ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยามบุปผาโรยรา

    ลำดับตอนที่ #3 : งานเลี้ยงครอบครัว

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 67


    บทที่ 3

    งานเลี้ยงครอบครัว

     

    งานเลี้ยงครอบครัวเป็นวันที่เหล่าตัวละครมาพบหน้ากันครั้งแรก นับว่ายากที่จะหลีกเลี่ยงในเมื่อยามซื่อที่ผ่านมาได้มีนางกำนัลคนสนิทจากตำหนักฉือหนิงมาทูลแจ้งถึงงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในยามซวีที่หน้าตำหนักฉือหนิง

    “อ้าก! ไทเฮาเป็นคนเชิญเองเลยเหรอเนี่ย!” ซุนอี้หลิงกำลังนั่งกุมขมับสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ศาลากลางน้ำ

    เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในนิยายเนื้อเรื่องตอนนี้ ซุนอี้หลิงจะกลายเป็นตัวตลกที่เหล่านางสนมนินทาและทำให้นางอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าไทเฮา กู่ซีหยาง และซือเจียเหยา 

    ซุนอี้หลิงไม่ได้มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นด้านบทกวี การเล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งการร่ายรำ

    นางจะเป็นคนเดียวที่เหมือนไร้ตัวตนในงานเลี้ยงแห่งนี้ และยังเป็นฉากที่พระนางตกหลุมรักกันจนซือเจียเหยาถูกแต่งตั้งให้เป็นฟูเหริน ซึ่งมีตำแหน่งรองจากฮองเฮาเพียงเท่านั้น ตำหนักวังหลังจึงตกเป็นของซือเจียเหยาที่ได้รับความไว้วางใจจากไทเฮา ทำให้ซุนอี้หลิงเกิดความอิจฉาริษยาและเกิดความแค้นที่มีต่อซือเจียเหยา

    ซุนอี้หลิงจึงถูกบรรดาเหล่าพระสนมสนมหลอกใช้ให้กำจัดซือเจียเหยา แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างซุนอี้หลิงไม่ได้เป็นคนกระทำ หลักฐานเหล่านั้นมักจะชี้มาที่นางจนนางได้รับโทษครั้งแล้วครั้งเล่า

    “เฮ้อ...จะปฏิเสธตอนนี้ก็ไม่ได้อีก แผลก็หายสนิทแล้วเหลือแค่รอยแผลเป็นนิดหน่อย หาข้ออ้างไม่ไปไม่ได้เลยให้ตายเถอะ” ซุนอี้หลิงนอนหมอบไปบนโต๊ะอย่างอ่อนล้า

    หลิวเซี่ยหนิงฟื้นมาในร่างซุนอี้หลิงได้หนึ่งเดือนแล้วนับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ คนที่ตนพูดคุยด้วยมีแต่ถิงถิงและราชครูหมิงเยว่เท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ไม่มีแม้แต่เงาเลย ไทเฮาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงยังพอเข้าใจได้ นางสนมพวกนั้นคงไม่อยากมาอันนี้พอเก็ท 

    แต่ว่า...

    กู่ซีหยางที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามีของซุนอี้หลิง เขาไม่คิดจะแวะมาเยี่ยมเยียนภรรยาตนเองเลยสักครั้งหรือไง

    “สงสัยคงต้องคอยปรนนิบัติซือเจียเหยาสินะ เอาอกเอาใจนางเอกเสียจริง ชิ ภรรยาตัวเองจะเป็นจะตายไม่คิดจะสนใจสักนิดเลย พ่อพระเอกใจดำ! ถ้าไม่ติดว่าฉันเป็นภรรยาของนายนะ ฉันคงหนีจากนายไปแล้วเจ้าบ้าเอ้ย!”

    “ฮองเฮาทรงตรัสถึงใครหรือเพคะ” ถิงถิงที่กลับมาจากห้องครัวถามขึ้นด้วยความสงสัย

    “เปล่าหรอก อาถิงเย็นนี้เราต้องไปร่วมงานจริง ๆ เหรอ ข้ามิอยากไปเลย ฮือ...” ซุนอี้หลิงงอแงเกาะแขนถิงถิงเอาไว้ไม่ปล่อย

    “มิเข้าร่วมมิได้เพคะ รับสั่งของไทเฮานะเพคะ ฮองเฮาจะทรงปฏิเสธมิได้เพคะ มันมิดีต่อฮองเฮานะเพคะ”

    “แง...แต่ข้ามิรู้จักผู้ใดเลยนะอาถิง เจ้าลืมไปแล้วหรือกระไรว่าข้าความจำเสื่อมน่ะ”

    ถิงถิงอึ้งไปชั่วขณะสองคิ้วขมวดกันเป็นปมพลางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก

    ซุนอี้หลิงเห็นถิงถิงกำลังใช้ความคิดก็ไม่อยากจะก่อกวนนาง ได้แต่เท้าคางมองออกไปที่ไหนสักแห่งอย่างคนเหม่อลอยหาได้สนใจสิ่งรอบข้างในยามนี้

     

    เวลาผ่านไปถึงสี่ชั่วยามภายในตำหนักเฟิ่งอี๋ ซุนอี้หลิงกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกให้ถิงถิงมัดผมให้ตนอยู่ นางจ้องมองใบหน้าที่ถูกประทินโฉมและเครื่องประดับบนผมจนออกมางดงาม ยิ่งถูกแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของซุนอี้หลิงยิ่งขลับให้นางโฉมงามยากใครจะเปรียบเทียบได้ ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่ได้แต่งกายเช่นนี้ เสียงดังภายในอกกำลังเต้นระรัวฝ่ามือบางชุ้มไปด้วยเหงื่อ ยามนี้ซุนอี้หลิงกำลังตื่นเต้นและวิตกกังวลอย่างมาก

    ไม่คาดคิดว่าตนเองจะต้องเข้าร่วมและได้พบกับตัวละครทุกคน รวมไปถึงได้ประสบเหตุการณ์อันน่าอับอายตามต้นฉบับ

    “เสร็จแล้วเพคะ วันนี้ฮองเฮาของหม่อมฉันโฉมงามมากเลยเพคะ” ถิงถิงกล่าวชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    ซุนอี้หลิง “อย่างนั้นหรือ...”

    ถิงถิงสังเกตว่าเจ้านายของตนมีใบหน้าที่วิตกกังวลอย่างมาก นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงรีบเอ่ยว่า “มิต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันก็ไปด้วยเพคะ ฮองเฮามิได้อยู่ตัวคนเดียวนะเพคะ”

    ซุนอี้หลิงเพิ่งฉุกคิดได้ว่าในนิยายถิงถิงก็เข้าร่วมด้วย แต่ว่าในนิยายถิงถิงถูกตนตบต่อหน้าคนทั้งงานเลยไม่ใช่หรอกหรือ?!

    “นางร้ายนี่สมกับเป็นนางร้ายจริง ๆ เลยนะ”

    “เอ๊ะ...เมื่อกี้ฮองเฮาทรงตรัสว่าอะไรนะเพคะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วเราไปกันเถอะ” ซุนอี้หลิงลุกขึ้นเดินไปยังประตูหน้าตำหนักของตนเพื่อเดินทางไปยังตำหนักฉือหนิงในทันที

     

    ลานกว้างหน้าตำหนักฉือหนิงถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงาม โต๊ะเก้าอี้วางเรียงรายตามจุดต่าง ๆ โคมไฟประดับตามเสาแต่ละต้น เครื่องดนตรีกำลังบรรเลงคลอเคล้าไปกับบรยากาศ เหล่านางสนมต่างนั่งประจำที่รวมไปถึงองค์ชายอนุชาของฮ่องเต้ และองค์หญิงจากแคว้นเสวียอิง

    บนบัลลังก์พิธีไทเฮากำลังนั่งประทับเฝ้ามองทุกคนที่มาเข้าร่วม นางมองบุตรชายทั้งสองกำลังพูดคุยกันทำให้นึกถึงวันวานสมัยที่บุตรชายทั้งสองวัยเยาว์

    ทว่าไม่นานบานประตูบานใหญ่หน้าตำหนักฉือหนิงเปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามาเรียกทุกสายตาให้หันไปจ้องมอง

    ซุนอี้หลิงรู้สึกลมหายใจสะดุดเมื่อทุกสายตาล้วนกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง ก่อนที่จะเดินเข้ามานางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบจิตสงบใจอยู่ตั้งนาน

    “พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะเพคะ” ถิงถิงเดินมากระซิบบอก

    ซุนอี้หลิงผงกศีรษะให้ก่อนฮึดสู้พร้อมที่จะเผชิญหน้าแล้ว

    ทุกย่างก้าวที่เดินอย่างมั่นคง ชุดเครื่องประดับอาภรณ์ที่สวมใส่ใบหน้าที่แต่งแต้มประทินโฉมขลับให้ซุนอี้หลิงงดงามจนทุกคนที่อยู่ในงานละสายตามิได้ ซุนอี้หลิงเดินผ่านเหล่านางสนมไปยังที่ประทับของตน โดยไม่ได้สนใจสายตาคนพวกนั้นจนเดินมาถึงตรงหน้าไทเฮา

    “ถวายบังคมเพคะไทเฮา”

    “ข้านึกว่าเจ้ามามิได้แล้วฮองเฮา แผลเจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่?”

    “หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่เสด็จแม่ทรงเป็นห่วง”

    “มาๆ ฮองเฮามาร่วมสนุกเถอะ”

    ซุนอี้หลิงโค้งคำนับก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่ของตนเอง

    อาหารหลากรสวางเรียงตรงหน้า กลิ่นหอมเย้ายวนจนนางอยากลิ้มลองทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้นางทำได้แค่จิบชารอเวลาเท่านั้น เพราะฮ่องเต้ยังไม่มานั่งประทับประจำที่เสียทีนี่สิ

    ‘มานั่งที่ได้แล้วคนเขาหิวเนี่ย มัวแต่ยืนจีบสาวอยู่ได้ให้ตายเถอะ เดี๋ยวจบงานเลี้ยงก็ได้ไปจีบกันสมใจอยากแล้ว เร็ว ๆ ดิ๊ หิวเว้ย!’ ซุนอี้หลิงบ่นพึมพำในใจ

    ซุนอี้หลิงยกแก้วชาขึ้นดื่มดับกระหายดวงตาพลันเปล่งประกายเมื่อได้ลิ้มรสชาติของมัน นางไม่คิดว่าชาจะอร่อยขนาดนี้แม้ว่าจะเทียบกับชาหมิงเฉียนหลงจิ่งของราชครูหมิงเยว่ไม่ได้ก็ตาม

    ซุนอี้หลิงหันไปหาถิงถิงแล้วเอ่ย “อาถิงชานี้คืออะไรหรือ” นางยื่นแก้วชาให้ถิงถิงดู

    ถิงถิงเดินเข้ามาใกล้ดมกลิ่นชาที่เจ้านายยื่นมาให้ก่อนกล่าว “ชาไป๋หาวอิ๋นเจิน¹ เพคะ เป็นชาขาวรสชาติของมันอ่อนโยนละมุนลิ้นและยังได้กลิ่นหอมของดอกไม้ หม่อมฉันอยากซื้อมาชงให้ฮองเฮาได้ลิ้มลอง แต่ว่า...มันแพงเกินไปเพคะ”

    ซุนอี้หลิงเห็นใบหน้าเศร้าของถิงถิงก็อดหัวเราะไม่ได้

    “ฮ่าๆๆ มิเป็นไร เจ้ามิต้องหาชาแพง ๆ มาชงให้ข้าหรอก แค่ชาสวี่ฉ๋าก็พอแล้ว”

    “เพคะ”

    ซุนอี้หลิงที่กำลังพูดคุยกับถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทต้องหยุดชะงัก เมื่อบุรุษอาภรณ์ดำเดินผ่านหลังสาวรับใช้ของตนไป 

    “มาแล้วเหรอลูกมา ๆ นั่งลงเถิด จะได้เริ่มงานเสียที” ไทเฮาจับมือบุตรชายของตนให้นั่งลงก่อนกล่าวเริ่มงาน

     

    เมื่อไทเฮากล่าวเปิดงานอาหารเลิศรสถูกนำมาถวายอีกชุด ซุนอี้หลิงไม่คิดสนใจใครตั้งหน้าตั้งตาเสวยอย่างมีความสุข นับว่านี่เป็นอาหารหรูมื้อแรกที่นางได้ลิ้มลองตั้งแต่มาสิงร่าง ซุนอี้หลิงตักจานโน้นจานนี้ชิมอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่รู้ว่ามีหลายสายตาจ้องมองมาที่ตน 

    ไทเฮาที่เห็นว่าฮองเฮาดูท่าจะชื่นชอบอาหารเหล่านั้น ก็อดเอ็นดูหยิบอาหารทางฝั่งของตนยื่นไปให้ไม่ได้

    “ฮองเฮาเจ้าลองเสวยจานนี้ดู ข้าว่ามันอร่อยไม่แน่ใจว่ารสชาติจะถูกพระทัยฮองเฮาหรือไม่”

    ซุนอี้หลิงรีบยื่นมือไปรับก่อนจะกล่าว “ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่”

    ซุนอี้หลิงคีบอาหารจานนั้นเข้าปากดวงตาลุกวาวเปล่งประกาย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าสร้างความตะลึงงันให้กับกู่ซีหยางที่นั่งมองอยู่

    งานเลี้ยงจึงดำเนินผ่านไปหลายชั่วยามจนมาถึงช่วงเวลาที่ซุนอี้หลิงกังวลมาตลอดนั่นก็คือ... 

    การแข่งขันประชันความสามารถ

    เหล่าบรรดานางสนมต่างเตรียมการแสดงและบทกวีที่แต่งมาถวายทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ ซุนอี้หลิงเฝ้ามองอย่างนึกเบื่อหน่ายคอยทอดถอนใจ

    ซุนอี้หลิงหันมองรอบ ๆ งาน ภายในงานมีตัวละครหลายคนที่นางรู้จัก โชคดีที่วันนี้ไม่เจอพวกขุนนางให้ปวดหัว เพราะคนเหล่านั้นคือภัยอันตรายที่สุดสำหรับร่างนี้ ซุนอี้หลิงจิบชาเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบ ๆ จนในที่สุดก็ถึงการแสดงของซือเจียเหยานางเอกของนิยายเรื่องนี้สักที

    ซือเจียเหยาผู้นี้โฉมงามตามที่นิยายได้บรรยายเอาไว้อย่างมาก อากัปกิริยาที่นางแสดงออกมาล้วนเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล ‘สมกับเป็นนางเอกเสียจริง มีสกิลของนางเอกที่ไม่ว่าจะทำอะไรแล้วล้วนเปล่งประกายท่ามกลางผู้ที่ด้อยกว่า ไม่แปลกอะไรที่กู่ซีหยางจะตกหลุมรักนางจนโงหัวไม่ขึ้น’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

    ซือเจียเหยาได้เลือกท่องบทกวีที่ตนเองแต่งสมัยมาที่แคว้นเซียนหยางครั้งแรก เสียงหวานไพเราะนุ่มนวลขณะท่องบทกวีและความชาญฉลาดของนางทำให้ไทเฮาทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ไม่มากเท่ากู่ซีหยางที่ยิ้มกว้างซะออกนอกหน้า

    ซุนอี้หลิงนึกเบะปากกรอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้

    หลังการแสดงของซือเจียเหยาจบลง เหตุการณ์ที่ซุนอี้หลิงคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าก็มาถึง เมื่อมีเสียงนางสนมคนหนึ่งดังขึ้นมา

    “ในเมื่อวันนี้พวกเราอยู่กันพร้อมหน้ากัน หม่อมฉันก็อยากชมการแสดงของฮองเฮาเพคะ”

    เสียงซุบซิบดังขึ้นหลังนางสนมผู้นั้นทูลจบ ซุนอี้หลิงจ้องมองไปที่สนมผู้นั้นโดยไม่พูดอะไร นางรู้ว่าใครที่จงเกลียดจงชังเจ้าของร่างนี้เป็นที่สุด ถ้ามิใช่พระสนมเจี๋ยยวี๋บุตรีขุนนางฝ่ายเจ้ากรมอาญา

    ‘สมกับเป็นพ่อลูกกันเสียจริง’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

    ซุนอี้หลิงรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปไทเฮาจะเป็นผู้ออกหน้าปกป้องตน ทั้ง ๆ ที่กู่ซีหยางเป็นถึงสวามีแต่กลับนั่งนิ่งเงียบมิสนใจไยดีนางหรือออกหน้าปกป้องนางเลยสักนิด แค่คิดก็อารมณ์เสียแล้ว

    “ฮองเฮายังมิหายดีจากอาการบาดเจ็บ พวกเจ้าอย่าฝืนใจนางเลย”

    ‘เป็นไปตามคาด’ ซุนอี้หลิงคิดในใจก่อนลุกขึ้นยืนทำให้ทุกสายตาล้วนหันมามองที่นาง

    “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน แต่มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ทั้งที หม่อมฉันก็ได้เตรียมการแสดงเอาไว้แล้วเพคะ”

    สิ้นคำพูดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น บ้างก็ว่านางต้องพูดเท็จเป็นแน่ บ้างก็ว่าการแสดงคงมิใช่ให้เด็กดูกระมัง

    ซุนอี้หลิงอยากกรอกตามองบนไล่ตบพวกแมลงหวี่แมลงวันพวกนี้เสียจริง ที่นางเตรียมการแสดงมาด้วยเพียงเพราะต้องการเผยให้เห็นว่าหญิงใจโฉดอย่างนางมีดี มิใช่เดินตามบุรุษดั่งสตรีใจง่าย และแน่นอนการแสดงที่ซุนอี้หลิงเตรียมมาคือการเล่นดนตรี ดนตรีที่นางเลือกก็คือกู่ฉินเจ็ดสาย

    ซุนอี้หลิงลุกเดินไปนั่งตรงที่จัดเตรียมกู่ฉินวางเอาไว้ นางลองไล่เสียงดูแต่ละสายการกระทำเช่นนั้นเรียกสายตาของกู่ซีหยางให้เงยหน้าจ้องมองจากในตอนแรกเขาเอาแต่ก้มหน้า

    ซุนอี้หลิงนึกขอบคุณผู้จัดการเมื่อชาติก่อนที่บังคับให้นางเรียนกู่ฉินเอาไว้ใช้ในการแสดงละครแนวย้อนยุค

    ‘เอาล่ะ ข้าพร้อมแล้ว’

    ซุนอี้หลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนพ่นลมออกมา นางนั่งเหยียดหลังตรงสะบัดข้อมือเล็กน้อยให้เสื้อคลุมตรงข้อมือไม่เกะกะการเล่นกู่ฉินของนาง

    เสียงบรรเลงท่วงทำนองกู่ฉินค่อย ๆ ดังขึ้นตามเรียวนิ้วบางขยับกรีดกรายลงบนสายกู่ฉิน บทเพลงนิรนามเริ่มบรรเลงเสียงท่วงทำนองไพเราะนุ่มลึกและหวานละมุน ความอ่อนช้อยและท่วงท่าที่นางแสดงอยู่ทำให้ในยามนี้ซุนอี้หลิงดูสง่างามดุจดั่งเทพธิดากำลังบรรเลงดนตรีให้ฟัง

    ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาและหูตนเอง ใครจะไปคาดคิดกันว่าหญิงใจโฉดโหดเหี้ยมผู้นั้นแท้จริงแล้วมีความสามารถเช่นนี้ 

     

    กู่ซีหยางจ้องมองซุนอี้หลิงอย่างละสายตามิได้ ตั้งแต่เห็นนางไล่เสียงเขานึกแปลกใจแล้วที่นางจะรู้ตัวโน้ต ยิ่งเป็นกู่ฉินแล้วนับเป็นเครื่องดนตรีที่ว่าเล่นได้ยากถ้าหากมิได้ชื่นชอบจริง ๆ เมื่อซุนอี้หลิงเริ่มบรรเลงเขาก็มิอาจละสายตาจากนางได้เลย ท่วงทำนองนุ่มนวล นุ่มลึก คลอเคล้ากับท่วงท่าอันอ่อนช้อยกำลังดึงดูดสายตาของเขา 

    กู่ซีหยางไม่เคยรู้มาก่อนว่าซุนอี้หลิงจะเล่นดนตรีเป็น ยามที่เรียวนิ้วสวยไล่สายบรรเลงท่วงทำนองออกมานั้น กู่ซีหยางรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของนางผ่านบทเพลง ถึงจะไม่รู้ว่านางกำลังบรรเลงเพลงอะไร แต่เพียงแค่ฟังก็ทำให้ในใจของเขารู้สึกโหวงเหวง แม้ที่ผ่านมากู่ซีหยางจะมิได้ใส่ใจนางมากเท่าที่ควร...

    ต้องบอกว่ามิคิดจะใส่ใจไยดีนางเลยเสียมากกว่า

    ซุนอี้หลิงบรรเลงท่วงทำนองมาจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย นางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีปัญหาติดขัดระหว่างทาง ขอบคุณตัวเองในใจว่าทำได้ดีแล้ว ทว่าเสียงรอบข้างนิ่งสงบจนทำให้นางหวาดหวั่น แต่ไม่นานเสียงปรบมือดังขึ้นมาตรงหน้า ซุนอี้หลิงเงยหน้าขึ้นเห็นไทเฮากำลังปรบมือให้กับตนก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ

    จากเสียงปรบมือคู่เดียวกลับกลายเป็นสองเสียงสามเสียง จนรอบตัวนางเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ ถึงจะรู้ว่าคนอื่นอย่างเช่นนางสนมไม่อยากจะปรบมือให้ตนก็ตาม แต่จะให้ไทเฮาและฮ่องเต้เห็นอากัปกิริยาแย่ ๆ ไม่ได้

    ซุนอี้หลิงลุกขึ้นยืนเคารพขอบคุณและเดินกลับมานั่งที่เดิม งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

    ซุนอี้หลิงนั่งจิบชามองการแสดงที่ไทเฮาจัดเตรียมอย่างเพลิดเพลิน วันนี้ช่างเป็นวันที่สนุกสนานกว่าที่คิด แน่นอนสิ ก็นางดำเนินเรื่องราวแตกต่างจากนิยายนี่ งานเลี้ยงเลยสนุกก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีองค์ชายมาทักทายตนแถมตรัสชมการแสดงเล่นเอาซุนอี้หลิงเคอะเขินที่มีผู้อื่นกล่าวชมอย่างจริงใจครั้งแรกมิได้

    เวลาล่วงเลยมาถึงยามจื่อทุกคนเริ่มทยอยกันกลับตำหนัก ซุนอี้หลิงเห็นว่าไทเฮาทรงกลับไปพักแล้วตนเองเลยจะขอตัวไปพักผ่อนเช่นกัน เพราะกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนยานแล้ว

    ในระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นด้านข้างทางฝั่งขวาของนาง ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเล่นเอาซุนอี้หลิงตกใจจนกลับลงไปนั่งดังเดิม

    ซุนอี้หลิงหันไปมองอย่างงุนงง อาภรณ์สีดำปักลายมังกรสีทองเบนหน้ามามองที่นาง เป็นครั้งแรกที่ซุนอี้หลิงได้มองเห็นพระพักตร์ของกู่ซีหยางตรง ๆ พระพักตร์นี้นับว่าโฉมงามทั้งขาวเนียนผุดผ่อง คิ้วโค้งดั่งใบหลิว สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปาก ไหนจะดวงตาดุจดั่งเฟิ่งหวงคู่นั้นอีก

    ‘อา...นี่สินะใบหน้าของพระเอก’ ซุนอี้หลิงคิดในใจโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเผลอจ้องมองนานไป

    เสียงกระแอมไอดังขึ้นดึงสติของซุนอี้หลิงออกจากภวังค์ เป็นกู่ซีหยางที่ทำเสียงกระแอมเพราะตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองใกล้ชิดแทบจะสิงกันอยู่แล้ว

    ซุนอี้หลิงตื่นตระหนกรีบก้าวถอยหลัง พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อขึ้นมา นางจึงรีบตรัสว่า “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ”

    กู่ซีหยาง “มิเป็นไร” 

    ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมบริเวณนั้น ซุนอี้หลิงที่เขินอายเกินกว่าจะทนอยู่ได้รีบเดินก้าวถอยหลังไปหาถิงถิงที่ยืนรออยู่ไม่ห่าง 

    ถิงถิงที่เห็นเจ้านายเดินถอยหลังมาหาก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ฮองเฮาทรงมิเป็นอะไรมากนะเพคะ”

    คำถามใสซื่อนั้นทำเอาซุนอี้หลิงอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ที่บอกว่าไม่เป็นไรทำเอาซุนอี้หลิงอยากมุดดินหนีตอนนี้เลย ก่อนที่ทั้งซุนอี้หลิงและถิงถิงจะจากไปเสียงเรียบดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน

    “ข้าจะไปส่ง”

    ซุนอี้หลิงหันไปมองกู่ซีหยางด้วยความสับสน นางไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างกู่ซีหยางเนี่ยนะคิดจะเดินไปส่งนางที่ตำหนัก วันนี้อาจจะฝนตกฟ้าผ่าก็ได้

    ซุนอี้หลิงเงยหน้ามองท้องฟ้าและยังไม่ทันได้กล่าวปฏิเสธอะไรออกไป ร่างของกู่ซีหยางเดินนำหน้าไปเสียแล้ว ซุนอี้หลิงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมเดินตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ

     

    ระหว่างที่กำลังเดินกลับตำหนักของตน บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบจนร่างบางอดหวาดหวั่นไม่ได้ เพราะที่ผ่านมานางมักจะคุยเล่นกับถิงถิงตลอดเวลาเดินไปไหนมาไหน พอเจอกับความเงียบนี้ทำให้ซุนอี้หลิงอึดอัดใจไม่น้อย

    ทั้งถิงถิงและหัวหน้าขันทีต่างเดินตามหลังผู้เป็นนายห่าง ๆ พวกเขาต่างเฝ้ามองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ทั้งสองเจอหน้ากันมักจะเกิดปัญหาตลอด

    สายลมอ่อน ๆ ของวสันต์ฤดูพัดผ่านยามราตรี อาภรณ์ดำพลิ้วไสวราวกับกำลังร่ายรำ ยามจ้องมองแผ่นหลังกว้างนี้กลับทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่ง แสงจันทราส่องสว่างพร่างพราวชวนให้บรรยากาศน่าหลงใหล ซุนอี้หลิงจ้องมองแผ่นหลังนั้นในหัวครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ จนสุรเสียงเรียบดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

    “ข้ามิทราบมาก่อนว่าฮองเฮาเล่นกู่ฉินเป็น”

    ซุนอี้หลิงหลุบตาต่ำมองพื้น ‘จะไม่ให้เป็นได้อย่างไร ข้าไม่ใช่ซุนอี้หลิงคนเก่าเสียหน่อย’ ซุนอี้หลิงนึกคิดในใจก่อนจะกล่าว

    “ตอนเด็กข้าเคยถูกท่านพ่อบังคับให้เรียนกู่ฉิน แต่ข้าก็มิได้เก่งกาจอะไรมากนักเพคะ” ซุนอี้หลิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเผลอพูดแทนตัวเองแปลกไป

    “เช่นนั้นเหรอ”

    ซุนอี้หลิงมือทาบอกในเมื่อกู่ซีหยางไม่ได้ว่าอะไรนางก็รู้สึกสบายใจ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก พวกเขาเดินไปอย่างเงียบ ๆ 

    ป้ายตำหนักจื่อเฉินปรากฎตรงหน้า พวกเขาเดินผ่านไปอย่างปกติ ซุนอี้หลิงงุนงงว่าทำไมกู่ซีหยางถึงไม่เข้าตำหนักตนเองไป

    กลิ่นหอมของดอกเหมยกุ้ยลอยมาตามลม ซุนอี้หลิงเริ่มมองเห็นพุ่มดอกเหมยกุ้ยและสระบัว ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายแวววาวเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แสงจากดวงจันทราส่องสว่างบนฟากฟ้าทำให้เงาต่าง ๆ สะท้อนกับสระบัวเหมือนกระจก

    ซุนอี้หลิงนึกชื่นชมความงดงามพวกนี้อยู่ในใจ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ตนเอง เมื่อเริ่มเดินเข้าใกล้สระบัวในใจของซุนอี้หลิงเต้นระส่ำระส่ายมือไม้อยู่ไม่เป็นสุข นางอยากสัมผัสผิวน้ำเล่นจนเสียงเรียบดังขึ้นจากด้านหน้า

    “เจ้าอยากแวะพักแถวนี้ก่อนกลับตำหนักหรือไม่”

    ซุนอี้หลิงหันไปจ้องมองด้วยดวงตาแวววาวเปล่งประกาย ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างตื่นเต้นก่อนที่นางจะรีบเดินไปริมสระบัวทันที

    กู่ซีหยางทอดถอนใจ เขารู้ว่านางต้องการอะไรได้อย่างไร คงเป็นเพราะเสียงฝีเท้านางเชื่องช้าลงจากที่เดินตามหลังเขามาปกติ พอเขาอนุญาตนางก็วิ่งแจ้นไปโดยไม่สนใจอะไรอีก ทั้ง ๆ ที่ตนกำชับให้หัวหน้าขันทีบอกกับหญิงรับใช้คนสนิทของนางไปแล้วว่าไม่ให้พานางมาแถวบริเวณนี้อีก แต่กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่พามา

    กู่ซีหยางเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังซุนอี้หลิงที่กำลังง่วนอยู่กับการเอามือทั้งสองข้างจุ่มน้ำในสระบัวเล่น ภาพนี้ทำให้เขานึกขบขันที่ได้เห็น

    ‘ช่างเหมือนเด็กน้อยเสียจริง’

     

     

     


    1. ชาไป๋หาวอิ๋นเจิน (白毫银针) หรือที่รู้จักในอีกชื่อคือ ‘ชาขาวเข็มเงิน’ มีถิ่นกำเนิดและแหล่งผลิตในมณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ชาชนิดนี้ถือว่ามีราคาแพงสุดในบรรดาชาขาวทั้งหมด เนื่องจากในการผลิตชาจะใช้เฉพาะบริเวณส่วนยอดของใบชาเท่านั้น รสชาติของชาไป๋หาวอิ๋นเจินมีความอ่อนโยนละมุนลิ้น กลิ่นหอมของดอกไม้ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดน้ำหนัก ย่อยอาหาร เสริมสร้างให้หัวใจแข็งแรง ทั้งนี้เหมาะแก่การบำรุงสายตา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×