ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 13

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 651
      20
      9 พ.ค. 63

    CHAPTER 13

     

                บางที...ความเจ็บปวดอาจต้องได้รับการชดใช้

    ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศภายนอกที่มืดสลัว ท้องฟ้ากระจ่างใสแปรเปลี่ยนเป็นสีครามและกำลังมืดลงเรื่อยๆ แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องเริ่มส่องสว่างเป็นประกายระยิบระยับ ผมเพลียจัดจนลืมไปเสียแล้วว่าวันนี้ผมมีคิวเล่นดนตรีในผับ  ทว่าเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความแล้วกลับพบกับความว่างเปล่า ไร้ซึ่งข้อความเตือนหรือต่อว่าใดๆให้ผมต้องรีบแจ้นไปเล่นดนตรี  ซงโฮคงสามารถหาวิธีจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ตามเคย เขาแก้ไขได้เสมอ เขาเก่งอยู่แล้ว ทว่าผมยังมีอีกเรื่องคาใจที่จำเป็นจะต้องหาคำตอบ พาลรีบจัดการสวมใส่เสื้อยืดคอวีสีเทา ในขณะที่กำลังปล่อยใจให้จดจ่ออยู่กับความคิดเดิมวนซ้ำไปมา  การที่มินซูหายไปทั้งๆที่เรื่องเก่ายังไม่ทันสะสางให้เข้าใจกันดีนั้น มันยิ่งส่อเป็นพิรุจนน่าสงสัย เหตุใดเธอจึงขอถอนหมั้นกับผมได้ง่ายดาย เหตุใดเธอถึงตัดผมออกจากชีวิตของเธอได้ง่ายดายอย่างไร้เยื่อใย ไม่ใช่ว่าเธอหมดรักผมไปนานแล้วหรอกหรือ และคนใหม่ของเธอที่ผมพอจะนึกออกนั้น มันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันมากนักหรอก   เพราะมันคงไม่มีปัญญาหาผู้หญิงเป็นของตัวเอง ทว่าความคิดไม่กี่ประโยคกลับคอยทิ่มแทงใจดำของผมจนทำให้รู้สึกเจ็บปวด

    ทำไมต้องเป็นเดย์?

    ทำไมต้องเป็นเพื่อนรักของผม?

    ทำไม?

    ใส่เสื้อผ้า และออกไปได้แล้วลาวีน

    ทันทีที่ใส่กางเกงสกินนี่ยีนส์สีดำเสร็จ ผมจึงเอี้ยวตัวหันมามองสาวร่างสูงโปร่งที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มหนาปกปิดเรือนร่างอย่างหมิ่นเหม่ พร้อมรอยช้ำรักสีอมชมพูโทนเข้มทั่วแผงคอระหง ทำให้ผมต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อสะกดเสือสวาทในกายนี้เอาไว้

    อื้อ….” เธอเปล่งเสียงอื้ออึงพลางขยับตัวเปลี่ยนท่านอน โดยหันหลังตะแคงข้างแทนออกไปได้แล้วลาวีน ฉันมีธุระ

    หึ! อยากให้ลุกก็ต้องทำตัวดีๆ ไม่ใช่ขึ้นเสียงกับฉันแบบนี้จีซุน

    เธอยกมือเรียวที่เล็บถูกแต่งแต้มด้วยสีดำและแดงสลับกันขึ้นมาเพ่งพิจารณาในความสวยงามของมันอย่างเพลิดเพลิน

    อะไรอีก?”

    นอนเดี๋ยวนี้

    เอาล่ะ ไม่อยากมีปัญหา ผมรีบ ผมมีธุระ ลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้าเถอะ

    ถ้าไม่นอน ฉันก็ไม่ลุก ผลประโยชน์น่ะ มันต้องต่างตอบแทนกันสิ จีซุน

    ผมถอนหายใจพยายามสะกดอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองเอาไว้ให้ลึกที่สุด เพราะเกรงว่าหากผลีผลามเหวี่ยงอารมณ์ใส่ เธอจะพาลไม่พอใจและหาทางกวนประสาทผมอีก ผมจึงตัดสินใจนอนราบลงไปบนเตียง รู้ตัวอีกทีลาวีนก็จัดการกดมือผมแล้วจึงใช้ฟันงับขบที่บริเวณลำคอจนรู้สึกเจ็บแสบ

    นี่เป็นการเตือน

    ตะ..เตือนอะไร

    ถ้าเธอไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา เธอต้องเชื่อฟังฉัน

    อย่าลาวีน...”

    เธอยังคงใช้ฟันเล่นกับลำคอของผมไม่หยุด

    เธอต้องฟังฉัน เข้าใจไหมจีซุน

    “............”

    เข้าใจไหมคะ

    เสียงกระเส่าของเธอเน้นย้ำหนักแน่นมากพอๆกับริมฝีปาก ที่บัดนี้ได้เลื่อนลงมาย้ำจูบยังแผงอกกำยำจนทำให้ฮอร์โมนแห่งความเป็นชายนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

    ครับ

    มีธุระไม่ใช่เหรอคะ งั้นก็ไปได้แล้วค่ะ

    เธอคลายมือที่บีบคางของผมไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วจึงคว้าเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ผมกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น พยายามข่มอารมณ์ร้อนรุ่มที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายให้ได้ พลันคว้ากุญแจรถและกระเป๋าสะพายข้างสำหรับใส่สัมภาระส่วนตัว แล้วรีบเดินจากไป

    ล็อคประตูให้ด้วยแล้วกันนะ

    ตอนนี้เรื่องมินซูนั้นสำคัญกว่ามาก ส่วนเรื่องของผม ...ค่อยกลับมาสะสางทีหลังก็แล้วกัน

     

    ---------------------------------------------------------------

     

    ผมเดินเข้ามาในผับชื่อดังแห่งหนึ่ง  กระชับเสื้อฮู้ดเพื่ออำพรางใบหน้าไม่ให้คนจำได้ ซึ่งมันก็ได้ผล ด้วยแสงไฟสีฟ้าผสมม่วงนั้นจึงทำให้สายตาของคนเรานั้นแย่ลงมาก  ผมเดินฝ่าฝูงชนที่เฝ้ารอคอยวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ขึ้นแสดงเพื่อตรงไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์  สั่งเบียร์มาดื่ม รอคอยเวลาที่จะได้สะสางเรื่องราวคาใจ  เสียงเบสผสมกีตาร์ทุ้มหนักแน่นทำให้ผู้ชมพากันโยกหัวเป็นจังหวะเดียวกัน ผมหรี่ตามองคนร่างสูงกำยำในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำขุ่นสกรีนลายโลโก้วง  เผยให้เห็นรอยสักรูปมังกรที่ต้นแขนขวา  วันนี้เขาดูเท่กว่าที่เคยด้วยผมรองทรงสูงไถข้างเดียว ปล่อยกลุ่มผมเส้นตรงสลวยสีน้ำตาลเข้มอย่างกระเซอะกระเซิง  ผมยกขวดเบียร์ในมือขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง  สายตาจับจ้องไปยังวงดนตรีที่ผมและเดย์ร่วมกันสร้างขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ พลางยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก เห็นที คืนนี้คงได้สนุกกันแน่

    "ใครโดนแฟนทิ้งมามั่ง ยกมือขึ้นมา!" 

    เดย์คำรามเสียงผ่านไมค์ ปลุกระดมให้ทุกคนได้ตะโกนเชียร์กันอย่างรู้สึกฮึกเหิม  ก่อนจะหันหลังไปคว้ากีตาร์โปร่งขึ้นมาเล่นเคล้าคลอบรรเลงไปตามทำนองเพลงที่ผสมกัน

    เพลงสุดท้าย ผมเชื่อว่าทุกคนรู้จักมันเป็นอย่างดี ขึ้นทำนองแบบนี้  รู้รึยังว่าเพลงอะไร?”

    “ROBOT”

    เดย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเฉี่ยวนั้นดูดุดันทุกครั้งเมื่อกวาดตามองลงมาจากบนเวที จิตวิญญาณแห่งความเป็นร็อคเกอร์แผ่ซ่านไปทั่วร่าง บรรพบุรุษแห่งวงการร็อคได้สถิตย์อยู่ในตัวตนของเดย์หมดแล้วในตอนนี้ เขาคำรามเสียงอย่างดุดัน ปลุกระดมให้แฟนเพลงเบื้องล่างเวทีนั้นรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง

    ไม่ได้ยินเลย เสียงมีกันแค่นี้เหรอ เอาใหม่...เพลงอะไร!”

    “ROBOT!!!”

    เขาเงยหน้าขึ้น หลับตาเฉี่ยวลง ขมวดคิ้วกัดปากพลางร่ายมือเล่นกีตาร์โปร่งอย่างมันมือ

    เหล่าผู้คุมนักโทษทั้งหลาย นักโทษผู้ทรงเสน่ห์อย่างพวกเราอยากเห็นพวกคุณรักกัน ในยามค่ำคืนอันแสนมืดมิด ในวันที่คนสำคัญในชีวิต เดินจากเราไปไม่เหลียวแล ในยามที่คนคนนั้นได้เดินจากไปพร้อมความรัก พร้อมพลังครั้งสุดท้ายของเรา เรากลายเป็นหุ่นยนต์ตกกระป๋อง สนิมเขรอะ ไร้คนเหลียวแล เราจะเหลือใครให้เราได้กอดคอร้องเพลงเศร้านี้ไปด้วยกันแบบนี้ คงไม่มีอีกแล้ว ผมขอให้ค่ำคืนนี้ ชำระล้างความเศร้าใจที่มีไปจนหมดสิ้น ...เพราะต่อจากนี้ หุ่นกระป๋องตัวนี้จะต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง

    ทุกคนในฮอลล์มองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะขอโทษขอโพยแล้วจึงเริ่มกอดคอกันโยกตามจังหวะอะคูสติกร็อกที่พาจิตใจให้ล่องลอยไปกับแสงสีชวนเพ้อฝัน เดย์บรรจงร่ายมือโซโล่กีตาร์โปร่งของตัวเองจนถึงเมโลดี้ตัวสุดท้าย เครื่องดนตรีทุกชนิดพลันหยุดพร้อมกัน ก่อนที่โจและซงโฮมือกีตาร์จำเป็น ร่ายมือเล่นกีตาร์ด้วยเสียงแตกพร่าและหนักหน่วง เสริมด้วยการลั่นเสียงกลองจากเนลสัน ผสมกับเสียงรูดเบสจากเคนออกมาเป็นดนตรีแนวอินดี้ร็อกที่ทำให้ทุกคนต้องโยกหัวเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียง

     

    โอ้...เจ้าหุ่นยนต์ไร้น้ำยา

    เหตุใดจึงไม่ยอมทำงาน

    ไร้คนซ่อมแซมหรือไร้พลังไขลาน

    ได้แต่เฝ้ารอเจ้าของมันกลับมา

     

               โอ้....เจ้าหุ่นยนต์ไร้น้ำยา

    ได้โปรดทำงาน

    วอนใครมาซ่อมแซม

    วอนสักคนมาเหลียวแล

    สัญญาจะกลับมาทำงาน

               คล้ายได้ยินเสียงเพรียกหา

     

    เจ้าหุ่นยนต์เอ๋ย แกคงหูแว่ว ตาฟ่า

    ลุ่มหลงในความรักที่บังตา

    เพราะความรักไม่มีอยู่จริง

    เจ้าของลืมเจ้าแล้วไปไม่ลา

    ไปแล้วไปลับไม่กลับมา

     

                ผมยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม ซุกมืออีกข้างไว้ในเสื้อฮู้ด จ้องมองไปยังเพื่อนทุกคนที่กำลังเฉิดฉายภายใต้แสงไฟสีแดงฉาน ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนดุเดือดบนเวที พลางปล่อยกายและใจให้เมามันไปกับเสียงดนตรีที่หนักแน่น เพราะชีวิตของผมไม่ต่างจากเนื้อหาของเพลงเท่าไหร่นัก หุ่นกระป๋องตัวนี้ยังคงเฝ้ารอคอยเจ้าของมันกลับมาดูดำดูดี ผมรอมินซูเพียงคนเดียว

    ผมกำขวดเบียร์แน่น กัดฟันกรอด จ้องมองไปยังบนเวทีอย่างรู้สึกโกรธแค้น ผมโกรธที่เดย์ปิดบังผมเรื่องอดีตของเขากับมินซู ทว่าเรื่องนั้นยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการที่ผมได้รู้ว่าพวกเขายังคงมีเยื่อใยให้แก่กันอยู่จนผมรู้สึกอิจฉา ก่อนหน้าที่มินซูจะทิ้งผมไป เธอยังคงนัดเจอกับเดย์ลับหลังผม หากบริสุทธิ์ใจกันจริง เหตุใดจึงต้องหลบซ่อน? เหตุใดจึงทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนไม่ได้  เพื่อนที่ไหนจะโผเข้ากอดมุดหน้าอกกันแบบนั้น แถมยังมีหน้ามาตะคอกใส่ผมฉอดๆว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน หึ! คาหนังคาเขาเสียขนาดนี้ ใครเชื่อก็คงโง่บรม นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมจำต้องมาเหยียบที่นี่ในวันนี้ ผมมาทวงของของผมคืน ในเมื่อหมาตัวนี้มันยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เห็นที ผมคงต้องสั่งสอนมันเสียบ้าง

    ผมนั่งซดเบียร์อยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์จนหยดสุดท้าย รอคอยจนจบการแสดง ทุกคนในวงยืนเรียงแถวหน้ากระดาน โค้งคำนับให้แฟนเพลงเบื้องล่าง โบกไม้โบกมือร่ำลา ผมจึงสั่งออนเดอะร็อคมาเพิ่มอีกสองช็อต แล้วจึงคว้าแก้วเหล้าทั้งสองมากำไว้แน่น ผมดื่มแก้วหนึ่งรวดเดียวหมด เดินย่ำเท้าตึงตังเพื่อจะให้ทันประชิดตัวเดย์ที่กำลังยืนยิ้มแย้มคุยกับผู้จัดการผับอยู่ข้างเวที ทันใดนั้นเอง ผมจึงจัดการสาดน้ำเหล้าที่เหลือในมืออีกข้างหนึ่งใส่หน้าเขา จนเขาต้องหลับตาหลบน้ำนั้นด้วยสัญชาตญาณ ท่ามกลางเสียงห้ามปรามจากเพื่อนพ้องรอบข้างผมกลับยกยิ้มอย่างสะใจ

    เฮ้ย! ใจเย็นๆกันก่อนสิวะเนลสันยกมือขึ้นห้ามปราม

    นี่มันอะไรกัน!” เจ้าของผับแผดเสียงใส่

    เฮ้ย! ไอ้จีซุนแกทำอะไรของแก ใจเย็นก่อนนะเว้ย"

    ซงโฮพยายามแกะแก้วเปล่าในมือผมออกแต่ไม่เป็นผล เพราะผมกำมันไว้แน่นเกินไป  อารมณ์โกรธผสมปนเปกับอารมณ์เศร้าโศกจากภายในดึงพลังต่อสู้ออกมาอย่างมหาศาล วันนี้ผมพร้อมแล้วที่จะสู้  และผมจะสู้ไม่ถอย

    แค่นี้มันยังน้อยไป!” ผมกำแก้วแน่น ปะทะสายตาแข็งกร้าวกับเดย์

    เมียไม่กลับบ้านสินะเขาแสยะยิ้มที่มุมปากพลางหัวเราะเล็กน้อย แล้วจึงใช้นิ้วเรียวกระชับคางของตน ทำท่าเชิงชอบใจในรสชาติของเหล้าที่สาดมา

    แกมันเลวเดย์! แกเอาเมียฉันไปไว้ที่ไหน! บอกมา!” 

    หึ!” เขายกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง ก่อนจะยักไหล่ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว

    ไอ้เดย์!”

    อารมณ์โกรธพุ่งสูงชนเพดานเสียจนปรอทของผมแตก อดใจไม่ไหวจึงขว้างแก้วเหล้าในมือใส่หน้าของเดย์เสีย ก่อนจะซ้ำด้วยหมัดหนักจนน่วม  ด้านเดย์เองก็ยอมน้อยหน้าเสียที่ไหน ผลักผมจนหัวล้มหน้าคะมำไปชนกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์เข้าจนของหล่นเกลื่อนกราดกระจัดกระจาย

                “แกนึกว่าแกแน่นักเหรอห้ะ? ไอ้จีซุน!”

    ผมกับเดย์ดวลหมัดกันอย่างถึงพริกถึงขิง จนทำให้คนในบาร์ที่เป็นแฟนเพลงของเรานั้นแตกตื่นตัวขยายพื้นที่ให้เป็นวงกว้าง บางส่วนเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพใบหน้าเปื้อนเลือดกระจัดกระจาย หมดกันชื่อเสียงที่สร้างสมมา ใครจะว่าผมอย่างไรก็ช่างเขา ผมน่ะรู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่หรอก แต่ครั้งนี้....ผมขอสาแก่ใจของผมหน่อยก็แล้วกัน

    ฉ่า!

    สัมผัสน้ำเย็นยะเยือกสาดลงโดนร่างของผมและเดย์ที่กำลังเวียนสลับขึ้นคร่อมกันและกัน เพื่อฝากหมัดและร้อยแผลให้ใบหน้าได้เปื้อนเลือด น้ำเย็นนี้ได้หยุดทุกสิ่งอย่างเอาไว้ได้จนหมดสิ้น

    ถ้าพวกแกยังเป็นแบบนี้ เตรียมยุบวงแล้วทำมาหากินอย่างอื่นได้เลยซงโฮกระหน่ำแรงโยนถังน้ำใส่พวกผมที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินจากไปพร้อมสมาชิกที่เหลือของวงที่พากันกรูเข้ามาจับพวกเราแยก และลากตัวพวกเราเดินออกหลังร้าน

    ปล่อย!”

    ผมรวบรวมแรงที่เหลือดิ้นสะบัดจนเนลสันและโจที่กำลังช่วยกันฉุดยื้อรั้งผมไว้ไม่อยู่ เมื่อหลุดมาได้ จึงไม่รอช้าที่จะคว้าคอเสื้อของเดย์และเขย่ามันอย่างแรง

    ไอ้เดย์ ไอ้เลว เอาเมียฉันไปไว้ที่ไหนบอกมา

    เดย์เอาแต่จ้องผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว กำมือแน่นจนสั่นระรัว

    ถ้ายังไม่เลิกบ้า แกก็ไม่มีทางได้รู้หรอก

    สรุปมินซูอยู่ไหน ตอบมา!”

    ฉันไม่รู้! ถ้าแกยังไม่เลิกบ้า ฉันจะเอาแกถึงตายแน่ ไอ้จีซุน!” เดย์แผดเสียงห้าวใส่หน้าผมจนทำให้ชะงักไปชั่วครู่

    เพี้ยะ! เพี้ยะ!

    ทันใดนั้นเองผมได้รับสัมผัสหนักจากมือหยาบของซงโฮฟาดลงมาบนใบหน้าของผมจนทำให้หน้าหัน เดย์เองโดนเช่นกัน

    ขึ้นรถ!”

    สมาชิกที่เหลืออีกสามคน เนลสัน โจ และเคน ช่วยกันลากพวกผมขึ้นรถ ส่วนซงโฮยืนขอโทษขอโพยเจ้าของผับอยู่นาน ก่อนจะกลับขึ้นรถตู้สีดำคันหรู หน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องตาพวกผมราวกับจะกลืนกิน 

    พลั่ก! เพี้ยะ!

    แรงตบจากฝ่ามือหนาแรงมากพอที่จะทำให้ผมหน้าหัน ชั่วอึดใจไม่นานเกินรอจึงได้ยินเสียงตบไปทางอีกคนที่นั่งติดประตู ... เดย์นั่นเอง

    เมื่อไหร่พวกแกจะหยุดบ้ากันสักทีห้ะ?!?” 

    “..............”

    ทีแบบนี้เงียบเหรอห้ะ?!?”

    เหลือบมองจึงได้เห็นว่าเดย์กำลังโดนซงโฮบีบคางอย่างแรง เขาจ้องซงโฮด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ไม่ต่างจากสายตาที่เขามองผมนัก 

    ปล่อย

    เดย์เอ่ยเสียงเรียบแล้วจึงปัดมือซงโฮอย่างแรง

    ถ้าพวกแกสองตัวยังไม่หยุดนะ โดนพักงานกันยาวแน่คราวนี้” 

    ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะบอกไอ้เดย์ให้เลิกยุ่งกับเมียผมได้แล้ว” 

    ผมเอ่ยอย่างเหลืออด กำมือแน่นอย่างเจ็บปวด มินซูหายไปจากชีวิตผมได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมันคอยเสี้ยมให้มินซูทิ้งผมอย่างนั้น

    มินซูคือเพื่อน แกมีสิทธิ์อะไรจะให้ฉันเลิกยุ่งกับเพื่อน!”

    เดย์ตะคอกกลับเสียงเข้ม แม้ในเงามืดก็ยังทำให้เห็นรอยเลือดเปื้อนเต็มใบหน้า มุมปากเป็นรอยช้ำใหญ่ ตาเฉี่ยวที่บวมเปล่งกลับมีน้ำตารื้น

    เพื่อนงั้นหรอ เพื่อนที่กอดมุดอก เพื่อนที่ไปซื้อเบียร์เข้าไปกินกันถึงในห้องสองต่อสองปลอมกันในยามเหงาใจ เพื่อนที่ท้องชนกันรึยังไง!”

    พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฉันบอกให้หยุด!”

    ซงโฮแผดเสียงตะคอกอีกครั้ง

    ถ้ามันยุ่งยากมากนัก ผมขอลาออกจากวงนี้พี่ซงโฮ ได้ยินไหม! ผมไม่อยู่แล้ว! ผมจะกลับอังกฤษ!”

    คำพูดของเดย์ทำเอาผมแอบรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก เขาใช้มือลากบานประตูรถตู้เปิดแล้วจึงปิดอย่างแรง ไม่ทันได้ฟังเสียงเรียกตามหลังจากซงโฮ

    ไอ้เดย์.....”

    วินาทีที่เสียงประตูปิดและเงาร่างสูงได้หายลับจากไปในความมืด ผมเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทุกคนจ้องผมอย่างไม่พอใจนัก รถตู้เริ่มแล่นออกจากที่เกิดเหตุไปตามทาง เงาจากแสงไฟระยิบระยับข้างทางทำให้สติสัมปชัญญะของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง

    ผมแค่อยากได้มินซูคืน

    ผมทำเกินไปอย่างนั้นเหรอ.....

     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

     

     

    ผมเดินไปตามเส้นทางที่มืดสลัวอย่างไร้จุดหมาย อากาศในฤดูร้อนกลับเย็นยะเยือกในยามค่ำคืน ตัวผมในเสื้อสีดำตัวบางนั้นไม่ได้ตระเตรียมกายและใจเพื่อมาเผชิญลมหนาวที่พัดผ่าน ลมเย็นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ผมหนาวสั่น แต่ความเย็นยะเยือกของมันยังได้เกาะกินไปถึงหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี ผมเดินโซเซ ตาเฉี่ยวแม้จะดูแข็งกร้าว กลับเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดเมื่อมีน้ำตาตื้นขึ้นมา อะไรกันดันแคน แค่นี้เองจะร้องไห้ทำไม แค่นี้เอง.....

    เดินตามทางเท้ามาจนได้พบกับร้านขายยาข้างทาง ในเมื่อรักษาแผลใจมันคงยากเกินไปในตอนนี้รักษาร่างกายให้หายดีก่อนจะดีกว่า พลางเดินโซเซเข้าไปในร้านขายยาจึงได้พบกับหญิงสาวร่างสมส่วนดูคุ้นตา สะโพกผายผึ่งภายใต้กางเกงยีนส์รัดรูปนั้นปรากฏขึ้นมาในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้งราวกับว่าผมเคยได้สัมผัส เธอยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยายามสื่อสารกับคุณลุงเภสัชกรอยู่เบื้องหน้า ผมที่ยืนกอดอกก้มหน้าก้มตาต่อไม่ได้สนใจอะไรนัก จนกระทั่งได้ยินบทสนทนาหนึ่งถึงกับหูผึ่งในทันที เพราะเธอสื่อสารด้วยภาษาเกาหลีแปล่งๆ ไม่ธรรมชาติ ทว่ามันเป็นธรรมชาติของผมที่คุ้นเคย ... คล้ายกับสำเนียงของดาริณ?

    คุณหมอคะ ประจำเดือนมันหายไปค่ะ

    หา? คุณหมายถึงคุณไม่มีเลยอย่างนั้นเหรอ

    ปะเปล่าค่ะ...ฉัน....เอ่อ....หมายถึงว่ามัน....postpone”

    เลื่อนอย่างนั้นเหรอ

    ยิ่งฟัง ยิ่งคุ้นหู ... แต่คงไม่ใช่หรอก เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้หญิงคนนี้ผมสั้นไป

    ค่ะ คือฉันกังวลค่ะว่า.... เอ่อ

    ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น....”

    เภสัชกรชายอาวุโสเดินกลับหลังหันไปยังตู้กระจกที่มีกล่องยาวางเรียงรายอยู่เต็มตู้ แล้วจึงหยิบยามาหนึ่งกล่อง

    ลองดูนะ” 

    เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

    หญิงสาวพยักหน้าแล้วจึงควักเงินให้ ก่อนจะหันหลังควับมาประจันหน้าผม แววตากลมโตสุกใสเบิกกว้างขึ้นราวกับตกใจ แล้วปลีกตัวออกไปทันทีราวกับกำลังรีบเร่ง ยิ่งมองยิ่งคุ้นตา หากแต่มีเพียงหน้ากากอนามัยสีขาวช่วยอำพรางลักษณะใบหน้าที่เหลือลงไปยันคางเอาไว้ไม่ให้เห็นชัดถนัดตา ทว่า...ผมว่าผมกลับจำกลิ่นนี้ได้เป็นอย่างดี

    กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ยังคงตราตรึงใจไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น กลิ่นหอมเตะจมูกที่เมื่อสามเดือนก่อนยังคงเย้ายวนชวนสัมผัสเช่นเคย ใจผมเต้นแรงราวกลับกลองที่กำลังตีรัว

    ปัก!

    เสียงกล่องยาหล่นพื้น หญิงสาวร่างสมส่วนรีบนั่งยองก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องยาแล้วจึงรีบลุกขึ้นเดินก้าวฉับจากผมไปในทันที น่าเสียดายที่ผมคว้ามือเธอไว้ไม่ทัน ไม่ได้การล่ะ ผมต้องรีบตามเธอไป

    ดาริณ

    เธอไม่หยุดกลับก้าวฉับเดินหนีไม่ใส่ใจเสียงเรียกของผม

    ดาริณ....ที่รัก

    เสียงผมแหบพร่าอ่อนแรงเต็มที ทว่าหญิงสาวร่างสมส่วนกลับไม่มีทีท่าที่จะหยุดคุยกับผมสักนิด ผมจึงรวบรวมเรี่ยวแรงวิ่งไปคว้าตัวของเธอมากระชับกอดไว้แน่นจากด้านหลัง

    ดาริณ กี่เดือนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึงคุณ คุณหนีผมไปทำไม คุณทำกับผมแบบนี้ทำไมดาริณ... ผมผิดอะไร

    “.............”

    คุณไม่สบายหรอครับ คุณเป็นอะไรเหรอ ผมเป็นห่วงคุณนะดาริณ

    ปล่อยเถอะค่ะ ฉันขอร้อง

     

    ผมได้แต่กอดร่างสมส่วนไว้ ใช้ใบหน้ามุดไถลงไปที่ไหล่มนของเธอ บรรจงประทับจูบด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ประจำกายยังคงเตะจมูกผมอย่างเย้ายวนชวนสัมผัส เป็นดาริณจริงๆ ใช่เธอจริงๆ หลอกผมไม่ได้หรอก 

    ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ

    ดาริณเราเป็นแฟนกันนะ จะเลิกกันทำไมไม่พูดกับผมตรงๆ...”

    ฉันไม่ใช่ดาริณ คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ

    ไม่เอาน่าดาริณ

    ปล่อยค่ะ

    ดาริณ....ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ

    “..............”

    ปล่อยเถอะค่ะ ฉันไม่ใช่ดาริณ

    ผมปล่อยก็ได้

    น้ำเสียงหวานเรียบนั้นกลับทำผมชะงัก พึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผมคงไม่มีค่าอันใดให้เธอนึกถึง ไม่มีคุณค่าอันใดมากพอให้เธอรัก ในเมื่อเธออยากให้ผมปล่อย ผมก็จะปล่อย... เพื่อความสุขของคนที่เรารัก ผมยอม

    ขอบคุณค่ะ

    น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอาบแก้มในทันทีที่เธอตัดสินใจเดินต่อไป โดยไม่หันมาสนใจกับใบหน้าเปื้อนเลือดที่บอบช้ำว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จิตใจผมแตกสลายมองตามร่างสมส่วนที่กำลังเดินลับจากไป เข้าสู่ความมืดสลัว บนความรู้สึกเจ็บปวดกลับมีความรู้สึกห่วงใยซ่อนอยู่ ผมจึงรอให้เธอเดินลับไปไกล แล้วแอบสะกดรอยตามเธอไป เธอหันหลังกลับมามองเป็นระยะๆ ทว่าผมหาที่อำพรางให้เธอคิดไปเองว่าผมไม่ได้ตามเธอแล้วจริงๆ ส่วนเธอนั้นก้าวฉับราวกับกำลังนำทาง จนในที่สุดจึงมาหยุดอยู่ที่คอนโดฯแห่งหนึ่งใกล้กับถนนที่จะไปมหาวิทยาลัยซงชิน 

    ไม่ว่าเธอจะเป็นดาริณตัวจริงหรือไม่ อย่างน้อยผมก็รู้ที่อยู่ของเธอแล้ว

    ผมจะคอยมาเฝ้าดูเธออีก...

    ----------------------------------------------------------------------------------------

    ผมเรียกแท็กซี่กลับ โชคยังดีที่มีรถวิ่งผ่านมาพอดี บอกจุดหมายปลายทางกับคนขับแล้วจึงซบกระจกมองข้างทางอย่างเหม่อลอย แสงไฟข้างทางเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปรากฏแสงพร่าริบหรี่ ผมรู้สึกหนักอึ้งในหัวอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ภาวนาและรอคอยให้รถคันนี้แล่นไปถึงคอนโดฯโดยเร็วเสียที เมื่อถึงแล้วจึงรีบเดินขึ้นห้อง แตะคีย์การ์ดเข้าไปภายในที่ตกแต่งด้วยโทนสีเทาดำเช่นเคย ทว่ารองเท้าผ้าใบไซส์ผู้หญิงมันมาอยู่ในห้องของผมได้อย่างไร? ผมเดินเสาะหาเจ้าของรองเท้าปริศนาจนทั่วโถงทางเดินแต่กลับไร้วี่แวว พร้อมแวะเข้าห้องครัวเพื่อแวะดื่มน้ำดื่มท่า แต่กลับพบหญิงสาวร่างเล็กกำลังนั่งตักบิบิมบับ (ข้าวยำเกาหลี) เข้าปากคำโตอย่างเอร็ดอร่อย

    มินซู.....”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×