คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กำหนดโชคชะตา
บทที่ 5
กำหนดโชคชะตา
ยามอู่ภายในตำหนักเฟิ่งอี๋ ซุนอี้หลิงที่กำลังนั่งอ่านสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่นั้น นางรู้สึกไม่เป็นตัวเองในเมื่อมีสายตาคู่หนึ่งเอาแต่จ้องมองจนอึดอัดใจไม่น้อย จะทำอะไรก็รู้สึกไม่สะดวก อีกอย่างถิงถิงนางฟ้าตัวน้อยของตนก็ไม่กล้าเข้ามาในตำหนัก เป็นเพราะคนบ้าที่นั่งอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ไงล่ะ
“เจ้าจะจ้องมองข้าอะไรนักหนา ถ้าว่างมากก็ไปอ่านฎีกาสิมันสำคัญนี่”
กู่ซีหยางเท้าคางมองโดยไม่รู้สึกรู้สาอันใดกับสิ่งที่ซุนอี้หลิงบอก ทำให้ซุนอี้หลิงปวดหัวกับพฤติกรรมที่แปลกไปของกู่ซีหยาง
“เจิ้นว่าจะถามเจ้าหลายคราแล้ว”
ซุนอี้หลิงจ้องมองสบนัยน์ตาคู่นั้นและกล่าว “ถามเรื่องอันใด”
“เจ้าเป็นใคร”
ซุนอี้หลิงลมหายใจสะดุดยามจ้องมองนัยน์ตาคมนั้น ที่เหมือนกำลังกดดันและคาดคั้นหาความจริงกับตนจนเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ซุนอี้หลิงไม่รู้ว่าต้องอธิบายไปว่าอย่างไร จะบอกว่าตนทะลุมิติเข้ามาในนิยายอย่างนั้นเหรอ ซึ่งเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดี
ซุนอี้หลิงไม่คิดว่าคนที่จับตัวตนได้ไม่ใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นกู่ซีหยางตัวต้นเหตุความตายเจ้าของร่างนี้
กู่ซีหยางสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเงียบไปหลังจากเขาเอ่ยถาม ไหนจะอาการหวาดกลัวนัยน์ตาทั้งสองสั่นไหว มือบางที่เผลอกำแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ความจริงที่ว่ามีผู้อื่นมาสิงร่างค่อย ๆ กระจ่างชัด
แต่ทว่าเขาไม่เชื่อ
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือ ซุนอี้หลิง บุตรีของแม่ทัพซุนเฉิง เขามั่นใจว่าเป็นนาง
“ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะตรงหน้าดังขึ้นทำลายบรรยากาศอันอึดอัด ซุนอี้หลิงสับสนว่าชายหนุ่มตรงหน้าตนเป็นอะไรจู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
“เจิ้นแค่ล้อเล่นเอง เจ้าจะจริงจังไปไย เจ้าก็คือฮองเฮาภรรยาที่แสนน่ารักของเจิ้น บุตรีของแม่ทัพซุนเฉิง เจ้าจะเป็นผู้อื่นไปได้เยี่ยงไร ฮ่าๆๆ”
ซุนอี้หลิงไม่ได้พูดอะไรออกไป นางไม่อยากขัดขวางความคิดของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ว่าแววตาที่จ้องมองมาตอนพูดประโยคนั้นดูยังไงก็เหมือนจริง
กู่ซีหยางสงสัยในตัวนางจริง ๆ
ซุนอี้หลิงไม่รู้ว่ากู่ซีหยางที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังคิดอันใดอยู่ เดี๋ยวทีเล่นเดี๋ยวทีจริงนางตามไม่ทัน ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเรื่องที่ดี
ซุนอี้หลิงแวะพักหายใจที่ศาลาข้างตำหนักหลังกู่ซีหยางขอตัวกลับไปที่ตำหนักจื่อเฉินเพื่อกลับไปอ่านฎีกาที่วางทิ้งค้างเอาไว้ ซุนอี้หลิงคิดหนักถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ตามนิยายต้นฉบับได้เล่าเอาไว้ว่า กู่ซีหยางไม่เคยเคลือบแคลงใจซุนอี้หลิง มีแต่ความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ไม่แม้จะอยากเข้าใกล้นาง
หลังผ่านคืนงานเลี้ยงต้องมีประกาศราชโองการการแต่งตั้งซือเจียเหยาขึ้นเป็นฟูเหรินไม่ใช่หรือ นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันแล้วไม่เห็นจะมีประกาศอะไรทั้งสิ้น พายุสงบเช่นนี้รู้สึกหวาดหวั่นแปลก ๆ เกรงว่าจะมีเรื่องที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นตามมาแน่นอน
หรืออาจเป็นเพราะเนื้อเรื่องมันเปลี่ยนไปตั้งแต่กู่ซีหยางคิดจะเดินมาส่งตนเองกลับตำหนักเฟิ่งอี๋ในตอนนั้นกัน?
“อือ...ก็แอบน่าคิดเหมือนกันแฮะ” ซุนอี้หลิงยกมือขึ้นจับปลายคางตนเองพยายามครุ่นคิดความเป็นไปได้
นิยายต้นฉบับถูกเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ตอนจบอาจจะเปลี่ยนไปด้วยก็ได้ แต่ว่าระหว่างทางไม่แน่ เพราะยังไงศัตรูร้ายกาจของกู่ซีหยางยังอยู่
ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย หรือ หนิงอ๋อง
หนิงอ๋องผู้นี้ร้ายกาจกว่าหญิงสาวใจโฉดอย่างซุนอี้หลิงเสียอีก แต่ความร้ายกาจของหนิงอ๋องทำให้คร่าชีวิตหลายหมื่นคน แคว้นเซียนหยางต้องนองไปด้วยโลหิต ราษฎรต่างหวั่นเกรงในอำนาจของเหล่าขุนนาง ซึ่งในวังหลวงมีแค่ขุนนางฝ่ายบู๊เท่านั้นที่จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้
ทว่าเรื่องกลับตาลปัตรเมื่ออำนาจตระกูลซุนล่มสลาย
จึงทำให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟ บัลลังก์เกิดสั่นคลอน กู่ซีหยางเกือบสวรรคตในสงครามก่อกบฏ ถ้าไม่ได้ราชครูหมิงเยว่วางแผนซ้อนร่วมกับกองกำลังทหารแคว้นเสวียอิง
หลังจากนั้นเหตุการณ์กลับมาสงบสุข พวกกบฏถูกประหาร แม้แต่ซุนอี้หลิงก็มีโทษประหารด้วยความผิดที่นางเป็นกบฏเช่นกัน
หลังการตายของซุนอี้หลิงไม่นานกู่ซีหยางก็แต่งตั้งซือเจียเหยาขึ้นเป็นฮองเฮา แล้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“เฮ้อ...พล็อตนิยายน้ำเน่าสิ้นดี”
ซุนอี้หลิงคิดในใจว่า ถ้าตนไม่อยากพบโศกนาฏกรรมนั้น ไม่อยากให้ครอบครัวต้องพบจุดจบที่ไม่ได้ก่อ สงสัยนางต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจเสียแล้ว
กองกำลังที่สามารถสนับสนุนนางได้นั้นในตอนนี้ก็คือ ตระกูลซุน ที่มีอำนาจทางทหารมากที่สุดและก็ท่านราชครูหมิงเยว่ ผู้เป็นที่ไว้วางใจขององค์ฮ่องเต้ เท่ากับขุนนางฝ่ายบู๊สามารถเป็นกำลังสำคัญให้กับซุนอี้หลิงได้
“เหลือก็แค่ดึงขุนนางฝ่ายบุ๋นสักคนมาเป็นพวก...” ซุนอี้หลิงบ่นพึมพำกับตนเอง
ตุบ
แก้วชาร้อน ๆ วางลงตรงหน้าทำให้ซุนอี้หลิงหลุดจากภวังค์เงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาเยือน เห็นถิงถิงหญิงสาวรับใช้คนสนิทของตนกำลังส่งยิ้มหวานมาให้
“ทรงกังวลเรื่องอันใดหรือเพคะ” ถิงถิงถามด้วยความสงสัย
“ข้ากำลังคิดว่าจะหาขุนนางฝ่ายบุ๋นสักคนมาเป็นพวกอยู่น่ะ” ซุนอี้หลิงกล่าวพร้อมยกแก้วชาขึ้นจิบ
“ฮองเฮาทรงตรัสถึงขุนนางฝ่ายบุ๋นเพื่อดึงมาเป็นพวก หมายถึงผู้ที่ภักดีต่อฮองเฮาหรือเพคะ”
ซุนอี้หลิงผงกศีรษะให้ถิงถิง อย่างที่ถิงถิงว่าตนต้องการขุนนางฝ่ายบุ๋นสักคนที่จงรักภักดี ไม่คิดทรยศตนในภายภาคหน้า มิเช่นนั้นแผนที่ตนจะแก้ไขอาจต้องพังทลายลงกับมือก็ได้
ถิงถิง “หม่อมฉันเสนอคนผู้หนึ่งได้ไหมเพคะ”
ซุนอี้หลิงมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทของตนแล้วกล่าวว่า
“ผู้ใด?”
“ตวนอ๋องเพคะ”
หลังจากถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทของตนเสนอคนผู้หนึ่งมา นางก็ออกไปตามให้มาพบทันที ซุนอี้หลิงนึกแปลกใจที่ว่าหญิงสาวธรรมดา ๆ อย่างถิงถิง ถึงไปรู้จักกับตวนอ๋องได้เช่นไร คนมีอำนาจเช่นนั้นต้องการอะไรกันแน่ หรือเขาหลอกใช้ถิงถิงให้มาคอยจับตาดูตน ซุนอี้หลิงสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป
พูดถึงตวนอ๋องแล้วบุรุษผู้นี้มิได้มีเชื้อสายราชวงศ์ แต่กลับเป็นผู้ที่มีความสามารถสร้างผลงานโดดเด่นจนต้องตากู่ซีหยาง และได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงตวนอ๋อง อ๋องผู้มากความสามารถ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจตำแหน่งอ๋องก็ตามแต่นับว่ากู่ซีหยางตาแหลมเหมือนกัน
ในนิยายได้เล่าว่า ตวนอ๋องหรือก็คือ ชางอี้เหริน บุตรชายคนโตของตระกูลชาง ชางอี้เหรินนั้นกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่วัยสิบสี่ ตอนนี้เขาเหลือแค่น้องสาวคนเดียวที่เป็นครอบครัว เพื่อให้น้องสุขสบายในภายภาคหน้าชางอี้เหรินถึงขยันหมั่นเพียรสอบขุนนาง
จนทุกวันนี้มีอำนาจเป็นถึงตวนอ๋อง ตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นของบุรุษผู้นี้คือเสนาบดีกรมพระคลัง
“อายุน้อย แต่มีอำนาจขนาดนี้น่าชื่นชมจริง ๆ” ซุนอี้หลิงพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยกับความคิดของตน
ซุนอี้หลิงนั่งรออยู่ในศาลาข้างตำหนักอย่างใจจดใจจ่อ จนได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาเรื่อย ๆ ยังที่ที่ตนนั่งอยู่ หญิงสาวหันไปมองเห็นบุรุษในอาภรณ์ม่วง ช่างดูลึกลับและน่าค้นหากำลังเดินมาทางนี้
“หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะฮองเฮา” ถิงถิง
ซุนอี้หลิงยิ้มให้ก่อนผงกศีรษะว่าตนเห็นแล้ว
บุรุษร่างสูงโปร่งเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าศาลา ใบหน้าดูหนุ่มเรียบนิ่งให้เค้ากับตำแหน่งตวนอ๋อง เห็นว่าเป็นบุรุษพูดน้อย นิสัยเย็นชา มิสนใจสตรีสูงศักดิ์เลยสักคน จนคนลือกันว่าตวนอ๋องนั้นเป็นชายตัดแขนเสื้อบุรุษที่รักบุรุษด้วยกัน
ซุนอี้หลิงหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อเสียงเรียบโพล่งขึ้นมาเรียกสติตนเอง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”
ซุนอี้หลิงผงกศีรษะให้และกล่าว “เชิญนั่งเถอะท่านตวนอ๋อง”
ชายหนุ่มผงกศีรษะให้ก่อนเดินเข้ามาในศาลานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว สาวรับใช้คนสนิทเดินเข้ามารินชาให้กับชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มมองดูก่อนจะยกจอกชานั้นขึ้นดื่มเป็นมารยาท
“วันนี้ที่ข้าเรียกท่านตวนอ๋องมาเข้าพบ เพราะมีเหตุจำเป็นอยากให้ท่านตวนอ๋องพิจารณา”
“เรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ” ชางอี้เหริน
“ข้าอยากให้ท่านตวนอ๋องร่วมมือกับข้าในการกำจัดผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อฝ่าบาท” ซุนอี้หลิงพูดไปอย่างตรงประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม หญิงสาวรู้ว่าชางอี้เหรินนั้นไม่ชอบเรื่องอ้อมค้อมจึงไม่คิดปิดบังความประสงค์ของตนเอง
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” ชางอี้เหรินปฏิเสธในทันที
ซุนอี้หลิงคาดเดาไว้แล้วว่าตนนั้นต้องถูกปฏิเสธเป็นแน่ นางจึงได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้และกำลังจะเอ่ย ทว่าเสียงหวานคุ้นหูดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ทำไมถึงมิได้เจ้าคะ! ท่านอ๋องปฏิเสธทันทีเช่นนี้เพราะท่านอ๋องมิไว้วางใจฮองเฮาของข้าน้อยหรือเจ้าคะ”
ซุนอี้หลิงตะลึงงันอ้าปากค้างที่ถิงถิงนางฟ้าตัวน้อยของตนออกปากช่วยเหลือตน แต่ว่านางเป็นแค่สาวรับใช้คนสนิทของตนกลับกล้าขึ้นเสียงใส่ตวนอ๋องเช่นนี้ นางไม่กลัวตายเลยหรือ!
ซุนอี้หลิงพยายามจะห้ามสาวรับใช้ของตน แต่เสียงเรียบแทรกขึ้นมาจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“เจ้ายุ่งเกี่ยวอันใดด้วย ข้ากำลังคุยกับฮองเฮามิใช่คุยกับเจ้า”
ซุนอี้หลิงถึงกลับกุมขมับ หญิงสาวไม่คิดว่าจะมีสงครามพวกนี้เกิดขึ้น อีกอย่างถิงถิงของตนผิดเต็ม ๆ ยากจะหลบเลี่ยง แต่ว่านางคือคนที่ตนไว้ใจได้มากที่สุด จะไม่ให้ผู้ใดมารังแกนางฟ้าตัวน้อยของตนได้หรอก
“ท่านอ๋องโปรดใจเย็น สาวรับใช้คนสนิทของข้าอาจจะวู่วามพูดจามิให้เกียรติท่านไปบ้าง ข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย”
“ฮองเฮาเพคะ” ถิงถิง
“เจ้าก็ใจเย็นก่อนอาถิง การที่เจ้ากระทำเช่นนั้นอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าได้ มานี่เด็กน้อยมายืนอยู่ข้างข้า ข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้” ซุนอี้หลิงกวักมือเรียกถิงถิงสาวรับใช้ของตนให้มายืนข้าง ๆ นาง
ชางอี้เหรินเฝ้ามองการกระทำที่สร้างความแปลกประหลาดให้กับเขา
เขาได้ยินมาว่าฮองเฮาผู้นี้ร้ายกาจทำร้ายนางรับใช้ในตำหนักอย่างกับของเล่น มีนิสัยอิจฉาริษยาคอยเดินตามฮ่องเต้ แต่ทว่าในตอนนี้กลับปกป้องหญิงรับใช้คนสนิท
ตั้งแต่ชางอี้เหรินรู้ว่าฮองเฮาฟื้นขึ้นหลังจากผ่านความเป็นความตายมาได้ นิสัยท่าทางแปลกประหลาดเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน บ้างก็ว่าฮองเฮาถูกผีสิงไม่ก็สติวิปลาส พอเขาได้มาเห็นกับตาตัวเองในวันนี้เขาเชื่อในทันทีว่าฮองเฮาผู้นี้...
สติวิปลาสไปแล้ว
ซุนอี้หลิงนึกว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว โชคดีที่ถิงถิงเชื่อฟังนางมิเช่นนั้นคงไม่จบง่าย ๆ แบบนี้ หญิงสาวลอบถอนหายใจไม่คิดว่าการจะหาขุนนางฝ่ายบุ๋นให้มาเป็นพวกเดียวกันนั้นหายากถึงเพียงนี้
พอรู้ว่าเป็นตวนอ๋องซุนอี้หลิงก็คิดว่าเรื่องจะตกลงกันง่าย ๆ แต่ที่ไหนได้มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น อีกอย่างซุนอี้หลิงก็ไม่รู้ว่าตวนอ๋องผู้นี้เป็นพวกเดียวกันกับหนิงอ๋องหรือเปล่า
ชางอี้เหรินวางแก้วชาที่ยกขึ้นดื่มและทูลว่า “สตรีมิสมควรเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องการเมืองการปกครองพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะฮองเฮา”
ซุนอี้หลิงชี้นิ้วมาที่ตนเองอย่างสงสัย
ชางอี้เหรินผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมคอยสังเกตมาเหล่าขุนนางอาวุโสต้องการจะล้มอำนาจแม่ทัพซุนเฉิง การที่ฮองเฮาที่เป็นถึงบุตรีของแม่ทัพเข้าไปยุ่งเกี่ยวอาจจะมิใช่เรื่องดีแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ซุนอี้หลิงขบคิดจากประโยคที่ชางอี้เหรินกล่าว หญิงสาวก็เข้าใจในเจตนาที่ชายหนุ่มต้องการสื่อถึงทันที
แต่ว่าตนนั้นรู้เรื่องราวมากกว่าชายหนุ่ม ถึงแม้เนื้อเรื่องมีหลายจุดเปลี่ยนแปลงไปยังไงมันก็ยังคงเค้าเดิมของนิยายต้นฉบับแน่ ๆ ไม่สามารถตัดความคิดเรื่องนี้ออกไปได้เลย
“ข้าเข้าใจที่ท่านตวนอ๋องกล่าว แต่ว่าข้าที่เป็นถึงฮองเฮาเอาแต่เฝ้ามองผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อสวามีข้าอยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดสวามีข้าเป็นอันใดไปท่านตวนอ๋องกล้ารับผิดชอบหรือไม่” ซุนอี้หลิงใช้ไม้เด็ดที่จำมาจากบทละครเมื่อชาติก่อน บทของผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือทุกสิ่ง
‘เห็นอย่างนี้ฉันก็เคยเล่นบทบาทฮองเฮามาก่อนนะเออ หึหึหึ’
ซุนอี้หลิงมองดูชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักหว่างคิ้วขมวดเข้าหาเป็นปม หญิงสาวรู้ว่าถ้ายื่นมือเข้าไปยุ่งแล้วอาจเกิดภัยอันตรายตามหลังมา นางรู้ว่าหลังจากนี้ตนอาจถูกหมายหัวจากพวกฝ่ายหนิงอ๋อง
แต่นางไม่อยากเอาแต่นั่งเฝ้ามองผู้ที่ไม่รู้เรื่องต้องมาถูกคร่าชีวิตไป ไม่อยากให้บ้านเมืองต้องนองไปด้วยโลหิต ในระหว่างที่ตนยังมีอำนาจอยู่ ซุนอี้หลิงจะขอใช้อำนาจกำจัดพวกคนชั่วให้สิ้นซาก!
เสียงเรียบดังขึ้นเรียกสติซุนอี้หลิง หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างลุ้นว่าชายหนุ่มจะตอบอะไรนาง
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมอยากให้ฮองเฮาสัญญากับกระหม่อมอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ชางอี้เหริน
“เรื่องอันใด?”
“ถ้าเกิดสถานการณ์มันย่ำแย่ลง ฮองเฮาต้องหนีไปซ่อนตัวและพาน้องสาวของกระหม่อมไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนอี้หลิงจ้องนัยน์ตาแน่วแน่มุ่งมั่นคู่นั้น ถึงชางอี้เหรินจะมีนิสัยเย็นชาแต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยน้องสาวของตนเองเสมอ ‘เป็นพี่ชายที่รักน้องสาวมากเสียจริง’ หญิงสาวพึมพำในใจ
“ย่อมได้ ข้าจะพาน้องสาวท่านไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัย และจะมิให้ผู้ใดรังแกน้องสาวท่านอ๋องได้”
ชางอี้เหรินผงกศีรษะพึงพอใจกับคำตอบ ก่อนจะหันไปสั่งกับถิงถิงสาวรับใช้ของซุนอี้หลิงว่า “เชื่อฟังฮองเฮาด้วย อย่าดื้ออย่าซน”
ถิงถิง “ข้ารู้ ท่านพี่มิต้องสั่งข้ามากนักหรอก ข้าอายุสิบเจ็ดแล้วนะ!”
เอ๊ะ?
ซุนอี้หลิงหันหน้ามองทั้งสองคนอย่างงุนงงและสับสน
ถิงถิงที่เห็นว่าเจ้านายของตนสงสัยจึงเอ่ยว่า “มิต้องตกพระทัยไปเพคะฮองเฮา หม่อมฉันมิได้อยากปิดบังฮองเฮาเลยนะเพคะ เพียงแต่ว่าหม่อมฉันอยากรับใช้ดูแลฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันก็เลยเข้าวังมาเป็นหญิงรับใช้ของฮองเฮา ไป ๆ มา ๆ หม่อมฉันกลายเป็นหญิงรับใช้คนสนิทเฉยเลยแหะๆๆ”
ซุนอี้หลิงอึ้งกับความคิดของถิงถิงจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าหญิงรับใช้คนสนิทตนเองจะเป็นถึงน้องสาวของตวนอ๋อง ในนิยายต้นฉบับก็ไม่ได้เล่าเอาไว้
‘โอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!’
ที่ผ่านมาซุนอี้หลิงคนเก่าทำร้ายร่างกายน้องสาวตวนอ๋องมาตลอด แล้วอย่างนี้พี่ชายที่เป็นถึงตวนอ๋องจะไม่คิดแค้นตนหรอกหรือ?!
คงไม่หรอกกระมัง
ซุนอี้หลิงไม่เคยรู้สึกอายุสั้นเช่นนี้มาก่อน ทำไมตนถึงเข้ามาพัวพันกับคนพวกนี้ได้ ถ้าจะทะลุมิติเข้ามาในนิยายทั้งทีทำไมไม่ไปสิงร่างตัวประกอบแทนเล่า!
ชางอี้เหรินเฝ้ามองทั้งสองอย่างเงียบ ๆ เขาไม่เคยนึกเคลือบแคลงใจในตัวน้องสาวของตนเองเลยว่าทำไม ทำไมถึงอยากเข้าวังมาเป็นหญิงรับใช้ของฮองเฮา
ถึงจะรู้ว่าการเป็นหญิงรับใช้อาจจะทำให้น้องสาวของตนเจอกับอันตรายภายในวังหลัง แต่เขาเชื่อใจน้องสาวว่าจะอยู่สุขสบาย ถ้าลำบากเขาตั้งใจจะดึงน้องของเขาออกมาอย่างแน่นอน
ทว่า...
วันนั้นที่ข่าวลือของฮองเฮาเริ่มแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ชางอี้เหรินไม่อยากเชื่อข่าวลือพวกนั้นที่ว่าฮองเฮาทำร้ายคนรับใช้ในตำหนัก เขาเลยตัดสินใจนัดเจอน้องสาวของตนมาถามไถ่หาความจริง
ทันใดนั้นพอเขาได้เจอกับน้องสาวใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟกช้ำปูดเต็มตัว ชางอี้เหรินรู้สึกตกใจและโกรธเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่น้องสาวของเขาเกิดมา เขาไม่เคยทำร้ายหรือทุบตีน้องเลยสักครั้ง แต่คนผู้นี้เป็นใครถึงกล้าลงไม้ลงมือกับน้องสาวที่เขารักและทะนุถนอมมาตลอดชีวิต
วันนั้นชางอี้เหรินเกือบได้โทษติดตัวข้อหาล่วงเกินฮองเฮา โชคดีที่น้องสาวของเขาห้ามเอาไว้ เขาทั้งโกรธและแค้นสตรีผู้นี้อย่างมาก
แต่อำนาจที่สตรีผู้นี้มีนั้นยากเกินกว่าที่เขาจะกระทำอะไรได้โดยไม่ยั้งคิด และยังเป็นถึงบุตรีของแม่ทัพซุนเฉิง ชางอี้เหรินไม่อยากผิดใจกับแม่ทัพซุนเฉิงมากนัก
ชางอี้เหรินเลยกำชับน้องสาวตนเองให้ระวังตัว อย่าได้ไปขวางหูขวางตาสตรีใจโฉดผู้นี้เด็ดขาด ถ้าสตรีใจโฉดผู้นี้ยังลงมือทำร้ายน้องสาวของเขาอยู่อีก เขาจะไม่ปล่อยให้น้องสาวของเขาทนทุกข์อีกต่อไป
ผ่านไปได้ไม่นานชางอี้เหรินได้ยินข่าวลือที่ว่าฮองเฮาพยายามฆ่าตัวตาย ถึงแม้เขาจะโกรธแค้นสตรีผู้นี้ขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้นางตาย
หลังหัวหน้าหมอหลวงเจียงรักษาชีวิตฮองเฮาเอาไว้ได้ ก็ยังมีข่าวลือที่ว่าฮองเฮาแปลกประหลาดนิสัยผิดแผกสติวิปลาสไปแล้ว ชางอี้เหรินไม่เคยคิดว่าเขาต้องมานั่งกังวลกับข่าวลือหลาย ๆ อย่างจากสตรีผู้นี้มาก่อน
เขายังคงกังวลว่าน้องสาวของตนอาจจะถูกทำร้ายอีกก็ได้ ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น
วันที่ชางอี้เหรินนัดเจอกับน้องสาวตนเขาเห็นแต่ใบหน้าแย้มยิ้มมีความสุขของน้องสาว เนื้อตัวปกติผิวพรรณขาวพร่องดังเดิม ดูเหมือนเป็นน้องสาวที่เขารู้จัก
และมาถึงตอนนี้วันที่น้องสาวของเขาให้มาช่วยเหลือฮองเฮา เขาไม่อยากพบหน้าสตรีผู้นี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ไม่อย่างนั้นน้องสาวของเขาคงโกรธเป็นแน่
เมื่อได้มาพบเจอกันครั้งแรก สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของชางอี้เหรินก็คือ...
สตรีโฉมงามล่มเมืองอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
เขาเฝ้าสังเกตท่าทางและนิสัยที่รักและหวงแหนน้องสาวของตนนั้นก็อดทำให้เขานึกสงสัยไม่ได้
พอได้สนทนาและจ้องมองนัยน์ตาคู่นั้นเขามั่นใจในทันทีว่านางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นางไม่ใช่สตรีใจโฉดเช่นเดิม นางสามารถปกป้องน้องสาวของเขาได้ เขาถึงได้มาเข้าร่วมในการกำจัดผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อฝ่าบาท
ชางอี้เหรินวางแก้วชาลงก่อนลอบถอนหายใจ
‘ช่างเป็นสตรีที่แปลกนัก’
หลังได้พูดคุยหากองกำลังสนับสนุนได้แล้วซุนอี้หลิงเดินเหินอย่างอารมณ์ดี เจอหน้าใครก็โบกมือทักทายยิ้มแย้มให้เล่นเอานางกำนัล ขันที ข้าราชบริพารต่าง ๆ ทั่วสำนักตกใจที่นางทักทาย ทำให้ข่าวลืออันใหม่แพร่สะพัดไปรวดเร็วกว่าข่าวลือที่ผ่านมา โดยเนื้อหาที่ว่าคือ...
“ฮองเฮาโฉมงานดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์”
ข่าวลือนี้ไปไวจนถึงหูของพระสนมเจี๋ยยวี๋ที่กำลังจัดงานเลี้ยงจิบชากับเหล่าพระสนมชั้นสูง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! ฮองเฮาทรงทำอันใดไหนพูดอีกทีสิ!” พระสนมเจี๋ยยวี๋ขึ้นเสียงถามนางกำนัลของตนอย่างเสียงดัง
“พวกนางกำนัลกับขันทีลือมาว่าฮองเฮาทักทายและยิ้มแย้มให้พวกมันเพคะ” นางกำนัล
“ท่านพี่คิดว่าฮองเฮาทรงกำลังเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทไหมเพคะ” พระสนมสิงเอ๋อถามด้วยความกังวล
“เอ๋ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องทำอันใดสักอย่างแล้วนะเพคะ” พระสนมหรงฮว๋าตื่นตระหนกเมื่อมีข่าวลือพวกนี้ออกมา
“พวกเจ้าใจเย็นกันก่อน ข้ามีวิธีจะจัดการฮองเฮาแล้ว แต่ดันมีองค์หญิงไรนั่นเข้ามาเกี่ยวอีกคนทำให้แผนการของพวกเราหยุดชะงักเนี่ยสิ” พระสนมเจี๋ยยวี๋กุมขมับปวดหัวกับปัญหาที่เกิดขึ้น
“ท่านพี่เจี๋ยยวี๋ หม่อมฉันมีข้อเสนอเพคะ” พระสนมหรงฮว๋า
“ข้อเสนออันใดของเจ้าหรงฮว๋า” พระสนมเจี๋ยยวี๋เบนหน้าหันไปมองอย่างสงสัย
“เราก็ให้พระสนมอู๋เจวียนนำของว่างถ้วยนี้ไปให้องค์หญิงนั่นเสวยสิเพคะ หม่อมฉันได้เตรียมผงยาชนิดนี้มาจากท่านแม่รับรองได้ผลเพคะ” พระสนมหรงฮว๋าหยิบห่อยาออกมาให้พระสนมเจี๋ยยวี๋ดู
พระสนมเจี๋ยยวี๋เหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะให้นางกำนัลของตนไปตามพระสนมอู๋เจวียนมา
ผ่านไปไม่นานพระสนมอู๋เจวียนเดินตามหลังนางกำนัลมาถึงได้ทำความเคารพพระสนมทั้งสาม
“ถวายบังคมพระสนมเจี๋ยยวี๋ พระสนมสิงเอ๋อ และพระสนมหรงฮว๋าเพคะ”
“พระสนมอู๋เจวียน พวกเราอยากให้เจ้านำของว่างถ้วยนี้ไปให้องค์หญิงจากแคว้นเสวียอิงให้พวกเราหน่อย เป็นการสร้างมิตรไมตรีกับนาง” หรงฮว๋ายื่นถ้วยขนมให้กับพระสนมอู๋เจวียน
“ถ้าท่านพี่ทั้งสามตรัสเช่นนั้น หม่อมฉันจะนำไปถวายให้องค์หญิงแคว้นเสวียอิงเพคะ” พระสนมอู๋เจวียนรับถาดที่มีถ้วยขนมวางอยู่และทูลลาทั้งสามในทันที
หลังจากพระสนมอู๋เจวียนเดินจากไป พระสนมทั้งสามต่างหัวเราะเยาะที่หลอกใช้พระสนมอู๋เจวียนได้สำเร็จ
“พวกเรามาคอยดูว่าพระสนมอู๋เจวียนอย่างนางจะเอาตัวรอดอย่างไร” พระสนมหรงฮว๋า
“พระสนมระดับล่างอย่างนางเนี่ยนะหลอกใช้ง่ายจริง ๆ คราวนี้พวกเราก็กำจัดสนมไปได้อีกหนึ่งแล้วเพคะท่านพี่” พระสนมสิงเอ๋อ
“ดี จะได้ไม่มีพวกชั้นต่ำสักที เก็บพวกสนมชั้นกลางเอาไว้คอยให้พวกนางทำตามที่พวกเราสั่ง คราวนี้ก็เหลือแต่นังสตรีโง่เขลาคนนั้น” เจี๋ยยวี๋เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงแผนการที่ตนจะทำต่อหลังจากนี้
###
นางร้ายออกโรงตามที่ลูกสาวบอกเป๊ะเลยจ้า แหมไม่อยากจะจิกเปียพวกนางเลยจริงจริ๊ง
ความคิดเห็น