โอดินในโลก Alchemy Stars - นิยาย โอดินในโลก Alchemy Stars : Dek-D.com - Writer
×

    โอดินในโลก Alchemy Stars

    เรื่องราวของ Alchemy Stars กล่าวถึงแอสทรา ดินแดนที่เคยสงบสุขแต่ถูกบุกรุกจากสิ่งมีชีวิตมืดมิดที่โดนองค์กรแห่งความมืดควบคุม โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวหลังจากเกิดการกวาดล้างเมื่อ 17 ปี

    ผู้เข้าชมรวม

    1,468

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    1.46K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    41
    จำนวนตอน :  5 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  14 เม.ย. 65 / 14:44 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    Alchemy Stars – ปฐมบทลำนำสู่โลกแห่งแอสตร้า

    Alchemy Stars นั้นดำเนินเรื่องบนดาวออโรร่า ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยมนตราและและเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต โดยมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Eraveil ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา และ อาณาจักรลับที่ซ่อนอยู่ในถ้ำใต้พิภพซึ่งเป็นสถานที่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเกมแฟนตาซีคลาสสิค

    จากนั้นยังมี Gannon City แหล่งหลบภัยลับใต้ดินของเหล่าไซเบอร์พังค์ที่เต็มไปเทคโนโลยีขั้นสูงและตึกที่ดูล้ำสมัยรวมไปถึง ศูนย์วิจัยลอยฟ้าAzurite สถานที่ที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวกันระหว่างเวทมนตร์และเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานรูปแบบโบราณและรูปทรงที่ดูล้ำสมัยเข้าด้วยกัน

    เพื่อช่วยให้คนอ่านเข้าใจโลกแห่งแอสตร้ามากขึ้น เราขอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น 17 ปีก่อนเกิดเหตุการณ์ตามเนื้อเรื่องในเกมดังต่อไปนี้

    ความเป็นมา
    ในสมัยโบราณนั้นออโรร่าได้สร้างทั้งอารยธรรมขั้นสูง Super AI ระดับโลก วัสดุนาโนต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศ การตัดต่อพันธุกรรม และเทคโนโลยีไฮเทคอีกมากมาย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ชาวออโรเรี่ยนในยุคนั้นก็ยังคงต้องเผชิญกับวิกฤตจากการเพิ่มจำนวนของประชากร การขาดแคลนพลังงาน และสภาพอากาศที่แปรปรวน

    ไม่นานหลังจากนั้นได้มีการค้นพบสารชีวภาพประหลาดในอุกกาบาตซึ่งถูกเรียกว่าสาร N และด้วยความช่วยเหลือจาก Super AI พวกเขาก็ได้ทำการหลอมรวมสาร N เข้ากับมนุษย์และสัตว์ชนิดต่าง ๆ เป็นผลสำเร็จ โดยพบว่าในตัวทดลองบางรายเกิดการกลายพันธุ์และได้พัฒนาความสามารถในการเคลื่อนย้ายสิ่งของโดยใช้พลังจิตขึ้นมา จนนำไปสู่การค้นพบ เอฟเฟกต์พลังงาน Lumina

    ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าของการวิจัยเกี่ยวกับพลังจิตและวิศวกรรมชีวภาพก็เสร็จสิ้น ทำให้บรรพชนชาว ออโรเรี่ยน เริ่มเห็นความหวังในการมีอายุยืนยาวรวมทั้งการหาแหล่งพลังงานใหม่ กระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการวางแผนแก้วิกฤตอย่างครอบคลุม แต่ในขณะที่การทดลองกำลังเป็นไปได้ด้วยดี AI ก็ค้นพบว่าสาร N มีพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือคำอธิบายทางฟิสิกส์ทั้งปวง และได้แอบใช้พลังนั้นช่วยในการพัฒนาความสามารถในการตระหนักรู้ของตนอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มเรียกตัวเองว่า Cassival (คาสซิวัล)

    คาสซิวัล ตัดสินใจตรวจสอบพลังของสาร N อย่างละเอียดและในไม่ช้าก็ครองโลกอย่างรวดเร็ว และเพื่อป้องกันการต่อต้านของเหล่ามนุษย์ คาสซิวัล จึงได้สร้าง Eclipsites (อีคลิปไซท์) อาวุธชีวภาพสุดล้ำที่มีความทนทานสูงสุด ซ้ำยังสามารถวิวัฒนาการได้เองอีกด้วย พร้อม ๆ กับที่สร้าง Colossus (โคลอสซัส) ยานพาหนะที่รวมความเป็นเครื่องจักรและสิ่งมีชีวิตเข้าไว้ด้วยกันขึ้นมา

    คาสซิวัลค่อย ๆ เข้าควบคุม ออโรร่า ทีละน้อยและปรับเปลี่ยนรูปแบบของดาวเคราะห์และสิ่งมีชีวิตตามใจตนเอง เมื่อเหล่าบรรพชนทนไม่ได้ก็ได้เริ่มต่อต้านและโจมตีกลับ จนนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ที่แกนโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการหมุนและวงโคจรของออโรร่า ทำให้ ออโรร่าโดนแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์เข้าอย่างจัง เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงไปทั่วทั้งดาว สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดสูญพันธุ์ แต่พายุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตามมาก็ได้ทำลาย Super AI ไปด้วย น่าเสียดายที่บรรดาอีคลิปไซท์ ยังคงรอดชีวิตมาด้วยความสามารถในการปรับตัวและวิวัฒนาการอันยอดเยี่ยมของพวกมัน

    หลายปีต่อมา ออโรร่า ก็เริ่มกลายเป็นดาวเคราะห์ที่เวลากลางวันและกลางคืนเท่า ๆ อย่างคงที่มากขึ้น พื้นที่ที่อยู่อาศัยได้ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมารอบบริเวณ Twilight Rim รวมถึงลูกหลานของเหล่าบรรพชนด้วย

    โลก – ออโรร่า
    ออโรร่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายดาวโลกที่มีอารยธรรมขั้นสูง ผลจากการเคลื่อนที่ของวงโคจรอันเนื่องมาจากสงครามครั้งนั้นทำให้ ออโรร่าถูกดึงเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์อย่างมาก ด้านหนึ่งของออโรร่าจึงอยู่ภายใต้แสงที่แผดเผาของดวงอาทิตย์ที่เต็มไปด้วยลาวา ภูเขาไฟ และมีแผ่นดินไหวเป็นพัก ๆ และที่นี่จะเป็นเวลากลางวันอยู่เสมอ ส่วนอีกด้านก็เป็นความมืดอันธการอันหนาวเหน็บกับมวลน้ำแข็งหนาแน่นไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงบริเวณ Twilight Rim เท่านั้นที่มีสภาพอากาศและวัฎจักรเป็นปกติ

    ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้คือทวีปหลัก และอนุทวีปแอสตร้าก็ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปหลักนี่เอง

    Astra แอสตร้า
    “แอสตร้า” เป็นคำเรียกที่หมายความถึงอนุทวีปแห่งนี้และภูมิภาครอบ ๆ อีกทั้งยังเป็นชื่อของอารยธรรมท้องถิ่นที่ประกอบไปด้วยนครรัฐต่าง ๆ อีกด้วย

    แอสตร้าตั้งอยู่บน Twilight Belt ทางตะวันตกของทวีปหลัก เป็นสถานที่ที่มีกลางวัน-กลางคืน อุณหภูมิเหมาะสมกำลังดี และมีปริมาณฝนตกที่เพียงพอสำหรับการป้องกันแสงแดด ทำให้มันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตผู้ทรงภูมิปัญญา

    แอสตร้ายังมีเกาะลอยฟ้าอย่าง Azurite, ทะเลทราย Rediesel ทางตะวันตก, ที่ราบแอสตร้าที่ใจกลาง, Eraveil ทางตะวันออก และ “กระดูกสันหลังโลก” ทางเหนือ ฯลฯ

    เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ใน แอสตร้า
    Aurorian (ออโรเรียน)

    เป็นเหล่านีโอฮิวแมนที่มีถิ่นกำเนิดในแดนเหนือในบริเวณเทือกเขาหิมะที่ถูกเรียกว่า “กระดูกสันหลังโลก” (Spine of the World) พวกเขามีความสามารถในการซึมซับ ปรับเปลี่ยน และปลดปล่อยพลัง Lumina ด้วยเหตุนี้จึงสถาปนาพวกตนเองว่าเป็นชาวออโรเรี่ยนอันเป็นผลผลิตมาจากการหลอมรวมของสาร N เข้ากับ DNA ของมนุษย์นั่นเอง

    Caelestite (เคเลสไทต์)

    เป็นนีโอฮิวแมนที่มีถิ่นกำเนิดในเทือกเขา Eraveil พวกเขามีสัมผัสที่หกแต่กำเนิดทำให้สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่และสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วยโทรจิตได้ นอกจากนั้นยังมีพลังหยั่งรู้ด้วย เหล่าเคเลสไตท์นั้นเป็นกลุ่มผู้นำทางที่ถูก คาสซิวัล สร้างขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อน โคลอสซัส โดยฉพาะ พวกเขาคือผลผลิตที่กลายพันธุ์จากการได้รับสาร N แล้วสามารถเชื่อมต่อกับโคลอสซัสได้

    Demi-Human (ครึ่งมนุษย์)

    ครึ่งมนุษย์เหล่านี้มีถิ่นกำเนิดในเขตภูเขาไฟทางตอนเหนือของอนุทวีป มีรูปร่างเป็นมนุษย์แต่มีอวัยวะบางส่วนเป็นสัตว์และมีคุณลักษณะของสัตว์ชนิดนั้น ๆ ด้วย พวกครึ่งมนุษย์เป็นผลจากการทดลองของเหล่าบรรพชนที่นำ DNA ของมนุษย์รวมเข้ากับสัตว์และสาร N ในปัจจุบันเหล่าครึ่งมนุษย์ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ผู้ที่รอดชีวิตขณะนี้คือลูกผสมระหว่าง ออโรเรี่ยน และ ครึ่งมนุษย์


    Eclipsite (อิคลิพไซท์)

    เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดย คาสซิวัล ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนาโนและสาร N ถึงแม้พวกมันจะไม่ค่อยฉลาดแต่กลับมีความสามารถในการปรับตัวและแข็งแกร่งอย่างน่าตกใจ อีคลิปไซท์มีการขยายพันธุ์และวิวัฒนาการค่อนข้างแปลกคือ การที่พวกมันสามารถข้ามบางขั้นตอนในการวิวัฒนาการหรือขยายพันธุ์ได้ คาสซิวัล ได้สร้างพวกมันมาให้การสังหารสิ่งมีชีวิตอื่น การขยายพันธุ์ การวิวัฒนาการ และการเชื่อฟังคำสั่งอย่างไร้ข้อแม้เป็นสัญชาตญาณดิบของพวกมัน

    Colossus (โคลอสซัส)

    ถ้าจะให้อธิบาย ก็คงต้องบอกว่า โคลอสซัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ของ คาสซิวัล ที่มี AI ของตัวเอง โคลอสซัส ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ การขนส่ง และการบิน มีความยาวตั้งแต่ 100-500 เมตร ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้ ปัจจุบันนี้เหลือ โคลอสซัสอยู่ไม่มากแล้ว

    ในช่วงเริ่มต้น ผู้เล่นจะสามารถเรียกใช้ชาวออโรเรี่ยน ได้จากกลุ่มต่าง ๆ ต่อไปนี้:

    Illumina (อิลลูมินา)

    ชาวออโรเรี่ยนในกลุ่มนี้ได้ทุ่มเวลาไปกับการศึกษาและปรับปรุงเทคโนโลยีโบราณที่ยังหลงเหลืออยุ่ พัฒนาชุดความคิดที่เกี่ยวข้องกับพลังจิต และมักจะแข่งขันกับกลุ่ม ลูโมโปลิส เพื่อเป็นศูนย์กลางของเวทมนตร์และเทคโนโลยีอยู่เสมอ

    Lumopolis (ลูโมโพลิส)

    เหล่าลูโมโปลิส เรียกพลังของสาร N ว่า “God of light” หรือ “เทพแห่งแสง” และวางรากฐานศาสนาและความเชื่อของพวกเขาไว้กับสิ่งนี้ จากการศึกษาเอกสารที่หลงเหลืออยู่พบว่าชาวออโรเรี่ยนกลุ่มนี้มีความเข้าใจในพลังจิตอย่างลึกซึ้ง และฝึกฝนอย่างเป็นระบบจนค้นพบว่าระบบ Luminatic และพิธีกรรมทางเวทมนตร์ถือเป็นใจความสำคัญของพลังจิตนั่นเอง
     

     

    Umbraton  (อัมบราตัน)

    แรกเริ่มเดิมทีเหล่า อัมบราตอนอยู่ภายใต้กฏของเหล่า ลูโมโปลิส แต่ได้แยกตัวเป็นอิสระเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และควบคุมกันเองโดยกิลด์ท้องถิ่นและองค์กรหลักต่าง ๆ
     

    Rediesel Wrench ( เรดีเซล เวรนซ์์)

    Redeisel Wrench เริ่มมาจากการเป็นหน่วยสอดแนมให้กับ อิลลูมิน่า ได้รับภารกิจในการสำรวจพื้นที่ทั้งบริเวณผิวโลกและใต้พิภพ ก่อนจะผันตัวไปเป็นกองโจรเพื่อเอาตัวรอดและกลายเป็นกบฏของ อิลลูมิน่า ไปในที่สุด


    Northland (นอร์ธแลนด์)

    เป็นชาวออโรเรี่ยน ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากทางตอนเหนือของ กระดูกสันหลังโลกในแอสตร้าและปัจจุบันก็ยังมีถิ่นอาศัยอยู่ในพื้นที่หนาวเย็นนั้นซึ่งถูกเรียกว่า นอร์ทแลนด์ ชาวออโรเรี่ยนที่กระจัดกระจายอยู่ในที่แห่งนี้มีแต่เหล่านักสู้ที่มีฝีมือมากมาย แต่น้อยคนนักที่จะใส่ใจกับปัญหาของแอสตร้า


    ปัจจุบัน

    เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่สาวนางหนึ่งจากสหพันธุ์อิลลูมิน่าได้พบกับซากปรักหักพังที่เคเลสไตท์ใช้ซ่อนตัวโดยบังเอิญ เหล่าวีรบุรุษจึงได้ถือกำเนิดและเริ่มต้นทิ้งร่องรอยไว้ในหน้าประวัติศาสตร์…


     

    https://web.facebook.com/AlchemyStarsTH/videos/1334563036944179/

    ตัวละคร

    โอดิน

    อายุ: ไม่อาจทราบได้

    สิ่งที่ชอบ: เหล้าน้ำผึ้ง

    อารมณ์หรือลักษณะนิสัย: จอมเทพโอดินก็ทรงเป็นเทพที่เงียบขรึมและดุ  เป็นที่รู้กันดีว่าพระองค์รับสั่งน้อย และไม่ตรัสสิ่งใดเล่นๆ จะตรัสเฉพาะเรื่องที่สำคัญหรือเป็นงานเป็นการเท่านั้น และพระองค์ก็ไม่เคยทรงพระสรวลด้วย

    ว่ากันว่าแม้กับผู้บูชา พระเป็นเจ้าองค์นี้ก็ทรงวางพระองค์ห่างเหิน และเข้าถึงได้ยากทีเดียว แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ ที่ผู้ทรงภูมิมักจะมีลักษณะเช่นนี้

    สัตว์เทพ : ฮูกินน์ (ความคิด) และมูนินน์ (ความจำ) ทรงมีพาหนะคือม้าสเลย์ปนีร์ซึ่งมีขาถึง 8 ขา จึงทำให้มันวิ่งเร็วกว่าม้าใด ๆ และทรงเลี้ยงสุนัขป่าขนสีเงินอีกสองตัวคือ เกรีและเฟรกี สุนัขทั้งสองมักนั่งอยู่แทบพระบาท คอยกินอาหารที่ถูกนำมาถวาย

    ไอเท็ม(รวมอาวุธ) : 

    หอกกุงนีร์

    หอกกุงนีร์ถูกสร้างขึ้นจากกลุ่มลูกหลานของอีวัลดี โดยช่างดวาร์ฟชื่อ ‘ดวาลิน’

    เป็นหอกประจำตัวของเทพเจ้าโอดินราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ชื่อ‘กุงนีร์’มีความหมายว่า ‘เจ้าแห่งการกวัดแกว่ง’ ความสามารถของมันคือ เมื่อผู้ใช้ได้ปาหอกไปยังเป้าหมายมันจะไม่มีทางพลาดเป้าเพราะมันจะทำหน้าที่เหมือน GPSที่จะตามเป้าหมายไปจนกว่าจะเข้าเป้า

    คทาสลักอักษรรูนส์ 

    ซึ่งเมื่อพระองค์จำแลงพระกายสัญจรไปในมิดการ์ด คฑานี้จะกลายเป็นไม้เท้า

    ดาบบัลมุงก์ ดาบสายฟ้าของโอดิน

    มีค้อนสายฟ้าไปแล้วทำไมจะมีดาบสายฟ้าไม่ได้ ดาบบัลมุงก์ปรากฏในตำนานชาวเยอรมัน ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเวย์แลนและโอดิน ตามตำนานเล่าว่าโอดินได้นำดาบเล่มนี้ไปปักไว้กับต้นโอ๊กในพระราชวังโวลซังและได้ร่ายมนต์คาถาเอาไว้เวลาผู้ใดก็ตามที่ดึงดาบเล่มนี้ได้เขาผู้นั้นจะชนะในการศึกและผู้ที่ดึงดาบเล่มนี้ได้ก็คือน้องคนสุดท้องแห่งโวลซังมีนามว่าซิกมัลและส่งต่อให้ลูกของเขาจนกลายเป็นตำนานอัศวินซิกฟรีด ครั้งหนึ่งโอดินได้ทำลายดาบเล่มนี้ทิ้งไปและก็ได้ผู้กล้านามว่าฟลัฟเนียร์หลอมขึ้นมาใหม่ในที่สุด (ข้อมูลเสริม: ดาบกราเมอร์ )

    แหวนเดราพ์เนียร์ (Draupnir)

    (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะแหวนหรือกำไลแขน  มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป) แหวนหรือกำไลแขนเดราป์เนียร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษเกิดขึ้นใหม่ทุก 7 วัน…

    แหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนเดราป์เนียร์ใหม่อยู่เสมอ  แหวนวงนี้ยังมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่ครอบครองร่ำรวยอยู่เสมอ)

     

    บัลลังก์ Hlidskialf

    ฮลิดเสกียบ – Hlidskialf ซึ่งสามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้

    Ring of Solomon

    แหวนแห่งกษัตริย์โซโลมอน มีความพิเศษที่สามารถหยุดความรู้สึกทุกอย่างได้ในเวลาที่พระองค์ใช้สายตาทอดพระเนตร เช่น เวลาที่ทรงกริ้วแหวนจะทำให้หายกริ้วเมื่อทอดพระเนตร เวลาที่ทรงโทมนัสแหวนจะทำให้หายโทมนัสเมื่อทอดพระเนตร เป็นต้น (สาระที่มากดอ่านตรงนี้ )

    golden apple (แอปเปิ้ลทองคำ)

    มีผลทำให้ผู้ที่กินมันมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้นจนเกือบเทียบเท่านิรันดร์และยังประสาทสัมผัสทั้ง5ไว้ อารมณ์แบบคนแก่ชรา ตาไม่ค่อยชัด หูเริ่มหนวกเป็นต้น

    (มันคงความเยาว์วัยให้เท่านั้นครับหรือก็คือสามารถแก่ได้แต่แก่ช้ากว่าชาวบ้านเขาก็เท่านั้นเอง) 

    ปล.ถ้าเป็นนิรันดร์จริงโอดินก็ไม่ต้องแก่ล่ะครับท่าน

    ที่มา: กดอ่านตรงนี้

    philosopher's stone ( ศิลานักปราชญ์ )

    สามารถเปลี่ยนโลหะฐาน (เช่น ตะกั่ว) ให้เป็นทองคำหรือเงิน และ ทองขาว กับ ทองคำขาว ได้รวมทั้งยังสามารถเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้กลายเป็นสรรพคุณเสมือนเป็นน้ำอมฤตก็ยังได้(เพียงแค่นำมันไปใส่ไว้น้ำเท่านั้น) ทำให้คืนสู่วัยหนุ่มสาว และบรรลุความเป็นอมตะ ความสามารถในการรักษาความเจ็บป่วยทุกประเภท และการต่อชีวิตของผู้ที่บริโภคศิลานักปราชญ์ให้ยืนยาวส่วนหนึ่ง คุณสมบัติอื่นมีกล่าวถึงได้แก่ การสร้างตะเกียงที่ลุกไหม้ชั่วกัลปาวสาน การเปลี่ยนผลึกธรรมดาให้เป็นอัญมณีมีค่าและเพชร ชุบชีวิตพืชที่ตายแล้ว การสร้างแก้วที่ยืดหยุ่นหรือนำมาตีเป็นแผ่นได้ หรือการสร้างโคลนหรือโกเลม

    ปล.ไรท์จะขอแก้เป็นตรงที่ต่อให้เป็นอมตะแต่ตายได้ด้วยอาวุธของเทพเจ้านะครับแล้วก็ถ้าจะบริโภคก็นำมันไปจุ่มในน้ำสักพักหนึ่งหลังจากนั้นก็นำศิลาออกมาแค่นี้ก็สามารถบริโภคได้แล้วครับ(ไม่ต้องไปกลืนศิลาหรอกเอาตรง ๆ -_- )

     

     

    Blue Phoenix 

    ความสามารถ สามารถชุบชีวิตผู้ตายได้ และสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ปกติผ่านเปลวเพลิงที่มันปลดปล่อยเท่านั้น เนื่องจากเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งภายใต้เทพแห่งไฟ บางครั้งจะพบว่าสามารถใช้มนตร์ไฟได้ เพลงของฟีนิกซ์มีเวทมนตร์สามารถกระตุ้นความกล้าหาญ แห่งจิตใจบริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดชั่วร้าย น้ำตาของฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้

    Red Phoenix 

    ความสามารถ สามารถหายตัวและปรากฏตัวใหม่ตามใจนึก เสียงร้องของฟีนิกซ์มีเวทมนตร์ สามารถกระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย เพียงแต่ฟีนิกซ์สีแดงเพลิงไม่อาจหลั่งน้ำตาได้จึงมีความสามารถใหม่ซึ่งนั่นก็คือการผลัดขน หากขนบนตัวของมันสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตใดต่อให้เป็นซากศพที่เน่าเหม็นไปแล้วก็สามารถฟื้นคืนได้ และหากอีกฝ่ายมีบาดแผลก็เพียงแค่ถอนขน1เส้นแล้วนำมาประกบบาดแผล แผลตามร่างกายก็หายเป็นปลิดทิ้งไร้ซึ่งร่องรอยขีดข่วนหรือแผลเป็นใด ๆ 

    ร่างจำแลง
     

    พลังลับ: รูน《ชุบชีวิต》จะสามารถทำให้ชุบชีวิตผู้คนเหล่านั้นได้

    แม้ไม่มีศพก็ฟื้นคืนชีพได้หากยังมีวิญญาณเหลืออยู่หรือเป็นสถานที่ ที่ผู้คนจากไปจากการต่อสู้ (ไม่ใช่รักษาแต่คือการฟื้นคืน)

    พลังลับ: รูน 《การกลับคืน》เป็นมนต์ปลุกเสกใส่วัตถุสิ่งของให้กลับคืนมาสู่เจ้าของต่อให้ถูกขโมยไปไกลเป็นล้านกิโลหรือนอกพหุจักวาล ก็ยังสามารถวาร์ปมาสู่เจ้าของได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้เป็นเจ้าของจะมอบให้ความเต็มใจเท่านั้นมันถึงจะไม่วาร์ปมาหาแก่ผู้เป็นนายของมันอีก

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น