คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter II ซิลเวีย ลอว์ ผู้หญองคนนี้เคยมีอะไรเกี่ยวกับพวกผม?
Chapter II
ซิลเวีย ลอว์ ผู้หญิงคนนี้เคยมีอะไรเกี่ยวกับพวกผม?
ดวงตะวันเริ่มเลื่อนลอยขึ้นจากขอบฟ้าส่องแสงเป็นประกายแสบตาหลังจากที่โลกตกอยู่ภายใต้ความมือท่ามกลางหมู่ดาวและดวงจันทร์มาเสียนาน
แสงสว่างจากดวงทินกรหลุดลอดลอยเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กใต้หลังคา หญิงสาวนอนอยู่บนเตียงเล็กๆที่เพียงแค่เตียงเท่านั้นก็กินเนื้อที่ไป 1 ใน 3 ของห้องแล้ว ส่วนอีก 2 ส่วนนั้นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือและตู้เสื้อผ้า
ปัง!ๆๆ
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงปืนแต่อย่างใด แต่มันคือเสียงคนทุบประตูจากนอกห้องต่างหาก
“ซิลเวีย!! ยัยบื้อรีบๆลงมาทำอาหารเร็วเข้าฉันหิวจะตายอยู่แล้ว!”
เสียงเสียงกระโชกโฮกฮากของเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งคนหนึ่งดังมาจากนอกห้อง มันทำให้ซิลเวียต้องจำใจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย การกระทำของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างไม่เข้ากับหน้าตาเสียเลย
“เร็วๆสินังบ้า!”
เสียงนั่นดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เธอต้องรีบเก็บที่นอนอย่างรวดเร็วแล้วออกไปเปิดประตูหน้าห้อง
“ไปทำอาหารให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“ฉันรู้แล้วน่า ว่าแต่มาดามไม่อยู่รึไง?”
“ไม่ แม่ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่รู้หรือไง!”
เธอรู้สึกเกลียดมากกับการที่เด็กหนุ่มคนนั้นส่งเสียงกระโชกโฮกฮากไร้สิ้นซึ่งความใยดี
“ใช่! ก็ฉันมันไม่รู้หนิฉันไม่ได้เก่งเหมือนเธอหนิแดน!”
“เลิกพูดซักที! รีบๆไปทำอาหารได้แล้วนังคนรับใช้!”
“ฉันก็ขอแค่ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนได้ไหมเล่า!!”
ซิลเวียหมดแล้วซึ่งความอดทนเธอกระทืบเท้าปึงปังไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วจึงลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมอาหาร เด็กหนุ่มที่ชื่อแดนนั่งกอดอกรอที่โต๊ะรับประทานอาหารด้วยสีหน้าที่ฉุนเฉียว สักพักไม่นานอาหารเช้าที่เธอทำก็เสร็จและถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะรับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์ ภายในจานมี ไข่ดาว ไส้หรอก เบคอน และขนมปัง เหมือนกับอาหารเช้าทั่วไป แต่คนอย่างแดนก็คงไม่ยอมทานโดยดีแน่
“นี่เธอมีปัญญาทำได้แค่นี้รึไง”
“ถ้าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินสิ”
เธอขัดคำพูดของแดนจบก็ลงมือรับประทานอาหารเช้าด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง และไร้เสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของเธออีก เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเธอก็เก็บภาชนะไปล้างตามปกติ แล้วจึงไปอาบน้ำ
“เนื่องจากเธออาบน้ำเสร็จแล้วอย่าลืมไปซักผ้าด้วย นังเลือดมักเกิ้ลสีโคลนโสโครก!!”
ปากของแดนนั้นมันยังไม่ยอมหยุดแต่โดยดี
“เธอจะด่าว่าอะไรอย่างอื่นฉันไม่สนแต่อย่ามาด่าฉันว่าเลือดสีโคลนโสโครก!!!”
ในที่สุดความอดทนของซิลเวียก็หมดไปเมื่อสิ้นสุดคำว่าเลือดสีโคลนโสโครก เธอทนไม่ได้เพราะการพูดเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการถากถางพ่อแม่ของเธอด้วยเช่นกัน
“นี่กล้าขึ้นเสียงกับฉันเชียวเหรอ ฉันจะด่าเธออย่างนี้มันจะผิดตรงไหน!”
ทันทีที่สิ้นประโยคสุดท้ายแดนก็ผลักซิลเวียไปติดที่ฝาผนังอย่างแรงจนได้ยินถึงเสียงกระดูกของซิลเวียกระแทกกับฝาผนังอย่างจัง
“นี่เธออย่าถือวิสาสะอย่างนี้นะแดน เธอไม่ใช่พ่อแม่ฉันซักหน่อย”
“แล้วใครอยากจะเป็นเลือดสีโคลนโสโครกอย่างพ่อแม่เธอบ้างล่ะ!”
“นี่เธอคิดว่าฉันไม่ได้พกไม้กายสิทธิ์ไว้รึไง เธอก็น่าจะรู้แล้วว่าฉันน่ะคือผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถใช้เวทย์มนตร์ได้อย่างอิสระ แล้วเธอล่ะนักเรียนที่เพียงแต่จะขึ้นปี 6 ถือว่ายังไม่เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ ไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้เวทย์มนตร์นอกโรงเรียนฮอกวอตส์”
เธอพูดพร้อมกับใช้ไม้กายสิทธิ์มาจ่อไว้ที่คางของแดน เขาก้มหน้าเล็กน้อยแล้วก็ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กๆตามมา
“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษที่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อเธอลงไป ฉันต้องขอโทษเธอจริงๆ แต่ที่ฉันทำไปก็เพราะฉันต้องการที่จะกลบเกลื่อนว่ารักเธอมาตลอดเลยนะซิลเวีย ให้อภัยฉันเถอะนะ”
“นี่คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ”
“ฉันคิดแล้วว่าเธอก็คงไม่เชื่อแน่ๆที่ฉันมาบอกเอาตอนนี้ แต่ฉันจะแสดงให้รู้ว่าฉันรักเธอจริงๆ”
แดนใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของซิลเวีย ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลดระดับของมาที่เอวสวยได้รูปของเธอ จากนั้นก็ประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของเธอเสีย ลิ้นจากอีกฝ่ายหนึ่งพยายามชอนไชเข้าไปภายในเหมือนกันหวังที่จะค้นหาอะไรบางอย่าง แต่อีกฝ่ายนั้นก็ขัดขืนอย่างสุดแรงเท่าที่จะทำได้ เธอพยายามที่จะผลักเขาออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในที่สุดความพยายามนั้นก็สำเร็จ เขาหลุดออกไปตามแรงผลักของเธอ
“นี่เธอทำอะไรน่ะ ฉันรู้ว่าเธอคงคิดว่าฉันยังเด็กเกินไปใช่ไหม เราคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าคนสองคนกับความรักที่เข้าใจกันได้”
“นี่เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเอายาพิษมาคายใส่ในปากฉัน วิธีการกระจอกอย่างนี้อย่าเอามาเล่นกับฉันหน่อยเลย!”
ซิลเวียล้วงลูกกลมๆเล็กๆสีดำที่คาดว่าคงจะเป็นยาพิษออกมาจากปากของตัวเอง แล้วเธอก็ดื่มน้ำที่ใส่อะไรบางอย่างซึ่งคาดว่าคงจะเป็นยาแก้พิษเข้าไปอึ่กใหญ่
“หนอยแน่! อ่านเกมทันงั้นเหรอนังนี่”
“แอ๊กซีโอ!”
ซิลเวียร่ายคาถา กระเป๋าคู่ใจของเธอก็ลอยลงมาจากชั้นบน เธอเดินไปทางเตาผิงแล้วกำผงฟลูเอาไว้
“นี่เธอกำลังจะไปไหน!”
“ไปที่ๆไม่มีเธออยู่น่ะสิ อยู่ที่ไหนก็ยังดีกว่าอยู่ที่นี่กับเธอ”
“ตรอกไดแอกอน!”
เธอพูดชื่อสถานที่ที่จะไปพร้อมๆกับปล่อยผงฟลูลงไปด้วย ทันใดนั้นไฟสีเขียวก็หายไปพร้อมๆกับเธอ ในความเป็นจริงแล้วเธอก็สามารถที่จะหายตัวได้ แต่ว่าเธอชอบที่จะผจญภัยโดยการหายตัวด้วยผงฟลูมากกว่า
ณ ภายในร้านเกมกลวิเศษณ์วีสลีย์ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน อีกส่วนหนึ่งของร้านซึ่งก็คือห้องปฏิบัติงานนั้นเฟร็ดกำลังประดิษฐ์สินค้าอยู่
ฟรึ่บ!!
เขาพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมาจากเตาผิงในลักษณะใบหน้าที่มอมแมม ในตอนแรกเขารู้สึกตกใจเล็กๆถึงถลนตาไปที่ผู้หญิงคนนนั้น พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเธอก็จำเป็นต้องกล่าวคำทักทายตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ คุณวีสลีย์”
“เอ่อ...สวัสดี ลอว์ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ”
“สำหรับผมไม่เป็นไรหรอก แต่หน้าคุณมอมแมมไปหมดแล้ว เดี๋ยวผมหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้นะรอแป๊บนึง”
เฟร็ดรีบวิ่งไปหาผ้าชุบน้ำมาให้กับซิลเวีย เธอรู้สึกดีใจเล็กๆที่มีคนทำอะไรเพื่อเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตามที
“ผมมาแล้ว”
เฟร็ดมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำที่ผืนไม่ใหญ่มากสักเท่าไหร่ เขาเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วลดตัวลงกับพื้นให้เสมอกันกับซิลเวียเพื่อที่จะเช็ดรอยเปื้อนจากขี้เถ้าบนใบหน้าให้เธอ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันเช็ดเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวผมเช็ดให้เอง”
เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน มือที่จับผ้าชุบน้ำค่อยๆบรรจงเช็ดลงบนใบหน้าของเธออย่างอ่อนละมุน ทำให้สีหน้าของเธอนั้นเริ่มถูกแทรกซึมด้วยสีชมพูเพราะความเขินอาย
“เสร็จแล้วล่ะ”
“เอ่อ...ขอบคุณนะคะคุณวีสลีย์”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เฟร็ดลุกขึ้นจากพื้นและไม่ลืมที่จะยื่นมือไปให้ซิลเวียจับ เธอจับมือของเขาแล้วดันตัวเองขึ้นมายืนหยัดอยู่บนพื้น
“ว่าแต่ว่า ยาแก้รอยฟกช้ำนั่นได้ผลหรือเปล่า?”
“อ๋อ! มันได้ผลดีเลยทีเดียวล่ะ เพียงแค่ 20 นาทีรอยฟกช้ำนั้นก็หายไปเลยล่ะ ฤทธิ์ของมันเยี่ยมยอดจริงๆต้องยกความดีความชอบให้กับเธอเลย - - ใช่ไหมจอร์จ?”
เฟร็ดหันไปสนทนากับจอร์จที่เข้ามาสมทบในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ใช่แล้วเฟร็ด มันสุดยอดไปเลยล่ะลอว์”
จอร์จพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้กับซิลเวียที่แสดงถึงคำว่า ‘เยี่ยม’ แล้วหลังจากนั้นฝาแฝดก็หันไปเสวนาหาข้อตกลงกันเล็กๆน้อยๆ
“เอ่อ...ลอว์ พวกเราสองคนมีข้อสงสัยอยู่ข้อนึง และพวกเราก็ตกลงกันแล้วว่าจะถามเธอ”
จอร์จเป็นผู้เอ่ยก่อน
“คือ...พวกเรารู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันน่ะ แล้วตกลงพวกเรารู้จักกันจริงๆหรือเปล่า”
เฟร็ดถามต่อด้วยคำถามที่ต้องการเค้นหาคำตอบ
“ฉันนึกว่าพวกเธอจะลืมฉันไปแล้วเสียอีก แต่ฉันก็ยังดีใจนะที่พวกเธอยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเราเคยรู้จักกันอยู่ในความคิด”
“แล้วนี่ตกลงว่าพวกเรารู้จักกันจริงเหรอ”
“ใช่ พวกเรารู้จักกัน พวกเรารู้จักกันตอนที่อยู่โรงเรียนฮอกวอตส์ในชั้นปีเดียวกัน เท่านั้นยังไม่พอพวกเรายังอยู่บ้านกริฟฟินดอร์เหมือนกันอีกด้วย”
“หรือว่า... เธอคือซิลเวีย ลอว์คนนั้น คนที่เก่งที่สุดในชั้นปี!”
ฝาแฝดพูดอย่างยกย่องและเชิดชูในตัวเธอ
“มันไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ฉันยังจำพวกเธอได้ดีมาโดยตลอด ฝาแฝดผู้ขำขันและเฮฮา บีตเตอร์ของทีมควิดดิชแห่งกริฟฟินดอร์”
“แล้วเธอไม่คิดที่จะเล่นควิดดิชบ้างรึไง”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่คิดจะเล่น แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เล่นเลยต่างหาก พวกเธอคงไม่รู้ล่ะสิว่าเพราะอะไร ก็ตอนนั้นฉันได้ยินมาว่าทีมควิดดิชนั้นยังขาดซีกเกอร์ มีอยู่วันนึงฉันฝึกขี่ไม้กวาดจนซ้อมได้อย่างคล่องแคล่วจนมั่นใจเลยว่าฉันต้องเป็นซีกเกอร์ของกริฟฟินดอร์ได้แน่ๆ เพราะก็ได้รับคำชมจากคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง”
“ใช่ พวกเราก็คิดว่าเธอขี่ไม้กวาดได้เยี่ยมยอดจริงๆ”
“ขอบใจสำหรับคำชมเฟร็ด ในวันนั้นเองฉันกำลังจะไปสมัครเป็นซีกเกอร์ แต่ว่าก็กลับต้องผิดหวังเพราะขณะที่เดินไปนั้นฉันก็เห็นศาสตราจารย์มักกอลนากัลและพอตเตอร์ที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้แฮรี่เป็นซีกเกอร์กับวู้ดอยู่ ทันทีที่ฉันได้ยินคำตกลงที่ออกมาจากปากของวู้ดฉันก็เข่าแทบทรุดลงกับพื้นเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นต่อมาเมื่อได้เห็นการแข่งขันควิชดิชครั้งแรกของพอตเตอร์ฉันก็รู้สึกทึ่งและดีใจอย่างไม่ถูกที่กริฟฟินดอร์มีซีกเกอร์ฝีมือดีอย่างนี้”
“ว้าว! ถ้าหากว่าตอนนี้แฮรี่ได้ยินคำชมจากปากของเธอแบบนี้เขาก็คงจะดีใจมากๆเลยล่ะ”
ในบางทีการที่ได้เล่าอะไรจากหลายๆแง่มุมจากหลากหลายคนก็สามารถที่จะทำให้ผู้เล่านั้นสบายใจขึ้นมาได้บ้าง และซิลเวียก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่เธอเรียนตั้งแต่ปี 1 ที่เป็นแรกจนถึงปี 7 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ฮอกวอตส์นั้น เธอมีความสุขเป็นอย่างมากที่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน เพราะถ้าเธออยู่ที่บ้านเธอก็มีแต่ได้รับคำด่าว่ากล่าวใส่อยู่ตลอดๆ
“เธอยังจำตอนนั้นได้อยู่หรือเปล่า ที่มีการประลองเวทย์ไตรภาคีแล้วก็มีงานเลี้ยงเต้นรำด้วย จริงๆแล้วพวกเราก็ตั้งใจจะชวนเธอไป แต่ว่าพอมาคิดดูดีๆอีกทีเรียนเก่งๆ ร้องเพลงก็เยี่ยม ความกล้าหาญและอดทนก็สูง แถมยังพ่วงด้วยหน้าตาสวยๆอย่างเธอ ก็คงมีคนมาชวนเธอไปแล้ว แล้วก็อีกอย่างนึง ฉันได้ยินคนอื่นซุบซิบกันว่าอยากชวนเธอไป แต่คงมีคนชวนเธอไปแล้ว”
จอร์จร่ายคำพูดออกขาจากปากของตน
“พูดอย่างนี้ฉันก็เขินเป็นนะเนี่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีคนชวนฉันไปเลยด้วยซ้ำ น่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ อาจเป็นเพราะว่าแต่ละคนต่างคิดว่าฉันมีคนชวนไปแล้วเลยไม่มาชวนฉัน แต่ถ้าจะให้ฉันซึ่งเป็นฝ่ายหญิงไปชวนฝ่ายชายมันก็ดูกระไรอยู่จริงไหม”
“โธ่เอ๊ย! พวกเราน่าจะมีความกล้ามากกว่านี้นะ ไม่มีคนชวนแล้วไอ้เด็กหนุ่มคนที่เธอเดินไปด้วยคือใครล่ะ”
เฟร็ดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องติดตามฟังต่อไป
ความคิดเห็น