน่าจะเชื่อทุกคนตั้งแต่แรก  พวกเขามองพี่ไม่ผิดจริงๆ  ผมมาที่นี่เพราะผมเชื่อในตัวพี่  แต่ในเมื่อพี่ไม่จำเป็นต้องมีใครอยู่ข้างพี่เพราะคิดว่าพี่อยู่ตัวคนเดียวได้....ก็ช่างเถอะ...ขอโทษที่มารบกวน ผมจะไม่มากวนใจพี่อีกแล้วล่ะ  เชิญอยู่คนเดียวตามสบาย"

    เคนยกยิ้มที่มุมปาก กำหมัดราวกับรู้สึกสาแก่ใจ  ทว่าอันที่จริงเขากลับรู้สึกเจ็บปวดกับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ มันเป็นความรู้สึกราวกับว่ากำลังเสียพี่ที่เขาเคารพรักไปแล้วอย่างแท้จริง เคนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเดย์ เขาเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเดย์ แต่เดย์กลับไม่เคยเห็นคุณค่าในมิตรภาพพี่น้องที่แน่นแฟ้นนี้เลย พูดจบบทเคนจึงเดินผ่านหน้าของเดย์ไปอย่างไม่ใส่ใจไยดี ส่วนเดย์ก็กำมือแน่น จ้องมองพื้นปล่อยน้ำตาของลูกผู้ชายให้ไหลริน  เขารู้สึกราวกับกำลังโดนฝ่ามือตบหน้าลงมาฉาดใหญ่ ทำให้เขาเริ่มได้สติ

    ปัง!

    วินาทีที่เคนเดินออกห้องไปเตือนสติเดย์กลับคืนมา

    แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว

     

     

                                     ----------------------------------------------------------------------

     

               เป็นเวลาสองเดือนเศษตั้งแต่วันนั้น  ที่มินซูหายไปจากชีวิตของผม ผมเฝ้าตามหาเธอทุกวิถีทางเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ทั้งโทรหาเพื่อนแอร์โฮสเตสของเธอ แต่กลับต้องพบแต่ความผิดหวัง เมื่อเพื่อนๆนางฟ้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอขอลาหยุดพักร้อนเป็นเวลาเกือบเดือน ทั้งลองไปตามหาที่บ้านพ่อแม่ของเธอก็แล้ว  แต่กลับไร้วี่แววของร่างเล็กสูงโปร่งที่คุ้นเคย  แม้ช่วงนี้ผมจะสามารถออกงานโปรโมทเพลงได้คล้ายเป็นปกติ ทว่าหากลองสังเกตดีๆจะมองออกว่านี่ไม่ใช่ผมคนเดิม ผมกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจไปแล้วเมื่อชีวิตขาดเธอไป...

    คำถามร้อยแปดพันเก้าวิ่งวนชนกันไปมาในสมองจนทำให้ผมปวดหัว และทางเดียวที่จะทำให้ผมลืมความปวดร้าวนี้ไปได้  ก็เห็นจะมีเสียแต่น้ำสีน้ำตาลใสกับกล่องมวบุหรี่ขอบสีเขียวคู่ใจ  ที่ผมมักใช้เวลาว่างทั้งหมดที่ผมมี นั่งพิงหลังกับเคาน์เตอร์ในห้องครัว เฝ้ารอคอยการกลับมาของมินซูอย่างมีหวัง แม้มันจะริบหรี่ก็ตาม ผมไม่สนเหรอกว่าเธอจะได้เห็นผมในสภาพไหน ผมขอยืนยันที่จะรอเธอไปแบบนี้ ขอแค่ได้เจออีกครั้งก็พอ  พลางเพลิดเพลินกระดกดื่มสุราราคาแพงจนหมดไปสองขวด  จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบปล่อยให้อารมณ์พาหัวใจล่องลอยไปหาความฝันที่อยู่แสนไกล พาลรู้สึกเคลิบเคลิ้มคล้ายตัวลอย  ทว่ามันกลับไม่สามารถรักษาความเจ็บปวดที่มีได้  อาจเป็นเพราะมันคงฝังรากลึกยากเกินที่จะเยียวยา  ผมต้องการหมอของผม หมอที่หายตัวไป คุณหมอที่ชื่อมินซูเพียงคนเดียวเท่านั้น

    ก็อก! ก็อก!

    เสียงเคาะประตูนั้นคือมินซูใช่ไหม ผมเด้งลุกขึ้นจ้ำอ้าวเดินไปเปิดประตูทันทีอย่างไม่รีรอ แล้วก็พบว่าเป็นเธอจริงๆ สายตาเพ่งมองไปบนใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาชั้นเดียวกลมโตใสซื่อ จมูกเล็กโด่งรั้น และปากบางใสที่น่าจูบของเธอนั้นมันยิ่งทำให้ผมยิ้มเคลิ้มอย่างไร้สติ

    'ฉันคิดถึงเธอเหลือเกินมินซูที่รัก'

    ห้วงความคิดถึงทำให้ผมคว้าหญิงสาวตรงหน้ามาบดจูบอย่างโหยหา ก่อนจะไล้จมูกไปที่ซอกคอของเธอ แต่นึกขึ้นได้...มินซูไม่ได้ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้นี่!

    "จีซุน...อื้ออ" เธอใช้มือขยำหัวของผม พลันเรียกสติกลับคืนมาได้ จึงรีบผละออกจากเธออย่างรวดเร็ว

    "เธออออ ไม่ใช่มินซู...ออกไป!"

    ผมพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่เหลือน้อย ไล่หญิงสาวที่ผมเจอในผับชั้นใต้ดินที่ประจำของผม อย่ามาถามถึงชื่อเลยว่าเธอชื่ออะไร ผมไม่เคยจำชื่อเธอได้สักที

    "แต่คุณส่งข้อความมาหาฉันนี่" เธอบ่นอุบพลันรีบยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ก่อนที่ผมจะปามันทิ้งไปอย่างไม่ยดี

    "ฉันบอกให้ออกไปไง เธอไม่ใช่มินซู ออกไป!" ผมผลักเธอจนล้มด้วยพิษสุราที่ทำให้ผมเมามายอย่างไร้สติ

    เพี๊ยะ!

    "คุณจะต้องเจ็บที่ทำกับฉันแบบนี้จีซุน"

    ช่างเถอะ มันคงไม่มีอะไรที่ทำให้ผมเจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว คนตัวบางร่างสูงโปร่งในเสื้อเดรสสีแดงรัดรูปเดินตึงตังจากผมไป ผมจึงเดินเซไปปิดประตูก่อนจะเดินกลับมาที่ตู้เย็น  ควานหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมนั้นเมามายและผล็อยหลับไป จนกระทั่งเจอแพ็คกระป๋องเบียร์ที่ยังไม่ได้แกะนั้นยังคงถูกวางไว้คาตู้ ผมจึงแกะมันออกมาจัดการสักกระป๋อง พลางกลับไปนั่งพื้นหลังพิงเคาน์เตอร์เพื่อจุดบุหรี่มวนสุดท้ายของกล่องขึ้นมาสูบเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยอีกครั้ง

    แต่...กระป๋องเบียร์ยี่ห้อนี้มันมาอยู่ในตู้เย็นของมินซูได้อย่างไรกัน มันช่างดูคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าผมพึ่งเคยเห็นแพ็คกระป๋องเบียร์นี้จากที่ไหนมาก่อน? ครุ่นคิดพร้อมกระดกเข้าไปอีกหน ก่อนจะสูบบุหรี่มวนที่คีบค้างไว้ในมือเข้าไปอีกครั้ง และแล้วภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวจนทำให้ผมตาสว่าง

    นี่มันต้องเป็นเบียร์ที่เดย์เคยซื้อมาทิ้งไว้แน่....

    'ไอ้เดย์ต้องรู้ว่ามินซูอยู่ที่ไหน มันเป็นชู้กับมินซูนี่ ทำไมถึงพึ่งนึกออกวะ?!?!'

    ---------------------------------------------------------------

     

    ภายในห้องสไตล์วินเทจมีเพียงฉันและดงวุกนั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพังสองคน ฉันนั่งกอดเข่าเหม่อมองภาพสีจากโทรทัศน์จอแบนที่แสดงฉากของชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกำลังทัดผมให้หญิงสาว พลางส่งสายตาอ้อนรัก เมื่อถึงฉากที่พระเอกเริ่มโน้มใบหน้าหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้ชิดกับใบหน้าเล็กของนางเอก ดงวุกจึงเริ่มโน้มตัวไปข้างหน้า มือสองข้างประสานกันเพื่อเท้าคาง สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น  ทว่าฉันกลับเป็นกังวลเกินกว่าจะมีสมาธิดูฉากรักอะไรทั้งนั้น ได้แต่นั่งกอดเข่าหลบตามองพื้นอย่างเศร้าสร้อย

    ครืด! ครืด!

    @Darinee ดึกป่านนี้แล้วคุณหลับหรือยังนะ คิดถึงเลยขอส่งข้อความก่อนนอน ส่งรูปอิโมติคอนริมฝีปากจุ๊บ-‘

    เสียงข้อความแจ้งเตือน พลันทำให้ฉันตื่นขึ้นมาจากห้วงภวังค์ ฉันจึงรีบคว้าโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความตอบซงในทันที

    @Songsaboutyouu กำลังนั่งดูหนังกับรูมเมทค่ะ คุณซงจะนอนรึยังคะ

    หลังจากนั้นฉันจึงวางโทรศัพท์ แล้วกลับเข้ามาสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิดของฉันอีกครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดจนทำให้ฉันเริ่มรู้สึกกลัว ปล่อยน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

    'เราคงเครียดมากไป มันเลยยังไม่มาใช่ไหม'

    ครืด! ครืด!

    @Darinee คิดถึงจัง ฝันดีนะครับ ส่งรูปอิโมติคอนริมฝีปากจุ๊บ-‘

    ข้อความแสนหวานหยดย้อยไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกคลายกังวลไปได้เลยแม้แต่น้อย ฉันจึงวางโทรศัพท์ เพิกเฉยที่จะตอบข้อความกลับ บัดนี้ความเครียดสะสมได้ถาโถมทำให้ฉันคิดมาก  ปาดน้ำตาที่ตกลงมาด้วยอารมณ์อันแสนสับสนปนเปยากเกินอธิบาย จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ฉันรู้แค่เพียงว่า...ฉันกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นที่สุด

     

     

    -----------------------------------------------------------------------------

     

    'ที่รักคะ ตื่นได้แล้ว....'

    เสียงอ้อนออเซาะอันแสนอ่อนหวานดังขึ้น พร้อมสัมผัสฟันขบบนติ่งหูของผมอย่างแผ่วเบา ราวกับเป็นเชื้อเพลิงแห่งไฟร้อนรักที่กำลังปะทุไปทั่วร่างกาย พลางทำเอาผมถึงกับรู้สึกเสียวซ่านจนต้องกัดปากตัวเองแรง

    'คิดถึงเดย์นะคะ...' เสียงนั้นยังคงกระซิบอ่อย พร้อมรับสัมผัสจูบงับขบตรงบริเวณซอกคอหนากำยำ ผมเองก็คิดถึงคุณ เคยรู้ตัวบ้างไหมดาริณ...

    เธอยังคงบดจูบย้ำไล่ลงมาที่หน้าอกกำยำ ช้อนตาขึ้นมามองพร้อมยกยิ้มมุมปาก ผมลอนสลวยของเธอถูกเสยให้กองมารวมกันอยู่ที่ไหล่ข้างหนึ่ง เผยให้เห็นไหล่กลมมนและซอกคออีกด้านที่เปลือยเปล่า ผมปรือตามองเธอที่บัดนี้กดมือทั้งสองข้างของผมไว้  แล้วจึงจ้องลึกเข้ามานัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอย่างวางอำนาจ  คุณอยากทำอะไรก็แล้วแต่ ผมยอมแล้ว ผมยอมหมดทั้งหัวใจ

    'ผมรักดาริณได้ยินไหมครับ'

    เธอเลื่อนใบหน้าขึ้นมาแนบชิดกับใบหน้าของผม บัดนี้ปลายจมูกโด่งของเราสองเสียดสีกันอย่างห้ามไม่ได้ เธอยกยิ้มแล้วจ้องมองลงมาที่ริมฝีปากของผมบ้าง จากนั้นเราสองจึงประสานสายตาเย้ายวนกัน  รู้ตัวอีกที ผมก็ได้รับสัมผัสประทับจูบที่ริมฝีปาก ผมตอบรับจูบนั้นอย่างโหยหา...ผมคิดถึงดาริณ 

    เธอจะรู้บ้างไหมว่าผมเฝ้ารอคอยที่จะเจอเธออยู่ทุกวัน คิดถึงเธอจนแทบเป็นบ้า  ผมประสานจูบกับเธออย่างเร่าร้อน  ก็คนมันคิดถึง ผมขอจูบเธออยู่แบบนี้ได้ไหม ผมไม่อยากปล่อยเธอให้หนีไปไหนอีกแล้ว.....

    เฮือก!

    ผมเบิกตากว้าง ตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝันอันสุดแสนเร่าร้อนกับคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ  นอนหอบเหนื่อยอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดมิดบนเตียงนุ่มอันแสนกว้างใหญ่ มีเพียงเงาแสงจันทร์ลงมากระทบกับประตู ส่องแสงริบหรี่ ผมจ้องมองเพดานอย่างเหม่อลอยทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ผมฝันแบบนี้แทบทุกคืนตั้งแต่กลับมาจากโอซาก้า อาการโหยหาอ้อมกอดของดาริณช่างทรมานใจ ภาพยามฝันอันแสนหอมหวาน กลับแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่นในยามตื่น ไม่รู้ว่าในห้วงความคิดหนึ่งของเธอจะมีผมอยู่บ้างไหม ขอวิงวอนฟากฟ้าช่วยทำให้ผมได้พบกับเธออีกสักครั้งจะได้ไหม

    พลิกตัวกลับมานอนกอดและมุดใบหน้าลงกับหมอนข้างสีเทาหม่น หลับตาลงนึกถึงบทสนทนาผ่านทางโทรศัพท์กับครอบครัวจากประเทศอังกฤษ สุดท้ายครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในยามที่ผมไม่เหลือใคร

    พ่อครับ ผมอยากกลับอังกฤษ ผมไม่อยากอยู่ที่เกาหลีแล้ว ผมกลับได้ไหม

    'เจ้าเดย์งอแงเป็นเด็กไปได้ เกิดอะไรขึ้นกับลูกพ่อหือ?’ ใบหน้าหล่อคมต้นแบบของชาวเกาหลีแท้ส่งยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู ผ่านโปรแกรมวิดิโอคอลที่ผมและครอบครัวมักใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารกัน

    'โธ่! พ่อ ผมไม่ได้งอแงเป็นเด็กสักหน่อย แต่เรื่องที่ผมเจอ มันหนักเกินกว่าที่ผมจะรับมือไหวผมวางสายตามองไปทางอื่น เพราะไม่อยากให้พ่อเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของผม

    'อะไรกัน อยู่ๆก็อยากกลับอังกฤษ ทั้งๆที่เมื่อก่อนโวยวายกับพ่อแทบเป็นแทบตายจะอยู่ทำเพลงที่เกาหลีให้ได้ แล้วเป็นยังไง? ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนใจล่ะ?’

    'ก็...ผมโดนเพื่อนในวงบอยคอ ผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมไม่เหลือใครแล้วที่นี่

    'นั่นไง พ่อเคยเตือนแกแล้วใช่ไหมว่าวงการบันเทิงมันโหดร้าย แกก็ไม่เชื่อพ่อเลย

    'พ่อ….ผมอยู่ไม่ไหวแล้ว ผมกลับอังกฤษได้ไหมผมส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อให้ผู้เป็นพ่อเห็นด้วยกับความคิดของผม

    'ถ้าเดย์จะกลับมาอยู่อังกฤษอย่างาวร พ่อไม่เคยห้ามหรอกนะ แต่...พ่อไม่อยากสอนลูกชายคนเดียวของพ่อให้หนีปัญหา มันจนมุมขนาดนั้นเลยเหรอ?’

    ไม่...ผมไม่ได้หนีปัญหา ผมแค่ทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหว

    ผมพลิกตัวกอดหมอนข้างอย่างรู้สึกปวดร้าว น้ำตาที่แห้งเหือดกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นนั่งเผชิญความมืดมิด ใช้มือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตา ก่อนจะลูบขึ้นเสยกลุ่มผมสลวยสีน้ำตาลเข้ม พ่นลมหายใจออกทางปากเพื่อเป็นการระบายความตึงเครียดนี้ พลางเดินลุกออกจากเตียงมาที่ห้องซ้อมดนตรี แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เบาะหนังนุ่มสีดำที่วางอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ คว้าสมุดกวีคู่ใจขึ้นมาจดบทกวีที่ผมนึกขึ้นมาได้ตามความรู้สึก

    ตัวผมเปรียบเสมือน

    เครื่องบินรบปลดประจำการ

    ไร้ซึ่งคนเหลียวแล เก่าและผุพัง

    หวังเพียงใครสักคนจะหันกลับมา

    สนใจซ่อมใต้ท้องเครื่องเก่าในโกดัง

     

    **

    ใบพัดที่เคยแกว่งไกว

    ดุจดั่งทหารกล้าพร้อมออกรบ

    บัดนี้ผุพังสนิมเกาะ อ่อนไหว

    ใบพัดนี้จะไม่มีวันหมุนอีกแล้วใช่ไหม

    ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่หมุนมันอีกแล้ว

    คุณจะมาซ่อมมันได้ไหม

    เมื่อไหร่คุณจะมา?

     

    ผมใช้นิ้วลูบกระดาษโน้ตที่ปรากฏรอยหมึกปากกาสีเข้ม เป็นตัวอักษรภาษาเกาหลีแบบหวัดๆ แล้วจ้องมองมันอย่างเหม่อลอย ติดอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดของผมเนิ่นนาน ใช้ต้นแขนเอี้ยวมาปาดน้ำตาที่เอ่อล้น ผมรอดาริณมาซ่อมใบพัดที่เก่าและผุพังนี้ ผมจะรอเธอมาซ่อมมัน...เธอคนเดียว

     

    @Darinee ขอโทษที่รบกวนคุณตอนตีสามกว่าแบบนี้... คุณสนใจอ่านบทกวีของผมไหม?’

     

    ----------------------------------------------------------------

     

    "ทำไมพี่ไม่ไปซ้อมดนตรีวะ.....”

    เคนสูดจมูกฟุดฟิด พลางใช้มือคอยปัดกลิ่นสุราผสมบุหรี่ไหม้ค้างคืนที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งเตะจมูกจนอึดอัด พลางเดินตามหลังคนร่างสันทัดกำยำไปยังโซฟากมะหยี่สีครีม บัดนี้เขาได้เดินโซเซทิ้งตัวลงนอนหลับ โดยไม่สนใจผู้มาเยือนคนใหม่เลยสักนิด

    "พี่จีซุนตื่น! ตอนช่วงเช้าเค้าซ้อมดนตรีกันก็ไม่ไปซ้อม"

    เคนใช้กำลังทั้งฉุดทั้งดึงแขนกำยำอันหนักอึ้งให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะพิษสุราได้ทำให้เขาเมามายหมดเรี่ยวแรงตัวหนักขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

    "แล้ววันนี้จะไปเล่นดนตรีไหวได้ยังไงวะเนี่ย พี่จีซุน พี่มีเล่นมินิคอนเสิร์ตในผับนะเว้ยวันนี้อะ"

    จีซุนยังคงหลับใหลไร้สติ ทำให้เคนยืนท้าวเอวด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาซงโฮ

    "พี่ซงโฮ พี่จีซุนเมามากเลยทำไงดี" เคนยืนกุมขมับอย่างหมดหนทาง

    'เฮ้อ! งั้นช่างมันเถอะ มันพึ่งโดนมินซูทิ้ง คงเฮิร์ทอยู่ แกก็ช่วยดูมันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวคืนนี้พี่จะแทนมันเอง'

    "อือ...เอางั้นนะพี่"

    'ว่าแต่ เราจะทำให้เดย์กับจีซุนมันคืนดีกันได้ยังไงวะเนี่ย'

    "ขนาดพวกเขายังไม่พยายามที่จะคืนดีกันเลยพี่ พวกเราจะทำยังไงได้"

    'เฮ้อ! สงสารมันเหมือนกันนะ เรียกกินข้าวด้วยก็ไม่มา มันคงอึดอัด แกต้องพยายามทำให้สองคนคืนดีกันให้ได้นะเคน ถ้าสองคนนี้คืนดีกันได้เมื่อไหร่ คนที่เหลือจะเข้าใจกันเองล่ะ

    ก็อก! ก็อก!

    "เฮ้ย! พี่ผมวางก่อนนะ มีคนมา" พลันกดโทรศัพท์วางสายในทันที ก่อนจะรีบปรี่เดินหาที่หลบซ่อน ซึ่งก็ได้เคาน์เตอร์เป็นกำบังจำเป็นแก้ขัดไปได้ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าส้นเข็มเดินต็อกแต็กเข้ามาภายในห้อง เมื่อแอบมองดู จึงได้พบกับสาวร่างสูงโปร่งในเสื้อแขนกระบอกผ่าอกกับกางเกงสกินนี่ยีนส์ ที่ทำให้ทรวดทรงองเอวของเธอนั้นดูเด่นชัดขึ้นมา ใบหน้าเล็กพร้อมตาสองชั้นกลมโตนั้นทำให้พอเดาได้ว่าเธอไม่ใช่ชาวเกาหลีแท้ แล้วเหตุใดเธอจึงมีกุญแจสามารถเปิดเข้ามาในห้องของจีซุนโดยพลการได้? เธอเป็นใครกัน?

    "จีซุน ตื่นได้แล้ว" ร่างสูงโปร่งท้าวเอวบางของตัวเองก่อนจะใช้มือเสยผมยาวเส้นตรงสลวยของเธออย่างรู้สึกหงุดหงิด

    "อื้อ..." ร่างสันทัดกำยำยังคงนอนคว่ำปล่อยใบหน้าของเขาฟุบคว่ำลงบนโซฟา เส้นผมสีดำสนิทปรกทั่วใบหน้าจนสาวร่างสูงโปร่งอดใจไม่ไหว จึงเสยมันขึ้นเพื่อเปิดหน้าผาก ทว่าจีซุนยังคงหลับใหลไม่ไหวติง

    "ไม่เอาน่าจีซุน แค่ผู้หญิงคนเดียวจะเพ้อหาอะไรนักหนา สู้มาสนุกกับฉันดีกว่า" ได้ยินดังนั้นแล้วเคนถึงกับต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างรู้สึกประหลาดใจ หรือนี่จะเป็น 'เด็กในสังกัดที่คนในวงร่ำลือถึง?

    เธอค่อยๆจับจีซุนให้พลิกนอนหงาย แต่ดูเหมือนคนเมานั้นจะไม่ยอมท่าเดียว พร้อมทำหน้ามุ่ยราวกับหงุดหงิดนักหนา

    ไม่เอาน่า...อย่าดื้อสิคะเธอก้มลงหอมแก้มจีซุนฟอดหนึ่ง จนเขาเผยอปากอมยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม

    ชอบจังเลย หอมอีกทีสิ

    หล่อนยกยิ้มมุมปากบ้าง ก่อนที่จะเดินเข้ามาทางเคาน์เตอร์ห้องครัวใกล้ๆ จนเคนต้องรีบลุกเดินย่องเปลี่ยนที่ซ่อน จึงได้เห็นเธอกำลังยืนบิดผ้าขนหนูผืนเล็ก พร้อมตวงน้ำใส่ชามแล้วเดินกลับไปหาจีซุน  เธอก้มตัวลงพลางใช้ผ้าชุ่มน้ำหมาดๆเช็ดทั่วใบหน้าขาวใสของเขา ก่อนจะเลื่อนมาเช็ดตามแขนและลำตัวตามลำดับ

    "มินซูเหรอครับ...สบายจัง" ใบหน้ารูปไข่คอพับยกยิ้มปากอวบอิ่มสีคล้ำขึ้นอย่างพอใจ เธอชะงักครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนใบหน้าหวานสวยเข้าใกล้จีซุนแล้วจึงประทับจูบที่ริมฝีปากของเขา

    "ถ้าไม่ใช่มินซูแล้วคุณจะโกรธไหม" จีซุนเขยิบตัวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยๆเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อคนตรงหน้ากลับไม่ใช่สาวที่เขาวาดฝันเอาไว้ แถมยังไม่ควรเผยตัวมาถึงที่นี่อย่างยิ่ง

    "ลาวีน เธอมาทำอะไรที่นี่!"

    จีซุนสร่างเมาในทันที เด้งตัวลุกขึ้นกระชับไหล่เล็กของสาวร่างสูงโปร่งตรงหน้าเอาไว้

    ก็มาหาที่รักไง จีซุน ไปอาบน้ำกันเถอะ

    ลาวีนเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้จีซุนอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับเป็นเขาที่เบือนหน้าหนีออกไปอีกทางอย่างกระอักกระอ่วน

    ลาวีน คือฉันว่าเราไม่ควรเจอกันอีกแล้วนะ ฉันมีคู่หมั้นที่ฉันจริงจังด้วยแล้ว เรื่องที่ผ่านมา ก็ขอให้มันเป็นเพียงแค่ความทรงจำของเราไปก็แล้วกันนะเธอใช้นิ้วชี้หยุดริมฝีปากอวบของจีซุนเอาไว้ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากพลางส่ายหัวเล็กน้อย

    จุ๊ๆ ...อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะที่รัก

    ขอโทษนะ วันนี้ไม่มีอารมณ์ กลับไปก่อนเถอะ

    เหรอ

    เธอยกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือเรียวลูบไล้อกกำยำ เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ

    ยะอย่า..”

    ไว้ถ้าร่างกายของเธอปฏิเสธฉันได้เมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกันใหม่นะ

    จีซุนเริ่มหายใจหอบรัญจวน ส่วนลาวีนนั้นเล่นสนุกกับร่างกายกำยำของเขาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็ยอมพ่ายแพ้ให้กับอารมณ์รักเร่าร้อน พลันรีบลุกขึ้นแล้วพากันเดินตามไปยังห้องน้ำ เมื่อทางสะดวกแล้วเคนจึงปลีกตัวออกมาจากห้อง แสดงสีหน้าฉงนสงสัยกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาเมื่อครู่ เขามีกุญแจเข้าห้องจีซุนได้น่ะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ลาวีน….

    อย่าบอกนะว่าจีซุนเริ่มจริงจังกับแม่นี่แล้ว? จะบ้าตาย ผมพาจีซุนไปเปิดโลกกว้าง ไม่ได้ให้มั่วนารีแบบนี้เสียหน่อย แม่นี่จะทำให้ผมเสียแผนหมดหรือเปล่า?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×