ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยามบุปผาโรยรา

    ลำดับตอนที่ #1 : นางร้ายใจโฉด

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 67


     

    บทที่ 1

    นางร้ายใจโฉด

     

    รัตติกาลสนั่นกึกก้อง พายุฝนพัดกระหน่ำสาดโปรยปรายไปทั่ว มาพร้อมกับอสนีบาตที่กำลังร่ายรำบนผืนนภา เสียงอึกทึกครึกโครมเซ็งแซ่ในยามวิกาล ผู้คนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเข้าทีออกที ในขณะที่ร่างบางอาภรณ์ขาวกำลังนอนหายใจโรยรินอยู่บนเตียง

    หลิวเซี่ยหนิงพยายามปรือตาแต่กลับทำไม่ได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกกระบี่นับพันทิ่มแทงนั้นยากจะฝืนทน

    ‘เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ใครมาส่งเสียงดังน่ารำคาญตอนนี้เนี่ย!’

    ร่างบนเตียงพยายามขยับเขยื้อน แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น ฝ่ามือบางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตพยายามควานหาอะไรบางอย่าง ทว่ามีมือคู่หนึ่งกอบกุมเสียแทน มือคู่นั้นกุมมือบางไว้แน่นราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

    “อดทนอีกหน่อยนะเพคะ หัวหน้าหมอหลวงใกล้จะมาถึงแล้วเพคะ” หญิงรับใช้กอบกุมฝ่ามือเจ้านายที่ชะโลมไปด้วยโลหิตเอาไว้แน่น หยาดน้ำสีใสอาบแก้มเนียนทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่ด้วยความเศร้าโศก 

    หากยอมเจ็บแทนได้นางก็อยากจะแบกรับความเจ็บปวดนี้แทนผู้เป็นเจ้านายของตน

    หลิวเซี่ยหนิงงุนงงและสับสนไปหมด ไม่ทันจะเอ่ยถามอะไรออกไป ทว่าความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์ทำเอานางแทบสิ้นใจเสียเดี๋ยวนั้น อาภรณ์สีขาวในยามนี้กลับถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงชาด ผ้าผืนหนาหลายผืนพยายามกดห้ามโลหิตที่กำลังหลั่งไหล

     

    ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งจิบชาหัวหน้าหมอหลวงได้เดินทางมาถึงตำหนักวังหลัง

    ชายหนุ่มรีบวางอุปกรณ์บนโต๊ะข้าง ๆ เตียง หันไปออกคำสั่งให้นางรับใช้ไปต้มน้ำร้อน ก่อนจะใช้น้ำสะอาดที่พกติดตัวมาล้างบาดแผลและรีบใส่ยาหยุนหนานไป๋เหยา¹ บริเวณปากแผลเพื่อห้ามเลือด

    เขานำผ้าผืนหนาที่ชุ้มไปด้วยโลหิตออก ใช้ผ้าสีขาวบางเช็ดทำความสะอาดบาดแผลเพื่อรักษาชีวิตสตรีผู้นี้เอาไว้

    จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเข้าสู่ยามจื่อ การรักษาผ่านพ้นไปราวกับปาฏิหารย์ หัวหน้าหมอหลวงยื่นห่อหนึ่งให้หญิงรับใช้และกำชับกับนางให้ใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต

    หญิงรับใช้รับมาพร้อมกล่าว “ขอบพระคุณท่านหัวหน้าหมอหลวงนะเจ้าคะ ที่ท่านช่วยฮองเฮาของข้าน้อย”

    “มิเป็นไร มันเป็นหน้าที่ของข้า อีกอย่างฮองเฮาทรงมีพระกรุณาธิคุณกับข้ามากนัก ข้าก็ต้องช่วยพระองค์อย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว”

    “เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปส่งท่านหัวหน้าหมอหลวงหน้าตำหนักนะเจ้าคะ”

    หัวหน้าหมอหลวงผงกศีรษะให้ หันกลับมามองร่างบางที่กำลังหลับใหลบนเตียงและกล่าวทูลลา “ขอให้ฮองเฮาหายดีในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ”

     

    ภายในห้องบรรทมในยามเหม่าได้มีควันหลายสายลอยละล่องราวกับกำลังร่ายรำออกจากเตากำยานที่ถูกจุด กลิ่นหอมสมุนไพรตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบางบนเตียงค่อย ๆ ลืมตาตื่น สอดส่องภายในห้องก่อนจะกะพริบตาเพื่อปรับแสงภาพตรงหน้า

    อึก

    หลิวเซี่ยหลิงพยายามลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทว่าความเจ็บปวดบริเวณท้องแล่นผ่านทำให้หลิวเซี่ยหนิงต้องกัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดนี้

    ‘ที่นี่ที่ไหนเนี่ย โอ๊ย! เจ็บๆๆ ให้ตายสิ!’ 

    แกรก

    เสียงผลักบานประตูถูกเปิดออกทำให้หลิวเซี่ยหนิงสะดุ้งตกใจจึงรีบหันไปมองยังต้นเสียง หลิวเซี่ยหนิงมองเห็นหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถือถาดอาหารและยาเต็มมือทั้งสองข้าง

    หญิงสาวนางนั้นเดินมาทางที่ร่างของหลิวเซี่ยหนิงกำลังนั่งอยู่ พอหญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าสบเข้ากับนัยน์ตาของตน จู่ ๆ นางก็ร้องไห้ขึ้นมาในทันที

    “ฮองเฮาเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงฟื้นแล้ว ฮึกฮือ...” นางวางถาดข้าวบนโต๊ะข้าง ๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้า

    “เดี๋ยวนะคะ แปบนะคะ” หลิวเซี่ยหนิงเอ่ยห้าม ความสับสนงุนงงทำให้หญิงสาวไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นี้มันคืออะไร

    “ฮองเฮาทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ หรือพระองค์ทรงเจ็บแผล ให้หม่อมฉันไปตามหัวหน้าหมอหลวงให้นะเพคะ” หญิงสาวพยายามลุกออกจากห้อง แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

    “ไม่เป็นไรค่ะ!”

    หลิวเซี่ยหนิงสับสนไปหมดว่านี่มันคือเรื่องอะไร ตื่นมาแล้วเจออะไรแปลกประหลาดไปหมด ไหนจะคำพูดที่ออกจะโบราณพวกนี้อีก

    “ฮองเฮาเพคะ”

    หลิวเซี่ยหนิงสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเรียกจึงหันไปมองยังสตรีผู้นี้และถามนางว่า “มีอะไรหรือ”

    สตรีนางนี้ไม่ได้ตอบอันใดกลับมาในทันที

    หลิวเซี่ยหนิงเห็นเช่นนั้นเลยเป็นฝ่ายถามเสียเอง “เจ้ามีนามว่าอะไร พอดีข้าน่าจะจำอะไรไม่ค่อยได้เพราะตัวข้าคงช็อกที่เสียเลือดไปจำนวนมาก”

    “มะ...หม่อมฉันมีนามว่าถิงถิงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางรับใช้ของฮองเฮาตั้งแต่ที่ฮองเฮายังทรงเป็นพระชายาเพคะ” แม่นางถิงกล่าวรวดเร็วเกรงว่าผู้เป็นนายจะโกรธแล้วลงไม้ลงมือกับนาง แต่ทว่าไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นจากที่นางคิด

    “อย่างนั้นหรือ แล้วข้าคือใครเล่า?”

    ถิงถิงมองดูผู้เป็นนายด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจ “ฮองเฮาก็คือฮองเฮาเพคะ ฮองเฮาคือสตรีที่ฝ่าบาทอภิเษกสมรสด้วยก็เลยกลายเป็นฮองเฮาไงเพคะ”

    หลิวเซี่ยหนิงมองหน้าถิงถิงด้วยความงง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาทำให้ถิงถิงที่นั่งอยู่ตกใจ 

    “ข้ารู้ว่าข้าคือ ฮองเฮา ถ้าข้ามิได้อภิเษกสมรสกับฝ่าบาทข้าจะเป็นฮองเฮาได้เยี่ยงไรกันล่ะ ฮ่าๆๆ เจ้าตลกมากเลยนะอาถิง”

    ถิงถิงน้ำตารื้นปลื้มปิติอยู่ในอกนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ผู้เดียว

    หลิวเซี่ยหนิงที่เห็นเช่นนั้นถอนหายใจเบา ๆ ยื่นมือไปลูบผมของนางและกล่าว “เด็กน้อย เจ้าร้องไห้เช่นนี้เพราะทุกข์ใจที่ข้าหัวเราะเจ้าอย่างนั้นหรือ”

    ถิงถิงรีบเช็ดน้ำตาน้ำมูกและกล่าวเสียงดัง “หามิได้เพคะ! หม่อมฉันแค่ดีใจต่างหากเพคะที่ฮองเฮาเรียกนามหม่อมฉัน มันเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้ยินเลยเพคะ”

    หลิวเซี่ยหนิงนิ่งไปขณะหนึ่งและระบายยิ้มออกมา “เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาถิงดีหรือไม่”

    “ดีเพคะ!” ถิงถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจ

    “ถ้าเช่นนั้น อาถิงรู้ไหมข้ามีนามว่าอะไร”

    “ซุนอี้หลิงเพคะ”

    หลิวเซี่ยหนิงได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบจับร่างทั้งร่างดูเสื้อที่ตนสวมใส่ ซึ่งมันไม่ใช่ชุดทำงานที่ใส่ก่อนหน้านี้

    ความจริงเล่นตีแสกหน้า ความทรงจำฉายชัดในสมองทำเอาหญิงสาวคล้ายเป็นใบ้

    ถิงถิงที่เห็นเจ้านายนิ่งเงียบไปก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา “ฮองเฮาเพคะ พระองค์ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”

    หลิวเซี่ยหนิงหลุดจากความคิดเบนสายตากลับมามองยังร่างถิงถิง สาวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นพลางคิดในใจว่า ‘ตอนนี้ข้าคงต้องยอมรับความจริงเรื่องพวกนี้เท่านั้น ถ้าอยากจะอยู่รอดจนจบคงต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ยามนี้ข้าควรกินข้าวกินยาพักรักษาอาการบาดเจ็บพวกนี้ให้หายเสียก่อน’

    หลิวเซี่ยหนิงคิดได้เช่นนั้นหันไปตรัสกล่าวกับหญิงรับใช้ทันที “ข้าคงจะเหนื่อย อาถิงเอาข้าวเอายามาให้ข้าเถิด และเจ้าช่วยเล่าเรื่องราวที่ข้าเข้าวังมาตั้งแต่ตอนนั้นให้ข้าฟังที”

    ถิงถิงไม่ได้ขัดอะไรทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างว่าง่าย นางยกถาดข้าวมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง

    จากนั้นทั้งสองนั่งพูดคุยด้วยกันทั้งวัน โดยที่หลิวเซี่ยหนิงถามอะไรไป ถิงถิงจะเป็นผู้ตอบคำถามเหล่านั้น จนดวงตะวันเคลื่อนคล้อยมาถึงยามอุ้ย

     

    หลิวเซี่ยหนิงได้ลุกออกมานั่งเล่นที่ศาลาข้างตำหนักเฟิ่งอี๋ นางนั่งคิดปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ จากที่ได้ฟังมาจนสรุปได้ว่า...

    ตนได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องบุปผาสีชาด ในร่างของนางร้ายใจโฉดนามว่า ซุนอี้หลิง เข้าให้แล้ว

    “เฮ้อ...”

    ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อไปบ้างแต่ไม่เชื่อก็คงจะไม่ได้ ความทรงจำในชาติก่อนกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัว

    ในคืนนั้นหลังจากกลับจากบริษัท ตนเองได้ขับรถชนขอบสะพานและตกลงไปในแม่น้ำคงจะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ถ้าหากว่าสถานที่แห่งนี้คือนิยายจริง ข้าที่มาสิงร่างของซุนอี้หลิงก็คงมีกู่ซีหยางเป็นสวามี และยังเป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้สินะ

    “อืม...”

    หลิวเซี่ยหนิงหรือก็คือซุนอี้หลิงในตอนนี้ นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาตกที่นั่งลำบากกังวลพระทัยเพียงเพราะเนื้อหาในนิยายนั้นมันไม่ได้สุขสม แต่กลับเป็นทุกข์ตรมเสียมากกว่า 

    ที่นางรู้เรื่องราวพวกนี้ดีก็คงเป็นเพราะตนเองได้เป็นหนึ่งในนักแสดงเรื่องบุปผาสีชาด ที่กำลังถูกนำมาสร้างเป็นละครนี่แหละ

    นิยายเรื่องบุปผาสีชาด อย่างที่รู้ ๆ กันมันคือการเล่าเรื่องถึงความรักของแม่นางซุนอี้หลิงที่มีต่อกู่ซีหยาง ที่เป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้

    นางก่อเรื่องราวเอาไว้เสียมากมายยากที่ผู้คนจะลืมเลือน ทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วถึงความใจโฉดของนาง 

    ซุนอี้หลิงนั้นอภิเษกสมรสตามราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ความรักของทั้งสองดูเหมือนจะมีรอยร้าว

    ซุนอี้หลิงมักจะอิจฉาริษยาเพียงเพราะกู่ซีหยางมิสนใจไยดีนาง นางมักจะลงไม้ลงมือกับนางกำนัล นางรับใช้และข้าราชบริพารในตำหนัก จนตอนนี้เหลือแค่ถิงถิงที่เป็นนางรับใช้คนสนิทตั้งแต่ที่นางเข้าวังมาเป็นพระชายาแรก ๆ 

    นางมักจะแสดงอากัปกิริยาไร้มารยาทต่อหน้าผู้อาวุโส แม้จะถูกไทเฮาลงโทษก็ไม่คิดจะหลาบจำอันใดทั้งสิ้น

    ในตอนจบท้ายที่สุดนางก็ได้รับโทษประหารโดยคำสั่งสวามีของนาง

     

    ซุนอี้หลิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเท่าไร โดยปกติแล้วซุนอี้หลิงในนิยายต้นฉบับนั้นมิได้ร่ำเรียนตำรา นางแทบจะไม่มีพิษมีภัยเสียด้วยซ้ำ

    เพราะเหตุใดกัน

    ทำไมนางถึงได้กลายมาเป็นสตรีใจโฉดที่ต้องเข่นฆ่าผู้อื่น นางจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ต้องการกำจัดผู้ที่ขัดขวางตนเองกับกู่ซีหยางเช่นนั้นหรือ 

    หากจะหาหลักฐานคงต้องจับสังเกตคนรอบกายที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างนี้

    ซุนอี้หลิงนั้นเป็นถึงบุตรีของแม่ทัพซุนเฉิง แม่ทัพที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุดของแคว้น

    อาจจะมีผู้ต้องการปองร้ายนาง

    ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวตั้งแต่ข้านึกถึงเรื่องราวการดำเนินเรื่องและมั่นใจได้ว่าซุนอี้หลิงคงถูกหลอกใช้ ใครกล่าวอ้างว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากตำราหนังสือก็คงจะเชื่อไปเสียหมด

    การทหารตระกูลซุนถือว่าครองอำนาจทั้งหมดของแคว้น ถึงจะเป็นแค่ตำแหน่งโหวระดับหนึ่ง แน่นอนว่าผู้อื่นจ้องจะล้มล้างอำนาจตระกูลซุนอยู่เป็นแน่

    เพียงแต่คนเหล่านั้นคงจะชอบนั่งภูเขาชมเสือต่อสู้² เสียมากกว่า ถ้ามิใช่ ป่านนี้คงกำจัดพวกคนที่ขวางทางไปจนหมดสิ้นแล้ว

    “ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจแฮะ รู้อย่างงี้น่าจะอ่านบทละครของซุนอี้หลิงที่ผู้กำกับยื่นให้อ่านเพื่อทำความเข้าใจ เฮ้อ...พลาดซะแล้วเรา”

    บทละครนั้นจะแตกต่างจากนิยายต้นฉบับ ไม่ว่าต้นฉบับจะแต่งออกมาอย่างไร บทละครมักจะเสริมแต่งเข้าไปเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจจุดประสงค์ได้ง่าย ง่ายกว่าตัวนิยายต้นฉบับ

    อย่างว่าคนที่ชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจเพื่อศึกษาคาแรคเตอร์ของตัวละครอย่างข้า คงจัดการเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก

    ซุนอี้หลิงนั่งพิงเสาของศาลาด้วยความรู้สึกหลากหลาย กำลังจมปลักอยู่ในความคิดว่าหลังจากนี้นางควรทำอย่างไร ต้องดำเนินตามต้นฉบับหรือฉีกต้นฉบับทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

     ซุนอี้หลิงรู้สึกเหมือนตนเองนั้นมีสองทางเลือกตรงหน้า ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนผลลัพธ์คงออกมาต่างกันไม่มากก็น้อย แต่ก่อนที่จะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ นางยืนขึ้นพร้อมกำมือไว้ด้านหน้าด้วยความมุ่งมั่น

    “ตัดสินใจได้ละ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะเปลี่ยนบทนางร้ายคนนี้เอง จะไม่มาตายตามที่โชคชะตากำหนดหรอกนะ หึหึหึ”

    “ฮองเฮาเป็นอะไรไปเพคะ”

    เสียงหวานดังแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบบริเวณนั้น ทำให้ซุนอี้หลิงสะดุ้งโหยงจนเกือบมุดไปแอบใต้โต๊ะ

    ซุนอี้หลิงหันหลังไปมองตามเสียงเห็นถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทของตนยืนมองอยู่ด้วยความงุนงง 

    “อาถิงเจ้าอย่ามามิให้สุ้มให้เสียงแบบนี้สิ ข้าเกือบหัวใจจะวาย” ซุนอี้หลิงกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เดิม บาดแผลบริเวณท้องทำให้นางน้ำตาเล็ด

    “หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ฮองเฮาทรงเป็นอะไรมากไหมเพคะ” ถิงถิงรีบเข้ามาดูอาการของเจ้านายด้วยความเป็นห่วง

    ซุนอี้หลิงยิ้มให้พร้อมโบกมือสะบัดไปมาและตรัสว่า “มิเป็นไร เป็นข้าที่นั่งไม่ระวังเอง ว่าแต่เจ้าหายไปไหนมาหรือ”

    “อ๋อ...หม่อมฉันไปเอาตั้นเกากับลวี่ฉามาให้ฮองเฮาเสวยเพคะ” ถิงถิงยกถาดที่มีตั้นเการ้อน ๆ มาวางตรงหน้าพร้อมกับรินลวี่ฉาให้

    กลิ่นหอมของตั้นเกาที่เพิ่งออกจากเตาร้อน ๆ เรียกต่อมรับรสของซุนอี้หลิงได้เป็นอย่างดี นางไม่รอช้าหยิบช้อนตักเข้าปากไปหนึ่งคำเต็ม ๆ ด้วยความนุ่มละมุนลิ้น ความหอมของนมและเนย ซุนอี้หลิงรู้สึกว่าตนเหมือนกำลังลอยอยู่บนสรวงสวรรค์

    นางหันไปมองหน้าถิงถิงและเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “อร่อยมากเลยอาถิง! ข้ามิเคยกินตั้นเกาที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต! เจ้าไปซื้อตั้นเกานี้มาจากที่ใดหรือ”

    ถิงถิงเกาแก้มด้วยความเขินอายก่อนจะตอบกลับมาว่า “หม่อมฉันทำเองเพคะ”

    ซุนอี้หลิงถึงกลับอ้าปากค้าง นางลุกพรวดขึ้นโดยไม่สนใจว่าบาดแผลบริเวณท้องจะปริหรือไม่ ตอนนี้นางรู้สึกว่าถิงถิงนั้นเหมือนเทพธิดานางฟ้านางสวรรค์มาโปรด

    ‘คนอะไรทั้งสวยทั้งน่ารัก ฮึก โตมาแม่ให้กินอะไรถึงได้จิตใจดีเช่นนี้’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ

    ถิงถิงที่เห็นอากัปกิริยาที่แปลกประหลาดของเจ้านายตนก็เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยไปเช่นนั้น

     

    กว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบลงอีกครั้งก็เป็นตอนที่ซุนอี้หลิงนั่งจิบชาให้เย็นพระทัยแล้ว

    ถิงถิงคอยเฝ้ามองดูผู้เป็นนาย นางสังเกตเห็นถึงความผิดแผกไปหลาย ๆ อย่าง

    ตั้งแต่เจ้านายของตนฟื้นขึ้นมาก็มักจะพูดภาษาประหลาดไปบ้าง ไหนจะอากัปกิริยาที่ต่างจากเดิมอีก ฮองเฮาของนางไม่เคยจะใจดี ชอบลงไม้ลงมือเวลาไม่พึงพอใจ จะเรียกตนเองว่านางรับใช้

    แต่มาในยามนี้กลับเรียกชื่ออย่างเอ็นดู ยิ้มแย้มเวลาตนทำอะไรให้ กล่าวชื่นชมดีพระทัยกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใจจริง

    มันเหมือนกับว่าเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น

    ถิงถิงส่ายหัวไปมาไล่ความคิดเหล่านั้น ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเวลาที่ฮองเฮาพูดเยินยอของว่างที่ตนทำมาไม่รู้จบ

    ‘ในยามนี้ไม่ว่าจะเหมือนกับความฝันหรือมิใช่ความจริง เพียงเท่านี้หม่อมฉันก็มีความสุขแล้วเพคะ’ ถิงถิงคิดในใจโดยไม่ได้เอ่ยออกไป

    ทั้งสองนั่งพูดคุยเล่นกันสองคน เสียงหัวเราะร่าสร้างบรรยากาศภายในตำหนักเฟิ่งอี๋ให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา

     

    ซุนอี้หลิงยังคงรู้สึกแปลกใจไม่ได้ยามมองเงาสะท้อนในกระจก ร่างของซุนอี้หลิงสวยสมคำร่ำลือที่พรรณาเอาไว้ในนิยายไม่มีผิด ผิวหน้าวัยเยาว์ขาวเนียนผ่อง คิ้วโค้งเป็นรูปใบหลิว ดวงตาดอกท้อพร้อมขนตาแพยาวทำให้ดวงตาดูสุกสกาว จมูกโค้งโด่งรับกับริมฝีปากบางจิ้มลิ้ม 

    ช่างเป็นใบหน้าที่โฉมงามไร้ที่ติเสียจริง น่าเสียดายที่เจ้าของร่างไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมถึงคิดสั้นจบปัญหาทุกอย่างด้วยความตายนะ

    ยามโหย่วในยามนี้มีแสงสว่างจากโคมไฟประดับอยู่ด้านหน้าตำหนักวังหลังห่างไกลออกไป เสียงเครื่องดนตรีหลายชนิดบรรเลงดังสนั่น ซุนอี้หลิงนึกสงสัยว่าสถานที่แห่งนั้นมีจัดงานเลี้ยงอะไรจึงหันไปถามถิงถิงด้วยความสงสัย

    “อาถิง สถานที่ตรงนั้นที่มีโคมไฟเยอะ ๆ เขาจัดงานเลี้ยงอะไรหรือเปล่า”

    ถิงถิงที่กำลังจัดผ้าปูที่นอนบนเตียงเดินมาตรงบานประตูก่อนจะกล่าวว่า “เห็นนางรับใช้ตำหนักอื่น ๆ คุยกันว่ามีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองต้อนรับคณะทูตเพคะ”

    “คณะทูต คณะทูตอะไรหรือ”

    “คณะทูตจากแคว้นเสวียอิงเพคะ”

    ซุนอี้หลิงได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันเบิกกว้าง เนื้อหาในนิยายแล่นเข้ามาในสมองทันที 

    คณะทูตจากแคว้นเสวียอิงเป็นพันธมิตรไมตรีที่ดีของแคว้นเซียนหยางมาอย่างยาวนานที่บรรพบุรุษได้ทำสัญญาเอาไว้ และวันนี้ตรงกับวันที่แคว้นเสวียอิงเดินทางมาสร้างสัมพันธไมตรี

    ‘งั้นก็แสดงว่านางเอกอย่างซือเจียเหยามาด้วยไม่ใช่อย่างงั้นหรือ!’ 

    ซุนอี้หลิงถึงกลับกุมขมับ ไม่คิดว่าตนเองจะทะลุมิติเข้ามาในช่วงเวลาตอนนี้ พระเอกนางเอกพบหน้ากันแล้วคราวนี้แหละนางร้ายจะออกโรง และทุกอย่างจะปะดังปะเดเข้ามาจนนางรับไม่ไหวเป็นแน่ คิดแล้วอยากมุดดินหนีปัญหาเสียเดี๋ยวนี้

    ถิงถิงเห็นเจ้านายวิตกกังวลนางก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา

    “ฮองเฮาทรงมิเป็นอะไรนะเพคะ”

    ซุนอี้หลิงลืมไปว่าตนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในห้อง นางหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับถิงถิงก่อนจะตรัสกลับไปว่า “มิเป็นไร ข้าสบายมากอาถิง ข้าแค่คิดอะไรมากไปหน่อย”

    “พระองค์ทรงอย่าคิดมากเรื่องที่ทำให้พระองค์หนักพระทัยเลยเพคะ หม่อมฉันว่าพระองค์ทรงพักผ่อนเถอะนะเพคะ” ถิงถิงเดินเข้ามาช่วยประคองผู้เป็นนายไปที่เตียง

    ซุนอี้หลิงล้มตัวนอนลงบนเตียง โดยมีถิงถิงนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ซุนอี้หลิงนึกขอบคุณถิงถิงหญิงสาวรับใช้คนสนิทของตนอย่างมาก ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้และไม่รู้อะไรเลย ก็มีเพียงแค่ถิงถิงที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด ไม่ว่าจะยามใด นางจะเป็นทั้งเกราะคอยปกป้องตนจากเรื่องราวต่าง ๆ และเป็นมืออันอบอุ่นที่คอยโอบอุ้มตนจากความโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง

    ถ้าวันไหนถิงถิงหายไปซุนอี้หลิงก็คงไม่รู้ว่าตนควรจะทำเช่นไรต่อไปแล้ว

     

    ดวงดาราส่องแสงพร่างพราวบนฟากฟ้าในยามรัตติกาล แม้จะย่างเข้าสู่วสันต์ฤดูแต่ลมอ่อน ๆ กลับเจือไปด้วยไอหนาวของเหมันต์ฤดู ร่างบางที่กำลังหลับใหลบนเตียงรับรู้ถึงลมหนาวได้อย่างเด่นชัด พยายามนอนขดตัวเพื่อเร้นกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา

    ผ้าห่มถูกดึงขึ้นทาบทับตั้งแต่ไหล่ลงมาอย่างมิดชิด ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์รู้สึกสบาย ในความมืดมิดนี้กลับมีใครคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองหญิงสาวที่กำลังหลับใหลโดยไม่รู้ตัว

    ในห้วงความฝันนั้น ซุนอี้หลิงยืนมองดูภาพที่ร่างของตนเองในนิยายต้นฉบับกำลังนั่งคุกเข่า เนื้อตัวมอมแมมแถมมีรอยแผลบนร่างกายทั้งสดและแห้งกัง มือทั้งสองข้างถูกล่ามโซ่ตั้งแต่ลำคอลงมาจนถึงข้อเท้า

    สภาพช่างน่าเวทนายิ่งนัก

    เสียงป่าวประกาศราชโองการดังสนั่นถึงการรับโทษประหารหญิงใจโฉดที่โหดเหี้ยมอำมหิต หลังสิ้นสุดราชโองการร่างของตนถูกลากไปยังแท่นหนึ่งที่มีเชือกแขวน

    ซุนอี้หลิงมองดูร่างตนเองในห้วงฝันที่กำลังถูกทหารนำเชือกมาลัดคอ ถึงจะพยายามดิ้นตะเกียกตะกายเท่าไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ สุรเสียงเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยความเย็นชาดังมาจากบัลลังก์เบื้องหน้า

    ซุนอี้หลิงหันไปมองอย่างนึกสงสัย นางเห็นบุรุษอาภรณ์สีดำกำลังจ้องมองร่างตามต้นฉบับนิยายของตนด้วยสายตาเยือกเย็น ซุนอี้หลิงสัมผัสได้ถึงอันตรายจากสายตาคู่นั้น ร่างกายของนางเกิดสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

    เหตุการณ์ทุกอย่างดูชุลมุน สายตาของนางดันสอดประสานเข้ากับร่างของตนเองที่กำลังถึงแก่ความตาย

    ซุนอี้หลิงเบิกตากว้างเมื่อร่างของตนในความฝันนั้นเอ่ยประโยคคำพูดสุดท้าย ก่อนที่จะถูกปล่อยให้ลอยอยู่เนื้อพื้นดิน

    นัยน์ตาทั้งสองข้างเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวยากจะห้ามได้ แม้ยามนี้ซุนอี้หลิงยังหาเสียงพูดไม่เจอเลยด้วยซ้ำ

    ภาพจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดช่างโหดร้ายยิ่งนัก กว่าจะรู้สึกตัวตื่นจากฝันร้ายนั้นได้ทำเอาแข้งขาแทบหมดแรง

     

    “...เฮาเพคะ! ฮองเฮาทรงตื่นสิเพคะ ฮองเฮาเพคะ!”

    “เฮือก!!”

    ซุนอี้หลิงสะดุ้งตื่นหายใจหอบถี่จนรู้สึกถึงร่างกายเหนื่อยล้า เหงื่อไหลตามกรอบหน้าผากเปียกชุ้มอาภรณ์ที่สวมใส่ ฝ่ามือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่นเสียจนยับยู่ยี่ หญิงสาวไล่สายตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความหวาดระแวง

    “ฮองเฮาเพคะ ฮึกฮือ...”

    เสียงร้องไห้ทำให้ซุนอี้หลิงได้สติกลับคืนมา ภาพที่ตนเองกำลังเห็นอยู่นั้นคือใบหน้าของถิงถิงนองไปด้วยหยาดน้ำตา สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลใจของนางขนาดไหน

    ซุนอี้หลิงรู้สึกโล่งอกที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายแล้วมาเจอนางฟ้าตัวน้อยของตน “เจ้าร้องไห้อีกแล้วอาถิง” 

    “ฮึก...หม่อมฉันเข้ามาปลุกฮองเฮา แต่พระองค์กลับบรรทมเหมือนคนไร้วิญญาณเลยเพคะ หม่อมฉันเรียกตั้งหลายครั้งพระองค์ก็มิรู้สึกตัวเลย หม่อมฉันกลัวว่าจะเป็นแบบครานั้นอีก ฮือ...”

    ซุนอี้หลิงทอดถอนใจเอื้อมมือไปลูบผมปลอบประโลมสาวใช้คนสนิทของตนอย่างอ่อนโยนและตรัสว่า “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว ข้าขอโทษด้วยนะ”

    “ฮึก...มิเป็นไรเพคะ แต่ทรงอย่าเป็นอย่างนี้อีกนะเพคะ หม่อมฉันหวาดกลัวไปหมดแล้วเพคะ ฮือ...” ถิงถิงกอบกุมมือผู้เป็นนายก้มหน้าคว่ำกับเตียงร้องไห้เสียงดังระงมไปทั่วห้อง

    ซุนอี้หลิงนึกเอ็นดูนางเสียจริง พลางหวนนึกถึงความฝันที่นางเห็นก่อนหน้าภาพจุดจบตามต้นฉบับนิยายช่างน่ากลัวกว่าที่คาดคิด

    ‘แต่ว่าประโยคคำพูดสุดท้ายนั้นมันอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นซุนอี้หลิง ทำไมกัน...’

    ร่างบางครุ่นคิดถึงประโยคคำพูดนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็คิดไม่ออกสักทีว่าซุนอี้หลิงคนเดิมต้องการจะสื่อถึงอะไรกับตนกันแน่ แล้วทำไมถึงฝันถึงจุดจบตั้งแต่วันแรกที่ตนทะลุมิติเข้ามาในนิยายได้เลยล่ะ

    “คงไม่ได้จะมีอันตรายเร็ว ๆ นี้หรอกกระมัง” ซุนอี้หลิงพึมพำกับตนเอง

     

    กรุ๊ง  กริ๊ง  กรุ๊ง  กริ๊ง

    เสียงกระดิ่งเงินดังกังวานไปทั่วหอฮวนซู สายลมพัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาทำให้กระดาษบนโต๊ะปลิวตกกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวลืมตาขึ้นหลังทำสมาธิ พร้อมเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพึมพำขึ้นมาว่า

    “มาเกิดใหม่แล้วสินะ”

     

     

    ###

    ฮึก เป็นนิยายพิเรียดจีนเรื่องแรก ภาษาอาจจะแปลกๆไปบ้าง ติชมกันได้นะคะ ไรต์จะได้นำฟีดแบคจากรี้ดมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องถัดๆ ไปค่ะ ฝากเอาใจช่วยลูกสาวของเค้าด้วยนะ


    1. หยุนหนานไป๋เหยา [云南白药 ] หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า ยูนนาน เป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมสำคัญมาจาก ซานชี หรือ เถียนชี เป็นพืชสมุนไพรอยู่ในตระกูล ‘โสมคน’ ซึ่งมีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบของแผลผ่าตัด ช่วยสร้างเลือด ห้ามเลือด และลดอาการบวมช้ำได้ดี ช่วยให้ระยะเวลาในการพักฟื้นสั้นลง

    2.นั่งภูเขาชมเสือต่อสู้ เป็นสำนวนจีนหมายถึง การรับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง

    3. ลวี่ฉา [绿茶] lǜchá : ชาเขียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×