ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยามบุปผาโรยรา

    ลำดับตอนที่ #4 : เจ้าแปลกไปนะ

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 67


    บทที่ 4

    เจ้าแปลกไปนะ

     

    ยามรัตติกาลจันทราทอแสง ดวงดาราพร่างพราวเต็มฟากฟ้า สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านอาภรณ์พลิ้วไสว หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีใช้เวลาร่วมกันอย่างเงียบสงบ ความเงียบไร้เสียงนี้ทว่ากลับให้ความรู้สึกอุ่นใจ ไม่ต้องเอ่ยคำใด ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยให้ดำเนินผ่านไปตามกาลเวลา

    ความเย็นที่เนื้อผิวเนียนสัมผัสน้ำใสสะท้อนเหมือนเงากระจกทำให้ภาพนี้ช่างหาดูได้ยากยิ่ง ซุนอี้หลิงไม่คิดว่าตนจะได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์จริง ซุนอี้หลิงรู้ว่าบทประพันธ์ในนิยายที่กำลังรอตนเองอยู่นั้นล้วนมีแต่อุปสรรคที่ยากจะหลีกหนี ต่อให้ฝืนทนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอย่างไร ผลสุดท้ายตนเองก็ต้องตายอยู่ดี

    ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน หญิงใจโฉดเช่นนางจะได้รับการให้อภัยเช่นนั้นหรือ

    ทุกคนล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นวัฏจักรของมนุษย์อยู่แล้ว คิดได้เช่นนั้นก็ไม่นึกเสียดายอันใด ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้นางก็ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่แล้ว ทั้งมีครอบครัวที่รักใคร่กันดี ทั้งได้สมรสกับบุรุษรูปงาม...

    ‘รูปงามแต่ใจดำอำมหิตอันนี้ไม่นับได้หรือไม่!’ ซุนอี้หลิงนึกแล้วฉุน

    พรึ่บ

    ซุนอี้หลิงได้ยินเหมือนเสียงผ้าผืนหนาหล่นตกลงพื้นทำให้เกิดลมหนาว หญิงสาวหันไปมองทางซ้ายมือของตน ซึ่งมีบุรุษรูปงามกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ซุนอี้หลิงพลันเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนอย่างพระเอกนิยายจะนั่งกับพื้นเป็น

    ‘ฝนตกแน่ไม่ต้องสงสัยเลย’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

    ความเงียบทำให้ซุนอี้หลิงคล้ายเป็นใบ้หาเสียงพูดของตนเองไม่เจอ กว่าจะตั้งสติขึ้นมาได้นั้นก็สัมผัสถึงความอุ่นร้อนบริเวณฝ่ามือของตนเองพร้อมเสียงทุ้มนุ่มนวลโพล่งขึ้นมา

    “เจ้านี่ชอบทำให้มือเท้าเย็นตลอดเลยนะ ถึงจะย่างเข้าสู่วสันต์ฤดูแล้วแต่ยามค่ำคืนก็หนาวไม่ต่างจากเหมันต์ฤดู ยิ่งผิวบอบบางเช่นเจ้าจะทำให้ไม่สบายได้”

    อุณหภูมิจากฝ่ามือหนาลูบไล้สร้างความอบอุ่นให้กับฝ่ามืออันบอบบาง เรียวนิ้วยาวสอดประสานหยอกเย้าเรียวนิ้วสวย 

    ซุนอี้หลิงตกใจทั้งสับสนและงุนงงว่าในตอนนี้มันคือสถานการณ์อันใดกันแน่ ทว่าความอบอุ่นที่เพิ่งจะได้รับครั้งแรกกลับทำให้ภายในใจวาบหวามแปลก ๆ หัวใจเต้นระรัวยากจะควบคุม แก้มเนียนเห่อร้อนผ่าวและทุกอย่างเหมือนจะหยุดชะงักเมื่อประโยคหนึ่งแทรกขึ้นมา

    “ปรายนิ้วเย็นขนาดนี้ เพราะเจ้ารู้สึกประหม่าเวลาอยู่กับข้างั้นหรือ”

    เสียงนุ่มนวลยามนัยน์ตาที่เฝ้ามองมานั้นทั้งอ่อนโยน เอ็นดู รักใคร่ ซุนอี้หลิงไม่คิดว่าจะได้สัมผัสกับความรู้สึกพวกนี้

    หากนี่คือความฝัน นางก็ไม่อยากตื่นจากความฝันที่อบอุ่นเช่นนี้

    จู่ ๆ ขอบตาร้อนผ่าวหยาดน้ำตาสีใสเอ่อล้นเบ้าตาทำให้ม่านน้ำตาบดบังภาพตรงหน้า ซุนอี้หลิงพยายามกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงร้องไห้ ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงรู้สึกโศกเศร้าเช่นนี้ และไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกคาดหวังเรื่องอันใด ทั้ง ๆ ที่ตัวตนของตนเองคือนางร้ายไม่ใช่นางเอก การที่ถูกความอบอุ่นนี้มอบมาให้จากบุรุษที่ซุนอี้หลิงเจ้าของร่างคนเก่ารักมากที่สุด

    แต่กลับกลายเป็นตนเองที่ได้รับมันมา

    แบบนี้มันถูกต้องอย่างงั้นเหรอ?

    หรือมีใครพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องราว หรือเป็นเพราะตนเองที่ต้องการเปลี่ยนโชคชะตาที่ทุกข์ตรมนี้กัน พระเอกอย่างกู่ซีหยางถึงมอบความรู้สึกเหล่านั้นให้ตน

    พอนึกขึ้นมาได้เหตุการณ์ในนิยายเล่าถึงการที่พระเอกนางเอกตกหลุมรักกันและกันไม่ใช่เหรอ คนที่ต้องยืนอยู่ตรงหน้ากู่ซีหยางไม่ใช่ตน แต่ต้องเป็นซือเจียเหยาต่างหาก

    ข้าแย่งบทนางเอกมาอย่างงั้นเหรอ...

    ซุนอี้หลิงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วโดยที่กู่ซีหยางไม่ทันได้ตั้งตัว

    “นี่ก็ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ” ซุนอี้หลิงคำนับให้ก่อนเร่งฝีเท้าเดินจากไป โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่เฝ้ามองตนตามหลังมา

     

    บานประตูตำหนักเฟิ่งอี๋ถูกผลักออก ซุนอี้หลิงพาร่างอันบอบบางของตนเดินไปล้มตัวฟุบหน้าลงบนเตียงในห้องบรรทมอย่างอ่อนล้า ถิงถิงหญิงสาวรับใช้คนสนิทวิ่งตามแทบจะไม่ทัน นางหยุดพักหายใจก่อนจะเดินมาดูเจ้านายของตน

    “ฮองเฮาทรงเป็นอันใดไปเพคะ ฝ่าบาททำร้ายฮองเฮาหรือเพคะ” ถิงถิงไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอันใดกัน รู้ตัวอีกทีเจ้านายของตนก็เดินหนีจากมาเสียก่อน

    ซุนอี้หลิงพยุงร่างลุกขึ้นนั่งบนเตียง “อาถิง เจ้าช่วยถอดเครื่องประดับพวกนี้ให้ข้าหน่อยสิ”

    ถิงถิงเห็นพระพักตร์และแววตาเศร้าหมองของเจ้านายตน นางทำได้แค่ตกปากรับคำ

    “ได้เพคะ”

    ซุนอี้หลิงนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนปล่อยให้ถิงถิงถอดเครื่องประดับ ลบใบหน้าที่ประทินโฉม อาบน้ำแต่งตัวให้ใหม่ วันนี้นางไม่มีกระจิตกระใจทำอันใดทั้งนั้น ในหัวมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านไปหมด มือบางยกขึ้นกุมขมับคิดมากกับสถานการณ์ก่อนหน้า

    “เดี๋ยวหม่อมฉันไปต้มชาร้อน ๆ มาถวายนะเพคะ” ถิงถิงกล่าวจบนางจึงรีบไปต้มชาทันที

    ซุนอี้หลิงล้มตัวนอนมองเพดานอย่างคนเหม่อลอย พลางคิดทบทวนหลายอย่างที่ผ่านมา พึมพำกับตนเองในใจว่า ‘ตนไม่ใช่นางเอก สมควรอยู่เงียบ ๆ เจียมเนื้อเจียมตัวเอาไว้ ถ้าไม่หลงกลพวกที่ชอบหลอกใช้เพื่อหวังผลประโยชน์ ยังไงสักวันคงมีราชโองการปลดนางลงจากตำแหน่งมาแน่นอน’

    ซุนอี้หลิงถอนหายใจยาวเหยียด พยายามสงบสติอารมณ์ตนเองที่ฟุ้งซ่าน นางไม่ใช่ซุนอี้หลิงคนเก่าไม่ได้หลงรักบุรุษที่ชื่อว่ากู่ซีหยาง ไม่ได้ต้องการเป็นฮองเฮา นางแค่มาสิงร่างเท่านั้น

    สิ่งที่ต้องการที่สุดในยามนี้คือ อิสระ ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากการแย่งชิงอำนาจเหล่านี้ ตนจำเป็นต้องวางมือและถอยให้ห่างที่สุด คิดได้เช่นนั้นซุนอี้หลิงก็ล้มตัวนอนหลับใหลเข้าสู่นิทราในทันที

    ถิงถิงที่ยกถาดชามาเห็นเจ้านายตนหลับพักผ่อนไปเสียแล้ว นางทอดถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะนำถาดชาไปเก็บที่ครัวดังเดิม

     

    ฟิ้ว ~ ฟิ้ว ~

    สายลมพัดผ่านเย็นสบายในยามวิกาลยามนี้กลับมีบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังยืนจ้องมองบานประตูที่ถูกปิดสนิท ร่างสูงโปร่งยืนเฝ้ามองนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหนตรงหน้าประตูตำหนักเฟิ่งอี๋มาครึ่งชั่วยามแล้ว และมันแปลกอย่างมากที่ชายหนุ่มมายืนลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือเพราะรู้สึกเป็นห่วงที่ประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิดมาก่อนหน้า เขาถึงต้องมายังตำหนักเฟิ่งอี๋ในทันที ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากมารบกวนคนในห้อง

    “ฝ่าบาท นี่ก็ยามโฉ่วแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ทรงกลับไปพักที่ตำหนักเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีกล่าวด้วยความกังวล

    กู่ซีหยาง “กงกง เจ้าว่าแปลกไหมที่ข้ามาหานางที่ตำหนักในยามวิกาลเช่นนี้”

    หัวหน้าขันทีนึกคิดอยู่สักพักก่อนทูลว่า “มิเห็นแปลกนะพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ร่างสูงโปร่งหันมาจ้องมองคนสนิทของตนและตรัสว่า “เจ้าว่ามิแปลกที่ข้ามาหานางในยามวิกาล เจ้าคิดได้อย่างไร ข้าว่าแปลกเสียมากว่า” กู่ซีหยางพูดจบก่อนจะหันหลังเดินจากตำหนักเฟิ่งอี๋มา

    หัวหน้าขันทียืนอึ้งกับคำตอบของฝ่าบาทตนเองพลางส่ายหน้าไปมา จึงรีบเดินตามหลังกลับตำหนักจื่อเฉินทันที

     

    รุ่งอรุณในยามเช้ามาเยือน แสงตะวันลอดผ่านบานหน้าต่างที่ถูกเปิดออกเพื่อรับลม ร่างบางบนเตียงค่อย ๆ ลุกบิดขี้เกียจกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อปรับแสง เสียงหวานหนึ่งดังขึ้นมาเรียกรอยยิ้มร่างบางได้เป็นอย่างดี

    “พระองค์ทรงตื่นแล้วหรือเพคะ” 

    ซุนอี้หลิงแย้มยิ้มเมื่อมองเห็นใบหน้านางฟ้าตัวน้อยของตน หลังตื่นจากฝันร้ายมาเจอนางฟ้า วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีเป็นแน่ ซุนอี้หลิงนั่งนิ่ง ๆ ให้ถิงถิงสาวรับใช้ของตนแต่งกายอยู่นั้น กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาทางหน้าประตูตำหนัก

    “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลจากตำหนักจื่อเฉินมาขอเข้าเฝ้าฮองเฮาเพคะ”

    ซุนอี้หลิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะให้ถิงถิงไปเชิญนางกำนัลคนนั้นเข้ามา 

    เมื่อนางกำนัลผู้นั้นมายืนตรงหน้า นางรีบทูลทันทีว่า “หม่อมฉันกราบทูลฮองเฮา มีรับสั่งให้ฮองเฮาไปที่ศาลากลางน้ำเพคะ”

    “รับสั่งจากผู้ใด” ซุนอี้หลิง

    “ฮ่องเต้เพคะ”

    ซุนอี้หลิงตกตะลึงเมื่อมีรับสั่งให้ตนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ซึ่งซุนอี้หลิงไม่ต้องการที่จะพบหน้ากู่ซีหยางหลังจากนี้ แต่ทว่าโชคไม่เคยเข้าข้างนางเลยสักครา ดันมีคำสั่งให้ไปพบนางจะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะกล่าวอ้างเรื่องอันใดเพื่อไม่ไปพบ อีกอย่างถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทของนางต้องบอกให้ตนไปพบฮ่องเต้แน่นอน

    ‘ในเมื่อหลบหน้าไม่ได้ ก็เผชิญหน้าตรง ๆ ไปเลยให้สมกับเป็นถึงบุตรีแม่ทัพซุนเฉิง’

    ลมอ่อน ๆ พัดผ่านยามเฉินในตอนนี้ลมเย็นสบาย แสงแดดส่องตกกระทบผิวน้ำสะท้อนเงาคล้ายกระจก บุรุษอาภรณ์ดำกำลังนั่งเหม่อมองผิวน้ำก่อนได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เขาเบนหน้าหันกลับมามองยังสะพานกลางน้ำสบเข้ากับนัยน์ตาดอกท้อคู่นั้น

    ซุนอี้หลิงกล่าวคำทักทายทันทีเมื่อเดินมาถึง “ถวายบังคบเพคะฝ่าบาท”

    “เชิญนั่งเถอะฮองเฮา”

    ซุนอี้หลิงผงกศีรษะก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม

    ความเงียบที่ไร้บทสนทนาทำให้ซุนอี้หลิงอึดอัดใจไม่น้อย นางไม่กล้าสบตาบุรุษตรงหน้า ในยามนี้ตนคิดอันใดไม่ออกเลยด้วยซ้ำ มีแค่คำถามว่าชายหนุ่มเรียกตนมาพบทำไม

    ‘เมื่อคืนฝนไม่ตกหรือว่าเช้านี้หิมะจะตกแทน’ ซุนอี้หลิงหันหน้าเงยมองท้องฟ้า

    กู่ซีหยางเห็นหญิงสาวเอาแต่นั่งเกร็งจึงได้เอ่ย “เจ้ามิจำเป็นต้องนั่งเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยู่ต่อหน้าข้าทำตัวสบาย ๆ เถิด ข้าไม่จับเจ้ากินหรอกกระมัง”

    ซุนอี้หลิงได้ยินเช่นนั้นเส้นเลือดข้างขมับปูดนูนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ในเมื่ออีกฝ่ายอนุญาตตนแล้วนางก็ขอทำตัวสบาย ๆ อย่างที่ว่าแล้วกัน

    “เจ้าเรียกข้ามาทำไม มีเหตุอันใดถึงเรียกข้ามาพบเจ้า” ซุนอี้หลิงพูดโดยไม่ได้สบตากู่ซีหยาง นางยกแก้วชาขึ้นมาจิบ

    “ข้าอยากเจอหน้าภรรยาของข้าจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ”

    พรูด!

    “แค่กๆๆ” ซุนอี้หลิงสำลักน้ำชาที่ตนเองเพิ่งจะจิบไป 

    “ตกใจอันใดขนาดนั้น ค่อย ๆ เสวยสิ จะรีบร้อนไปทำไมกัน” กู่ซีหยางลูบหลังเบา ๆ ให้ซุนอี้หลิง

    ซุนอี้หลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะปล่อยออกมา นางพยายามตั้งสติได้แต่พึมพำในใจว่า ‘กู่ซีหยางวันนี้เจ้าไปกินไรผิดสำแดงมาถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ หรือเจ้าไปถูกใครเขาฟาดหัวมากันแน่!’

     

    กู่ซีหยางเท้าคางกับโต๊ะเฝ้ามองซุนอี้หลิงที่เอาแต่พึมพำอะไรสักอย่างอยู่คนเดียว เป็นครั้งแรกที่เขาได้มานั่งร่วมโต๊ะกับซุนอี้หลิงตามลำพัง ตั้งแต่วันที่นางพยายามฆ่าตัวตายวันนั้นนิสัยของนางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    คราแรกเขาไม่เชื่อว่านางแปลกไป ข่าวลือที่พูดถึงนางเรื่องที่ว่านางอาจจะถูกผีสิงอันนี้เขาคิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี วันนั้นที่เจอหน้ากันที่สระบัวนางดูไม่เหมือนกับที่เป็นนาง ซุนอี้หลิงไม่เคยคิดจะนั่งในที่ร้อน ๆ เกลียดดินโคลนเวลาเลอะอาภรณ์

    ยิ่งพบกันอีกคราเมื่อคืนวานนางไม่คิดจะสนทนากับเขา ไม่มองไม่อะไรทั้งสิ้น เหมือนกับว่านางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อเสวยอาหารเท่านั้น ยิ่งกล่าวถึงการแสดงที่นางเล่นกู่ฉิน อันนี้สร้างความตกตะลึงให้กับชายหนุ่มอย่างมาก จนข้อมูลของข่าวลือเหล่านั้นดูท่าจะเป็นความจริงขึ้นมา

    ถ้าเช่นนั้นซุนอี้หลิงคนเก่าตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ...

    ซุนอี้หลิงสังเกตเห็นว่ากู่ซีหยางนิ่งเงียบไป เหมือนกำลังจมปลักกับความคิดอันใดบางอย่าง นางใคร่ครวญอยู่สักพักก่อนจะยื่นมือไปเขย่าตัวเรียกชายหนุ่ม

    “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ” ซุนอี้หลิงขมวดคิ้วก่อนจะออกแรงเขย่าตัวชายหนุ่มอีกครั้ง

    “ฝ่าบาทตั้งสติเอาไว้ ตื่นเร็วเข้า นี่! ได้สติสักทีกู่ซีหยาง!”

    ซุนอี้หลิงสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ หันมามองหน้าของตน นางรู้สึกโล่งอกก่อนที่จะลุกขึ้นยืนตรงหน้าดีดนิ้วใส่หน้าผากพระพักตร์รูปงามนั้นไปที จนชายหนุ่มร้องโอดครวญออกมาด้วยความตกใจ

    “โอ๊ย! เจ้าทำร้ายข้าทำไม” กู่ซีหยางลูบหน้าผากของตนด้วยความอารมณ์เสีย

    “เจ้านั่นแหละเหม่อลอยคิดเรื่องอันใดอยู่ ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้งมิได้สติเสียที” ซุนอี้หลิงกลับไปนั่งลงที่เดิม โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ตนราวกับหมาป่า

    กู่ซีหยางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไล่ความขุ่นเคืองใจออกไปจนเสียงเรียบดังขึ้นเรียกสติของเขา

    “อย่าเหม่อลอยอีกนะ ข้านึกว่าเจ้าหยุดหายใจไปแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวผู้คนหาว่าข้าลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เดือดร้อนข้าอีก”

    กู่ซีหยางฟังหญิงสาวบ่นเรื่องอันใดไม่รู้สักอย่าง ก่อนจะตรัสกลับไปว่า “เจ้าเนี่ยนะจะลอบปลงพระชนม์เจิ้น เจิ้นไม่คิดว่าเจ้าทำได้เลยนะ”

    “หา! เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าไม่มีทางกำจัดเจ้าได้เช่นนั้นหรือ” ซุนอี้หลิงจ้องมองกู่ซีหยางอย่างไม่สบอารมณ์

    “ถ้าเจ้าคิดว่าทำได้ ไหนอธิบายแผนการให้เจิ้นฟังหน่อยสิ” กู่ซีหยางเท้าคางจ้องมองตาใสแป๋ว

    “เรื่องอันใดที่หม่อมฉันต้องบอกแผนการอันแยบยลให้เจ้าฟังด้วย แล้วเจ้าจะแทนตัวเองว่าเจิ้นทำไม” ซุนอี้หลิงกอดอกเชิดคางมองด้วยความสงสัย

    กู่ซีหยาง “ถ้าไม่ให้เจิ้นแทนตัวว่าเจิ้น งั้นให้แทนตัวว่าสวามีเหรอ?”

    ซุนอี้หลิงเบิกตาอ้าปากเหวอ ยกมือชี้หน้ากู่ซีหยางด้วยความโกรธปนเขิน

    “เจ้า!”

    ซุนอี้หลิงลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิดและเดินออกจากศาลากลางน้ำไปในทันที

    “เดี๋ยว! เจ้าจะทิ้งเจิ้นไปไหนรอเจิ้นด้วย” กู่ซีหยางลุกเดินตามหญิงสาวออกจากศาลากลางน้ำมา

    ซุนอี้หลิง “เจ้าตามข้ามาทำไม ข้าจะกลับตำหนัก”

    “เจิ้นขอแวะไปเล่นที่ตำหนักเจ้าได้หรือไม่”

    “ไม่ได้!”

    “เอ๋...ทำไมเจ้าใจร้ายกับเจิ้นถึงเพียงนี้ เจิ้นก็แค่อยากอยู่ใกล้ภรรยาโฉมงามเท่านั้น ฮึก...” ชายหนุ่มยกฝ่ามือหนาปิดปากตนอย่างเศร้าโศกคล้ายคนร่ำไห้

    ซุนอี้หลิงมองดูร่างสูงโปร่งตรงหน้าอย่างเอือมระอา มองแค่แว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงท่าทางบีบน้ำตาน่าสงสารอยู่ นางคิดว่าถ้าไม่ได้อ่านนิยายมาก่อนก็คงคิดว่าพระเอกอะไรมารยาสาไถยเช่นนี้ หรืออาจจะเป็นตัวประกอบจับได้บทพระเอกเท่านั้น

    แต่ทว่า...

    แบบนี้ทำให้ซุนอี้หลิงอดนึกขันไม่ได้ ในเมื่อกู่ซีหยางที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกันกับในนิยายต้นฉบับ อย่างนี้ตนอาจจะรอดจากบทสรุปสุดท้ายของนิยายก็เป็นได้

    “ชิ อยากจะมาก็มา” ซุนอี้หลิงกอดอกบ่น

    “เจ้างดงามและยังใจดีเช่นนี้อีกจะมิให้เจิ้นรักเจ้าได้เช่นไร”

    ซุนอี้หลิงอึ้งกับประโยคคำพูด รอยยิ้มและแววตาที่กู่ซีหยางมอบให้นั้นล้วนจริงใจกับนางทำให้จู่ ๆ ใบหน้าเนียนขาวร้อนผ่าวขึ้นมา หญิงสาวรีบหันหลังให้และกล่าวว่า

    “พูดจาไร้สาระ!”

    กู่ซีหยางมองดูแผ่นหลังบางที่เดินหนีตนไปอย่างรีบร้อนก็อดนึกขันไม่ได้ เขาหัวเราะออกมาก่อนจะเดินตามหลังไป

     

    ทางด้านตำหนักฉือหนิงองค์หญิงซือเจียเหยาได้มาขอเข้าเฝ้าไทเฮา ซึ่งไทเฮารู้ว่าองค์หญิงมาขอเข้าเฝ้าตนด้วยเรื่องอันใด ถึงจะรู้แต่ตนก็ยังอนุญาตให้นางเข้ามา

    “ถวายบังคมเพคะไทเฮา”

    “ลุกขึ้นเถอะองค์หญิง”

    “ขอบพระทัยเพคะไทเฮา”

    ซือเจียเหยาจ้องมองพระพักตร์ไทเฮาอยู่สักพัก นางอยากจะทูลอันใดสักอย่างแต่ไม่รู้ว่าสมควรที่จะทูลหรือไม่ ในระหว่างที่กำลังจมปลักอยู่กับความคิดสุรเสียงเรียบนิ่งของสตรีวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

    “องค์หญิงมีเรื่องอันใดจะทูลงั้นหรือ”

    “คือว่า...หม่อมฉันได้ไปรอฝ่าบาทตามที่พระองค์ได้นัดหมายเอาไว้เมื่อคืน แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่มาตามที่นัดและเมื่อเช้าหม่อมฉันได้ไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่นางกำนัลบอกว่าพระองค์ไม่อยู่ที่ตำหนักเพคะ หม่อมฉันเลยอยากทูลถามว่าฝ่าบาททรงเป็นอันใดหรือเปล่าเพคะ” ซือเจียเหยาทูลในสิ่งที่ตนเองคิด

    ไทเฮาที่ได้ฟังถึงกลับถอนหายใจและตรัสว่า “ฝ่าบาทอยู่ที่ศาลากลางน้ำกับฮองเฮาในยามนี้ เจ้าอยากตามไปหาฝ่าบาทที่นั่นหรือไม่”

    ซือเจียเหยาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับ “หากหม่อมฉันไป ฮองเฮาจะมิทรงว่าอันใดหรือเพคะ ได้ยินมาว่าพระองค์มิชอบให้ใครเข้าใกล้ฝ่าบาท”

    “องค์หญิงรู้เช่นนั้นจะยังอยากไปหาฝ่าบาทอีกหรือไม่” ไทเฮา

    “หม่อมฉันมิไปจะดีกว่าเพคะ” ซือเจียเหยามีสีหน้าเศร้าหมองลงจนเห็นได้ชัด

    ไทเฮาจ้องมองเรียบนิ่งและตรัสว่า “องค์หญิงมาที่นี่ในฐานะตัวแทนคณะทูต มิใช่มาเป็นคนรักลูกชายของข้าหรอกกระมัง”

    ซือเจียเหยาที่ได้ยินเช่นนั้นนางตื่นตระหนกในคำพูดของไทเฮา สายตาของไทเฮาที่จ้องมองมาที่นางเรียบนิ่งจนนางรู้สึกหวาดหวั่นไปทั่วร่าง

    “หม่อมฉันมิเคยคิดเช่นนั้นเพคะ ไทเฮาทรงวางพระทัยได้”

    “งั้นก็ดีที่องค์หญิงมิได้คิดเช่นนั้น ลูกชายข้ามีคนที่เขารักอยู่แล้วอย่าเสียเวลาเลยจะดีกว่า”

    “เพคะ หม่อมฉันจะจำใส่พระทัยเอาไว้ งั้นหม่อมฉันขอตัวทูลลาก่อนเพคะ” ซือเจียเหยาทูลลาไทเฮารีบเดินออกจากตำหนักฉือหนิงทันที

    นางเดินเร่งรีบด้วยความกลัวกับสิ่งที่ตนได้ยินมา นางกำนัลคนสนิทเห็นสีหน้ามิสู้ดีของเจ้านายจึงเอ่ยถามด้วมความเป็นห่วง

    “องค์หญิงเพคะ ไทเฮาทรงตรัสว่าอย่างไรบ้างเพคะ”

    “พระองค์มิได้ชอบข้า” ซือเจียเหยาตอบกลับนางกำนัลของตน

    “เอ๋...ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเพคะ ในเมื่อฝ่าบาททรงดูสนใจองค์หญิงมากนี่เพคะ” ลู่อิ๋นงุนงงและสับสนไปหมด

    “ไทเฮาบอกกับข้าว่าฝ่าบาทมีคนรักที่พระองค์รักอยู่แล้ว และไทเฮามิคิดจะให้ข้ามาเป็นลูกสะใภ้เลยลู่อิ๋น”

    ลู่อิ๋นเห็นสีหน้าที่กำลังร้องไห้เสียใจของเจ้านายถึงกลับอึ้งไปชั่วขณะ ตั้งแต่ที่ตนได้รับใช้องค์หญิงซือเจียเหยามาตลอดมิเคยเห็นพระองค์ร้องไห้เลยสักครา แต่นี่กลับเสียใจปานนี้แสดงว่าองค์หญิงของตนจะคงชอบฝ่าบาทพระองค์นี้อย่างมาก

    “อย่าร้องเลยเพคะ งั้นเอาอย่างนี้ไหมเพคะ”

    “อันใดหรือ?” ซือเจียเหยาเช็ดน้ำตารอฟังที่นางกำนัลคนสนิทของตนกำลังจะพูด

    “ก็ให้ฮ่องเต้เสด็จพ่อขององค์หญิงพระราชทานสมรสให้องค์หญิงกับฝ่าบาทแคว้นนี้ไงเพคะ ยังไงก็มิมีใครปฏิเสธราชโองการพระราชทานสมรสได้หรอกเพคะ” ลู่อิ๋นเสนอความคิดของตนที่คิดขึ้นมาได้ให้เจ้านายของตนฟัง

    “ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ?”

    “ได้สิเพคะ” ลู่อิ๋นยืนยันคำพูดของตนหนักแน่น

    “ได้ ข้าจะลองทูลให้เสด็จพ่อทราบทันที” ซือเจียเหยายิ้มแย้มได้อีกครา

    ทั้งสองต่างเดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำขนมให้กับชายหนุ่มที่ซือเจียเหยาตกหลุมรัก โดยที่ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งได้ยินบทสนทนานั้นอย่างชัดเจน

    “ฝันไปเถอะองค์หญิง คิดจะมาแย่งฝ่าบาทของข้างั้นหรือ! อยู่ดี ๆ มิชอบงั้นเตรียมตัวเป็นแบบฮองเฮาได้เลย อย่ามาหาว่าข้าร้ายแล้วกัน!” หญิงสาวกัดฟันกรอดกำมือแน่นมองจ้องซือเจียเหยาด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเดินกลับตำหนักของตนเองไปเตรียมแผนการในคืนนี้

     

     

    ###
    เอาล่ะ เปิดศึกแย่งชิงกันแล้ว ลูกสาวเรานี่พร้อมยกลูกเขยให้พวกนางเลยนะ แต่ไล่แล้วลูกเขยไม่ไปเนี่ยสิ (ฮา)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×