อัศวินแห่งดวงดาว!? ( ดองงานยาว ๆ ) - นิยาย อัศวินแห่งดวงดาว!? ( ดองงานยาว ๆ ) : Dek-D.com - Writer
×

    อัศวินแห่งดวงดาว!? ( ดองงานยาว ๆ )

    " เกียรตินี้แด่ไอเออร์ " เมื่อเหล่ากลุ่มเพื่อนๆที่คลั่งเกมstarcraftได้เกิดใหม่ในเผ่าพันธุ์ต่างดาวที่มีนามว่า"โพรทอส"และล่วงรู้ถึงภัยร้ายระดับพหุจักวาลทว่ามันถึงเวลาแล้วที่เหล่าโพรทอสจะพิทักษ์พหุจักวาล

    ผู้เข้าชมรวม

    736

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    736

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    33
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.พ. 66 / 01:10 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    "เราคือโปรตอส บุตรแห่งเทพโบราณ เราเป็นปฐมกำเนิด บัดนี้เราจักต้องยืนหยัดเป็นชนสุดท้าย"

    - องค์ประมุขอาร์ทานิส

    โปรตอส (อังกฤษ; Protoss) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "ปฐมกำเนิด" (อังกฤษ; Firstborn) คือเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์และมีสติปัญญาสูง เป็นชนพื้นเมืองบนดาวไอเออร์ เผ่าพันธุ์นี้มีวิทยาการหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังจิต

    กลุ่มสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นเสาหลักของโปรตอสคือกลุ่มคาไล เป็นกลุ่มคนที่ยึดมั่นในวิถีแห่งคาลา และกลุ่มเนราซิมผู้ปฏิเสธคาลา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ใช้คาลาคือกลุ่มทัลดาริมที่อยู่อาศัยกระจัดกระจายทั่วกาแล็กซี่

    อารยธรรมของโปรตอสได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งนับตั้งแต่เหตุการณ์การเนรเทศซึ่งคาไลและเนราซิมได้ร่วมมือกันสู้ศึกบนไอเออร์เมื่อครั้งถูกรุกรานโดยเซิร์กในเหตุการณ์มหาสงคราม

    โปรตอสเป็นหนึ่งในสามเผ่าพันธุ์หลักของทางช้างเผือกเฉกเช่นเซิร์กและเทอแรน นอกจากนี้แล้วโปรตอสมิอาจพบเจอได้นอกเขตคอปรูลู

     

    ประวัติศาสตร์

    บทความหลัก: ประวัติศาสตร์โปรตอส

    "ระวังตัวด้วยล่ะทุกคน พวกนี้มันเล่นของแรง"

    - จิม เรย์เนอร์

    โปรตอสเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่ พวกเขามักจะคิดว่าตนเองคือเผ่าพันธุ์แรกของจักรวาล โปรตอสถูกพบโดยเอม่อนและเหล่าผู้ติดตามบนไอเออร์ ดาวเคราะห์ที่ถูกรังสรรค์ไว้โดยเซลนากา ซึ่งเซลนากาที่ใกล้สิ้นอายุขัยนี้ต้องการให้มีเผ่าพันธุ์ที่เข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งกายาและต้องรองรับการเชื่อมต่อจิตใจได้ด้วย โปรตอสจึงถูกเลือกให้ทำหน้าที่ตรงนี้ ผู้ที่ยกระดับอารยธรรมของโปรตอสคือเอม่อนและนอกจากนี้ยังดัดแปลงร่างกายของพวกเขาอีกด้วย ผลักดันให้โปรตอสเกิดวิวัฒนาการจนกระทั่งบรรลุถึงความบริสุทธิ์แห่งกายา และแล้วในที่สุดเซลนากาเหล่านั้นจึงได้ลงมาเหยียบแผ่นดินไอเออร์ เหล่าโปรตอสที่นับถือเอม่อนและบรรดาผู้ติดตามเยี่ยงเทพเจ้านั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปโปรตอสได้เกิดความระแวงสงสัยในพระผู้สร้างนี้ ต่อมาพวกเขาจึงได้ทำการต่อต้านและนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดของเซลนากานับร้อยรวมถึงยานอวกาศของพวกเขาหลายลำ เอม่อนและเหล่าสาวกจึงได้ละทิ้งดาวไอเออร์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โปรตอสเข้าสู่ยุคศึกอสงไขย ซึ่งเป็นช่วงสงครามกลางเมืองที่นองเลือดที่สุดของของพวกเขา ก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ในศึกสุดท้ายนั้นประวัติศาสตร์ของโปรตอสได้กล่าวไว้ว่าเซลนากาทั้งหมดนั้นช่วยยกระดับพวกเขา ซึ่งในความจริงแล้วไม่ใช่

    สงครามกลางเมืองของโปรตอสได้จบลงเมื่อคาสได้ใช้สิ่งประดิษฐ์ของเซลนากาที่เรียกว่าผลึกเคย์ดารินเพื่อเชื่อมต่อจิตใจโปรตอสเข้าด้วยกันอีกครั้ง ในที่สุดสิ่งนี้จึงกลายมาเป็นหลักปรัชญาและศาสนาที่เรียกว่าคาลา

    ประมาณปีค.ศ. 1500 ตามปฏิทินของเทอแรน มหาสภาได้เริ่มกระบวนการกวาดล้างกลุ่มชนนอกรีตผู้ที่ตัดขาดตนเองออกจากคาลา ซึ่งในภายหลังกลุ่มคนเหล่านี้เป็นที่รู้จักในนามของดาร์กเทมปลาร์ พวกเขามีคำสั่งให้แม่ทัพอดุนออกปราบกบฎเหล่านี้แต่ทว่าเขากลับปฏิเสธ เขาจึงสอนวิธีการซ่อนตัวจากมหาสภาให้พวกเขาแทน ในที่สุดชนนอกรีตเหล่านั้นก็เสียการควบคุมพลัง มหาสภาจึงรับรู้ได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยการนี้พวกเขาจคงถูกเนรเทศอย่างลับ ๆ แทนที่การฆ่าด้วยยานเซลนากาที่หลงเหลืออยู่

    ในปีค.ศ. 2499 โปรตอสได้รับรู้ถึงภัยพิบัติของเซิร์ก เผ่าพันธุ์ต่างดาวอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่เซลนากาสร้างขึ้น เซิร์กได้เข้ารุกรานเทอแรนที่เดินทางเข้ามายังเขตคอปรูลูเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว มหาสภาจึงได้มีคำสั่งให้แทสซาดาร์และกองทัพโปรตอสเข้าสะกัดและยับยั้งการแพร่เชื้อโดยวิธีการชำระล้างโลกที่ติดเชื้อ

    บทความหลัก: การล่มสลายของไอเออร์

    กองทัพของแทสซาดาร์นั้นทำภารกิจล้มเหลว กองทัพที่เหลือได้เดินทางไปยังดาวชาร์ ดาวบ้านเกิดดวงใหม่ของเซิร์ก ที่นั่นที่เขาได้ทำการผูกมิตรกับนายกองแห่งดาร์กเทมปลาร์นามว่าเซราทุล พวกเขาได้ทราบถึงจุดอ่อนของเซิร์กในส่วนสั่งการซึ่งมีเพียงดาร์กเทมปลาร์ที่ทราบได้เท่านั้น และได้เข้าปะทะกับผู้นำใหม่ของเซิร์ก ซึ่งก็คือเคอร์ริแกนที่โดนแพร่เชื้อใส่ ขณะเดียวกันนี้กองทัพส่วนใหญ่ของเซิร์กได้เข้ารุกรานไอเออร์แล้ว ในเวลานั้นโปรตอสใกล้เพลี่ยงพล้ำแล้วและเมื่อแทสซาดาร์นำเซราทุลมาถึงไอเออร์ สงครามกลางเมืองของโปรตอสก็ได้อุบัติขึ้น เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ติดตามแทสซาดาร์และฝ่ายมหาสภา ทว่าในที่สุดแล้วฝ่ายแทสซาดาร์ก็ได้รับชัยชนะ เนื่องด้วยทางมหาสภามิได้ขัดข้องแต่ประการใด กองทัพของแทสซาดาร์จึงตัดสินใจโจมตีองค์เหนือจิตเข้าโดยตรง แทสซาดาร์เสียชีวิตในการต่อสู้ ประชากรโปรตอสบนไอเออร์เสียชีวิตไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ โปรตอสที่เหลือรอดได้ลี้ภัยไปยังดาวชากูรัสซึ่งมีเซิร์กบางส่วนที่ตามเข้ามา โปรตอสได้ทำลายฝูงเซิร์กจรจัดเหล่านี้เพื่อป้องกันตนเองแต่ทว่ากลับเป็นการช่วยให้แผนการของเคอร์ริแกนขยับขึ้นไปอีกขั้น และด้วยความช่วยเหลือของลูกสมุนลึกลับของเธอนามว่าซาเมียร์ ดูรานทำให้เธอสามารถบีบบังคับให้โปรตอสเข้าทำลายองค์เหนือจิตที่สองเพื่อเธอลงได้ ทำให้เธอได้ขึ้นเป็นผู้นำฝูงเซิร์กใหญ่ เมื่อครั้งที่โปรตอสได้ยกทัพมาล้างแค้นเคอร์ริแกนนั้นดูรานได้ทิ้งเธอไป เขาไปให้ความสนใจกับการทดลองลูกผสมโปรตอส/เซิร์กซึ่งในภายหลังได้ถูกพบเจอโดยเซราทุล ด้วยการนี้เซราทุลจึงเนรเทศตัวเองหายไปหลายปีเพื่อสืบสาวราวเรื่อง

    บทความหลัก: ศึกสุดท้าย

    โปรตอสใช้เวลานับหลายปีในการสร้างกองยานสุวรรณนาวาเพื่อทวงคืนไอเออร์ และในปี 2506 กองยานนี้จึงได้เดินทัพมุ่งหน้าทวงคืนมาตุภูมิ ทว่าเวลานี้ประจวบเหมาะกับการกลับมาของเอม่อนผู้ครอบงำคาลา และเขาได้เข้าสิงร่างโปรตอสทุกคนที่เชื่อมต่อกับคาลา อาร์ทานิสได้รวบรวมผู้รอดชีวิตไปขึ้นยานอพยพใหญ่ที่มีชื่อว่าหอกแห่งอดุนและออกค้นหาหนทางต่อกรกับเอม่อน พวกเขาเดินทางไปยังเส้นทางที่เซราทุลได้กล่าวไว้ และแล้วก็ได้พบกับวิหารแห่งอุลนาร์ ทว่าสิ่งที่เขาพบคือร่างอันไร้ชีวิตของเซลนากา หลังจากนั้นอาร์ทานิสจึงได้รวบรวมเหล่าผู้ชำระล้างโบราณและทัลดาริมเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงมุ่งหน้าทวงคืนมาตุภูมิ การจู่โจมนี้สัมฤทธิ์ผล ไอเออร์ถูกนำกลับคืนได้สำเร็จ เอม่อนถูกส่งกลับสุญญภูมิ โปรตอสพร้อมความร่วมมือจากจักรวรรดิเทอแรนและฝูงเซิร์กได้ทำการมุ่งหน้าสู่สุญญภูมิ ที่นั่นซึ่งเอม่อนถูกพิชิตและสิ้นสุดการครอบงำและบิดเบือนโปรตอสทั้งมวล

     

    สรีรวิทยา

    "มีคนบอกมาว่าศัตรูของศัตรูของฉันนั้น...

    ...ตัวสูง สีดำและน่าเกลียด?"

    - แจ็ค ฟรอสต์และชาร์ลี เวนได้พูดออกมาเมื่อได้เห็นโปรตอสครั้งแรก

    โปรตอสมีความสูงประมาณสองเมตร (เจ็ดฟุต) ถึงสามเมตร มีดวงตาที่เรืองแสงได้ซึ่งสามารถกระพริบได้เป็นปกติ ส่วนขา เป็นรูปแบบ digitigrade มีผิวหนังเป็นลักษณะกึ่งดูดซึมซึ่งปกคลุมด้วยเกล็ด มีนิ้วมือสี่นิ้ว (สองนิ้วเป็นนิ้วหัวแม่มือ) มีนิ้วเท้า หน้าอกแบน ไหล่เป็นลักษณะลู่ลงเช่นเดียวกับมนุษย์ เอวคอด ส่วนหัวด้านบนจะแผ่ขยายไปด้านหลังเล็กน้อย ส่วนบนสุดของหัวเป็นกระดูก มีเส้นประสาทอันยาวเหยียดออกมาจากด้านหลังของส่วนหัว อวัยวะส่วนนี้ช่วยให้พวกเขาเชื่อมต่อจิตใจกับสายพันธุ์เดียวกันได้ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของคาลา

    เซลนากาประสงค์ให้เผ่าพันธุ์นี้ถือครองความบริสุทธิ์แห่งกายา เหตุเพราะโปรตอสสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมอันโหดร้ายได้เป็นอย่างดี ทั้งพละกำลังและความรวดเร็วก็มีประสิทธภาพสูงกว่าเผ่าพันธุ์ใด ๆ ที่เซลนากาเคยได้พบมา นอกจากนี้โปรตอสยังมีกรงเล็บที่แหลมคมซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้หากโดนจับตัวไปโดยปราศจากอาวุธใด ๆ

    โปรตอสได้รับสารอาหารผ่านการสังเคราะห์แสง รวมถึงแสงจากดวงจันทร์ด้วย (แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์) และยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไร้แสงสว่างในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาต้องการน้ำเพียงเล็กน้อยซึ่งดูดซึมผ่านทางผิวหนัง ส่วนดาร์กเทมปลาร์นั้นได้เปลี่ยนแปลงตัวเองและหันไปใช้เทคนิคอื่นเพื่อความอยู่รอดบนชากูรัสในสมัยที่ไร้แสงสว่าง โปรตอสใช้วิธีดูดกลืนแสงเช่นเดียวกันกับพืช แต่จะสามารถดูดกลืนในช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กว้างกว่า

    โปรตอสนั้นเป็นเผ่าพันธุ์นักล่ามาก่อน พวกเขาล่าเพียงเพื่อนำเลือดและหนังหรือขนสัตว์ไปใช้ประโยชน์ ไม่ได้ล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร

    โปรตอสได้กลิ่นและได้ยินผ่านทางผิวหนัง เชื่อกันว่าประสาทสัมผัสหลักของโปรตอสคือการมองเห็น โปรตอสมีประสาทสัมผัสกลิ่นที่ดีมากพอที่จะระบุตัวตนของโปรตอสคนอื่น ๆ ได้ด้วยและมีประสาทสัมผัสการมองเห็นในยามวิกาลที่ดีเยี่ยม สีผิวโปรตอสสามารถเปลี่ยนไปตามอารมณ์ได้ พวกเขาไม่มีปาก, จมูก และหูปรากฏให้เห็น นั่นทำให้พวกเขาไม่มีประสาทสัมผัสรับรู้รสชาติ พวกเขามีหัวใจสามดวง

    โปรตอสนอนหลับและฝันได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์ เมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างหนึ่งจะมีกระแสพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงตาของโปรตอส ลักษณะคล้ายกับการร้องไห้ของเทอแรน สีตาสามารถแสดงออกมาได้ทั้งสีฟ้า, เขียว, ทอง และแดง สีตาส่วนมากนั้นจะขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ คาไลส่วนมากจะมีตาสีฟ้า เนราซิมส่วนมากจะมีตาสีเขียว และสีแดงนั้นปรากฏอยู่กับทัลดาริม แต่กระนั้นยังคงปรากฏให้เห็นอยู่กับคาไลได้บ้าง

    อายุขัยของโปรตอสนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,000 ปี แต่กระนั้นก็ยังมีข้อยกเว้น

    โปรตอสเป็นเผ่าพันธุ์ที่จำนวนประชากรไม่มากนัก เซลนากาจึงได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าผลึกคาสเซียขึ้นมาเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ ประชากรบนไอเออร์นั้นมีมากถึงพันล้านคน แต่กระนั้นก่อนเหตุการณ์การล่มสลายของไอเออร์โปรตอสก็ได้เสียชีวิตลงด้วยความแก่ชรา ในระหว่างสงครามนั้นจำนวนประชากรได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ทั้งนั้นจำนวนประชากรก็ยังคงลดลงเรื่อย ๆ

    โปรตอสมีเลือดสีน้ำเงินหรือม่วง สำหรับมนุษย์นั้นสีของเลือดจะบ่งบอกถึงชาติพันธุ์ โปรตอสแต่ละคนจะมีสีเลือดที่แตกต่างกันไปตามเผ่าหรือชาติพันธุ์เช่นเดียวกันกับมนุษย์

    เช่นเดียวกันกับเทอแรนและเซิร์ก พันธุกรรมของโปรตอสนั้นเก็บอยู่ในขดเกลียวดีเอ็นเอ มีหลักฐานบ่งบอกว่าโปรตอสยังเข้าถึงพันธุกรรมของพวกเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่ทว่างานวิจัยและการทดลองทั้งหมดได้ตายไปกับศูนย์วิจัยและทดลองก้าวหน้าแห่งโปรตอส

    ดีเอ็นเอของโปรตอสและเซิร์กเข้ากันไม่ได้ นั่นทำให้เกิดการรวมตัวกันโดยวิธีแพร่เชื้อในสภาวะปกติไม่ได้ แต่ทว่าในวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นสามารถนำไปสร้างเป็นลูกผสมได้

    โปรตอสสามารถมีปานได้

    ข้อมูลต่อไปนี้มาจากเนื้อหาของฮีโร่ออฟเดอะสตอร์มและเป็นข้อมูลที่คลุมเครือ

    โปรตอสมีอวัยวะที่เรียกว่า thylar ซึ่งสามารถใช้มือจับได้

     

    การแพทย์

    "มีโปรตอสอยู่ทางนี้ เราต้องผายปอด...

    ...เอ่อ...ผาย...อะไรสักอย่าง"

    - แพทย์สนามผู้สับสนงงงวย

    ในสนามรบนั้นนักรบโปรตอสจะต่อสู้ด้วยพละกำลังมหาศาลและเกียรติยศ การเข้าปะทะกับศัตรูนี้ย่อมทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ เมื่อโปรตอสใกล้ตายจะเกิดแสงสว่างวาบและตัวนักรบคนนั้นจะหายไป เผ่าพันธุ์ที่ล้าหลังเมื่อได้เห็นเช่นนี้จะเกิดความหวาดกลัวด้วยลัทธิความเชื่อ ทว่าแท้จริงแล้วนั้นสิ่งนี้เป็นวิทยาการหนึ่งของโปรตอส มิใช่อำนาจเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

    ชุดเกราะของโปรตอสนั้นติดตั้งระบบกลไกเทเลพอร์ตที่ซับซ้อน ระบบนี้จะตรวจสอบชีพจรของผู้สวมใส่ หากผู้ใส่ได้รับบาดเจ็บมากเกินไปมันจะทำการเทเลพอร์ตไปยังสถานที่หลบภัยที่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกลไกนี้ทำงานได้ตามปกติ แน่นอนว่ามีความเสี่ยงต่อการเสียหายในระหว่างสู้รบด้วย

    โปรตอสที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ขออาสาสู้ต่อจะถูกนำไปบรรจุในหุ่นดรากูนหรืออิมมอร์ทอล ด้วยสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาได้รับใช้พี่น้องอีกครั้งหนึ่ง โปรตอสสามารถเลือกได้ว่าจะสู้ต่อไปหรือจะไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษในคาลา

    โปรตอสที่สูญเสียเส้นประสาทไป (เช่นเนราซิม) จะใช้ฝาครอบในส่วนที่เหลืออยู่ของเส้นประสาทที่ถูกตัดขาดเพื่อเป็นการป้องกันการรั่วไหลของพลัง

    ความเข้าใจในสรีรวิทยาของโปรตอสสำหรับเทอแรนนั้นมีจำกัด ในทางชีววิทยาแล้วมีลักษณะเหมือนกับมนุษย์มากพอสำหรับสารและยาบางชนิด เช่นซันดรอปและยาของแพทย์ ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งสองเผ่าพันธุ์

     

    พลังจิต

    โปรตอสนั้นมีความสามารถที่สูงมากกว่าเทอแรน(มนุษย์)อย่างเทียบไม่ติด พลังจิตของพวกเขานั้นมีระดับที่สูงกว่าหน่วยโกสต์(ในเกมก็ตัวสไนเปอร์ล่องหนและโนวา)ของเทอแรนอย่างมาก

    โปรตอสมักถูกนิยามไว้ว่า "ฉลาดเหลือล้น" แต่กระบวนการคิดของพวกเขานั้นทำงานแตกต่างจากเทอแรนอย่างมาก

    โปรตอสเป็นนักอ่านใจโดยกำเนิด โปรตอสต้องเรียนรู้ในการกลั่นกรองความคิดที่ตนเองจะอ่าน และต้องกรอง (หรือป้องกัน) ความคิดที่ตนเองจะปล่อยออกมา (เป็นวิธีการป้องกันโปรตอสคนอื่นอ่านใจตนเอง) ความสามารถในการปกปิดความคิดตนเองนั้นเป็นข้อห้ามของคาลา ซึ่งจะสั่งห้ามทุกคนที่ยึดถือหลักศาสนานี้ในการปกปิดความคิดตนเองจากผู้อื่น ในช่วงเหตุการณ์ศึกอสงไขยนั้นโปรตอสจะใช้ความสามารถในการปกปิดความคิดนี้เพื่อซุ่มโจมตี

    โปรตอสสามารถใช้พลังจิตของตนเองเพื่อสร้างโล่กำบังตนเอง เติมพลังงานให้อุปกรณ์หรืออาวุธ สามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงหรือกระทั่งหลอมรวมสสารได้ ทว่าความสามารถเหล่านี้นั้นมีเพียงโปรตอสส่วนน้อยที่เข้าถึงได้โดยไม่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย (ยกตัวอย่างเช่นการสร้างโล่กำบัง)

    โปรตอสบางคนอาจเข้าถึงความทรงจำและประสบการณ์ของโปรตอสผู้สิ้นชีพที่ได้เข้าสู่คาลา แต่กลับมีเพียงตำแหน่งอารักข์เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มรูปแบบ นักรบโปรตอสสามารถเรียนรู้ได้จากดวงวิญญาณของโปรตอสที่เพลี่ยงพล้ำได้ที่ศูนย์ฝึกเทมปลาร์

    พลังจากคาลาและสุญญภูมินั้นช่วยปกป้องโปรตอสจากการติดเชื้อของเซิร์ก

    การสื่อสาร

    โปรตอสใช้โทรจิตในการสื่อสาร เป็นวิธีการพูดโดยสื่ออารมณ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การใช้เส้นประสาทร่วมด้วยกับการสื่อสารนั้นจะทำให้พวกเขาสามารถรับรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายได้ สิ่งนี้คือส่วนสำคัญของคาลา ระหว่างช่วงเวลาแห่งศึกอสงไขย(ศึกที่เหล่าโปตอสฆ่าฟันกันเอง)นั้นความสามารถนี้ได้หดหายไปและถูกรื้อฟื้นขึ้นใหม่โดยคาสผู้เป็นตำนาน โปรตอสผู้ยึดถือในคาลาจะใช้วิธีการสื่อสารทั้งสองรูปแบบ ดาร์กเทมปลาร์มีวัฒนธรรมในการตัดเส้นประสาทออก นั่นทำให้พวกขาดการเชื่อมต่อทางอารมณ์

    โปรตอสสามารถหลอมรวมจิตใจเพื่อเข้าถึงส่วนลึกของคาลา ณ ที่ที่มิอาจโกหกได้ โปรตอสจะหลอมรวมจิตใจโดยการจับมือกันไว้และหันฝ่ามือชนกัน ฝ่ามือของพวกเขาจะเปล่งแสงอ่อน ๆ ออกมา การสื่อสารโดยวิธีนี้เคยประสบความสำเร็จมาแล้วโดยแม่ทัพอดุนและราสซากาล ซึ่งตัวเธอนั้นไม่ได้พึ่งพาคาลาเหมือนเขาเลย

    โปรตอสใช้ภาษาที่เรียกว่าภาษาคาลานิโดยผ่านทางพลังจิต จะมีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ได้ยิน ในบางครั้งอาจเกิดความเจ็บปวดได้หากใช้วิธีการสื่อสารแบบนี้ เทอแรนบางคนได้อ้างถึงการสื่อสารแบบโปรตอสว่าในบางครั้งพวกเขาจะได้ยินเสียงที่ฟังไม่ออกเบา ๆ ด้วย แต่กระนั้นโปรตอสบางคนก็สามารถแปลข้อความให้อยู่ในรูปแบบที่เทอแรนเข้าใจได้

    โปรตอสในช่วงศึกอสงไขยนั้นไม่ได้รับรู้หรือคิดถึงการสื่อสารอื่นเลยนอกจากการใช้โทรจิต ซึ่งคาสเป็นคนที่สร้างระบบเขียน-อ่าน (ขึ้นมาใหม่) เพื่อการเข้าใจถึงสิ่งประดิษฐ์ของเซลนากา

    นอกเหนือการใช้โทรจิตแล้วโปรตอสยังสามารถใช้ภาษากายได้อีกด้วยเพื่อสื่อถึงอารมณ์และเจตนาต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นกันส่ายหัวและการเคลื่อนไหวของเส้นประสาท สิ่งเหล่านี้สื่อถึงการดูถูกดูแคลน การสั่นไหวและ/หรือการเกิดรอยจุดบนผิวหนังเป็นสัญญาณสื่อถึงความทุกข์ใจ

    วัฒนธรรม

    "หากสังคมถูกกำหนดไว้ด้วยความเข้าใจของสมาชิกในสังคมนั้น ๆ ต่อความต้องการและวัฒนธรรมของคนอื่น ๆ โปรตอสคงได้ก้าวล้ำพวกเราไปแล้ว คุณจะบอกว่าพวกเขาแปลกแยกอย่างนั้นหรือ? ในทางกลับกันพวกเขาเชื่อมต่อความรู้สึกนึกคิดกับคนอื่น ๆ มาแต่กำเนิดอยู่แล้ว พวกเขาแชร์ความรู้ความเข้าใจได้ง่าย ๆ เหมือนกับที่เราหายใจเลย เราโดดเดี่ยวมาก ๆ ความสัมพันธ์ของเรานั้นเมื่อเทียบกันแล้วเรายังอ่อนด้อยกว่า"

    - เจค แรมเซย์

    วัฒนธรรมของโปรตอสนั้นถูกสรรค์สร้างอยู่บนเสาหลักหนึ่ง ๆ มานานนับพันปี ทั้งนี้ทำให้มันเป็นการยากที่สังคมนั้น ๆ จะต้องเปลี่ยนแปลงไป การรวมตัวกันของคาไลและเนราซิมนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของการอยู่ร่วมกันแม้ทั้งสองจะมีวัฒนธรรมต่างกัน

    วัฒนธรรมของคาไลนั้นสามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคศึกอสงไขย ยุคที่เหล่าเซลนากาได้ละทิ้งโปรตอสไป ณ ช่วงท้ายของสงครามนี้โปรตอสได้กลับมารวมตัวกันเป็นเอกภาพอีกครั้งด้วยแสงธรรมแห่งคาลา ("หนทางแห่งการหลุดพ้น") ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นโดยคาสผู้เป็นตำนาน คาลานั้นใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อจิตใจและเป็นตัวสร้างระบบวรรณะขึ้นมา โปรตอสสามารถกลายเป็นคนคลั่งลัทธิได้หากมีผู้ลบหลู่ความเชื่อของพวกเขา

    มิใช่ทุกคนที่คล้อยตามคาลา คนนอกรีตที่กลายมาเป็นเนราซิมเหล่านั้นที่สุดแล้วก็ถูกเนรเทศออกจากไอเออร์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนนอกรีตอีกพวกหนึ่งคือกลุ่มทัลดาริม คนกลุ่มนี้จะใช้สารเสพติดเพื่อตัดขาดตนเองออกจากคาลา

    โปรตอสเพศหญิงนั้นไม่ค่อยปรากฏว่ามีอำนาจทางใดเท่าใดนักนอกจากเนราซิม ในวรรณะเทมปลาร์นั้นปรากฏอยู่น้อยมากและที่สำคัญคือไม่เคยปรากฏสตรีที่ได้นั่งบัลลังก์ในมหาสภาเลย โปรตอสมากมายต่างอคติกับเทอแรนเพศหญิง แม้จะมีเพียงคนเดียวที่พวกเขาได้พบเจอคือเคอร์ริแกน (ซึ่งสวนทางกับจิม เรย์เนอร์) ส่วนโปรตอสที่มีอายุน้อยมาก ๆ จะถูกเรียกว่า "younglings"

    โปรตอสนั้นถูกกล่าวไว้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์นักรบแม้ว่าจะไม่ได้ทำสงครามตลอดก็ตาม พวกเขามีการฝึกทหารตลอด อย่างไรก็ตามก่อนเหตุการณ์มหาสงครามนั้นพวกเขาก็ได้ทำศึกกับโปรตอสด้วยกันเองมาก่อน และเคยทำสงครามกับพวกคาลาธีด้วย โปรตอสนั้นนิยมชมชอบในความยุติธรรมและเกียรติยศ และมีความยึดมั่นในหน้าที่ของตนเองในสิ่งเหล่านี้ พวกเขานั้นมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อเกียรติและความรุ่งเรือง โปรตอสมักจะยินดีสละชีพตนเองเพื่อผู้อื่นในเผ่าพันธุ์ของตนเสมอไอเออร์คือศูนย์รวมจิตใจของโปรตอสทั้งหมด

    โปรตอสทั้งหมดหรือเฉพาะคาไลนั้นไม่เชื่อในเรื่องของโชคลาภแต่กลับคำนึงถึงความเชื่อมโยงกันของเหตุการณ์ต่าง ๆ และรู้ดีว่ามีเหตุผลเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่คอยบงการอยู่

    ภาษา

    โปรตอสใช้ภาษาผ่านทางพลังจิตที่เรียกว่าคาลานิ และภาษาเขียนด้วย ซึ่งเนราซิมก็ใช้เช่นกัน คาไลสามารถสื่อสารได้แม้ไม่ต้องพูดเหตุเพราะใช้คาลา แต่เนราซิมนั้นต้องพูดออกมาให้ชัดเจน

    ศาสนา

    "ศรัทธามาก่อนความกลัว"

    - องค์ประมุขอาร์ทานิส

    ในอดีตนั้นโปรตอสทุกคนเคารพนับถือเซลนากาเยี่ยงเทพเจ้า ในปัจจุบันนี้โปรตอสส่วนมาก็ยังทำเช่นนั้นอยู่ ทัลดาริมนั้นเคารพบูชาเพียงเอม่อนและเซลนากาผู้ติดตามเป็นเทพเจ้าเท่านั้น

    วีรชนโปรตอส

    มีโปรตอสจำนวนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องจากทั้งคาไลและเนราซิม และได้รับการกล่าวสรรเสริญในที่สุด (ตัวอย่างเช่น "en taro" แปลว่า "ด้วยเกียรติแห่ง...")

    • คาส - บุคคลสำคัญแห่งสังคมโปรตอส บุคคลผู้มีพรสวรรค์และเป็นผู้นำจิตวิญญาณของโปรตอส เป็นผู้จบสิ้นเรื่องราวทั้งหมดในศึกอสงไขยโดยการใช้สิ่งประดิษฐ์ของเซลนากาซึ่งก็คือผลึกเคย์ดาริน เพื่อดึงให้เผ่าที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่นั้นกลับมาเชื่อมต่อจิตใจกันได้ดังเดิม ความเชื่อที่ช่วยให้โปรตอสรอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าคาลา โปรตอสเกือบทั้งหมดได้คล้อยตามสิ่งนี้ คาลาได้กลายมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงสิ่งเดียวที่แพร่หลายในสังคมโปรตอสบนไอเออร์ รวมไปถึงฐานะทางสังคม (เช่น เทมปลาร์, จูดิเคเตอร์) และเกียรติยศทั้งมวล
    • อดุน - วีรชนผู้มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งของโปรตอส เขาได้รับการสรรเสริญจากทั้งคาไลและดาร์กเทมปลาร์เช่นกัน เขาคือนักรบที่มีฝีมือดีที่สุดในยุคนั้น เขาได้รับคำสั่งให้กำจัดชนเผ่านอกรีตจากมหาสภา ด้วยมิอาจฝืนใจให้เข่นฆ่าพวกเดียวกันลงได้อดุนและผู้ติดตามจึงตัดสินใจซ่อนตัวคนนอกรีตเหล่านี้แทน แม้ว่าแผนการนี้จะล้มเหลวแต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้แก่ดาร์กเทมปลาร์ เมื่อข่าวเรื่องชนนอกรีตนี้แพร่สะพัดออกไปเขาก็ได้ประสบชะตากรรมเดียวกันบนไอเออร์ แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็เชื่อว่าอดุนได้ช่วยเหลือไอเออร์ไว้จากคนนอกรีตเหล่านั้นและหนทางอนาธิปไตยของพวกเขา ประโยคที่ว่า "En Taro Adun" นั้นได้กลายมาเป็นคำทักทายหรือร่ำลาอย่างเป็นทางการ และใช้เป็นเสียงปลุกใจในสงครามด้วย ในขณะเดียวกันเหล่าดาร์กเทมปลาร์ได้ใช้ประโยคที่ว่า "Adun Toridas" ในความหมายเช่นเดียวกัน
    • แทสซาดาร์ - เขาคือผู้นำกองกำลังปฏิบัติการณ์ทางทหารแห่งคอปรูลูในช่วงมหาสงคราม ด้วยการที่เขาผูกมิตรกับเซราทุล ทำให้เกิดความสมานฉันท์กันระหว่างคาไลและเนราซิมในภายหลัง พันธมิตรนี้ช่วยให้โปรตอสสามารถพิชิตเซเรเบรทและองค์เหนือจิตตนแรกลงได้ แทสซาดาร์สละชีพเข้าทำลายองค์เหนือจิต ด้วยวีรกรรมที่เขาได้สร้างเอาไว้ เขาได้กลายมาเป็นตัวอย่างหนึ่งของความดีงามในปัจจุบันนี้ เทมปลาร์บางคนเช่น อาร์ทานิส, เซเลนดิส และเซราทุลมักจะกล่าวสดุดีตัวเขาว่า "En Taro Tassadar"
    • เซราทุล - วีรบุรุษแห่งมหาสงครามผู้นี้ เซราทุลเป็นผู้สอนแทสซาดาร์ให้ใช้พลังจากสุญญภูมิ เป็นเหตุให้เขากำราบองค์เหนือจิตแห่งเซิร์กลงได้ แม้ต้องถูกขับไล่เพราะได้สังหารราสซากาลและนำพาเซิร์กมาสู่ไอเออร์เขายังคงออกสืบหาเรื่องราวของเหล่าลูกผสมและเอม่อนอย่างไม่ลดละ สิ่งที่เขาอุทิศแรงกายแรงใจนี้เป็นเครื่องชี้นำโปรตอสในศึกสุดท้ายจนได้ชัยชนะ ในระหว่างทำศึกครั้งนี้อาร์ทานิสได้กล่าวออกมาว่า "En Taro Zeratul" และหลังจากจบศึกครั้งนี้พวกเขาได้ยกความดีความชอบแห่งชัยชนะครั้งนี้ให้กับเขา
    • อาร์ทานิส - หลังจากที่ได้รับใช้กองทัพในมหาสงครามและศึกสายเลือดแล้ว อาร์ทานิสได้ขึ้นเป็นองค์ประมุขแห่งเดลาม เมื่อครั้งเอม่อนกลับมาและได้ทำการครอบงำคาลาแล้วเขาได้รวบรวมผู้รอดพ้นที่เหลือและโต้กลับคืน เขารวบรวมเหล่าผู้ชำระล้างและทัลดาริมเข้าสู่กองทัพเดลาม อาร์ทานิสทวงคืนไอเออร์ได้สำเร็จและส่งเอม่อนกลับสุญญภูมิไป หลังจากนั้นจึงได้ส่งกองทัพเข้าร่วมพิชิตเอม่อนให้สูญสิ้นไปตลอดกาล "En Taro Artanis" ได้ถูกกล่าวออกมาเพื่อสรรเสริญเขาในเหตุการณ์การยืนหยัดครั้งสุดท้ายของเดลามต่อเอม่อนบนไอเออร์

    ฝ่าย
    เอกภาพแห่งโปรตอสนั้นได้เกิดขึ้นและดับไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้แยกเผ่ากันอยู่ พวกเขาได้ยึดถือเซลนากาเป็นศูนย์กลาง ณ ช่วงเวลานั้น หลังจากนั้นจึงแยกเผ่ากันยู่ตามเดิมในช่วงศึกอสงไขย หลังจากนั้นจึงกลับมาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้งในรอบพันปี ภายใต้คาลานั้นเหล่าคาไลได้ตั้งจักรวรรดิโปรตอสขึ้นมาโดยใช้รากฐานจากระบบวรรณะ ผู้ที่ปฏิเสธสิ่งนี้และกลายเป็นชนนอกรีตได้ถูกขนานนามในภายหลังว่าเนราซิม

    หลังจากเหตุการณ์ศึกสายเลือดโปรตอสทั้งสองฝ่ายได้รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้เดลาม อย่างไรก็ตามภายในนั้นได้กลับไปสู่ระบบชนเผ่าเหมือนเช่นเคยรวมไปถึงรอยร้าวเล็ก ๆ นั้นด้วย หลังจากศึกสุดท้ายแล้วนั้นเดลามได้รวบรวมชนเผ่าโปรตอสที่เหลือทั้งหมดและทวงคืนไอเออร์ในฐานะมาตุภูมิแห่งโปรตอส

    ทัลดาริมคือโปรตอสกลุ่มหนึ่งที่ถูกนำพาออกจากไอเออร์เมื่อครั้งที่เซลนากาได้จากไป พวกเขามีวัฒนธรรมที่แปลกแยกออกไปจากคาไลและเนราซิม ไม่ใช้คาลา ก่อนหน้าที่เอม่อนจะพ่ายแพ้ลงพวกเขาได้รับใช้เอม่อนอย่างมอบกายถวายชีวิต พวกเขาใช้เทอร์ราซีนเพื่อเข้าถึงเอม่อน

    อีกหนึ่งกลุ่มที่แม้ว่าจะไม่ใช้โปรตอสที่แท้จริง กลุ่มผู้ชำระล้างคือหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาจากเทมปลาร์ซึ่งได้ก่อกบฎขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากมิได้รับความเท่าเทียมเช่นเทมพลาร์จริง ๆ ทว่าในระหว่างเหตุการณ์ในศึกสุดท้ายนั้นพวกเขาก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันในสังคมโปรตอสอีกครั้งด้วยคำสัญญาว่าด้วยความเท่าเทียมของโปรตอส

    เผ่าโปรตอส

    วรรณะจูดิเคเตอร์

    เผ่าอารา,เผ่าเชลัก

    วรรณะเทมปลาร์

    เผ่าอากิเล,เผ่าเอาริกา,เผ่าซาร์กัส,เผ่าเวลาริ,เผ่าเวนาทีร์

    วรรณะคาไล

    เผ่าฟูริแนกซ์

    เนราซิม

    อลิสซาร์,โบโรส,เลนาสซา,เซอร์อะไท

    อื่น ๆ

    ทัลดาริมแห่งไอเออร์,เผ่าที่สาปสูญ,ผู้ชำระล้าง,เชลนาครีฮัส,ทัลดาริม

     

     

    เทคโนโลยี

    "พวกโปรตอสเขาล้ำหน้าพวกเราไปมากแล้ว เทียบกันแล้วเราก็เปรียบเหมือนตัวอะมีบาเลยนะครับ"

    - ดร.เอกอน สเตทมันน์

    เทคโนโลยีของโปรตอสนั้นเกิดจากการผสมผสานพลังจิตเข้ากับเทคโนโลยีทั่วไป มันคือเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในกาแล็กซีรวมไปถึงมนุษย์ด้วย พวกเขาถูกกล่าวไว้ว่ามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในจักรวาลและนักรบของพวกเขานั้นก็ถูกฝึกมาดีที่สุดในกาแล็กซี่

    วิทยาการของโปรตอสบางอย่างต้องอาศัยแก๊สเวสพีนในกระบวนการทำงาน โปรตอสได้ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เนติกในการรักษาชีวิตและเสริมแรงให้กับนักรบของพวกเขา การสื่อสารในสนามรบของโปรตอสนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีมาก การใช้พลังงานในการป้องกันตนเองนั้นเป็นการฝึกนักรบขั้นพื้นฐาน

    ชุดเกราะของโปรตอสได้รับการติดตั้งระบบเทเลพอร์ตซึ่งจะช่วยส่งนักรบโปรตอสที่ใกล้ตายกลับไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือพิการจะถูกแปรสภาพไปเป็นนักรบไซบอร์กเหตุเพราะโปรตอสมีจำนวนน้อยพวกเขาจึงมักใช้หุ่นยนต์ไปร่วมรบด้วย และด้วยเหตุเพราะว่าจำนวนประชากรลดลงเรื่อย ๆ พวกเขาจึงมิอยากสิ้นเปลืองทรัพยากร

    นักบินโปรตอสนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของตัวยานและยินยอมให้มันดูดพลังงานของพวกเขาไปใช้ ยานบินโปรตอสนั้นใช้เทคโนโลยีการต้านแรงโน้มถ่วงเพื่อให้ตัวยานนั้นลอยลำอยู่ได้เมื่อต้องปฏิบัติการณ์อยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนั้น ๆ

    โปรตอสได้พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับผลึกไว้มากมายและประดิษฐ์สรรพาวุธแห่งสงครามขึ้นมามากมายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นโคลอสซุสและยานแม่และยังสามารถสร้างอาวุธได้อีกมากมายหากพวกเขาต้องการ โปรตอสได้กำหนดข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีขึ้นมาด้วยความกลัวถึงอานุภาพของมัน และนอกจากนี้พวกเขายังพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปอย่างช้า ๆ อย่างมีระบบระเบียบและสมบูรณ์แบบ ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนี้ทำให้โปรตอสสามารถพัฒนาอาวุธที่ทรงอานุภาพได้มากมาย แม้ว่าไอเออร์จะล่มสลายไป พวกเขายังคงสามารถสร้างยานอวกาศได้จากดาวดวงอื่นและมีโรงเก็บยานอยู่มากมาย

    ข้อมูลต่อไปนี้มาจากเนื้อหาของสตาร์คราฟท์ 2: ปีกแห่งเสรีภาพและเป็นข้อมูลที่คลุมเครือ

    โปรตอสเชี่ยวชาญในการจัดการหรือเปลี่ยนแปลงพลังงาน อัญมณีอาร์คเธียมนั้นเป็นกุญแจสำคัญในวิทยาการต่าง ๆ ของพวกเขา

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น