ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยามบุปผาโรยรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บุรุษ​โฉมงาม

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 67


    บทที่ 2

    บุรุษโฉมงาม

     

    ตำหนักเฟิ่งอี๋ถูกเปิดบานประตูหน้าต่างอีกครา ตั้งแต่ซุนอี้หลิงฟื้นขึ้นมายังไม่เคยออกไปสถานที่แห่งไหนเลยในเขตวังหลัง นอกเสียจากอยู่แต่ภายในตำหนักเฟิ่งอี๋

    ซุนอี้หลิงมักจะนั่งหน้าบันไดตำหนักคอยมองสอดส่องภายนอก แต่กลับไร้ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเสียอย่างนั้น ยังดีหน่อยที่มีเหล่าทหารองครักษ์คอยเฝ้าด้านนอกประตูใหญ่ นางไม่แปลกใจถ้าตำหนักเฟิ่งอี๋จะเงียบสงบ แต่นางก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดพวกพระสนมหรืออะไรต่าง ๆ ไม่มีใครคิดจะมาเข้าเฝ้าตนเลยงั้นหรือ?

    “เฮ้อ...”

    การนั่งกินนอนกินใช้ชีวิตไปในแต่ละวันมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับซุนอี้หลิงในตอนนี้สักเท่าไร นางนึกอยากออกเดินเล่นไปทั่วรอบวังที่ไม่ใช่ภายในตำหนักของตน

    เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบหันไปเรียกถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทที่กำลังตกแต่งจัดแจกันดอกไม้อยู่ในห้อง

    “อาถิง วันนี้พาข้าไปเดินชมรอบ ๆ วังหน่อยได้หรือไม่ ข้าจำสถานที่ต่าง ๆ ในวังมิได้แล้ว”

    ถิงถิงได้ยินดังนั้นนางวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่เดินมาหาเจ้านายของตนหน้าตำหนัก

    “บาดแผลของฮองเฮายังมิหายดีเลยนะเพคะ ถ้าเดินออกไปที่ไหนไกล ๆ อาจจะทำให้แผลปริได้นะเพคะ”

    ซุนอี้หลิงรู้ดีว่าถิงถิงนั้นเป็นห่วงตนเองมากขนาดไหน แต่จะให้อยู่แต่ในตำหนักอย่างเดียวนางขอปฏิเสธ!

    “อาถิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่ว่านะอาถิง เจ้าอยากให้ข้าเฉาตายอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งอี๋อย่างงั้นหรือ วิธีรักษามีมากมายและการออกไปสูดอากาศบ้างก็ช่วยผู้ป่วยเช่นข้าได้นะ”

    ซุนอี้หลิงเห็นสีหน้าที่ครุ่นคิดอย่างหนักของถิงถิงก็อดเอ็นดูมิได้ ผลสุดท้ายถิงถิงก็ยอมพาตนออกมาเดินเล่นนอกตำหนักอยู่ดี ‘ถึงจะได้ไม่นานแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ออกมาล่ะนะ’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

    หลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่สวมให้ใส่สบายตัว ก็ได้เวลาออกมาเดินเล่นนอกตำหนักเฟิ่งอี๋เสียที

     

    ระหว่างที่กำลังเดินเล่นด้านข้างก็มีถิงถิงคอยช่วยประคองตนตลอด ซุนอี้หลิงมองดูพื้นที่ภายในวังที่ตั้งตระหง่านตา ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหรูหราและประณีตดุจวิจิตรศิลป์ มันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นของจริงกับตาตัวเอง เป็นวังหลวงที่ร่มรื่นกว่าที่คิด มีผู้คนเดินกันผ่านไปผ่านมาพอเห็นหน้าตนก็ตกใจเหมือนกับเห็นผี

    ซุนอี้หลิงนึกขันกับปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นหาได้สนใจสายตาที่จับจ้องมาที่ตนเอง ไม่สนว่าใครจะพูดนินทาอย่างไร จะมองตนด้วยสายตาแบบไหน สิ่งเดียวที่นางสนใจในตอนนี้ก็คือ สระบัว ที่อยู่ตรงหน้า

     น้ำใสของมันส่องสะท้อนเงาเหนือผิวน้ำ ปลาหลี่กำลังเวียนว่ายไปมา สีสันบนตัวช่างสดใสและมีชีวิตชีวา ไหนจะดอกบัวที่กำลังเบ่งบานชูช่อเหล่านั้นอีก ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามหาชมได้ยากยิ่งเมื่อชาติก่อน เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนหย่อนกายใจที่นี่อย่างมาก โชคดีเสียจริงที่ได้ค้นพบสถานที่อันสวยงามและล้ำค่าเช่นนี้

    ในระหว่างที่ซุนอี้หลิงกำลังชื่นชมสระบัวอยู่นั้น ซุนอี้หลิงดันเหลือบไปเห็นพุ่มไม้ของดอกเหมยกุ้ย¹ที่บานสะพรั่งสีแดงสดงดงามห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ซุนอี้หลิงนึกสงสัยจึงหันไปถามถิงถิงสาวรับใช้คนสนิท “อาถิง ที่นี่คือสถานที่อันใดข้ามิเคยเห็นมาก่อนเลย”

    “สถานที่แห่งนี้คือสระบัวเพคะ เป็นสระบัวที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างตำหนักจื่อเฉินและตำหนักเฟิ่งอี๋เพคะ”

    เมื่อได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างตำหนักของตนเองและตำหนักจื่อเฉิน ทำเอาซุนอี้หลิงตาขวากระตุกขึ้นมาซะอย่างนั้น

    พอลองสังเกตมองดูแล้วด้านตะวันตกเป็นที่ตั้งของตำหนักเฟิ่งอี๋ที่ตนพำนัก และทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของตำหนักจื่อเฉินตำหนักที่กู่ซีหยางพระเอกของเรื่องพำนัก

    เดี๋ยวก่อนนะ...วังหน้ากับวังหลังใกล้กันถึงเพียงนี้เลยหรือ?

     เป็นไปได้อย่างไรกัน แต่มันก็เป็นไปแล้วเนี่ยสิ ให้ตายเถอะพระเจ้า

    ซุนอี้หลิงนึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก นางรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวก่อนจะหันมาสนใจพุ่มดอกเหมยกุ้ยแทน

    ดอกไม้สีแดงสดงดงามกว่าเมื่อชาติก่อนอย่างมาก กลีบดอกของมันเรียงซ้อนเป็นชั้น ๆ สวยงามจนมิสามารถละสายตาได้ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ตนชื่นชอบอย่างมาก หากตัดไปตกแต่งแจกันในห้องบรรทมหรือนำไปวางประดับบนโต๊ะคัดอักษรคงจะสวยไม่น้อย

    ซุนอี้หลิงยิ้มให้กับความคิดของตนและนึกสงสัยว่าทำไมพุ่มดอกเหมยกุ้ยถึงมาปลูกใกล้กับสระบัวเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเมื่อทั้งสองชนิดแตกต่างกันอย่างมาก ชนิดหนึ่งอยู่บนพื้นดินส่วนอีกชนิดอยู่ในน้ำ มันแปลกประหลาดจนไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย

    ช่างเป็นการจับคู่กันที่แปลกประหลาดนัก

    “แล้วพุ่มดอกเหมยกุ้ยเล่า ทำไมถึงปลูกตรงนี้ใกล้ริมสระบัวเช่นนี้” ซุนอี้หลิงนั่งลงกับพื้นหญ้าบริเวณริมสระบัว โดยมีถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทนั่งไม่ห่างเอ่ยถามถึงที่มาที่ไปของดอกไม้ชนิดนี้

    “จริง ๆ แล้วหม่อมฉันก็มิทราบแน่ชัดเพคะ มีหลายผู้หลายคนลือกันมาว่าสวนเหมยกุ้ยที่ปลูกข้างริมสระบัวเป็นรับสั่งของฝ่าบาทเพคะ”

    ‘ห้ะ รับสั่งของฝ่าบาทงั้นเหรอ...กู่ซีหยางคนนั้นอะนะ?’

    ซุนอี้หลิงพึมพำในใจเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือจากสิ่งที่ได้ยินพลางนึกถึงเหตุผลมารองรับ แต่กลับไม่มีเหตุผลใดพอจะเข้าเค้าได้เลย

    ‘กู่ซีหยางนี่เจ้าสมองกลับหรือเป็นบ้าไปเสียแล้ว’

    ถิงถิง “แต่หม่อมฉันก็ได้ยินเขาลือมาอีกอย่างเพคะ”

    “ลือว่าอันใด?” ซุนอี้หลิงถามในขณะที่มือขวายังคงแตะสัมผัสผิวน้ำของสระบัวเล่น

    “เขาลือกันมาว่าสวนเหมยกุ้ยนี้สร้างขึ้นเพื่อฮองเฮาเพคะ” 

    ซุนอี้หลิงเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเสียเท่าไรจากที่ได้ฟัง จะบอกว่าสวนเหมยกุ้ยพวกนี้ทำขึ้นมาเพื่อตนเองอย่างนั้นหรอกหรือ? มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นได้เลยเสียด้วยซ้ำ แต่ในนิยายต้นฉบับก็ไม่ได้เล่าถึงสวนเหมยกุ้ยมีแต่พูดถึงสระบัวเท่านั้น แล้วตัวของซุนอี้หลิงคนเก่าชื่นชอบดอกเหมยกุ้ยหรือเปล่าอันนี้ก็ยังไม่แน่ชัดมากนัก

    ซึ่งมันแปลก

    แปลกจนอดคิดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    กู่ซีหยางผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ยากเสียจริง ‘รู้งี้น่าจะติดต่อกับนักเขียนให้มานั่งอธิบายนิสัยและคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวให้ฟังจัง ว่าแต่ใครคือนักเขียนนะ จำได้ว่าผู้กำกับพามาแนะนำให้รู้จักอยู่ อ้อ...น้องสาวข้างห้องนี่หว่า จำได้ละ’ ซุนอี้หลิงเหม่อมองสระน้ำตรงหน้า

    ถิงถิงเห็นเจ้านายตนนิ่งเงียบไปจึงพยายามจะเรียก แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นผู้มาใหม่ ถิงถิงรีบยืนขึ้นทำความเคารพอย่างรวดเร็วจนซุนอี้หลิงที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ได้สติกลับคืนมานึกสงสัยกับปฏิกิริยาของนาง

    “เจ้าเป็นอะไรไปอาถิง” 

    ในขณะที่ซุนอี้หลิงถามสาวรับใช้คนสนิทด้วยความสงสัยปนงุนงง แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาจนทำให้ซุนอี้หลิงต้องหันกลับไปมอง

    “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” 

    ภาพที่ซุนอี้หลิงเห็นนั้นมีบุรุษสามคนและสตรีหนึ่งคนกำลังจ้องมองมาที่ตน ซุนอี้หลิงกำลังสับสนปนตกใจ แต่คงไม่เท่าบุรุษผู้หนึ่งที่พอเห็นหน้าตาของนางแล้วตกอกตกใจเสียมากกว่า

    ซุนอี้หลิงพยายามครุ่นคิดอยู่ แต่บุรุษคนนั้นก็เดินลงมาหาตนที่นั่งอยู่ริมสระบัวเสียแล้ว

    “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ทำไมพระองค์ถึงมานั่งที่พื้นเช่นนี้ เดี๋ยวบาดแผลบริเวณท้องจะปริเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ เจ้ามาช่วยพยุงฮองเฮาลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย!”

    “เจ้าค่ะ!”

    ซุนอี้หลิงงุนงงอย่างมากว่าตอนนี้คือสถานการณ์อันใด แล้วบุรุษผู้นี้เป็นใคร ทำไมถึงกล้ามาดุนางฟ้าน้อยของตนด้วย! "ซุนอี้หลิงจ้องหน้าบุรุษผู้นั้นด้วยความหงุดหงิด

    ถิงถิงเห็นสีหน้าของผู้เป็นเจ้านายไม่สบอารมณ์ นางจึงรีบอธิบายให้ฟังในทันที

    “ท่านผู้นี้คือหัวหน้าหมอหลวงเพคะฮองเฮา”

    “หัวหน้าหมอหลวง?” ซุนอี้หลิงหันไปถามอีกครั้ง

    “เพคะ”

    ซุนอี้หลิงผงกศีรษะเข้าใจและหันมามองบุรุษที่เป็นถึงหัวหน้าหมอหลวง นางไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนจะตรัสว่า “เจ้าเป็นหัวหน้าหมอหลวง แต่มาดุคนของข้าได้เช่นไร นางเป็นคนของข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์ดุนางฟ้าน้อยของข้านะ!”

    “...ฮองเฮาทรงตรัสว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหมอหลวงถามด้วยความงุนงง

    “ข้าบอกว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์ดุคนของข้า ข้าเป็นคนสั่งให้อาถิงพาข้าออกมาเดินเล่น และก็ให้พาข้านั่งลงบริเวณแถวนี้เพื่อคุยเล่นกันปกติ จนเจ้ามาแล้วดุคนของข้า!” ซุนอี้หลิงขึ้นเสียงเมื่อมีเรื่องมารบกวนตนเองยามพักผ่อน

    หัวหน้าหมอหลวงได้ยินเช่นนั้นรีบก้มหน้าโค้งตัวกล่าว “กระหม่อมขอประทานอภัยฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

    ซุนอี้หลิงผงกศีรษะพึงพอใจหันไปยิ้มให้ถิงถิงที่ยืนมองมาด้วยความตกใจ จนซุนอี้หลิงนึกเอ็นดูยกฝ่ามือลูบผมนางไปทีและให้ถิงถิงพาไปที่อื่นต่อ

    ถิงถิงรีบเข้ามาประคองเจ้านายของตนเดินออกจากบริเวณนั้นหาได้สนใจอีกสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

    บุรุษอาภรณ์สีดำจ้องมองแผ่นหลังบางนั้นค่อย ๆ ห่างไกลออกไปจนลับสายตา เขาหันไปทางหัวหน้าขันทีก่อนจะตรัสว่า “กงกง เดี๋ยวเจ้าไปทูลให้หญิงรับใช้ของฮองเฮาทราบทีว่าอย่าพยายามพาฮองเฮาเดินมาเล่นแถวนี้อีก”

    หัวหน้าขันทีงุนงงแต่ก็ตกปากรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

     

    ศาลากลางน้ำเสียงพูดของซือเจียเหยายามนี้ไม่สามารถทำให้กู่ซีหยางจดจ่อรับฟังได้เลย ในหัวของเขานึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาได้พบเจอกับฮองเฮา นับเป็นคราแรกที่เจอหลังเกิดความวุ่นวายที่ตำหนักวังหลัง กู่ซีหยางไม่คาดคิดว่าซุนอี้หลิงจะมาเดินเล่นแถวสระบัว

    “ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเกลียดนักเกลียดหนา” กู่ซีหยางพึมพำกับตนเอง

    “ฝ่าบาททรงตรัสว่าอะไรนะเพคะ”

    เสียงหวานเรียกให้กู่ซีหยางได้สติ เขาเผลอเหม่อลอยคิดเรื่องไร้สาระจนลืมดูแลแขกคนสำคัญ ซือเจียเหยาเป็นถึงองค์หญิงองค์โตจากแคว้นเสวียอิง นางมากับขบวนคณะทูตเพื่อมาสร้างสัมพันธไมตรี เขาเกือบทำให้แขกคนสำคัญรู้สึกแย่เสียแล้ว

    กู่ซีหยาง “ขอประทานอภัยองค์หญิงที่ข้าปฏิบัติตัวแย่ต่อท่าน”

    “มิเป็นไรเพคะ ว่าแต่ฝ่าบาททรงคิดมากเรื่องอันใดอยู่หรือเปล่าเพคะ พระองค์ปรึกษาหม่อมฉันได้นะเพคะ ถึงหม่อมฉันจะมิได้มีความสามารถมากพอ...”

    กู่ซีหยางลอบถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดว่าองค์หญิงซือเจียเหยาไร้ซึ่งความสามารถเลยสักครา นางกลับเป็นสตรีที่ฉลาดจิตใจอ่อนโยนเพียงนี้ บุรุษใดได้นางไปครอบครองคงเหมือนโชคหล่นทับ

    กู่ซีหยางสะบัดความคิดก่อนหน้าหันมาร่วมสนทนากับซือเจียเหยาตลอดทั้งวัน

     

    ซุนอี้หลิงแวะนั่งพักบริเวณศาลาข้างหอฮวนซู นั่งรอถิงถิงที่แวะไปเตรียมสำรับให้ตน ซุนอี้หลิงนั่งมองไปรอบ ๆ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ร่มรื่นกว่าที่นิยายบรรยายเอาไว้เสียอีก มีดอกหลันฮวา² บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเต็มไปหมด หากเก็บไปตกแต่งแจกันได้คงสวยมิใช่น้อย

    แต่คงมิได้หรอกกระมัง

    ซุนอี้หลิงรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ผู้ใดเป็นหัวหน้าหอฮวนซูและนางไม่คิดอยากจะมีเรื่องด้วย เพราะคนผู้นี้เป็นถึงราชครูของกู่ซีหยางตั้งแต่วัยเยาว์ การสร้างศัตรูมากกว่ามิตรไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่จะเอาตัวรอดไปจนจบได้ 

    ตอนนี้ซุนอี้หลิงคิดอะไรไม่ออกด้วยซ้ำ ถ้าตนต้องเผชิญหน้ากับราชครูผู้นี้ตรง ๆ ซุนอี้หลิงมั่นใจว่าตนนั้นทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของซุนอี้หลิงและยังรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้เป็นเพราะตนเคยอ่านนิยายมาก่อนเท่านั้น

    แต่ทว่า...

    ในนิยายไม่ได้กล่าวถึงราชครูของหอฮวนซูเป็นหลักซะด้วย ยามเผชิญหน้ากันจริง ๆ อาจจะเป็นตนเองที่ดูแปลกตาจนถูกราชครูไปทูลให้กู่ซีหยางรับทราบถึงเรื่องราวความผิดปกตินี้ก็ได้ ระวังตัวเองไว้ดีกว่าแก้นั่นย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

    ระหว่างที่กำลังจมปลักอยู่กับความคิดของตนอยู่นั้น เสียงใสดังกังวานขึ้นท่ามกลางสายลมพัดผ่านมา เสียงไพเราะเสนาะหูลอยละล่องตามสายลม ซุนอี้หลิงหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียงแต่กลับหาไม่เจอ

    เสียงกังวานของระฆังหรือกระดิ่งมิอาจทราบได้ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดลงที่ด้านหลังของซุนอี้หลิงตามมาด้วยเสียงทุ้มต่ำเอ่ยว่า

    “ท่านมาทำอันใดในที่แห่งนี้...”

    ซุนอี้หลิงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงดังขึ้นจากทางข้างหลังตน นางจึงรีบหันกลับไปมองทันที

    ภาพตรงหน้าปรากฏร่างของบุรุษอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ดุจดั่งขนจิ้งจอกหิมะ เสื้อคลุมปักลายของหลันฮวาเอาไว้ ผมสีดำขลับมัดรวบขึ้นสูงครอบกวานที่ออกแบบมาอย่างดงามแถมผูกด้วยเชือกสีขาวลายเมฆา ข้างเอวมีพู่กระดิ่งเงินห้อยย้อยลงมา

    ซุนอี้หลิงมองปราดเดียวตนก็สามารถเดาได้ทันทีว่าคนผู้นี้มิใช่คนธรมมดาในวัง แต่กลับเป็นบุรุษผู้มากพรสวรรค์และความสามารถยากที่ใครจะเปรียบได้

    ราชครูหมิงเยว่

    ราชครูหมิงเยว่เขาเป็นถึงราชครูของกู่ซีหยาง คอยสั่งสอนกู่ซีหยางทุกอย่างเป็นคนที่กู่ซีหยางไว้ใจมากที่สุด เปรียบเสมือนต้าเกอของตระกูลกู่ก็ย่อมได้

    ในนิยายต้นฉบับนั้นได้บรรยายเอาไว้ว่า ราชครูหมิงเยว่ กู่ซีหยาง และชินอ๋อง ทั้งสามล้วนเติบโตมาด้วยกันภายในวังหลวงแห่งนี้ ราชครูหมิงเยว่เดิมทีเป็นเด็กกำพร้า เขาได้ไปร่ำเรียนในสำนักเซียนแห่งหนึ่งก่อนจะมาเป็นราชครูให้กับกู่ซีหยางอย่างทุกวันนี้ 

    ราชครูหมิงเยว่ถือเป็นตัวประกอบที่มักจะโผล่มาในยามที่พระเอกอย่างกู่ซีหยางประสบกับปัญหาต่าง ๆ และในท้ายที่สุดราชครูหมิงเยว่ก็ได้ตายจากไปเพราะได้ไปช่วยเหลือซือเจียเหยาจากอันตราย

    ถ้าให้พูดง่าย ๆ เลย ราชครูหมิงเยว่ก็คือพระรองของนิยายเรื่องนี้

    นอกจากจะมีความรักของหญิงใจโฉดแล้วก็ยังมีรักสามเศร้าของบุรุษสองคนที่เปรียบดั่งพี่น้องต่างหมายปองสตรีคนเดียวกัน

    ‘น่าเสียดายที่ตัวละครที่ฉันชอบดันมาตายตอนจบ เพราะปกป้องสตรีอันเป็นที่รัก’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

     

    หมิงเยว่ที่เฝ้ามองไม่ละสายตา นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบุตรีแม่ทัพซุนเฉิง และยังเป็นถึงฮองเฮาที่มีข่าวลือหนาหูถึงความใจโฉดของนาง ผู้คนต่างเล่าลือกันมาว่านางโหดเหี้ยมทำร้ายคนรับใช้ข้าราชบริพารในตำหนัก และมีนิสัยอิจฉาริษยาที่ตนไม่ได้รับความสนใจจากองค์ฮ่องเต้

    แต่สตรีตรงหน้าของเขากลับต่างออกไปจากคำครหาทุกอย่าง

    นางเป็นสตรีที่มิได้มีนิสัยเฉกเช่นนั้น นางมักจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดเวลา จะมองมาที่เขาและจะหลุบตามองพื้นทันทีเมื่อสบตากับเขา ท่าทางคลับคล้ายคนเขินอาย...

    นางมีอะไรต้องเขินอายเขากัน?

    เขาเป็นผู้บำเพ็ญตนมาก่อนย่อมอ่านความคิดคนได้ผ่านสีหน้า ล้วนความคิดของนางหมิงเยว่อ่านมันทั้งหมด มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจที่นางกล่าวชมเขาโฉมงามหลายครามาก มากซะจนหมิงเยว่หลุดหัวเราะ

    “ฮ่าๆๆ”

    ซุนอี้หลิงสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นมาไม่ให้สุ้มให้เสียง บุรุษตรงหน้านางกำลังหัวเราะเยาะด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ภาพนั้นช่างงดงามดุจจิตรกรชื่อดังรังสรรค์ขึ้นมา ได้เจอบุรุษที่งดงามเช่นนี้นับว่าเป็นวาสนาของตนจริง ๆ

    ‘โอ๊ย แม่เจ้าพระคุณ หล่อมากเลยค่ะ! อยากถือป้ายเชียร์พร้อมตะโกนเสียงดังว่าหมิงเยว่สามีแห่งชาติของฉันซะจริง กรี๊ด!!!’

    ใครจะไปคิดว่าสายตาจะสอดประสานกันหลังเสียงหัวเราะเงียบลง ซุนอี้หลิงรีบก้มหน้าหลบซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตนลงกับพื้ร การที่ตัวละครที่ตนเองชื่นชอบมายืนอยู่ตรงหน้าเป็นใครก็อดใจหวั่นไหวไม่ได้

    “อยากเสวยชาไหมพ่ะย่ะค่ะ”

    ซุนอี้หลิงสะดุ้งโหยงหาเสียงตนเองตอบกลับไม่เจอ ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบไปให้ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะฮึในลำคอของชายหนุ่มได้ 

    “งั้นฮองเฮารอกระหม่อมตรงนี้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมไปนำชามาถวายให้” หมิงเยว่ลุกเดินออกไป

    ซุนอี้หลิงเงยหน้าชะเง้อมองก่อนทอดถอนใจรีบยกมือขึ้นพัดใบหน้าที่ร้อนผ่าว

    “พระรองอะไรจะหล่อขนาดนี้วะเนี่ย หล่อมากหล่อไม่เกรงใจฟ้าดิน คุ้มมากแล้วหลิวเซี่ยหนิงที่เธอได้ยลโฉมหน้าบุรุษรูปงามที่ตนเองชื่นชอบใกล้ ๆ แบบนี้” ซุนอี้หลิงกล่าวชมเชยหมิงเยว่อย่างเก็บอาการไม่อยู่

    “ว่าแต่เขารู้ได้ไงว่าข้าคือฮองเฮา?” ซุนอี้หลิงครุ่นคิดได้ไม่ถึงหนึ่งจิบชานางก็ไม่สนใจปัญหาตรงนั้นอีก

    “ฮองเฮาหม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ” ถิงถิงเดินกลับมาพร้อมกับเฉ่าเหมย³ เต็มถ้วย นางวางถ้วยลงตรงหน้าเจ้านาย

    “เจ้าไปนานมากอาถิง ปล่อยให้ข้าเผชิญหน้ากับบุรุษรูปงามที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหวได้เช่นไร”

    ถิงถิงไม่เข้าใจที่เจ้านายของตนพูด ทำได้แค่ปล่อยให้ผู้เป็นนายพรรณาถึงบุรุษผู้นั้นไปด้วยภาษาที่นางฟังไม่เข้าใจ

     

    ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูปเสียงกังวานของกระดิ่งเงินดังขึ้น ซุนอี้หลิงที่กำลังหยิบเฉ่าเหมยเข้าปากจำต้องหันกลับไปมองข้างหลังตน บุรุษอาภรณ์ขาวกลับมาแล้ว

    หมิงเยว่ที่เดินมาถึงศาลาเห็นมีสตรีมาเพิ่มอีกคนเขาจึงกล่าวทักทายทันที “ข้ามีนามว่าหมิงเยว่ เจ้าคงเป็นหญิงคนสนิทของฮองเฮาสินะ”

    “เจ้าค่ะ! ข้าน้อยถิงถิงเจ้าค่ะ” ถิงถิงรีบลุกขึ้นยืนทักทายผู้อาวุโส

    “มิต้องพิธีรีตองกับข้าหรอกแม่นาง ข้าเป็นแค่ราชครูหาใช่องค์ชายไม่”

    “เจ้าค่ะ”

    ซุนอี้หลิงเห็นทั้งสองคนทักทายกันจนตนเองนึกว่าเป็นธาตุอากาศ ‘เป็นถึงราชครูก็มีตำแหน่งยศสูงกว่านางรับใช้ไม่ใช่หรือไง อือ...’ ซุนอี้หลิงคิดในใจหาได้สนใจทั้งสองคน นางยื่นมือไปหยิบเฉ่าเหมยเข้าปากอีกคำ

    เสียงรินชาใส่แก้วเสนาะหูราวกับน้ำตกบนยอดเขาไหลลงมา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาเรียกความสนใจสตรีทั้งสองได้เป็นอย่างดี ทั้งซุนอี้หลิงและถิงถิงต่างนั่งมองจับจ้องการรินชาที่ประณีต ท่วงท่าที่ราชครูหมิงเยว่ทำช่างงดงามจนยากจะละสายตาได้

    แก้วชาทั้งสองถูกวางเรียงตรงหน้าทั้งซุนอี้หลิงและถิงถิง ความอยากรู้อยากเห็นของทั้งสองที่มองตามด้วยสายตาเปล่งประกายสร้างความเอ็นดูให้กับหมิงเยว่อย่างมาก

    “นี่มันเป็นชาอันใดหรือเจ้าคะ ข้าน้อยมิเคยเห็นมาก่อนเลย” ถิงถิงถามด้วยความสงสัยพร้อมจ้องมองชาร้อน ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้า

    “มันคือชาหมิงเฉียงหลงจิ่ง⁴ เป็นชาที่หายากมาก เจ้ามิเคยเห็นมิใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าแค่ได้มาเป็นของตอบแทนตอนข้าออกเดินทางไปฝึกตนน่ะ” หมิงเยว่อธิบายให้ถิงถิงฟัง ก่อนจะหันมามองซุนอี้หลิงที่ตื่นเต้นกับชาแก้วนั้น

    “พวกท่านลองชิมได้แล้ว หายร้อนมันจะมิอร่อย”

    ซุนอี้หลิงกับถิงถิงประคองแก้วชาขึ้นมาก่อนจะลิ้มรสชานั้น กลิ่นหอมของใบชาความหวานกลมกล่อมที่ลงตัวทำให้จิตใจสงบ นับว่าเป็นชาที่รสชาติดีจนใบชาอื่นเปรียบเทียบมิได้เลยเสียด้วยซ้ำ

    “ว้าว! นี่มันเป็นชาที่อร่อยที่สุดในโลกที่ข้าเคยกินมาเลย” ซุนอี้หลิง

    “ใช่แล้วเพคะฮองเฮา ชานี้อร่อยยากที่จะลืมเลือน รสชาติยังคงติดอยู่ที่ปรายลิ้นอยู่เลยเพคะ” ถิงถิง

    “ใช่ไหม ๆ อาถิง เจ้าก็ว่าชานี้อร่อยใช่ไหม”

    “เพคะ”

    หมิงเยว่มองดูทั้งสองคนพรรณาถึงความอร่อยของชา ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดที่ฮองเฮาตรัสในตอนแรกก็ตาม 

    แต่ว่า...

    มันกลับทำให้เขารู้สึกมีความสุขแปลก ๆ ขึ้นมา ‘อา...นานเท่าไรแล้วที่ข้ามิเคยร่วมสนทนากับผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน’ หมิงเยว่คิดในใจ

    “ว่าแต่เจ้าบอกมีนามว่าหมิงเยว่สินะ เจ้ามาทำอันใดในวังหรือ” ซุนอี้หลิงลองแกล้งถามถึงแม้ว่าตนจะรู้อยู่แล้วก็ตาม

    “กระหม่อมเป็นราชครูของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาน่าจะเคยเห็นกระหม่อมตอนที่พระองค์เข้าวังมาแรก ๆ ในตอนนั้น แต่กระหม่อมกลับจำพระองค์ไม่ค่อยได้เพราะกระหม่อมต้องไล่จับฝ่าบาทบ่อยครั้ง ต้องขอประทานอภัยที่กระหม่อมมิได้ไปกล่าวทักทายพระองค์” หมิงเยว่ยกมือประสานแสดงการขออภัย

    “เอ้ย! มิเป็นไรหรอกท่านราชครู ในตอนนั้นมันก็ผ่านมาแล้วข้าจำมิได้หรอก อย่าถือโทษโกรธตนเองเลยนะ มาทำความรู้จักกันใหม่ก็ยังมิสายไปหรอก” ซุนอี้หลิงตอบพร้อมระบายยิ้มออกมา

    หมิงเยว่ตะลึงงันในความงดงามของรอยยิ้มที่ขลับให้พระพักตร์ดูอ่อนโยนและจริงใจของนาง ซุนอี้หลิงผู้นี้มิใช่คนเดียวกันกับในข่าวลือ นางเปรียบดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ใครกันถึงกล้าครหานางช่างมีตาแต่หามีแววไม่

    “ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเป็นสหายกันเถอะ!” ซุนอี้หลิงจับมือของหมิงเยว่และถิงถิงมาไว้ตรงกลางโต๊ะ

    “ฮะ...ฮองเฮาเพคะ! จับมือบุรุษอื่นมิได้นะเพคะ! ถ้าใครมาเห็นเข้าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ได้” ถิงถิงรีบเอ่ยเตือนเจ้านายของตนด้วยความร้อนรน

    “อะแฮ่ม...ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา บุรุษที่ฮองเฮาสามารถสัมผัสได้มีเพียงแค่ฝ่าบาทกับครอบครัวของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หมิงเยว่กระแอ่มไอก่อนชักมือกลับมาที่เดิมอย่างเก้อเขิน

    ซุนอี้หลิงอยากกรอกตาไปมาให้กับกฎโบราณพวกนี้ชะมัด นางจึงผงกศีรษะเข้าใจก่อนยกแก้วชาขึ้นมาตรงหน้าและตรัสว่า “งั้นเรามาดื่มชาร่วมสาบานว่าเราจะเป็นสหายนับแต่นี้กันเถอะ”

    ถิงถิงส่ายหน้าจนใจแต่นางก็ร่วมด้วยในเมื่อเจ้านายของตนต้องการ

    หมิงเยว่ที่เห็นสตรีทั้งสองรอชนแก้วชาของเขาอยู่ เขาลอบถอนหายใจอมยิ้มให้กับสถานการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ได้มีสหายครั้งแรกกับเขาสักที

    เคร๊ง!

    หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นั่งสนทนาเล่นด้วยกันตลอดทั้งวันเหมือนดั่งมิตรสหายที่คบหากันมานานหลายปี

     

    หอฮวนซูยามซวียามนี้มักจะเงียบสงบ แต่กลับมีเสียงกังวานของกระดิ่งเงินที่แขวนอยู่ตรงบานหน้าต่างดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ตามสายลมพัดโชยในยามราตรี แสงเปลวเทียนสั่นไหวไปมา ม้วนกระดาษถูกขึงตรึงก่อนน้ำหมึกสีดำจะลากไล้บนกระดาษกลายเป็นตัวอักษรตัวบรรจงสวยงามอย่างเป็นระเบียบ

    หมิงเยว่คัดอักษรบางอย่างลงในม้วนกระดาษอย่างประณีต เมื่อคัดเสร็จเขาวางพู่กันลงก่อนนัยน์ตาจะไล่ตรวจทานความเรียบร้อย เมื่อพึงพอใจเขาพับม้วนกระดาษแผ่นนั้นใส่ซองที่เตรียมไว้ พร้อมประทับตาประจำตัวของตนลงไปหน้าซอง

    ระเบียงสูงบนหอฮวนซู บุรุษอาภรณ์ขาวเดินมารับลมหน้าระเบียง นัยน์ตาจับจ้องไปที่ดวงจันทราด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา 

    ‘ช่างเป็นสตรีที่แปลกจริง ๆ ไม่เหมือนกับที่ได้ยินมาน่าสนใจยิ่งนัก’ หมิงเยว่คิดในใจก่อนยกยิ้มมุมปาก 

    “คงต้องทำความรู้จักเสียหน่อยแล้วสิ”

     

     

    ###

    อี้หลิงของเราทำให้ท่านราชครูหมิงเยว่สนใจซะแล้วสิ คราวนี้จะทำยังไงดีนะ


    1. เหมยกุ้ย  [玫瑰] : Méiguī คือ ดอกกุหลาบ

    2. หลันฮวา [兰花] : Lánhuā คือ ดอกกล้วยไม้

    3. เฉ่าเหมย [草莓]: cǎoméi คือ สตรอเบอรี่

    4. หมิงเฉียนหลงจิ่ง [明前龙井] บ้างก็ถูกเรียกว่า "ชาบ่อมังกร" เนื่องจากหากแปลความหมายตามภาษาจีนแล้ว คำว่า "หลง" (龙) หมายถึง มังกร ส่วนคำว่า "จิ่ง" (井) หมายถึง บ่อน้ำ ตำนานความเชื่อเล่าสืบต่อกันว่า เมื่อหลายพันปีก่อน หมู่บ้านหลงจิ่งเคยเผชิญกับความแห้งแล้งอย่างหนัก ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ชาวบ้านอดอยากแร้นแค้น จนกระทั่งมีพระรูปหนึ่งนิมิตเห็นว่า มีมังกรอาศัยอยู่ในบ่อน้ำภายในหมู่บ้าน ท่านได้สวดขอพรจากมังกรให้บันดาลความอุดมสมบูรณ์มาบรรเทาความแห้งแล้ง มังกรจึงให้พรแก่ชาวหลงจิ่ง ทำให้มีฝนตกชุก มีน้ำเต็มบ่อน้ำ ซึ่งบ่อน้ำที่เชื่อว่ามีมังกรอาศัยอยู่ ก็ถูกเรียกว่า "บ่อมังกร" ส่วนต้นชาที่เหี่ยวเฉาก็กลับมาเติบโตอีกครั้ง ทำให้ต้นชาถูกเรียกว่า "ชาบ่อมังกร" หรือ "ชาหลงจิ่ง"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×