คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : นางร้ายใจโฉด
บทที่ 1
นางร้ายใจโฉด
รัตติกาลสนั่นกึกก้อง พายุฝนพัดกระหน่ำสาดโปรยปรายไปทั่ว มาพร้อมกับอสนีบาตที่กำลังร่ายรำบนผืนนภา เสียงอึกทึกครึกโครมเซ็งแซ่ในยามวิกาล ผู้คนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเข้าทีออกที ในขณะที่ร่างบางอาภรณ์ขาวกำลังนอนหายใจโรยรินอยู่บนเตียง
หลิวเซี่ยหนิงพยายามปรือตาแต่กลับทำไม่ได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกกระบี่นับพันทิ่มแทงนั้นยากจะฝืนทน
‘เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ใครมาส่งเสียงดังน่ารำคาญตอนนี้เนี่ย!’
ร่างบนเตียงพยายามขยับเขยื้อน แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น ฝ่ามือบางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตพยายามควานหาอะไรบางอย่าง ทว่ามีมือคู่หนึ่งกอบกุมเสียแทน มือคู่นั้นกุมมือบางไว้แน่นราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
“อดทนอีกหน่อยนะเพคะ หัวหน้าหมอหลวงใกล้จะมาถึงแล้วเพคะ” หญิงรับใช้กอบกุมฝ่ามือเจ้านายที่ชะโลมไปด้วยโลหิตเอาไว้แน่น หยาดน้ำสีใสอาบแก้มเนียนทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่ด้วยความเศร้าโศก
หากยอมเจ็บแทนได้นางก็อยากจะแบกรับความเจ็บปวดนี้แทนผู้เป็นเจ้านายของตน
หลิวเซี่ยหนิงงุนงงและสับสนไปหมด ไม่ทันจะเอ่ยถามอะไรออกไป ทว่าความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์ทำเอานางแทบสิ้นใจเสียเดี๋ยวนั้น อาภรณ์สีขาวในยามนี้กลับถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงชาด ผ้าผืนหนาหลายผืนพยายามกดห้ามโลหิตที่กำลังหลั่งไหล
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งจิบชาหัวหน้าหมอหลวงได้เดินทางมาถึงตำหนักวังหลัง
ชายหนุ่มรีบวางอุปกรณ์บนโต๊ะข้าง ๆ เตียง หันไปออกคำสั่งให้นางรับใช้ไปต้มน้ำร้อน ก่อนจะใช้น้ำสะอาดที่พกติดตัวมาล้างบาดแผลและรีบใส่ยาหยุนหนานไป๋เหยา¹ บริเวณปากแผลเพื่อห้ามเลือด
เขานำผ้าผืนหนาที่ชุ้มไปด้วยโลหิตออก ใช้ผ้าสีขาวบางเช็ดทำความสะอาดบาดแผลเพื่อรักษาชีวิตสตรีผู้นี้เอาไว้
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเข้าสู่ยามจื่อ การรักษาผ่านพ้นไปราวกับปาฏิหารย์ หัวหน้าหมอหลวงยื่นห่อหนึ่งให้หญิงรับใช้และกำชับกับนางให้ใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต
หญิงรับใช้รับมาพร้อมกล่าว “ขอบพระคุณท่านหัวหน้าหมอหลวงนะเจ้าคะ ที่ท่านช่วยฮองเฮาของข้าน้อย”
“มิเป็นไร มันเป็นหน้าที่ของข้า อีกอย่างฮองเฮาทรงมีพระกรุณาธิคุณกับข้ามากนัก ข้าก็ต้องช่วยพระองค์อย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปส่งท่านหัวหน้าหมอหลวงหน้าตำหนักนะเจ้าคะ”
หัวหน้าหมอหลวงผงกศีรษะให้ หันกลับมามองร่างบางที่กำลังหลับใหลบนเตียงและกล่าวทูลลา “ขอให้ฮองเฮาหายดีในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องบรรทมในยามเหม่าได้มีควันหลายสายลอยละล่องราวกับกำลังร่ายรำออกจากเตากำยานที่ถูกจุด กลิ่นหอมสมุนไพรตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบางบนเตียงค่อย ๆ ลืมตาตื่น สอดส่องภายในห้องก่อนจะกะพริบตาเพื่อปรับแสงภาพตรงหน้า
อึก
หลิวเซี่ยหลิงพยายามลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทว่าความเจ็บปวดบริเวณท้องแล่นผ่านทำให้หลิวเซี่ยหนิงต้องกัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดนี้
‘ที่นี่ที่ไหนเนี่ย โอ๊ย! เจ็บๆๆ ให้ตายสิ!’
แกรก
เสียงผลักบานประตูถูกเปิดออกทำให้หลิวเซี่ยหนิงสะดุ้งตกใจจึงรีบหันไปมองยังต้นเสียง หลิวเซี่ยหนิงมองเห็นหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถือถาดอาหารและยาเต็มมือทั้งสองข้าง
หญิงสาวนางนั้นเดินมาทางที่ร่างของหลิวเซี่ยหนิงกำลังนั่งอยู่ พอหญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าสบเข้ากับนัยน์ตาของตน จู่ ๆ นางก็ร้องไห้ขึ้นมาในทันที
“ฮองเฮาเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงฟื้นแล้ว ฮึกฮือ...” นางวางถาดข้าวบนโต๊ะข้าง ๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้า
“เดี๋ยวนะคะ แปบนะคะ” หลิวเซี่ยหนิงเอ่ยห้าม ความสับสนงุนงงทำให้หญิงสาวไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นี้มันคืออะไร
“ฮองเฮาทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ หรือพระองค์ทรงเจ็บแผล ให้หม่อมฉันไปตามหัวหน้าหมอหลวงให้นะเพคะ” หญิงสาวพยายามลุกออกจากห้อง แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ!”
หลิวเซี่ยหนิงสับสนไปหมดว่านี่มันคือเรื่องอะไร ตื่นมาแล้วเจออะไรแปลกประหลาดไปหมด ไหนจะคำพูดที่ออกจะโบราณพวกนี้อีก
“ฮองเฮาเพคะ”
หลิวเซี่ยหนิงสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเรียกจึงหันไปมองยังสตรีผู้นี้และถามนางว่า “มีอะไรหรือ”
สตรีนางนี้ไม่ได้ตอบอันใดกลับมาในทันที
หลิวเซี่ยหนิงเห็นเช่นนั้นเลยเป็นฝ่ายถามเสียเอง “เจ้ามีนามว่าอะไร พอดีข้าน่าจะจำอะไรไม่ค่อยได้เพราะตัวข้าคงช็อกที่เสียเลือดไปจำนวนมาก”
“มะ...หม่อมฉันมีนามว่าถิงถิงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางรับใช้ของฮองเฮาตั้งแต่ที่ฮองเฮายังทรงเป็นพระชายาเพคะ” แม่นางถิงกล่าวรวดเร็วเกรงว่าผู้เป็นนายจะโกรธแล้วลงไม้ลงมือกับนาง แต่ทว่าไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นจากที่นางคิด
“อย่างนั้นหรือ แล้วข้าคือใครเล่า?”
ถิงถิงมองดูผู้เป็นนายด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจ “ฮองเฮาก็คือฮองเฮาเพคะ ฮองเฮาคือสตรีที่ฝ่าบาทอภิเษกสมรสด้วยก็เลยกลายเป็นฮองเฮาไงเพคะ”
หลิวเซี่ยหนิงมองหน้าถิงถิงด้วยความงง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาทำให้ถิงถิงที่นั่งอยู่ตกใจ
“ข้ารู้ว่าข้าคือ ฮองเฮา ถ้าข้ามิได้อภิเษกสมรสกับฝ่าบาทข้าจะเป็นฮองเฮาได้เยี่ยงไรกันล่ะ ฮ่าๆๆ เจ้าตลกมากเลยนะอาถิง”
ถิงถิงน้ำตารื้นปลื้มปิติอยู่ในอกนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ผู้เดียว
หลิวเซี่ยหนิงที่เห็นเช่นนั้นถอนหายใจเบา ๆ ยื่นมือไปลูบผมของนางและกล่าว “เด็กน้อย เจ้าร้องไห้เช่นนี้เพราะทุกข์ใจที่ข้าหัวเราะเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ถิงถิงรีบเช็ดน้ำตาน้ำมูกและกล่าวเสียงดัง “หามิได้เพคะ! หม่อมฉันแค่ดีใจต่างหากเพคะที่ฮองเฮาเรียกนามหม่อมฉัน มันเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้ยินเลยเพคะ”
หลิวเซี่ยหนิงนิ่งไปขณะหนึ่งและระบายยิ้มออกมา “เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาถิงดีหรือไม่”
“ดีเพคะ!” ถิงถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจ
“ถ้าเช่นนั้น อาถิงรู้ไหมข้ามีนามว่าอะไร”
“ซุนอี้หลิงเพคะ”
หลิวเซี่ยหนิงได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบจับร่างทั้งร่างดูเสื้อที่ตนสวมใส่ ซึ่งมันไม่ใช่ชุดทำงานที่ใส่ก่อนหน้านี้
ความจริงเล่นตีแสกหน้า ความทรงจำฉายชัดในสมองทำเอาหญิงสาวคล้ายเป็นใบ้
ถิงถิงที่เห็นเจ้านายนิ่งเงียบไปก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา “ฮองเฮาเพคะ พระองค์ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
หลิวเซี่ยหนิงหลุดจากความคิดเบนสายตากลับมามองยังร่างถิงถิง สาวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นพลางคิดในใจว่า ‘ตอนนี้ข้าคงต้องยอมรับความจริงเรื่องพวกนี้เท่านั้น ถ้าอยากจะอยู่รอดจนจบคงต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ยามนี้ข้าควรกินข้าวกินยาพักรักษาอาการบาดเจ็บพวกนี้ให้หายเสียก่อน’
หลิวเซี่ยหนิงคิดได้เช่นนั้นหันไปตรัสกล่าวกับหญิงรับใช้ทันที “ข้าคงจะเหนื่อย อาถิงเอาข้าวเอายามาให้ข้าเถิด และเจ้าช่วยเล่าเรื่องราวที่ข้าเข้าวังมาตั้งแต่ตอนนั้นให้ข้าฟังที”
ถิงถิงไม่ได้ขัดอะไรทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างว่าง่าย นางยกถาดข้าวมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
จากนั้นทั้งสองนั่งพูดคุยด้วยกันทั้งวัน โดยที่หลิวเซี่ยหนิงถามอะไรไป ถิงถิงจะเป็นผู้ตอบคำถามเหล่านั้น จนดวงตะวันเคลื่อนคล้อยมาถึงยามอุ้ย
หลิวเซี่ยหนิงได้ลุกออกมานั่งเล่นที่ศาลาข้างตำหนักเฟิ่งอี๋ นางนั่งคิดปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ จากที่ได้ฟังมาจนสรุปได้ว่า...
ตนได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องบุปผาสีชาด ในร่างของนางร้ายใจโฉดนามว่า ซุนอี้หลิง เข้าให้แล้ว
“เฮ้อ...”
ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อไปบ้างแต่ไม่เชื่อก็คงจะไม่ได้ ความทรงจำในชาติก่อนกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัว
ในคืนนั้นหลังจากกลับจากบริษัท ตนเองได้ขับรถชนขอบสะพานและตกลงไปในแม่น้ำคงจะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ถ้าหากว่าสถานที่แห่งนี้คือนิยายจริง ข้าที่มาสิงร่างของซุนอี้หลิงก็คงมีกู่ซีหยางเป็นสวามี และยังเป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้สินะ
“อืม...”
หลิวเซี่ยหนิงหรือก็คือซุนอี้หลิงในตอนนี้ นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาตกที่นั่งลำบากกังวลพระทัยเพียงเพราะเนื้อหาในนิยายนั้นมันไม่ได้สุขสม แต่กลับเป็นทุกข์ตรมเสียมากกว่า
ที่นางรู้เรื่องราวพวกนี้ดีก็คงเป็นเพราะตนเองได้เป็นหนึ่งในนักแสดงเรื่องบุปผาสีชาด ที่กำลังถูกนำมาสร้างเป็นละครนี่แหละ
นิยายเรื่องบุปผาสีชาด อย่างที่รู้ ๆ กันมันคือการเล่าเรื่องถึงความรักของแม่นางซุนอี้หลิงที่มีต่อกู่ซีหยาง ที่เป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้
นางก่อเรื่องราวเอาไว้เสียมากมายยากที่ผู้คนจะลืมเลือน ทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วถึงความใจโฉดของนาง
ซุนอี้หลิงนั้นอภิเษกสมรสตามราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ความรักของทั้งสองดูเหมือนจะมีรอยร้าว
ซุนอี้หลิงมักจะอิจฉาริษยาเพียงเพราะกู่ซีหยางมิสนใจไยดีนาง นางมักจะลงไม้ลงมือกับนางกำนัล นางรับใช้และข้าราชบริพารในตำหนัก จนตอนนี้เหลือแค่ถิงถิงที่เป็นนางรับใช้คนสนิทตั้งแต่ที่นางเข้าวังมาเป็นพระชายาแรก ๆ
นางมักจะแสดงอากัปกิริยาไร้มารยาทต่อหน้าผู้อาวุโส แม้จะถูกไทเฮาลงโทษก็ไม่คิดจะหลาบจำอันใดทั้งสิ้น
ในตอนจบท้ายที่สุดนางก็ได้รับโทษประหารโดยคำสั่งสวามีของนาง
ซุนอี้หลิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเท่าไร โดยปกติแล้วซุนอี้หลิงในนิยายต้นฉบับนั้นมิได้ร่ำเรียนตำรา นางแทบจะไม่มีพิษมีภัยเสียด้วยซ้ำ
เพราะเหตุใดกัน
ทำไมนางถึงได้กลายมาเป็นสตรีใจโฉดที่ต้องเข่นฆ่าผู้อื่น นางจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ต้องการกำจัดผู้ที่ขัดขวางตนเองกับกู่ซีหยางเช่นนั้นหรือ
หากจะหาหลักฐานคงต้องจับสังเกตคนรอบกายที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างนี้
ซุนอี้หลิงนั้นเป็นถึงบุตรีของแม่ทัพซุนเฉิง แม่ทัพที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุดของแคว้น
อาจจะมีผู้ต้องการปองร้ายนาง
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวตั้งแต่ข้านึกถึงเรื่องราวการดำเนินเรื่องและมั่นใจได้ว่าซุนอี้หลิงคงถูกหลอกใช้ ใครกล่าวอ้างว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากตำราหนังสือก็คงจะเชื่อไปเสียหมด
การทหารตระกูลซุนถือว่าครองอำนาจทั้งหมดของแคว้น ถึงจะเป็นแค่ตำแหน่งโหวระดับหนึ่ง แน่นอนว่าผู้อื่นจ้องจะล้มล้างอำนาจตระกูลซุนอยู่เป็นแน่
เพียงแต่คนเหล่านั้นคงจะชอบนั่งภูเขาชมเสือต่อสู้² เสียมากกว่า ถ้ามิใช่ ป่านนี้คงกำจัดพวกคนที่ขวางทางไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจแฮะ รู้อย่างงี้น่าจะอ่านบทละครของซุนอี้หลิงที่ผู้กำกับยื่นให้อ่านเพื่อทำความเข้าใจ เฮ้อ...พลาดซะแล้วเรา”
บทละครนั้นจะแตกต่างจากนิยายต้นฉบับ ไม่ว่าต้นฉบับจะแต่งออกมาอย่างไร บทละครมักจะเสริมแต่งเข้าไปเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจจุดประสงค์ได้ง่าย ง่ายกว่าตัวนิยายต้นฉบับ
อย่างว่าคนที่ชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจเพื่อศึกษาคาแรคเตอร์ของตัวละครอย่างข้า คงจัดการเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก
ซุนอี้หลิงนั่งพิงเสาของศาลาด้วยความรู้สึกหลากหลาย กำลังจมปลักอยู่ในความคิดว่าหลังจากนี้นางควรทำอย่างไร ต้องดำเนินตามต้นฉบับหรือฉีกต้นฉบับทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ซุนอี้หลิงรู้สึกเหมือนตนเองนั้นมีสองทางเลือกตรงหน้า ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนผลลัพธ์คงออกมาต่างกันไม่มากก็น้อย แต่ก่อนที่จะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ นางยืนขึ้นพร้อมกำมือไว้ด้านหน้าด้วยความมุ่งมั่น
“ตัดสินใจได้ละ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะเปลี่ยนบทนางร้ายคนนี้เอง จะไม่มาตายตามที่โชคชะตากำหนดหรอกนะ หึหึหึ”
“ฮองเฮาเป็นอะไรไปเพคะ”
เสียงหวานดังแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบบริเวณนั้น ทำให้ซุนอี้หลิงสะดุ้งโหยงจนเกือบมุดไปแอบใต้โต๊ะ
ซุนอี้หลิงหันหลังไปมองตามเสียงเห็นถิงถิงสาวรับใช้คนสนิทของตนยืนมองอยู่ด้วยความงุนงง
“อาถิงเจ้าอย่ามามิให้สุ้มให้เสียงแบบนี้สิ ข้าเกือบหัวใจจะวาย” ซุนอี้หลิงกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เดิม บาดแผลบริเวณท้องทำให้นางน้ำตาเล็ด
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ฮองเฮาทรงเป็นอะไรมากไหมเพคะ” ถิงถิงรีบเข้ามาดูอาการของเจ้านายด้วยความเป็นห่วง
ซุนอี้หลิงยิ้มให้พร้อมโบกมือสะบัดไปมาและตรัสว่า “มิเป็นไร เป็นข้าที่นั่งไม่ระวังเอง ว่าแต่เจ้าหายไปไหนมาหรือ”
“อ๋อ...หม่อมฉันไปเอาตั้นเกากับลวี่ฉามาให้ฮองเฮาเสวยเพคะ” ถิงถิงยกถาดที่มีตั้นเการ้อน ๆ มาวางตรงหน้าพร้อมกับรินลวี่ฉาให้
กลิ่นหอมของตั้นเกาที่เพิ่งออกจากเตาร้อน ๆ เรียกต่อมรับรสของซุนอี้หลิงได้เป็นอย่างดี นางไม่รอช้าหยิบช้อนตักเข้าปากไปหนึ่งคำเต็ม ๆ ด้วยความนุ่มละมุนลิ้น ความหอมของนมและเนย ซุนอี้หลิงรู้สึกว่าตนเหมือนกำลังลอยอยู่บนสรวงสวรรค์
นางหันไปมองหน้าถิงถิงและเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “อร่อยมากเลยอาถิง! ข้ามิเคยกินตั้นเกาที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต! เจ้าไปซื้อตั้นเกานี้มาจากที่ใดหรือ”
ถิงถิงเกาแก้มด้วยความเขินอายก่อนจะตอบกลับมาว่า “หม่อมฉันทำเองเพคะ”
ซุนอี้หลิงถึงกลับอ้าปากค้าง นางลุกพรวดขึ้นโดยไม่สนใจว่าบาดแผลบริเวณท้องจะปริหรือไม่ ตอนนี้นางรู้สึกว่าถิงถิงนั้นเหมือนเทพธิดานางฟ้านางสวรรค์มาโปรด
‘คนอะไรทั้งสวยทั้งน่ารัก ฮึก โตมาแม่ให้กินอะไรถึงได้จิตใจดีเช่นนี้’ ซุนอี้หลิงคิดในใจ
ถิงถิงที่เห็นอากัปกิริยาที่แปลกประหลาดของเจ้านายตนก็เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยไปเช่นนั้น
กว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบลงอีกครั้งก็เป็นตอนที่ซุนอี้หลิงนั่งจิบชาให้เย็นพระทัยแล้ว
ถิงถิงคอยเฝ้ามองดูผู้เป็นนาย นางสังเกตเห็นถึงความผิดแผกไปหลาย ๆ อย่าง
ตั้งแต่เจ้านายของตนฟื้นขึ้นมาก็มักจะพูดภาษาประหลาดไปบ้าง ไหนจะอากัปกิริยาที่ต่างจากเดิมอีก ฮองเฮาของนางไม่เคยจะใจดี ชอบลงไม้ลงมือเวลาไม่พึงพอใจ จะเรียกตนเองว่านางรับใช้
แต่มาในยามนี้กลับเรียกชื่ออย่างเอ็นดู ยิ้มแย้มเวลาตนทำอะไรให้ กล่าวชื่นชมดีพระทัยกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใจจริง
มันเหมือนกับว่าเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น
ถิงถิงส่ายหัวไปมาไล่ความคิดเหล่านั้น ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเวลาที่ฮองเฮาพูดเยินยอของว่างที่ตนทำมาไม่รู้จบ
‘ในยามนี้ไม่ว่าจะเหมือนกับความฝันหรือมิใช่ความจริง เพียงเท่านี้หม่อมฉันก็มีความสุขแล้วเพคะ’ ถิงถิงคิดในใจโดยไม่ได้เอ่ยออกไป
ทั้งสองนั่งพูดคุยเล่นกันสองคน เสียงหัวเราะร่าสร้างบรรยากาศภายในตำหนักเฟิ่งอี๋ให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ซุนอี้หลิงยังคงรู้สึกแปลกใจไม่ได้ยามมองเงาสะท้อนในกระจก ร่างของซุนอี้หลิงสวยสมคำร่ำลือที่พรรณาเอาไว้ในนิยายไม่มีผิด ผิวหน้าวัยเยาว์ขาวเนียนผ่อง คิ้วโค้งเป็นรูปใบหลิว ดวงตาดอกท้อพร้อมขนตาแพยาวทำให้ดวงตาดูสุกสกาว จมูกโค้งโด่งรับกับริมฝีปากบางจิ้มลิ้ม
ช่างเป็นใบหน้าที่โฉมงามไร้ที่ติเสียจริง น่าเสียดายที่เจ้าของร่างไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมถึงคิดสั้นจบปัญหาทุกอย่างด้วยความตายนะ
ยามโหย่วในยามนี้มีแสงสว่างจากโคมไฟประดับอยู่ด้านหน้าตำหนักวังหลังห่างไกลออกไป เสียงเครื่องดนตรีหลายชนิดบรรเลงดังสนั่น ซุนอี้หลิงนึกสงสัยว่าสถานที่แห่งนั้นมีจัดงานเลี้ยงอะไรจึงหันไปถามถิงถิงด้วยความสงสัย
“อาถิง สถานที่ตรงนั้นที่มีโคมไฟเยอะ ๆ เขาจัดงานเลี้ยงอะไรหรือเปล่า”
ถิงถิงที่กำลังจัดผ้าปูที่นอนบนเตียงเดินมาตรงบานประตูก่อนจะกล่าวว่า “เห็นนางรับใช้ตำหนักอื่น ๆ คุยกันว่ามีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองต้อนรับคณะทูตเพคะ”
“คณะทูต คณะทูตอะไรหรือ”
“คณะทูตจากแคว้นเสวียอิงเพคะ”
ซุนอี้หลิงได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันเบิกกว้าง เนื้อหาในนิยายแล่นเข้ามาในสมองทันที
คณะทูตจากแคว้นเสวียอิงเป็นพันธมิตรไมตรีที่ดีของแคว้นเซียนหยางมาอย่างยาวนานที่บรรพบุรุษได้ทำสัญญาเอาไว้ และวันนี้ตรงกับวันที่แคว้นเสวียอิงเดินทางมาสร้างสัมพันธไมตรี
‘งั้นก็แสดงว่านางเอกอย่างซือเจียเหยามาด้วยไม่ใช่อย่างงั้นหรือ!’
ซุนอี้หลิงถึงกลับกุมขมับ ไม่คิดว่าตนเองจะทะลุมิติเข้ามาในช่วงเวลาตอนนี้ พระเอกนางเอกพบหน้ากันแล้วคราวนี้แหละนางร้ายจะออกโรง และทุกอย่างจะปะดังปะเดเข้ามาจนนางรับไม่ไหวเป็นแน่ คิดแล้วอยากมุดดินหนีปัญหาเสียเดี๋ยวนี้
ถิงถิงเห็นเจ้านายวิตกกังวลนางก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา
“ฮองเฮาทรงมิเป็นอะไรนะเพคะ”
ซุนอี้หลิงลืมไปว่าตนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในห้อง นางหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับถิงถิงก่อนจะตรัสกลับไปว่า “มิเป็นไร ข้าสบายมากอาถิง ข้าแค่คิดอะไรมากไปหน่อย”
“พระองค์ทรงอย่าคิดมากเรื่องที่ทำให้พระองค์หนักพระทัยเลยเพคะ หม่อมฉันว่าพระองค์ทรงพักผ่อนเถอะนะเพคะ” ถิงถิงเดินเข้ามาช่วยประคองผู้เป็นนายไปที่เตียง
ซุนอี้หลิงล้มตัวนอนลงบนเตียง โดยมีถิงถิงนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ซุนอี้หลิงนึกขอบคุณถิงถิงหญิงสาวรับใช้คนสนิทของตนอย่างมาก ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้และไม่รู้อะไรเลย ก็มีเพียงแค่ถิงถิงที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด ไม่ว่าจะยามใด นางจะเป็นทั้งเกราะคอยปกป้องตนจากเรื่องราวต่าง ๆ และเป็นมืออันอบอุ่นที่คอยโอบอุ้มตนจากความโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง
ถ้าวันไหนถิงถิงหายไปซุนอี้หลิงก็คงไม่รู้ว่าตนควรจะทำเช่นไรต่อไปแล้ว
ดวงดาราส่องแสงพร่างพราวบนฟากฟ้าในยามรัตติกาล แม้จะย่างเข้าสู่วสันต์ฤดูแต่ลมอ่อน ๆ กลับเจือไปด้วยไอหนาวของเหมันต์ฤดู ร่างบางที่กำลังหลับใหลบนเตียงรับรู้ถึงลมหนาวได้อย่างเด่นชัด พยายามนอนขดตัวเพื่อเร้นกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา
ผ้าห่มถูกดึงขึ้นทาบทับตั้งแต่ไหล่ลงมาอย่างมิดชิด ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์รู้สึกสบาย ในความมืดมิดนี้กลับมีใครคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองหญิงสาวที่กำลังหลับใหลโดยไม่รู้ตัว
ในห้วงความฝันนั้น ซุนอี้หลิงยืนมองดูภาพที่ร่างของตนเองในนิยายต้นฉบับกำลังนั่งคุกเข่า เนื้อตัวมอมแมมแถมมีรอยแผลบนร่างกายทั้งสดและแห้งกัง มือทั้งสองข้างถูกล่ามโซ่ตั้งแต่ลำคอลงมาจนถึงข้อเท้า
สภาพช่างน่าเวทนายิ่งนัก
เสียงป่าวประกาศราชโองการดังสนั่นถึงการรับโทษประหารหญิงใจโฉดที่โหดเหี้ยมอำมหิต หลังสิ้นสุดราชโองการร่างของตนถูกลากไปยังแท่นหนึ่งที่มีเชือกแขวน
ซุนอี้หลิงมองดูร่างตนเองในห้วงฝันที่กำลังถูกทหารนำเชือกมาลัดคอ ถึงจะพยายามดิ้นตะเกียกตะกายเท่าไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ สุรเสียงเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยความเย็นชาดังมาจากบัลลังก์เบื้องหน้า
ซุนอี้หลิงหันไปมองอย่างนึกสงสัย นางเห็นบุรุษอาภรณ์สีดำกำลังจ้องมองร่างตามต้นฉบับนิยายของตนด้วยสายตาเยือกเย็น ซุนอี้หลิงสัมผัสได้ถึงอันตรายจากสายตาคู่นั้น ร่างกายของนางเกิดสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
เหตุการณ์ทุกอย่างดูชุลมุน สายตาของนางดันสอดประสานเข้ากับร่างของตนเองที่กำลังถึงแก่ความตาย
ซุนอี้หลิงเบิกตากว้างเมื่อร่างของตนในความฝันนั้นเอ่ยประโยคคำพูดสุดท้าย ก่อนที่จะถูกปล่อยให้ลอยอยู่เนื้อพื้นดิน
นัยน์ตาทั้งสองข้างเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวยากจะห้ามได้ แม้ยามนี้ซุนอี้หลิงยังหาเสียงพูดไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
ภาพจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดช่างโหดร้ายยิ่งนัก กว่าจะรู้สึกตัวตื่นจากฝันร้ายนั้นได้ทำเอาแข้งขาแทบหมดแรง
“...เฮาเพคะ! ฮองเฮาทรงตื่นสิเพคะ ฮองเฮาเพคะ!”
“เฮือก!!”
ซุนอี้หลิงสะดุ้งตื่นหายใจหอบถี่จนรู้สึกถึงร่างกายเหนื่อยล้า เหงื่อไหลตามกรอบหน้าผากเปียกชุ้มอาภรณ์ที่สวมใส่ ฝ่ามือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่นเสียจนยับยู่ยี่ หญิงสาวไล่สายตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความหวาดระแวง
“ฮองเฮาเพคะ ฮึกฮือ...”
เสียงร้องไห้ทำให้ซุนอี้หลิงได้สติกลับคืนมา ภาพที่ตนเองกำลังเห็นอยู่นั้นคือใบหน้าของถิงถิงนองไปด้วยหยาดน้ำตา สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลใจของนางขนาดไหน
ซุนอี้หลิงรู้สึกโล่งอกที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายแล้วมาเจอนางฟ้าตัวน้อยของตน “เจ้าร้องไห้อีกแล้วอาถิง”
“ฮึก...หม่อมฉันเข้ามาปลุกฮองเฮา แต่พระองค์กลับบรรทมเหมือนคนไร้วิญญาณเลยเพคะ หม่อมฉันเรียกตั้งหลายครั้งพระองค์ก็มิรู้สึกตัวเลย หม่อมฉันกลัวว่าจะเป็นแบบครานั้นอีก ฮือ...”
ซุนอี้หลิงทอดถอนใจเอื้อมมือไปลูบผมปลอบประโลมสาวใช้คนสนิทของตนอย่างอ่อนโยนและตรัสว่า “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว ข้าขอโทษด้วยนะ”
“ฮึก...มิเป็นไรเพคะ แต่ทรงอย่าเป็นอย่างนี้อีกนะเพคะ หม่อมฉันหวาดกลัวไปหมดแล้วเพคะ ฮือ...” ถิงถิงกอบกุมมือผู้เป็นนายก้มหน้าคว่ำกับเตียงร้องไห้เสียงดังระงมไปทั่วห้อง
ซุนอี้หลิงนึกเอ็นดูนางเสียจริง พลางหวนนึกถึงความฝันที่นางเห็นก่อนหน้าภาพจุดจบตามต้นฉบับนิยายช่างน่ากลัวกว่าที่คาดคิด
‘แต่ว่าประโยคคำพูดสุดท้ายนั้นมันอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นซุนอี้หลิง ทำไมกัน...’
ร่างบางครุ่นคิดถึงประโยคคำพูดนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็คิดไม่ออกสักทีว่าซุนอี้หลิงคนเดิมต้องการจะสื่อถึงอะไรกับตนกันแน่ แล้วทำไมถึงฝันถึงจุดจบตั้งแต่วันแรกที่ตนทะลุมิติเข้ามาในนิยายได้เลยล่ะ
“คงไม่ได้จะมีอันตรายเร็ว ๆ นี้หรอกกระมัง” ซุนอี้หลิงพึมพำกับตนเอง
กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งเงินดังกังวานไปทั่วหอฮวนซู สายลมพัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาทำให้กระดาษบนโต๊ะปลิวตกกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวลืมตาขึ้นหลังทำสมาธิ พร้อมเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพึมพำขึ้นมาว่า
“มาเกิดใหม่แล้วสินะ”
###
ฮึก เป็นนิยายพิเรียดจีนเรื่องแรก ภาษาอาจจะแปลกๆไปบ้าง ติชมกันได้นะคะ ไรต์จะได้นำฟีดแบคจากรี้ดมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องถัดๆ ไปค่ะ ฝากเอาใจช่วยลูกสาวของเค้าด้วยนะ
1. หยุนหนานไป๋เหยา [云南白药 ] หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า ยูนนาน เป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมสำคัญมาจาก ซานชี หรือ เถียนชี เป็นพืชสมุนไพรอยู่ในตระกูล ‘โสมคน’ ซึ่งมีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบของแผลผ่าตัด ช่วยสร้างเลือด ห้ามเลือด และลดอาการบวมช้ำได้ดี ช่วยให้ระยะเวลาในการพักฟื้นสั้นลง
2.นั่งภูเขาชมเสือต่อสู้ เป็นสำนวนจีนหมายถึง การรับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
3. ลวี่ฉา [绿茶] lǜchá : ชาเขียว
ความคิดเห็น