ดิ เอ็ห์ท
แปดระห่ำเดือดทะลุนรก
เที่ยงตรงของวันอังคารที่ 14 เดือนสิงหาคม อันเป็นเวลานัดหมายรวมตัวของเหล่า
นักศึกษาหนุ่มทั้ง 8 แม้จะต่างความคิด ต่างจุดประสงค์ แต่จุดหมายปลายทางที่พวกเขาดั้นด้นแสวงหาอย่างเต็มใจ นั้นคือ “ความตาย”
ณ ใจกลางโรงอาหารขนาดใหญ่ ในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง น.ศ.หนุ่มวัย 21ปี
นั่งกอดกระเป๋า Out door สีน้ำตาลไว้แน่น หนุ่มคิ้วเข้มหน้าตาดี ออกอาการตื่นตระหนก
จนเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีหนุ่มสาวหนาแน่นแห่กันมากินข้าวกลางวันอันเป็นปกติ แต่ก็หามีซักคน
ที่ได้ทันสังเกต ว่าพระเอกหนุ่มของเรา มีอาการผิดปกติไปจากคนอื่นๆ
หัวใจของฝนแทบจะบีบตัวจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อมีมือของใครคนหนึ่งตบลงบนกระเป๋า Out door ของเขาอย่างไม่ทันให้มีโอกาสตั้งตัว
“นั่นแน่...ตกใจละซี่ พระเอก”
ชายไว้เครามีหนวดเล็กน้อย หน้าตาดุดัน เป็นคนที่พูดทักทายก่อน
“เอ่อ ดิ”
ฝนตอบกลับไปหลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ และปัดมือของหนวดออกจากกระเป๋า
คนที่มาทักเขานั้นคือ 1 ใน 8 ผู้ร่วมอุดมการณ์ หนุ่มหน้าแก่ดึงเคราตัวเองเล่นไปมา ขณะมองจ้องตาฝนอย่างพินิจพิเคราะห์แบบทีเล่นทีจริง
“มึงจะกลัวเหี้ยอะไรเล้า....คึกคักหน่อยดิ”
“คึกคักเหี้ยอะไรของมึงละ นี่กูกำลังนั่งรอเวลา...”
ฝนเงียบไปพักหนึ่งขณะมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
“คนครึ่งหนึ่งในห้องนี้ต้องตายนะเว้ยไอ่หนวด ตายเพราะพวกเรา”
พระเอกหนุ่มพยายามบังคับเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการกระซิบข้างหูหนวด เพราะกลัวว่าจะมีคนได้ยิน หนุ่มหัวหน้าแก๊งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มเล่นๆ ให้ฝน และตบหลังเขาเบาๆสองสามที น.ศ.ชายอีกสองคนที่มากับหนวด โยนกระเป๋าสีดำที่แบกมาลงข้างๆเท้าของใครของมัน ก้องหนุ่มตกกระฟันเหยินพยักหน้าทักทายฝนแบบห่ามๆ ท่าทางออกไปทางไม่ค่อยเป็นมิตร ส่วนอีกคนชื่อติมเป็นผู้ชาย ตัวเล็ก หน้าเหลี่ยมๆคล้ายทั
.. กลับยืนนิ่งไม่ทำอะไรตามนิสัยขี้ขลาด คอยแต่จะพึ่งหัวหน้าแก๊งสามทหารเสือ ซึ่งคือหนวด ฝนเองก็ไม่ได้ใส่ใจต่อการพบปะเลย เขายังคงก้มหน้าก้มตากอดกระเป๋า Out door ไว้อย่างระมัดระวัง
ขณะที่หนวดกำลังใช้ให้ติมไปหาซื้อน้ำอัดลมมาให้ดื่มนั้นเอง ฝนก็สังเกตเห็นชายหนุ่มเสื้อสีส้มผมหยิกใส่แว่นสายตา เดินสะพายย่ามมาจากทางลานจอดรถห่างออกไป 100 เมตร กว่าๆ แม้ว่าจะยังเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ห่างออกไป แต่ฝนก็จำได้จากท่าเดินและย่ามทรงบ้านนอกของป้อม เด็กวัดที่เรียนคณะเดียวกับเขา ใจฝนยิ่งเต้นแรงขึ้นจนแทบคลั่งเมื่อเขานึกได้ว่า ตอนนี้สมาชิกก็มากัน 5 คนแล้ว หากครบ 8 เมื่อไหร่ สิ่งโหดร้ายที่สุดในชีวิตของเขาก็จะอุบัติขึ้นในทันที
“จะเอายังวะ”
เด็กวัดถามฝนและหนวดโดยมือขวาก็ล้วงลงไปในกระเป๋าย่ามของตนทันที แต่ป้อมก็ถูกห้ามไม่ให้ดึงอะไรก็ตามในย่ามของเขาออกมาโดยหนวดซึ่งตบหัวไปในทันทีที่ป้อมเริ่มถาม
“พ่อมึงตายห่าไอ่ควายป้อม! แหกขี้ตาดูดิ๊มันมากันครบรึยัง”
หัวหน้าแก๊งจอมโหด ตะคอกใส่ตามเรื่องตามราว ก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่ ส่วนป้อมก็พยักหน้าหลบตาอย่างไม่สู้คนขณะดึงมือออกมาจากย่ามแต่เนื่องจากที่หัวหน้าหนวดคนดังของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้ใช้เสียงที่ดังจนเกินไปด่าใส่ป้อม ทำให้เพื่อนร่วมคณะจอมจุ้นคนหนึ่ง ซึ่งทานข้าวอยู่ใกล้ๆวางช้อน ส้อม แล้วเดินเข้ามาเพื่อมีส่วนร่วม
“ไอ่หนวด ไอ่หนวด.....อันนี้ นี่เท่จริงๆ เลยนะครับ”
หนุ่มทรงสกินเฮดจอมเสล่อ เดินเข้ามาเย้าแหย่หนวดตามสันดานเก่า
“ซุ่นจริง! ไอ่ชิปหายเทป มึงไม่เสือกซักเรื่อง โลกของกูคงหน้าอยู่ขึ้นกว่านี้แยะ”
เทปหัวเกรียนยิ้มด้วยท่าทางจอมยุ่งของเขาอีกนิดหน่อย ก่อนจะยื่นมือไปดึงย่ามของป้อมมาดูอย่างเสียงมารยาท แต่ก็ถูกหนวดตบหัวเข้าไปอีกคน
“ โห...ไอ่หนวดจิ๋มนี่ แม่งเล่นโง่นะมึง กูแค่อยากรู้ว่ามึงเอาปืนมาทำเหี้ยไรกัน”
ฝนใจหายวาบ เมื่อได้ยินประโยคที่เทปพูด มือของฝนล้วงเข้าไปจับไกปืนในกระเป๋า
Out door ของเขาโดยสัญชาตญาณ หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกินขึ้น เขาอาจต้องเหนี่ยวไก
“ อันนี้นี่จะแสดงหนังกันรึเปล่าครับเนี่ย”
ยังไม่วาย เทปยังคงตีหน้าเซ่อเล่นทะลึ่งต่ออย่างไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง ป้อมดึงกระเป๋าย่ามคืนไปจากเทปแล้วเดินอ้อมไปนั่งข้างๆฝน พระเอกหนุ่มของเราพอรู้ตัวว่ากำไกปืนอยู่ เขาก็รีบปล่อยมัน และดึงมือออกจากกระเป๋าทันที เขารู้สึกเคียดแค้นและด่าว่าตัวเองอย่างหนัก เพราะเมื่อตะกี้นี้เขาเกือบจะฆ่าคนอย่างเจตนาเสียแล้ว
“ มึงอย่าพึ่งไปไหนนะเว้ย ไอ่เทป เดี๋ยวกูจะให้มึงเล่นหนังด้วย”
หนวดยิ้มและพูดด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ติมและก้องอย่างขบขัน ส่วนเจ้าเทปหัวเกรียนก็ไม่ได้รู้เรื่องทันเกมอะไรเลย กลับยิ้มระลื่นและทำตลกต่ออย่างสนุกสนาน
และแล้วเวลานั้นก็มาถึง เมื่ออีกสามคนที่เหลือมาถึง นั่นหมายถึง นาทีนรกใกล้จะอุบัติแล้ว ซานาดะ นักเรียนแลกเปลี่ยนจากแดนอาทิตย์อุทัย เป็นคนเดินนำหน้ามา มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาล อีกข้างแบกถุงกีตาร์ซึ่งข้างในบรรจุสิ่งๆหนึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่กีตาร์ เขาเป็นเด็กหนุ่มตาคมเยือกเย็นดูหน้ากลัว ผมยาวๆที่มัดไว้นั้นดูไม่ต่างจากซามูไรในยุคก่อนๆเลย แม้ว่าจะใส่เสื้อขาว กางเกงสแลค ก็ตาม คนที่ตามมาติดๆ คือเด็กหนุ่มตัวเล็กท่าทางขี้แพ้ เก่ง เป็นคนจัดหางบประมาณเพื่อซื้ออาวุธให้ทุกคน แต่ตัวเขากลับมีนิสัยเหมือนลูกคุณหนู ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ส่วนคนสุดท้าย เอก หนุ่มหล่อ ล่ำ ที่เสียใจกับการจากไปของแฟนสาว เขาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เท่าตู้เสื้อผ้ามาเป็นคนสุดท้าย
และแล้ว เงื่อนไขก็ครบ หนวดขว้างกระป๋องน้ำอัดลมลงพื้นเพื่อเปิดพิธี ผู้คนรอบข้างมองมาที่การกระทำอันป่าเถื่อนเหมือนคนไม่มีการศึกษาของหนวดเป็นตาเดียวกัน
“ เฮ้ยไอ่เทป ! มึงอยากรู้มากใช่ม๊ะ ว่ากูมาทำห่า’ไรกันวันนี้!!”
เทปเริ่มหน้าเสีย และไม่แน่ใจว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่ที่มากินข้าว ณ โรงอาหารแห่งนี้ ในวันนี้
“ มึงตามไปเคาะฝาโลงถามพ่อมึงเองละกัน!!”
หนวดดึงปืนสั้น สีเงินออกมาจากเข็มขัดที่ด้านหลัง ซึ่งถูกเสื้อกันหนาวปิดพรางตาไว้ และจ่อเข้าที่ระหว่างตาทั้ง 2 ข้างของเทป อย่างช้าๆ หนุ่มหัวหน้าแก๊ง ยิ้มให้อย่างสุภาพ...
เปรี้ยง!!!
หนวดเหนี่ยวไกหน้าตาเฉย ประกายไฟจากดินปืนและเสียงที่ดังสนั่น อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เทป ได้รับรู้ก่อนที่สมองและเศษกะโหลกจะทะลักออกมาจากท้ายทอยของเขา ผู้คนที่เริ่มรู้ตัวก็ออกวิ่งหนีไปด้วยความกลัว บางคนก็ร้องเสียงแหลมแสบแก้วหู เนื่องด้วยความตกใจ และมีอีกหลายคนที่ยังยืนงงอยู่ แต่ก็งงได้อยู่อีกไม่นานนักหลังจากเสียงกระสุนนัดแรกดังขึ้น ซานาดะ รูดซิปเปิดถุงกีตาร์ และดึงดาบญี่ปุ่น ฝักสีดำออกมาถือไว้ในท่าเตรียมดึงออกจากฝัก เหมือนซามูไรในทีวียังไงยั่งงั้น
ฉั่ว!!! ซึบ!
ชั่วพริบตาเดียวที่หนุ่มยุ่นผมยาวกระชากดาบออกจากฝัก ปาดเข้าที่หน้าท้องของชายแก่คนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด เลือดแดงฉานสาดกระเซ็น ไส้ปลิ้นออกมาห้อยร่องแร่ง นั่นเองเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการบอกให้ผู้คนออกวิ่งหนีตายอย่างหมดความสงสัย หลังจากเรียกเลือดให้ดาบคู่ใจได้ดื่มแล้ว หนุ่มยุ่นผมยาวก็ออกวิ่งไปพร้อมกับดาบ และกระเป๋าหนังสีน้ำตาลทันที...........
หนวด ติม และก้อง วางแผนกันมาเป็นอาทิตย์แล้วสำหรับการหาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อกิจกรรมล่าสังหารหมู่ของพวกเขา หลังจากเปิดประเดิมด้วยกระสุนนัดแรกที่โรงอาหารกลาง หนวดก็ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หนุ่มหัวหน้าแก๊งออกนำลูกทีมตรงไปยังบันไดซึ่งอยู่ด้านหลังของโรงอาหาร เพื่อจะขึ้นไปยังส่วนที่เป็นที่ตั้งของชมรมกลางในมหาวิทยาลัย อันเต็มไปด้วยหนุ่มๆสาวๆ ตั้งแต่ปี 1 ยันปีแก่
แม้ผู้คน(หนีตาย) จะมากมายยั้วเยี้ย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากต้องการจะเดินไปแค่บันไดใกล้ๆนี้ เมื่อมีคนมาขวางหน้าสามทหารเสือก็ระเบิดปืนในมือส่งกระสุนพุ่งผ่านกระโหลกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเรียงตัวไปตามทาง ดังนั้น แทนที่ผู้คนจะเข้ามาขวางก็กลับกลายเป็นผลักกันไปมา เพื่อหาทางออกห่างอย่างตระหนกตกใจ แม๊กกาซีนต่อแม๊กกาซีน เสียงกระสุนระเบิดดังสนั่นเป็นจังหวะต่อกันไม่ขาดสาย ผู้คนล้มตายเกาะเกี่ยวยื้อดึงกันอย่างเจ็บปวดทรมาน
“ สะใจชิบหายเลยว่ะลูกพี่ ผมละเกลียดไอ้ขี้เก๊กหน้าส้นตีนนี้มานานแล้วอะ”
ก้องรัวกระสุนใส่รุ่นพี่เคราะห์ร้ายเลือดสาด ดิ้นพล่านอยู่กับพื้นอย่างสะใจ หนวดเองก็แค่ยิ้มและพยักหน้าให้ เป็นการแสดงความยินดี
“รีบไปดิวะ”
หนวดผลักติม เดินไปข้างหน้าเพื่อเร่งฝีเท้าขึ้นไปยังชมรมกลางอย่างไม่ได้ใส่ใจกับเสียงสบถด่าของก้องเลย
เมื่อทั้งสามขึ้นมาถึงชั้น 2 อันเป็นลานกว้างหน้าโซนชมรมกลางของมหาวิทยาลัยเชิงดอยแห่งนี้ หนวดซึ่งออกอาการ รีบ เร่ง กว่าใครเพื่อน ก็ชี้มือบอกทางไปยังหน้าห้องชมรม นาฏศิลป์ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีท่าทีไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยืนชะเง้อดูว่า ชั้น 1 โวยวายหนีตายอะไรกัน ต่างคนต่างยืนทำหน้าโง่ แสดงสันดานไทย (มุง) อย่างอยากรู้อยากเห็น
ได้ทีของ 3 หนุ่มโฉด หนวดดึงมีดเดินป่าเล่มยาว ที่ซ่อนไว้ด้านหลังใต้เสื้อกันหนาว ออกมาพร้อมกับแสยะยิ้มยิงฟันดูหน้ากลัว ขณะที่จ้องไปยังกลุ่มสาวๆปี 2 ที่โวยวายเรียกเพื่อนให้มองดูเขา อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ติมเองเมื่อเห็นลูกพี่นำออกเดินไป จึงเก็บปืนเสียบลงเข็มขัด และดึงมีดพับออกมา กะให้ดูโก้เก๋ตามลูกพี่
ฉึบ! อุ๊ก!!!
หนุ่มนักศึกษาคณะบริหารผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่ง ล้มลงอย่างเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลที่ถูกหนุ่มหน้าเหลี่ยม เสียบมีดพับปักเข้าที่ท้องน้อย อย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง เสียงกรี๊ดกร๊าดดังสนั่นขึ้นจากคนรอบข้าง พร้อมกับที่หนวดบรรจงวาดคมมีดเข้าที่กลางคอของสาวปี 2 คนหนึ่งในกลุ่ม หัวกุดขาดปลิวคว้างไปตกห่างออกไป 3-4 เมตร ก้องเมื่อเห็นดังนั้นก็โห่ร้องตามสันดานดิบเถื่อนของมันอย่างสะใจในอารมณ์ แล้วจึงดึงปืนกลมือซึ่งเก่งจัดเตรียมไว้ให้จากในกระเป๋าออกมากราดใส่ผู้คนอย่างเมามันส์
“ ไอ่กาม! มึงยืนคุมบันไดไว้ หมาไหนวิ่งมามึงก็สาดใส่มันแม่งเลย”
หนุ่มหัวหน้าแก๊งตะโกนสั่งก้องสุดกำลัง เพื่อแทรกเสียงเอะอะหนีตายของพวกนักศึกษาชายหญิง ในบริเวณนั้น แล้วหนวดจึงส่งสัญญาณให้หนุ่มหน้าเหลี่ยมเดินนำไปที่ชมรม นาฏศิลป์
เนื่องจากบริเวณนี้เป็นส่วนของชมรมกลาง จึงมีทางเดินเล็กๆผ่ากลางห้องชมรมนับสิบ ทั้งสองจึงจำเป็นต้องใช้เพียงมีดเพื่อสังหารคนในระยะประชิด
คนต่อคนตายลงเรื่อยๆ โดยฝีมือของหัวหน้าและลูกน้องคู่ใจ ทั้งปักทั้งแทงทั้งตัด ติมออกอาการตระหนกเล็กน้อย เมื่อเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยเลือดของพวกพ้องร่วมสถาบัน ในทางกลับกัน สำหรับหนุ่มหัวหน้าแก๊งมันกลับยิ่งเหมือนเป็นยาเร่งให้ทำงานหนักขึ้น หนักขึ้น เขาไม่หวั่นเกรง หรือตื่นตกใจต่อห่าเลือดมากมายที่กระเซ็นมาเปื้อนเนื้อตัวเลยซักนิด ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงหน้าห้องชมรม นาฏศิลป์ หนวดถีบประตูเปิดเข้าไปสุดแรง เหมือนมีความแค้นฝังใจอะไรกับชมรมนี้ ภายในห้องมีหนุ่มสาวราวๆสิบกว่าคน ซึ่งยืนออกันอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางกลัวจนตัวสั่น หนวดแผดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ในความเป็นต่อ ปืนที่เหน็บอยู่ใต้เข็มขัดก็ถูกงัดออกมาระเบิดใส่เหล่านักศึกษา ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เรียงไปทีละคนสองคน ติมเองก็เหมือนจะรู้หน้าที่ดีว่าควรอยู่เฉยๆไว้ หนุ่มหัวหน้าแก๊งยังคงเหนี่ยวไกในมือไปเรื่อยๆสลับกับออกเสียงหัวเราะเหมือนคนบ้าคลั่ง เขายิงปืนจนหมดแม๊กกาซีน เสียงนกสับลงไปแชะ! และคนที่ยังคงรอดอยู่เพียงคนเดียวในห้องนั้นคือ หญิงสาวในชุดนักศึกษานั่งพับเพียบกุมขมับจับท้ายทอยด้วยความกลัว
“ อ้าว! น้องฟ้า...พี่นึกว่าวันนี้หนูจะไม่มาเข้าชมรมซะอีก”
น้ำเสียงของหนวดไม่ได้ฟังดูแปลกใจตามความหมายที่พูดไปแต่กลับฟังดูเหมือนเยาะเย้ยหรือล้อเลียนเสียมากกว่า สาวผมยาวมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยยิ่งเกร็งไปใหญ่เมื่อได้ยินเสียงของหนวด เธอตัดสินใจที่จะไม่เงยหน้าขึ้นมาจากเข่า และยังคงไม่ขยับเขยื่อนใดๆ หนุ่มหัวหน้าแก๊งก็ยืนเงียบไซโคอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าอันสุขใจเหมือนได้รังแกสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อติมซึ่งยืนอยู่ปากประตูอย่างไม่ทันระวังตัว เขาถูกทุ่มเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นอย่างไม่รู้ตัว หนุ่มหน้าเหลี่ยมพยายามจะยืนขึ้นทรงตัว แต่ก็ถูกอะไรซักอย่างซัดเข้าที่ท้ายทอยจนหมดสติไป นั่นเป็นฝีมือของสาวผมดำยาวตาคมเข้ม คิ้วหนา ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ารูปเธอหน้าตาแทบจะพูดได้ว่าเหมือนฟ้าอย่างกับเป็นแฝดกัน
“อ้าว!! อ้อม คนสวยนี่เอง! เป็นไงมาไงละเนี่ย น้องโหดยูโดดำ คาราเต้ดำ แต่น่ารักสาดดดด ทำไมถึงได้ดอดมาชมรมนาฏศิลป์ละคร๊าบบ”
หนวดพูดทักทายไปเล่นๆโดยที่รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนสาวทรงโตของเขาตามมาดูแลน้องสาว แม้สถานการณ์คับขันหนุ่มหัวหน้าแก๊งก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจใดๆ ปืนในมือก็กระสุนหมด มีดก็ขัดไว้ข้างหลัง ระยะห่างเพียงแค่สองเมตรนั้น ถ้าเขาขยับเพียงนิดเดียว อ้อมผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้สูง ต้องจัดการเขาได้แน่ๆ
“ มึงเสร็จกูแน่อีหนวด มึงลองตุกติกดิ กูจับมึงขว้างออกนอกหน้าต่างแน่”
หนวดยังคงยืนนิ่งและยิ้มให้สาวห้าวอย่างไม่หวั่นไหว เหมือนกับในใจก็คิดหาทางออกให้กับชีวิตตัวเองไปด้วย
ป้อมเด็กวัดหัวหยิก ขยับแว่นตาไปมาตามนิสัย ก่อนจะคว้ากระเป๋าเตรียมตัวแยกออกจากกลุ่ม หลังจากที่หนวดระเบิดปืนนัดแรกเพื่อสร้างความโกลาหน
ตามที่ได้ไถ่ถามฝน ซึ่งเป็นคนวางแผนการทั้งหมดไว้ ป้อมถูกกำหนดไว้ว่าจะให้ไปบุกถล่มตึกเรียนรวมของคณะมนุษยศาสตร์ ซึ่งสูงเป็นสิบๆชั้น เนื่องจากเป็นจุดที่มีบุคลากร มากที่สุดในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หลังจากที่ซานาดะคุงและพักพวกของหนวดแยกออกจากกลุ่มไปคนละทาง ป้อมก็ยังคงยืนทำหน้ามึนๆอย่างทำอะไรไม่ถูก พระเอกหนุ่มของเรายังมีสติครบถ้วนไม่ได้เกรงกลัวต่อสถานการณ์แต่อย่างใด เพียงแต่เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งยังคงยืนอยู่นิ่งข้างๆกับป้อม แต่ต่างจากป้อมที่มึนจนทำอะไรไม่ถูกแต่ลึกๆฝนเองก็ยังคงสับสนและไม่กล้าเหนี่ยวไกปืนเพื่อที่จะฆ่าใคร
“ พวกมึงยืนเซ่อทำเปรตอะไรอยู่เล่า ..เฮ้ย!!!!”
เอกสุดหล่อตะคอกทันใดขณะที่กำลังเล็งปืนลูกซองใส่ฝูงชนจนกระสุนหมดชุด ทำให้ฝนได้สติและออกวิ่งไปที่สระว่ายน้ำตามแผนของเขา เก่งเองซึ่งยืนกล้าๆกลัวๆอยู่นั้น เมื่อถูกเอกจ้องตาก็พยักหน้ารวบรวมความกล้าแล้วออกวิ่งไปที่คณะของตน เพื่อทำตามแผนการ ส่วนป้อมนั้นยังไม่ไปไหน และยังคงยืนทำมึนอยู่ที่เดิม
“ ไอ่ป้อม! ไอ่ชิปหายนี่”
เอกส่งเสียงตะโกนเตือนไปอีกหน
“ กูรู้แล้วสัตว์นี่! กูใช้ความคิดวางแผนอยู่”
“ มาคิดหาพ่อมึงอะไรตอนนี้วะ เมื่อคืนทั้งคืนแม่งเสือกไม่นอนคิดมา”
“ เอ่อๆ”
เมื่อโดนด่าหนักๆเข้า ป้อมก็ต้องยอมเลิกอู้และออกวิ่งไปยังจุดหมายตามแผนการ
ที่ตึกเรียนรวมของคณะมนุษยศาสตร์นั้น เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ต้องมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จึงไม่ใช่เรื่องยากต่อการทำงานของป้อมเลย เพราะสาวๆนั้นตั้งหน้าตั้งตาหนีตายมากกว่าจะหาทางสู้ และไหนจะปืนลูกโม่ของเด็กวัดนั้นก็แสนจะแรงสะใจจนป้อมไม่ได้เกิดความกลัวที่จะฆ่าคนเลย แต่กลับยิ่งรู้สึกสนุกสนานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ยิงไปแต่ละนัด ด้วยความเก็บกดและสันดารของเด็กวัดผู้ด้อยโอกาส มันเลือกฆ่าแต่สาวๆสวยๆ อย่างสนุกสนาน และไม่ได้ซีเรียสเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผู้คนหนี้เข้าตัวอาคารไปเรื่อยๆ จนป้อมประมาณเอาว่าคงเกินพันคนแล้วแน่ๆ เขาก็เริ่มทำตามแผนที่ฝนได้วางไว้ และไม่วายต้องประหลาดใจไปด้วย เนื่องจากเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝนบอก ผู้คนหนีตายเข้าตัวตึกมากกว่าจะแห่กันออกมาทางเขาเด็กวัดหัวหยิกนำเพาเวอร์เจลประกอบเสร็จที่เตรียมไว้ไปวางตามเสาหลักที่ฝนเคยชี้ให้ดู ใครวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ไอ่เจ้าแว่นหัวหยิกก็ระเบิดหัวกระจุยให้เท่านั้น
เนื่องจากเป็นคนหัวไว และได้รับการฝึกฝนเรื่องระเบิดมาจากเอกผู้ชอบเรื่องอาวุธทหารมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ถึง 2 นาที เขาสามารถต่อระเบิดได้หนึ่งลูก และเสาหลักนั้นก็มีเพียง 5 ต้น ดังนั้นป้อมจึงวางระเบิดได้เสร็จภายใน 10 นาที เขาวิ่งออกมาที่ลานจอดรถพร้อมกับไล่ยิงบรรดาอาจารย์แก่ๆ ที่พยายามหนีขึ้นรถอย่างบ้าระห่ำและสะใจในความแค้นเก่าๆ หนุ่มแว่นหัวหยิกกำสวิตระเบิดเอาไว้ในมือด้วยใจที่เต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น
เสียงฟ้าร้องสนั่นแก้วหูแทบแตก บวกกับแรงสะเทือนของพื้นดินเนื่องจากตึกที่ถล่มลงมาจนรู้สึกได้ไปถึงอีก 7 คนที่เหลือ ซึ่งกระจายกันอยู่ ป้อมไม่ได้ตั้งใจจะกดระเบิดเลย เพียงแต่มือสั่นจนควบคุมไม่ได้ หัวแม่มือเลยไปโดนปุ่มเข้า โชคดีเหลือเกินที่เขาออกมายืนอยู่ที่ลานจอดรถแล้ว เด็กวัดโห่ร้องด้วยความสะใจกับสิ่งที่เขาได้ทำ ตึกสูงเสียดฟ้าถล่มลงมาด้วยฝีมือเขา ...เด็กวัดเพียงคนเดียว เมื่อนึกได้ว่าคนเป็นพัน พัน ตายไปกับการระเบิดเมื่อกี้ ก็ยิ่งทำให้ป้อมโห่ร้องกระโดดโลดเต้นอย่างสะใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ มึงเห็นฝีมือกูรึยัง ไอ่พวกหัวค_ยดีแต่ปาก”
ด้วยความปิติยินดีในผลงานชิ้นใหญ่ ป้อมจึงไม่ทันได้สนใจกับเสียงไซเรนรถตำรวจที่กำลังแห่มาอย่างไม่ขาดสาย
จากที่ได้วางแผนกันมาเป็นเดือนๆ โดยมีฝนเป็นหัวหลักนั้น ตามแผนการ คือ นัดกันมาที่ใจกลางมหาวิทยาลัยตอนเที่ยง ป้อมไปคณะมนุษย์ฯ ทางทิศใต้ เก่งไปเก็บกวาดทางทิศเหนือ ซานาดะไปก่อกวนที่สนามกีฬากลางทิศตะวันออก และเอก ไปจัดการทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนกลางของคณะวิทยาศาสตร์ ส่วนกลุ่มของหนวดนั้นคงใช้งานไม่ได้มากนักตามนิสัยอันธพาล จึงไม่ได้กำหนดตายตัวตามแผน เหตุผลที่กระจายกันออกไปนั้น ฝนซึ่งเป็นคนรอบคอบและชอบการวางแผนให้เป็นระเบียบ กำหนดขั้นตอนต่างๆขึ้น เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ตำรวจเข้ามาวุ่นวายและควบคุมพื้นที่ได้เร็วนักภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมงแรก ตัวเขาเองนั้นจะไปก่อเหตุวุ่นวายแถวๆสระว่ายน้ำอันอยู่ระหว่างทางเข้ามหาวิทยาลัย ถึง 2 ทางซึ่งหากตำรวจแห่กันเข้ามาก็จะต้องผ่านเขาไปก่อน
ขณะที่วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยังสระว่ายน้ำนั้น ฝนทำใจและบอกกับตัวเองอย่างเป็นการเป็นงานว่า หากไม่ทำซะวันนี้ ตัวเขาเองก็ไม่มีวันพรุ่งนี้เหลืออยู่อีกแล้ว เวลาของเขาก็อยู่ได้อีกไม่ถึงเย็นแน่นอนเพราะสิ่งที่เขาเป็นคนเริ่มไว้เอง ดังนั้นหากต้องฆ่าคนเขาก็จะทำ
พระเอกหนุ่มถีบประตูรั้วเหล็กอันลอยเข้าไปในบริเวณสระว่ายน้ำสุดแรง พอเข้าไปถึงในตัวอาคารสระว่ายน้ำ ที่หน้าเคาเตอร์มีหญิงแก่คนหนึ่งกำลังหอบข้าวของเตรียมจะหนีออกไปทางประตูข้างอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีท่าทีลังเลเหมือนมีภาระอะไรอยู่
“ ออกไป!!”
ฝนพูดห้วนๆ พร้อมกับชี้ปืนไปที่ยายแก่ท่าทางงุ่มง่าม เธอจึงตัดสินใจทิ้งข้าวของและวิ่งหนีออกไปทันทีเพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเธอ พระเอกหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะผ่อนมันออกมาเบาๆ ขณะทำใจว่าเขาจะต้องฆ่าคนทั้งหมดในสระเพื่อสร้างความอลม่านให้
ตำรวจผ่านจุดนี้ไปได้ยากๆ ฝนเก็บปืนลงกระเป๋าแล้วรีบเดินอ้อมเสาไป เพื่อทำอย่างที่ใจคิดไว้อย่างแน่วแน่ แต่แล้วภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำเอาฝนสลดจนหน้าซีดกับสิ่งที่เขากำลังจะต้องทำ เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยเด็กอนุบาลนับสิบๆคน ซึ่งมาทัศนศึกษา โดยมีนักศึกษาหญิงคณะศึกษาศาสตร์คนหนึ่งยืนคุมอยู่ เด็กๆจ้องฝนตาแป๋วด้วยความสงสัย เขาเองก็ยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก จนหญิงสาวซึ่งเป็นคุณครูฝึกหัดเริ่มขยับตัวและต้อนให้เด็กๆเดินออกไปทางหลังสระ เพื่อตรงไปยังสนามกีฬากลาง
“ เดี๋ยว ”
ฝนเผลอหลุดปากออกไปจนคุณครูสาวชะงักลง
“ อย่าไปทางสนามบอล ”
สาวในชุดวอร์มและเด็กๆต่างมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“ ทำไม ”
เธอถามกลับมาห้วนๆอย่างไม่ไว้วางใจฝน พระเอกหนุ่มตัดสินใจรูดซิปปิดกระเป๋าเพื่อไม่ให้เห็นของที่อยู่ข้างในก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาสาวผิวขาวหน้าใสดูใจดี เมื่อห่างกันประมาณก้าวเศษๆ ฝนก็ป้องปากบอกที่ข้างหูเธอเบาๆ
“ ถ้าไม่อยากให้พวกเด็กๆตาย เธอต้องพาพวกเขาอ้อมไปทางสนามเทนนิส”
น้ำเสียงที่จริงจังกลับทำให้หญิงสาวสงสัย และยังคงยืนนิ่ง
“ จะไปก็ไปเดี๋ยวนี้! รีบไปซี่!!!”
ครั้งนี้น้ำเสียงเอียงไปทางตวาด จนพวกเด็กๆสะดุ้งและบางคนก็เริ่มงอแง หญิงสาวหน้าขาวใสขมวดคิ้วน้อยๆของเธอเข้าหากันแต่ก็ก้มหัวให้ฝนอย่างนอบน้อม
“ ยังไงเราก็ขอบใจนายแล้วกัน”
แม้จะสงสัยว่าฝนจะไม่ไปกับเธอหรือยังไงและฝนจะอยู่ที่นี่เพื่อทำอะไร แต่ครูสาวรู้ดีว่ายิ่งช้า ก็ยิ่งหมายถึงอันตรายที่จะเกิดกับชีวิตเด็กๆ หล่อนจึงต้อนเหล่านักเรียนตัวน้อยๆออกไปตามทางที่ฝนว่าไว้ พอพวกเด็กๆออกไปจนหมดและในสระว่ายน้ำก็ไม่เหลือใครอยู่เลยซักคน นั่นก็หมายความว่า ความวุ่นวายในส่วนนี้จะไม่เป็นไปตามแผนของฝน และพวกตำรวจก็คงจะมาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ทางเดียวที่เขาจะกั้นตำรวจมากมายไว้ให้ได้นานที่สุดก็คือ การเอาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อเป้า
ห้านาทีต่อมา พระเอกหนุ่มยืนจังก้าอยู่คนเดียวกลางถนนหน้าสระว่ายน้ำเพื่อดักคอยฝูงตำรวจที่กำลังจะมา หากเขาหนี แผนการของเขาก็จะพังเพราะตำรวจจะพากันบุกเข้ายึดพื้นที่และควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนที่จะมีคนตายมากพอ ที่จะพาพวกเขาไปยังอีกโลกหนึ่งตามที่เชื่อกัน แม้จะไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่ก็เป็นเพราะเขาเป็นคนวางแผน จึงมีคนตายมากมายก่ายกอง ฝนรู้อยู่แก่ใจแต่ก็เพื่อไปยังอีกโลกหนึ่ง เพื่อที่จะไปชดใช้กรรมที่ตนเคยทำไว้กับน้องสาวของตนเอง
และแล้ว ก็เป็นไปตามที่ฝนคาดการไว้ เสียงไซเรนดังมาแต่ไกล แม้จะมองยังไม่เห็นแต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีมากกว่า 10 คัน คงเกณฑ์คนมาจากทั่วทั้งจังหวัด ตามที่ฝนคาดเดาไว้แน่ๆ พอรถเข้ามาใกล้ได้ระยะ ผลไม้พื้นเมือง(น้อยหน่า)ในกระเป๋า Out door ก็ถูกงัดออกมาล่อให้พวกตำรวจตกใจกลัว และไม่กล้าฝ่าหน้าสระว่ายน้ำไปในตัวมหาวิทยาลัย เมื่อพวกตำรวจพากันมาอออยู่หน้าบริเวณสระว่ายน้ำ ฝนก็จัดการรัวกระสุนปืนกลมือ ใส่ล้อและกระโปรงรถเพื่อขู่ขวัญนายตำรวจ ซึ่งแต่ละคนมีแค่ปืนลูกโม่บรรจุเพียง 6 นัด ติดมือมา ขณะที่พระเอกหนุ่มพยายามใช้สมาธิในการยิงปืนเป็นร้อยๆนัดโดยไม่ให้โดนคนเลยแม้แต่คนเดียวเสียงตึกถล่มจากคณะมนุษยศาสตร์ฝีมือป้อมก็ดังสนั่นขึ้น เหล่าตำรวจพากันหมอบหลบลงใต้รถอย่างตระหนก ฝนจึงพอจับต้นชนปลายได้ว่าเสียงระเบิดที่ทำเอาหูแทบแตกนั้นเป็นหนึ่งในแผนของเขา พระเอกหนุ่มของเราก็หลบมุมเข้าไปในบริเวณสระว่ายน้ำเพื่อยึดเป็นที่กำบังและต่อกรกับกลุ่มตำรวจที่กำลังจะมาเพิ่มพร้อมอาวุธครบมือ ฝนตรงดิ่งเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ติดกับสระน้ำและดึงโต๊ะเหล็กอันเคยเป็นโต๊ะตรวจบัตรลงว่ายน้ำมาเป็นที่กำบังหน้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าขนาดใหญ่ แต่แล้วใจของหนุ่มนักศึกษาผู้รอบคอบก็แทบละลายกลายเป็นของเหลวกับภาพที่พบเห็นตรงหน้า ครูฝึกหัดคนที่เขาไล่ให้ออกไปเมื่อครู่พึ่งโผล่พรวดออกมาจากห้องน้ำหญิง ในมือกำกล้องยาสูบของคนเป็นโรคหอบหืดไว้แน่น ให้ตายสิ ฝนพึ่งเคยรู้สึกอยากจะตบผู้หญิงจริงๆก็วันนี้แหละ เขาทิ้งปืนลงข้างตัวและตรงดิ่งไปบีบไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้แน่น
“ เธอกลับมาทำไมเล่า! ก็เราบอกแล้วว่าให้รีบพาเด็กๆ ออกไปให้พ้นๆ กะอีกแค่ยาสูบนี่ไปหาซื้อใหม่ก็ได้”
หญิงสาวผู้โดนตะคอกน้ำตาคลอขณะปัดมือของฝนออกจากไหล่
“จะไปหาซื้อที่ไหนเล่าตอนนี้น่ะ......เด็กคนนึงกำลังจะหายใจไม่ออกตาย จะให้เราทิ้งเค้าไว้แล้วพาคนอื่นหนีหรือไงห๊ะ แล้วเลิกตะคอกซะทีได้มั้ย ถ้าเราเกะกะนายมากนักก็ยิงเราซะเลยก็หมดเรื่องแล้วนี่!!”
ฝนซัดหมัดขวาเข้ากำแพงด้วยโทสะ เนื่องด้วยความจนตรอกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ โธ่เว้ยยย!!!!!!!!”
เขาชกซ้ำที่เดิมอย่างไม่ได้ใส่ใจกับความเจ็บปวด หญิงสาวจับแขนเขาไว้เพื่อรั้งไม่ให้ทำอีก
“ เธอ...ทำไม”
ฝนจ้องตาของสาวสวยในระยะห่างกันแค่คืบเดียว เหมือนจะบอกว่า
“ เธอจะถามอะไรก็ถามมา” หญิงสาวพูดต่อเร็วปรื๋ออย่างไม่สบายใจ
“ ทำไมต้องเครียดขนาดนี้ด้วย”
“ เธอน่ะออกไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ ตำรวจล้อมสระน้ำไว้หมดแล้ว”
ฝนพูดตอบอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากหญิงสาวเลย เพียงแต่เขาหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าเธอเพราะรู้สึกผิด
เวลาล่วงเลยไปเกือบๆครึ่งชั่วโมง เก่งไปถึงคณะของตนด้วยการวิ่งไปจากโรงอาหารกลางซึ่งกินเวลามากๆ หนุ่มตัวกระจ้อย ร่างกายไม่แข็งแรงบวกกับที่บ้านไม่ให้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ จึงมีปัญหาอย่างมากในการเดินทางระยะไกลเมื่อไม่มีใครไปรับไปส่ง กระสุนปืนที่แบกมาเยอะจนเกินไปทำเอาเก่งต้องหยุดยืนหอบ เพราะวิ่งไปแบกของไป เพื่อจะทำเวลาให้ทันเพื่อนๆและเหตุผลหลักก็คือ ตามหาอาจารย์สุดที่รักซึ่งทำให้เขาต้องโดนรีไทร์
เก่งดึงปืนกระบอกเล็กที่สุดออกมายิงใส่คนในอาคารเรียนอย่างไม่มีเหตุผล เพราะเขาเริ่มเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นใครก็ตามวิ่งผ่านมา เขาก็ยิงใส่หมดไม่เลือกหน้า....กลัวที่จะถูกสวน กลัวที่จะมีคนสู้ เก่งยิงใส่ไม่เลือกแม้แต่เด็กและคนแก่ หนุ่มตัวน้อยปีนป่ายขึ้นบันไดไปยังชั้นสองอย่างเหนื่อยหอบ เพื่อไปยังห้องพักของอาจารย์ในตัวอาคารที่อยู่ถัดไป ผู้คนในบริเวณนั้นมีไม่มากนัก ต่างก็หนีตายไม่ต่างจากที่โรงอาหารกลางเลย ทันทีที่เข้าสู่ตัวอาคารอันมีห้องพักของอาจารย์หัวหงอกสุดที่รักของหนุ่มน้อย ชายแก่ซึ่งกำลังจะหนีลงบันไดถูกรัวกระสุนใส่อย่างตื่นตระหนกทั้งฝ่ายยิงและฝ่ายถูกยิง กระสุนพลาดทุกนัด จึงทำให้ชายแก่ตัวยาวตะเกียดตะกายหนีขึ้นบันไดกลับเข้าห้องของตัวเองได้ทันก่อนที่เก่งจะเริ่มยิงปืนชุดต่อไปได้
“ เปิดซิวะไอ่แก่”
เก่งกระโดดถีบประตูจนใจอาจารย์ผู้โชคร้ายสะเทือนจนแทบระเบิด ชายแก่พยายามดันประคองลูกบิดประตูไว้สุดกำลังอย่างสั่นเทา หนุ่มตัวน้อยถีบประตูอีกสองสามที แล้วจึงหยุดไปเสียเฉยๆ อาจารย์โย่งหัวหงอกเองก็แปลกใจและคิดปลอบใจตัวเองไปว่า ไอ่ปีศาจตัวน้อยนี่คงจะยอมแพ้และจากไปแล้ว
“มึงไม่เปิดแน่นะ!!”
บรึม!!
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นเสียงสนั่นหวั่นไหวจากปืนลูกซองสั้นที่ระเบิดประตู และมือขวาของชายแก่โชคร้ายกลายเป็นผุยผง
“อ๊ากกกกกก!!!!! Arghhhhhhhhh!!!!!”
ชายชราล้มลงดิ้นอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวดที่เสียมือขวาไป เลือดอาบไหลทะลักออกมาอย่างน่าสยดสยอง เมื่อเก่งเปิดประตูเข้ามาพบสภาพอันน่าสังเวทของอาจารย์สุดที่รักของเขา เด็กขี้ขลาดก็ยิ้มอย่างผู้มีชัย
“ สวัสดีครับอาจารย์”
เก่งพูดด้วยเสียงสั่นๆ ขณะขยับหัวไหล่ไปมาเนื่องจากเคล็ดขัดยอกที่ยิงลูกซองเมื่อครู่ มืออีกข้างก็ชี้ปืนกระบอกเล็กไปที่แก้มของอาจารย์แก่ผู้กำข้อมือตัวเองไว้แน่น
“ เธอ..เธอทำอย่างนี้มันไม่ฉลาดนะ นายราวี...”
หนุ่มน้อยยิ้มด้วยใบหน้าอันดูประหลาด ให้อาจารย์ของเขาอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดวิงวอนต่างๆนาๆของอาจารย์แก่
“ แล้วตอนที่ผมขอให้อาจารย์ช่วยผม อาจารย์เคยใส่ใจมั้ย!!!”
ตูม!!!!
เสียงกระสุนระเบิดขึ้นด้วยอารมณ์อันรุนแรงของหนุ่มตัวน้อย ลูกตะกั่ววิ่งผ่านเข้าหัวเข่าข้างซ้าย ป่นกระดูกหัวเข่าจนเละ เลือดสาดไปทั่ว เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ที่เคยสร้างความแค้นให้เด็กหนุ่มดังโหยหวน ขาดๆ หายๆ ก่อนจะเป็นลมไป เก่งกัดฟันอย่างเสียสติ ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปกระชากคออาจารย์แก่ขึ้นมาเพื่อปลุกให้ตื่น พอเห็นว่าไม่ได้ผล เขาจึงหยิบแจกันใกล้ๆฟาดใส่ศีรษะของชายแก่จนแตก เลือดกระฉูดทะลักออกมาเปื้อนเสื้อของหนุ่มตัวน้อย น้ำในแจกันเป็นสิ่งที่เรียกสติชายแก่กลับมาพบกับความโหดร้ายต่อ เก่งเตะเข้าที่ลิ้นปี่ชายแก่อย่างเคียดแค้นและขยะแขยง อาจารย์ผู้โชคร้ายแทบจะไม่ไหวติงอีกต่อไปหลังจากโดนเตะอัดเป็นครั้งสุดท้าย เก่งยัดปืนสั้นเข้าไปในปากชายแก่อย่างหมดอารมณ์ ลูกตาที่แทบจะปิดอยู่แล้วของชายแก่ประสานกันกับตาอันวาวโรจน์ของหนุ่มตัวน้อย
“ ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกนะครับอาจารย์”
ชายแก่ส่ายหน้าไปมาเมื่อรู้ชะตาชีวิตตนเอง
“ คราวหน้าผมจะเอ็นดูอาจารย์ให้มากกว่านี้......”
เสียงตูมสุดท้ายระเบิดทะลุท้ายทอยจนเลือดกระเซ็นเต็มใบหน้าของเก่งหนุ่มน้อยบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จตามที่ต้องการ และเขาเองก็กลัวเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปคนเดียว เก่งตรวจกระสุนดูว่ามีอยู่ในแม็กกาซีนหรือไม่ เขานั่งทำใจอยู่นาทีเศษๆ เพื่อจะยิงตัวตาย
แต่นาทีเศษๆ มันนานพอที่จะมีคนนอกโผล่มายุ่งได้ นักศึกษาชาย หกคนโผล่มาหน้าห้องอาจารย์แก่ผู้เคราะห์ร้าย ในมือถือเหล็ก ค้อน และแชลง มาพร้อมเหมือนเจตนาจะมาเพื่อแก้แค้นให้อาจารย์อันเป็นที่เคารพของตน เก่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก และไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสู้กับชายถึง 6 คน ในห้องซึ่งไม่มีทางหนีได้
“มึงว่าไงนะ!!!! รถตำรวจพังไปสี่คัน!!”
“พวกมันมีอาวุธสงครามครบมือ คิดว่าแค่นี้เราเอามันไม่อยู่แน่ครับ”
“มึงอย่า ‘คิดว่า’ สิวะ เอาให้มันแน่ๆ!!”
“แค่กำลังตำรวจไม่พอรองตีนมันแน่ครับจ่า”
“แล้วมรึงจะให้กรูไปหาผีที่ไหนมาอีกล่ะไอ้...แม่ม โว้ยยย!!!”
“ผม...ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“เออ!!”
“ตะ
ตอนนี้ยังเข้าไปในมหา’ลัยไม่ได้เลยครับ”
“ก็หาทางเข้าไปให้ได้สิวะ!! ถ้าอีกสิบนาทีมึงยังทำห่าอะไรไม่ได้มึงอย่าเสือกเอาหน้าโง่ๆของมึงมาโผล่ใกล้ๆตีนกูล่ะ!!!”
ปั้ง!! เสียงกระแทกหูโทรศัพท์ดังอยู่กลางโรงพักใหญ่ จ่าย้อยพาพุงอุ้ยอ้ายเดินกุมขมับวนไปมาด้วยความหัวเสีย พลางสบถด่าทอพวกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ดันไปพักร้อนกันหมดพอดี...
“แล้วกูจะทำไงวะเนี่ยยย!!!”
ทันไดนั้นตำรวจหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นว่า...
“จ่าครับ
”
“อะไรมึง!”
เสียงดังเกือบจะเป็นตะคอกชะงักตำรวจหนุ่มหน้าจืดไว้
“ลองแจ้งขอกำลังเสริมจาก มทบ. ดูมั้ยครับ....”
พอพูดจบกะโหลกก็โดนตบทันได
“มึงไปเลย! เจียมเนื้อตัวกลับช่องกลับรูไปทำงานเลย! เป็นใครมาสอนกูวะ!!”
เราชาวไทยรู้ดีว่าทหารกับตำรวจบ้านเรารักกันปานจะฆ่า(ยกเว้นไอ้บ้าหน้าจืดนี่) การขัดขาระหว่างงานมีประจำเป็นนิจศีล ฝนคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า เหตุการณ์จะต้องบานปลายกินเวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่พวกตำรวจจะเลิกหยิ่ง และยอมให้ทหารเข้าจัดการ แต่มันก็ไม่เป็นไปตามแผนของฝนเสียทั้งหมดซะทีเดียวหรอก..
โครม!!
ประตูโรงพักกระทบผนังเผยให้เห็นร่างชายวัยฉกรรจ์ในเครื่องแบบสัญญาบัตรสีเขียวกากี หนวดเคราซึ่งไม่ได้โกนมาสามสี่วันเต็มใบหน้า คาบบุหรี่นอกมือถือแฟ้มหนา มีลูกน้องในชุดทหารหน่วยรบพิเศษเดินเรียงหน้าตามเข้ามา...
“ใครเป็นผู้บัญชาการที่นี่!?”
ทหารหนุ่มหน้าเข้มพูดห้วนๆ
“ค..ครับ”
เป็นคำเดียวที่จ่าอ้วนสามารถพ่นออกมาจากปากในลักษณะสำลักได้ จ่าย้อยพยายามมทำตัวให้ ‘น่าเอ็นดู’ ที่สุดเพราะสำเหนียกว่าถ้าไปกร่างกับชายที่อยู่ตรงหน้าคงได้กลับไปขายเต้าฮวยข้างถนนเป็นแน่...
“โทรศัพท์สายแรกแจ้งเข้ามาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่คุณไม่รายงานอะไรให้หน่วยเหนือทราบซักเรื่อง! มันหมายความว่ายังไงครับเนี่ย!!!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากจ่าย้อย ให้พูดจริงๆเขาไม่รู้ว่า ‘หน่วยเหนือ’ ที่ว่าคืออะไรด้วยซ้ำ ก็เพราะระบบยืดยาดของราชการไทยที่เป็นมาช้านานนั่นแหละ
“ช่างมันเถอะครับ แต่ต่อจากนี้ไปผมจะเข้าควบคุมสถานการณ์และมีอำนาจสั่งการทุกอย่าง ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไร เชิญถามมาได้เลย”
ทหารหนุ่มใหญ่เขี่ยบุหรีทีหนึ่งแล้วสั่งลูกน้องกวาดของลงจากโต๊ะทั้งหมดและเริ่มติดตั้งเครื่องมือสื่อสารขนาดใหญ่ พร้อมแผนที่มหาวิทยาลัย
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าจะให้ผมเรียกท่านอย่างไรครับ..”
“เรียกพัน’รุจน์ ก็ได้”
ชายในชุดสีกากีเขียวไม่แม้แต่จะมองหน้าจ่าย้อย และเริ่มติดต่อทางวิทยุสื่อสารทันที
“ครับ...ขอกำลังเสริมด่วนที่สุดครับ...ใช่ครับ...ขอบพระคุณมากครับ”
หนุ่มไฟแรงยิ้มที่มุมปากถูมือไปมาอย่างมันเขี้ยว จนจ่าย้อยถามว่า
“หน่วยเหนือ...จะส่งใครมาช่วยเหรอครับ”
ผู้พันรุจน์หันมายิ้มให้จ่าย้อยด้วยใบหน้าอันดูโฉดและชั่วร้ายสุดจะบรรยายได้...
“หน่วยต่อต้านก่อการร้าย หน่วย SAAT (Special Armed Assault Team) ไงล่ะครับ!!”
บนคอนโดหรูใจกลางเมืองห่างจากมหาวิทยาลัยออกไปเพียงกิโลเศษๆ สาวลูกครึ่งเกาหลีสุดสวยนั่งจ้องทีวีตาโต เพราะมีการหยุดรายการชั่วคราวเพื่อรายงานข่าวนรกอุบัติในมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้เคียง สาวสวยผิวขาวเนียนหยุดทานอาหารสุดหรูบนโต๊ะ ตาจดจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพที่ดาดฟ้าของตึกคณะวิทยาศาสตร์ในมุมสูง ปรากฎร่างชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่เด่นชัดกลางฝูงชนหนีตาย หญิงสาวน้ำตาคลอเอ่อเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ซึ่งอดีตแฟนหนุ่มของเธอมายืนดักรออยู่ที่หน้าคอนโดกลางสายฝน ปากพร่ำบอกเธอว่า “รักเธอ” แม้ว่าจะแยกทางกันไปได้ครึ่งปีแล้วก็ตาม แต่เธอกลับไล่เขากลับไปเนื่องจากอายสายตาคนรอบข้าง และก่อนที่เขาจะจากไป เขากำชับเธอไว้ว่า
“พรุ่งนี้...อย่าไปที่มอนะ....อย่าไปเด็ดขาด ...จะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ห้ามไป!!”
เธอก็รับคำเขามาเสียดื้อๆเพราะชายหนุ่มเริ่มจะมีอาการโวยวาย และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงเขาพูดกับเธอ นั่นจึงทำให้เธอจริงจังกับคำสั่งนี้มาก เพราะจริงๆแล้วเธอก็ยักรักเขาที่สุดไม่อาจตัดใจได้ แต่ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวเธอหมายมั่นเธอกับลูกหลานนักการเมืองใหญ่อิทธิพลมากเธอจึงไม่อยากให้เขาต้องเดือดร้อนจึงเลิกรากันไปโดยที่เธอไม่ยอมบอกความจริงแก่เขา
“ไม่นะ...เอก..”
เธอร่ำร้องออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบพวงแก้มคู่งามอย่างน่าเวทนาสงสาร...
หนุ่มหน้าเข้มหล่อล่ำโยนปืนลูกซองที่ว่างเปล่าไม่เหลือกระสุนทิ้งลงจากตึก ปลดสายสะพาย เครื่องยิงระเบิดประทับบ่าเล็งเข้าใส่ เฮลิคอปเตอร์นักข่าวทันที
“รำคาญจริงโว้ย!!! ไอ้ แมงนี่”
ระเบิดขนาด 32 มม.โดนที่ส่วนเครื่องยนต์ใต้ใบพัดอย่างจับวาง ‘แมงนั่น’ก็หมุนคว้างตกลงไปยังพื้นเบื้องล่างเสียงระเบิดฉีกร่างของผู้เคราะห์ร้ายปลิวว่อนเหมือนใบไม้ร่วง
หนุ่มกล้ามโตโยน เครื่องยิงระเบิดรุ่นล่าสุดจากจีนทิ้ง แล้วหยิบปืนแกตลิ่ง 6 ลำกล้อง มาเป็นคู่มือแทนแล้ววิ่งบู๊ขึ้นไปบนดาดฟ้ายิงคนระหว่างทางไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนผู้คนหนีร่นไปถึงมุมตึกซึ่งเป็นทางตันด้วยความสูงกว่า 10 ชั้น แต่ละคนเสียสติแทบบ้าคลั่งบ้างก็ผลักกันไปรับกระสุนแทนข้างหน้าบ้างก็กระโดดตึกหวังไปตายดาบหน้า แม้สามัญสำนึกความเป็นคนจะห้ามเขาให้หยุดการกระทำการอันโหดร้ายนี้อยู่ทุกลมหายใจ แต่ก็ยังไม่เท่ากับความโศกเศร้า อารมณ์รุนแรงเคว้งคว้าง โทสะและความเจ็บปวดที่คอยหลอกหลอนครอบงำจิตใจของเขาให้ลืมความกลัวที่จะต้องตายในวันนี้ไปหมดสิ้น
“พี่เอก...เดี๋ยวก่อนพี่เอก~หยุดนะ!”
เสียงใสๆของสาวน้อยคนหนึ่งผ่านเสียงระงมของฝูงคนจนตรอกมากระทบโสตของเอกพร้อมกับร่างของเธอที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า...
เจ้าหน้าเข้มเห็นเข้าก็หยุดยิงด้วยความประหลาดใจที่มาเจอคู่ควงสมัย ม.ปลายในที่แบบนี้เอกลดเจ้ามฤตยูหกลำกล้องลง แล้วหยิบ GLOCK 19 สีดำมันปลาบออกจากเอว...
“น้ำหวาน..”
สุดหล่อเรียกชื่อเธอหน้าตายพร้อมจ่อเจ้าปืนล้มช้างไปที่จมูกเล็กๆของหล่อน
“ทำไม...”
เธอถามคำถามที่ไม่อาจเข้าใจได้แก่เขา ขณะร้องให้สะอึกสะอื้น
“ ‘ทำไม’ อะไร!?” เอกลดนิ้วลงจากไกปืน
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้....(~ฮึก)...ทำไมต้องฆ่าคนด้วย....แล้วทำไม...”
เธออ้ำอึ้งไม่มั่นใจที่จะถามคำถามถัดไป....
“ทำไมพี่ทิ้งฉันไปล่ะ!?”
เธอสำรอกมันออกมาจนได้ สี่ปีแล้ว สี่ปีที่เขาทิ้งเธอมา....
“ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะ!!? เพราะเธอมันโกหก หลอกลวง เธอไม่ได้รักชั้นเลย!! แค่คบชั้นไว้ไปอวดคนอื่น หลอกใช้ชั้น ก็เท่านั้นไม่ใช่เหรอ!!! ที่เธอทำกับชั้น!! ทำกับช้านนนน”!!!
พร้อมกับสีหน้าอันดุดันหน้ากลัว เขาพ่นความเคียดแค้นความรู้สึกที่คอยกดทับเขามาตลอดออกมาด้วยเสียงอั้นสนั่นลั่นฟ้า
“พะ...พี่เอก...”
หญิงสาวเริ่มน้ำตาคลออีก หนุ่มหน้าเข้มเริ่มสับสน ผู้คนที่จนตรอกต่างภาวนาให้สาวน้อยคนนี้กล่อมชายบ้าคลั่งนี้ให้สงบลงได้
“ฉันรักพี่นะ...รักมาตลอด ที่ฉันเลือกมาเรียนที่นี่ก็แค่อยากจะเจอพี่อีกซักครั้ง”
“ตอนนี้ชั้นก็เจอพี่แล้ว...แล้วทำไม
ทำไมพี่ต้องทำอย่างนี้”
เธอพูดไปทั้งน้ำตาอาบไปทั่วอย่างน่าสงสาร เกินกว่าบุรุษเพศผู้ใดจะทนเห็นทำเย็นชาได้ เธอเดินเข้ามาใกล้อีก ราวกับไม่กลัวปืนกระบอกยักษ์ที่กดอยู่ที่เนินอกนุ่มๆของเธอแม้แต่น้อย
“เลิกเถอะพี่...พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกซักหน่อย...”
เอกสัมผัสมือเล็กผอมบางที่ลูบไล้อยู่ที่แก้มของเขา แต่..สมองกลับสั่งให้เขากระชากมือเล็กๆนั่นออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์...ไม่ใช่ไม่มีความรู้สึก แต่เมื่อใจได้รับความเจ็บช้ำแสนสาหัสมาครั้งหนึ่ง มันก็ไม่อาจจะสัมผัสถึงความอบอุ่นอันล่อแหลมใดๆได้อีกแล้ว...
“น้ำหวาน....น้ำหวานพูดจริงนะ”
“จริงค่ะพี่..”
“น้ำหวานจะรักพี่ตลอดไปใช่มั้ย?”
“ใช่จ๊ะ”
น้ำหวานยิ้มให้กับเอก รอยยิ้มอันสดใสนั้นออกมาจากใจจริงของเธอ แหละเหมือนกับจะมอบให้กับเอก...จะให้เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น...
ปัง!!!
อาวุธประจำกรมสรรพาวุธทหารแผดเสียงหนักๆของมันออกจากลำกล้อง กระสุน 9 มม.พลันระเบิดควงสว่านฉีกหัวใจของเธอออกเป็นรูกลวงน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก...
“มึง หลอก กู ไม่ ได้ ร้อกกกกกกก!!!!!!”
ร่างเล็กๆปลิวว่อนไปตามกำลังนับหมื่นปอนด์ สติของเธอหายวับไปในทันทีเหลือเพียงแต่ร่างที่นอนสงบอยู่เท่านั้น
“ผู้หญิงอย่างมึงน่ะ มันเอาไว้ไม่ได้ คิดว่ากูโง่มากใช่มั้ยยย!!!!”
เขาฉุดแขนซ้ายของร่างไร้วิญญาณนั้นขึ้นและเหวี่ยงทิ้งร่างของหล่อนลงไปจากดาดฟ้าอย่างไร้ความอาทร ลำแขนกำยำสอด GLOCK 19 เข้าเข็มขัดตามเดิมและหยิบ ‘มฤตยูหกลำกล้อง’ ขึ้นมาอีกครั้ง
“ได้เวลาตายแล้วเว้ย...”
เสียงโหยหวนของผู้คนที่จนตรอกสิ้นหวังดิ้นพล่าน ห่ากระสุนแหวกผ่านอากาศฉีกผ่าร่างผู้เคราะห์ร้ายอย่างโหดเหี้ยม ทั่วทั้งดาษฟ้าอาบไปด้วยเลือด...
พรึ่มๆๆๆๆ
เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังเป็นจังหวะมาจากข้างหลัง หนุ่มหน้าเข้มมองไปที่ขอบฟ้าไกลลิบเห็นจุดดำสองจุดบินตรงมาหาเขา หนุ่มหน้าเข้มบรรจุกระสุนปตอ.รอต้อนรับทันที แต่เมื่อมันเข้ามาได้ระยะที่พอจะมองเห็นชัดๆ มันกลับไม่ได้มุ่งมาทางเขา เอกนั่งกอดเข่ารอการมาของสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์นักข่าวแต่เมื่อมันลอยพ้นขอบตึกมาให้เห็นถนัดตาแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้...
มันยังเป็นเฮลิคอปเตอร์ตามที่เขาคิดไว้ก็จริง...แต่มันไม่ได้ประทับตราสำนักข่าวใดๆ
แต่เป็นเฮลิคอปเตอร์ลำสีเขียวที่ประทับตรามงกฏครอบกงจักรสีทอง!!!
หนุ่มยุ่นผมยาวขัดดาบทั้งสองเล่มไว้ที่เข็มขัด สะพายเป้หลังให้กระชับ สายตาก็จับจ้องมองไปยังสนามกีฬากลางแต่ซามูไรหนุ่มกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจจะบอกได้
“คอร์ดเทนนิส
..เรอะ
ต้องมีอะไรดีๆแน่”
ซานาดะลืมแผนการของฝนไปหมดสิ้นแล้วมุ่งตรงไปตามความรู้สึกของตนทันที
ยังมีคนประเภท “ไทยมุง” อีกมากที่ความอยากรู้อยากเห็นพาให้ชีวิตปลิวหายไป ซามูไรกระหายเลือดพลันกวัดแกว่ง สะบัดคมดื่มเลือดอย่างเมามัน โลหิตแดงฉานไปทั่ว
แม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน ที่สนามเทนนิสก็ยังมีภารโรงและคนขับรถที่มาหลับพักอยู่มากมาย
บรึมมม!!!!
เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวก็ดังมาจากคณะมนุษย์ฯ ถึงกับทำให้ซามูไรหนุ่มต้องดึงดาบออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็สมเพชตัวเองที่ตกใจไม่เข้าเรื่องเพราะขณะนี้เขารู้แล้วว่านั่นเป็นฝีมือของเด็กวัดหัวหยิกนั่นเอง
ทันไดนั้นสายตาของเขาก็แลเห็นกลุ่มคนเดินออกมาจากห้องชมรมดูท่าทางน่าจะเป็นพวกนักกีฬาและกลุ่มคนที่ทนการกระทำริยำบัดซบของพวกซานาดะไม่ได้ พวกนี้ก็ไม่ได้มามือเปล่าในมือก็มีมีด ไม้ เหล็ก มาพร้อมสรรพเช่นกัน
“เฮ้ย!! ไอ้ตาตี่ วางดาบลงซะถ้ามึงไม่อยากตาย!! พวกกูมีกันเป็นสิบ ถ้ามึงคิดว่าจะรอดมึงลองดูก็ได้!!!”
หนุ่มผิวคล้ำกล้ามโต พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“เก๋าเหรอวะ สาดด!!”
กลุ่มชายฉกรรจ์แยกกันเดินเข้าล้อมซานาดะไว้ห่างๆ
“มึงฟังภาษาไทยไม่ออกรึไงห๊ะ!! ไอ่กันดาร!!!”
หนุ่มตัวโตยืดอกกระแทกกับซานาดะ แต่ซามูไรหนุ่มไม่นำพา กลับยิ้มใส่อย่างเย้ยหยัน
“ยิ้ม หา เตี่ยมึง’ไง! มีด่งมีดาบนึกว่าจะสู้พวกกูได้!!”
หนุ่มจากแดนปลาดิบเก็บดาบลงฝักแล้วยกมือทั้งสองขึ้นช้าๆ
“ฮี่โธ่!! เก๊กตั้งนาน มาเจอของจริง ป๊อด!!!”
กลุ่มชายฉกรรจ์พลันโพล่งหัวร่อออกมาขบขันพร้อมกับขยับวงล้อมเข้ามาใกล้ขึ้น หวังจะกลุ้มรุมทุบตีให้สมแค้นที่ฆ่าบรรดาเพื่อนฝูง
“มึงลองนี่!!”
หนุ่มตัวโตที่ยีนข้างหลังเงื้อไม้ขาโต๊ะเขื่องๆขึ้นฟาดลงมาหมายให้โดนเข้ากลางกระหม่อมหนุ่มยุ่นแต่แล้ว...
พริบตานั้นเอง หนุ่มลูกครึ่งผมยาวก็ลดมือลง มุรามาสะปลิวหวือติดมือขึ้นมาเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับส่งดาบชำแรกกบาลหนุ่มเคราะห์ร้ายเป็นสองท่อน
“เหวอ! ไอ้เปรตนรกเอ้ยยยย!!!”
หนุ่มนักกีฬาอีกสามคนพุ่งเข้าไปที่ตัวซานาดะพร้อมๆกัน ฟาดท่อนเหล็กกะเน้นๆที่กะโหลก แต่เสือดาบตาไวก้มหลบพร้อมดาบที่ฟันผ่านตัวมันขาดสะพายแล่ง และหันหน้ามาอีกทางหนึ่งซึ่งหนุ่มอีกคนไม่ทันรู้ตัวว่าคมดาบพึ่งตัดสะเอวมันขาด ซามูไรหนุ่มกลับมือจับดาบเสยร่างไอ้คนสุดท้ายแยกซ้ายขวา คนที่เหลือพยายามเข้าไปช่วย ซานาดะปัดป้องไปซักพักก็รู้ว่าคนที่เหลือฝีมือและการเคลื่อนไหวไม่ธรรมดาทีเดียว ก็แยกปะทะกับกลุ่มคนที่เหลือ จรดดาบ ล้อมซานาดะเป็นวงห่าง
“เป็นไงล่ะไอ่เผือก มึงไม่ได้เก่งอยู่คนเดียวหรอกโว้ย ”
หนุ่มผิวคล้ำคนนำพูดพลางจรดท่อนเหล็กในมือชี้ไปที่ซานาดะ
สิ้นคำ ซานาดะพยักหน้ารับนิดนึง ยิ้มที่มุมปากก่อนเก็บดาบลงฝักอย่างรวดเร็วแล้วสองมือ ชัก Mini Uzi ทั้งคู่ รัวกระหน่ำใส่ร่างกลุ่มคนที่ห้อมล้อมจนปรุพรุนคล้ายรังผึ้ง นอนดิ้นเจ็บปวดทรมานน่าเวทนา ในที่สุดมฤตยูสัญชาติยิวทั้งสองกระบอกก็เงียบเสียงของมันลง ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณเกลื่อนกลาดทั่วคอร์ดเทนนิส
“โง่ฉิบหาย คิดว่ากูมีแต่ดาบ”
ซานาดะเย้ยหยันในสติปัญญาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อกระสุนของเขา
เสร็จธุระที่คอร์ดเทนนิส หนุ่มร่างบางบรรจุกระสุนใส่เต็มแม๊กกาซีนอย่างสบายอารมณ์ แต่นรกจกเปรตอะไรที่ดลใจให้เขาหันไปเห็นกลุ่มเด็กอนุบาลที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มห่างออกไปไม่ไกลนัก รอยยิ้มอันน่าสยองพองเกล้าผุดขึ้นในใบหน้าของปิศาจร้อยศพอีกครั้ง พร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปที่กลุ่มเด็กทันที...
ณ ห้องโถงชมรมกีฬากลาง ดอน หนุ่มแว่นขายาวนักวิ่งตัวมหา’ลัย ซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่คิดได้ว่าเป็นการโง่มากๆที่จะออกไปเผชิญหน้ากับไอ้ฆาตกรโรคจิตจากนรกที่มีอาวุธครบมือ หลังจากโทรหาตำรวจและได้รับเพียงเสียงว่า “กูรู้แล้วโว้ย!!” ทำให้เขาเลิกคิดที่จะพึ่งตำรวจไปทันที ดอน ชะโงกมองศพเพื่อนๆด้วยความหดหู่ระคนแค้น แต่ก็รู้ว่าถ้าตนออกไปเจอกับไอ้โรคจิตที่แกว่งดาบไปมานั่น ตนก็จะมีสภาพเช่นเดียวกับเพื่อนๆเป็นแน่
‘เฉยไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว’
แต่แล้วสายตาของเขาก็มองเห็นภาพอันน่าสยองเกินจินตนาการ เมื่อซามูไรนรกนั่นสืบเท้าเข้าหากลุ่มเด็กๆที่กอดกันกลมอยู่ในรั้วคอร์ดเทนนิส มันโหดร้ายเกินที่จะจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“ไอ้บัดซบนั่น
.ฉิบหายแล้ว เวรๆๆๆๆ เชี่ยเอ้ย!!!”
รู้ตัวอีกทีขาเขาก็พาตัวมาอยู่กลางคอร์ดเทนนิสเสียแล้ว
“เฮ้ย!! ไอ่สถุลต่างด้าว!!!”
ในมือสั่นเทาแต่ยังมีแรงพอที่จะกำไม้ซอฟท์บอลไว้แน่น ซานาดะหันมามองอย่างประหลาดใจ เพราะเข้าใจว่าเขาล้างพันธุ์มนุษย์ในคอร์ดเทนนิสไปหมดสิ้นแล้ว แต่นักกีฬาตัวมหาลัยรู้ดีว่า ทางรอดทางเดียวของเขาคือล้มไอ้ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ ไม่เพียงแค่ชีวิตของเขา แต่ยังมีชีวิตน้อยๆอีกนับสิบ ในหัวคิดหาทางสารพัด มันมีทั้งดาบทั้งปืน ทำไงดีๆๆ
ปั้งๆๆ!!!!
“เฮ้ย!!”
ขาที่รับการฝึกอย่างดีความเร็วเป็นเลิศพลันพาร่างสูงโปร่งพ้นวิถีกระสุนไปได้
“โอ่!! เร็วนี่หว่า”
นักวิ่งหลบฉากเข้าหลังตึกตัวสั่น เสียงแม๊กกาซีนประกอบกับปืนดังกริ๊ก สะเทือนขวัญสั่นประสาทยิ่งนัก เสียงฝีเท้าห่างออกไปไม่ไกลนักดังขึ้นๆ แต่พระเจ้าคงยังไม่ทอดทิ้งเขานัก มีสายดับเพลิงขดอยู่บนกำแพง เขาจัดการให้มันพร้อมใช้งาน เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาๆ ดอนพอกะได้ว่าวินาทีนี้เองที่หนุ่มยุ่นโรคจิตจะโผล่พ้นขอบตึกออกมา
โฟ่ว!!
ดอนเปิดน้ำจนสุดวาล์ว ฉีดใส่เต็มร่างซามูไรโรคจิต แต่ในพริบตานั้นเอง
ชิ้ง!! ฉั่ว!
นักกีฬาหนุ่มก็รู้สึกปวดร้าวแสนสาหัสที่มือทั้งสอง มันปลิวหายไปแล้ว และต่อมาก็รู้สึกถึงดาบที่เสียบเข้าที่ท้องน้อย หนุ่มแว่นกัดฟันเงยหน้ามองภาพซามูไรเก็บดาบเข้าฝัก
ปังๆๆๆๆๆ!!!!
อ้ากกกกกกก!!!! เอี้อ!! อ่าาาาาา!!!!!
ซานาดะงัดปืนมารัวใส่แข้งยาวเหยียดของเขา จนมันพับเข้าหากันอย่างน่ากลัว หนุ่มแว่นร้องสุดเสียงร่างทรุดลงในท่าคุกเข่า เขาได้แต่พยุงตัวยันพื้นก่อนจะเงยหน้ามาพบภาพสุดท้ายในชีวิตของเขาและกล่าวคำขอโทษเด็กๆที่ไม่อาจปกป้องเอาไว้ได้
*
“เฮ้ย!! ไอ่กาม”
ติมตะโกนเรียกก้องซึ่งกำลังซุ่มยิงคนที่วิ่งกันพล่านข้างล่างอย่างเมามันส์
“โคตรพ่อมึง ไอ่กาม!!”
หนุ่มหน้าเหลี่ยมตะเบ็งเสียงขึ้นอีก เมื่อก้องทำท่าไม่สนใจและเสริฟลูกตะกั่วร้อนๆให้เหยื่อต่อไป
“กูเรียกมึงตั้งนานแล้วนะโว้ย ไอ่..”
เขาทนไม่ไหวเข้าไปประชิดตัวหนุ่มหน้าเมาแต่กลับถูกปืนกระบอกโตจ่อกบาลไว้
“มึงเรียกกูไอ่กามอีกคำหัวมึงกระจุยแน่ มึงลองม๊ะ!!! ห๊ะ!!!”
ติมเพียงแต่พยายามทำตัวไม่ให้ถูกกดขี่ แต่เขาเลือกวิธีที่ผิดเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าหน้าเหลี่ยมใช้คำด่าที่มีแต่หนวดเท่านั้นที่ก้องยอมให้เรียก
“อย่าเก๋า!!”
ก้องสุดคำดึงปืนออกจากหัวติม
“มึงจะว่า’ไร”
“ลูกพี่ให้กูมาเรียก”
ติมตอบไปทั้งที่ตัวสั่นไม่หาย เมื่อ‘ไอ่กาม’ได้ยินดังนั้นก็จัดแจงเก็บอาวุธทั้งหลายสะพายกระเป๋ามุ่งหน้าไปยังห้องชมรานาฏศิลป์ทันที
“เอ่อ...ไอ่ก้อง”
ติมเรียกสั่นๆให้ก้องรอ
“ไรมึง”
“กูว่า...เราพอแล้วดีมั้ยวะ มันจะไปกันใหญ่แล้วนะเว้ย”
ก้องหันมามองงงๆ
“ห๊ะ!!”
“คือ..กูว่าเดี๋ยวตำรวจจะแห่มาแล้วนะเว้ย”
“แล้ว...”
“ถ้าไม่โดนเก็บก็นอนคุกยาวสิวะ!!!”
ก้องทิ้งถุงปืนลงพื้นแล้วตรงเข้ากระชากคอเสื้อติม
“กู เป็น เอดส์ ยังไงแม่งก็ตายห่าอยู่ดี ไหนๆก็จะตายแล้วกูขอลากสาวแจ่มๆไปอยู่กับกูมากๆก่อนล่ะวะ”
ก้องดึงปืนจ่อใต้คางติม
“อย่า เสือก หักหลังล่ะ ให้กูเด็ดหูมึงซักข้างก่อนมั้ยจะได้เลิกปอดแหก!!”
สุดกามเลื่อนปืนไปที่หูซ้ายของติมช้าๆ จนหนุ่มหน้าเหลี่ยมอั้นฉี่ไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ติมส่ายหน้าไปมาหลับตาปี๋ ก้องเห็นดังนั้นก็ขว้างติมลงทันที
“รีบตามกูมา เสียเวลาเพราะมึงนี่แหละ ปอดแหกไม่เข้าท่า”
ก้องหันหลังเดินต่อไป แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นการตัดสินใจผิดครั้งสุดท้ายของเขา!!
ปัง!!!
ก้องรู้สึกถึงแรงกระชากที่อกด้านซ้ายพอก้มหน้าลงก็เห็นสีแดงขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ติมชี้ปืนมาที่ก้องอย่างสั่นเทา...
“ไอ้..เหี้ย..เหลี่ยมมม”
“มะ..มึงตายคนเดียวเหอะ...กู....กูไม่เอาด้วยแล้วววว!!!”
ฝ่ายหัวหน้าแก๊งสุดแกร่ง ขัดมีดเดินป่าขนาดใหญ่ไว้กับหลัง จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย พลางหันมามองสาวแกร่งที่ตอนนี้นอนสะอึกสะอื้นจมกองน้ำตาปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ หนวดยืนยิ้มอย่างเปรม ในใจก็พลางคิดว่า “ตายก็คุ้มแล้วชาตินี้กูไม่อยากได้อะไรอีกแล้วว่ะ” ขณะกำลังเปรมปรีกับอารมณ์อยู่นั้นก็พลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างนอกหน้าต่างเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง หนวดย่อตัวลงทันที ขณะที่น้องอ้อมยังร้องให้ต่อไปเพราะบอบช้ำทั้งกายใจ น้องฟ้าเองก็กำลังเสียสติเพราะรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง ทหารหน่วยจู่โจมพิเศษก็ยิงระเบิดทะลุหน้าต่างเข้ามาทันที
“เฮ้ย!! เอางี้เลยเรอะวะ”
หนวดพุ่งตัวหลบออกจากห้องอย่างฉิวเฉียด
ตูม!!!!!
แรงระเบิดทำลายห้องชมรมเป็นเสี่ยงๆ หนวดลุกขึ้นมาพร้อมกระชากลูกซองด้วยความแค้น
“มึง...มึงฆ่าเมียกู วันนี้ไม่ฆ่ามึงก็ไม่ใช่กูแล้ว!!!”
หน่วยพิเศษโรยตัวพร้อมสาดกระสุน HK - MP7 ใส่หนวดทันที
อีกครั้งที่ความว่องไวของหนวดช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เขาฉากหลบหลังกำแพงได้ทันท่วงที
“โฮ่ๆ ปืนรุ่นใหม่เอี่ยมเลยนี่หว่า ขอมันส์ด้วยหน่อยดิ้!!”
หนวดยิงสวนออกไปแต่ก็เหลือแต่กำแพงและกองไฟเสียแล้ว
“ไวฉิบ!!”
หนวดสบถพลางออกวิ่งหาตำแหน่งของทหารหน่วยพิเศษทันที หนวดรีบวิ่งออกจากห้องกะจะไปสมทบกับก้องและติม
แต่สิ่งที่เจ้าหนวดเห็นกลับเป็นโชว์ระเบิดสมองของเจ้าติมที่แผดกระสุนใส่กลางกบาลเจ้าก้องที่ล้มอยู่
“เฮ้ย!!”
หนวดแผดเสียงใส่ติมอย่างดุดัน อารมณ์พลุ่งพล่าน เมื่อเห็นลูกพี่ติมก็โวยวายแก้ตัวไปต่างๆนาๆ มันทิ้งปืนลงเพราะรู้ว่ากับลูกพี่มันไม่มีทางสู้ได้เลย..
“ผม..ผมไม่เอาแล้วลูกพี่ ลาล่ะ”
“อ้าวเฮ้ย!! ไอ่เหลี่ยม!!!”
ติมวิ่งหน้าตั้งลงบันไดมายังชั้นหนึ่งเสียงหนวดตะโกนเรียกลงมา
“เดี๋ยวโว้ย! รอกูก่อน!”
“ลูกพี่ปล่อยผมไปเถอะ อย่าฆ่าผมเลย ผมยังไม่อยากตายยยย!!!!!”
ไอ้หน้าเหลี่ยมโวยวายไม่เป็นภาษา ไม่ฟังใครหรืออะไรทั้งสิ้น มันลงมาถึงชั้นหนึ่งแล้วทางออกอยู่ข้างหน้าแล้ว ติมนึกโล่งในใจ
‘กูรอดแล้ว!! กูรอดแล้วว!!!’
เมื่อเจ้าหน้าเหลี่ยมวิ่งผ่านประตูออกมาพบกับหน่วยSAAT สามคน ประทับปืนในท่านั่ง...
“อย่าาาาาาาาาาา!!!!!!!!!”
บรึมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ยุทโธปกรณ์ใหม่ล่าสุดทั้งสามกระบอกส่งเสียงอื้ออึง รัวพ่นลูกตะกั่วร้อนๆเจาะร่างชายหน้าเหลี่ยมปรุพรุนคล้ายรังผึ้ง...
“ที่กูเจอไม่ใช่ไอ้เวรนี่ แต่มันพวกเดียวกัน มันอยู่แถวนี้แน่ หาให้ทั่ว!!”
“ครับ!!”
สิ้นเสียงปืนและฝุ่นควัน หนวดมองดูข้างล่างด้วยความสยดสยอง แล้วรีบแจ้นขึ้นบันไดชั้นสองที่เขาวางสัมพาระไว้ทันที
“กูไม่ยอมให้มึงมาเจาะกูเป็นรังผึ้งหรอกโว้ย มึงฆ่าเพื่อนกู ฆ่าเมียกู วันนี้ต้องแลกกะมึงล่ะ!!”
เก่งยืนขึ้นอย่างตระหนก มือทั้งสองพยายามเปลี่ยนกระสุนแต่ไม่สำเร็จมือเขาสั่นเกินไป...
“ไอ้ ควย เอ้ยยยยย!!!!”
หนุ่งในกลุ่มนักศึกษาลูกศิษย์ของอาจารย์เคราะห์ร้ายแผดเสียงคำรามพร้อมกระโดดเข้าหวดปลายคางบางๆของเก่งอย่างรุนแรงจนหงายหลัง ปืนกระเด็นจากมือไปแล้ว ความเจ็บปวดแล่นไปตามเส้นประสาทขณะที่นักศึกษาคนที่สองดึงรั้งคนแรกไว้
“ตากูบ้าง!!”
นักศึกษาคนที่สองน้ำตานองหน้า มันส่งมือไปจิกผมลากเก่งไปที่ประตูห้องและเอาประตูหนีบไหล่เก่งไว้
“อ่า.....งะ....งำ...อู”
เสียงร้องไห้ของลูกคุณหนูดูหนวกหูจับใจความไม่ได้เพราะเลือดและฟันมันติดคออยู่
“กูฟังไม่รู้เรื่องโว้ย”
“นี่สำหรับมึง ไอ้สัด!! ”
ทั้งสองคนกระโดดถีบบานประตูที่หนีบเก่งไว้จนกระจุยหลุดออกจากกำแพง ร่างน้อยๆของเก่งหล่นลงไปจากระเบียงชั้นสองกระแทกลงกับพื้นชั้นหนึ่ง เขาแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เขาพยายามตะกายหนีแต่ร่างกายก็ ไม่ทำตามกลุ่มนักศึกษาเลือดเดือดเดินตามลงมาด้วยความแค้น...
“ถ้า...ถ้ากูไม่ได้อาจารย์ กูคงติดยาตายห่าไปแล้ว”
“แล้วมึงเป็นใครวะมาฆ่าอาจารย์ คนดีๆยั่งงี้มึงยังทำลงอีก!!!”
กลุ่มนักศึกษาที่เคารพอาจารย์ไม่ต่างจากพ่อรุมกระทืบเก่งด้วยความแค้นแสนทนเก่งก็แทบหมดสติไปแล้ว
“เฮ้ยๆ พอๆ”
นักศึกษาตัวโตตะโกนให้ทุกคนหยุด ใช้เท้าเขี่ยให้เก่งนอนคว่ำหน้าเก่งร้องให้สั่นกลัว
“อย่าว่ากันเลยนะเฮ้ย มึงก็คงแค้นเหมือนกู ถ้าคนที่มึงทั้งรักทั้งเคารพต้องมาตาย ในมือหมาที่ใหนก็ไม่รู้อย่างมึง”
เก่งสัมพัสได้ถึงโลหะแหลมๆหนักๆที่กดอยู่ที่ท้ายทอยก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบลง...
เจ้าเด็กวัดหัวหยิกหลังจากเสร็จภารกิจถล่มอาคารคณะมนุษย์ฯแล้วก็หยิบปืนพกมันวาวสองกระบอกออกมาจากถุงย่ามสีเหลืองแสนรักของมัน
“สัพเพ สัตตา เป็นสุขๆเถอะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ว่าแล้วมันก็ไล่ยิงฝูงชนที่วิ่งโร่หนีตายกันอลม่านออกมาจากบริเวณตึกคณะมนุษย์อย่างเมามัน เสียงกรีดร้องดังอื้ออึงผู้คนต่างวิ่งหนีห่างจากมันแหวกเป็นทางวงกว้าง
“จะหนีทำไม่ล่าวววว จะให้ไปสบายแท้ๆ ไม ไม่ชอบกันว๊ะ”
ไอ้เด็กวัดไล่ยิงอยู่พักใหญ่ฝูงคนเริ่มลดน้อยลงศพนอนอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไปชั่วครู่บริเวณลานหน้าคณะมนุษย์ก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบ ป้อมมานึกขึ้นได้ว่าเขายังต้องทำตามแผนการที่ฝนได้วางเอาไว้
“เฮ่อ
ไอ้ฝนมันว่าเสร็จแล้วให้ไปไหนต่อวะ จำไม่ได้”
ทันใดนั้นประสาทหูของป้อมก็ไดยินเสียงอื้ออึงดังมาจากข้างหลัง มันหันไปพบกับอาคารหอดูดาวของภาควิชาดาราศาสตร์คณะสังคมฯ
“เอ้อ!!! ไอ้นี่แหละวะ จะระเบิดทั้งทีกูจะเล่นของแพงซะเลย ให้มันรู้มั่งซิวะว่าไม่ได้มีแต่ไอ้ฝนที่มันมีสมอง!!”
มันเดินตรงไปที่อาคารทรงกระบอกที่ตั้งตระหง่านอยู่ถัดจากอาคารอำนวยการคณะทันที เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อเหล่านักศึกษาที่ซ่อนตัวอยู่ในอาคารเห็นไอ้มฤตยูนั่นมุ่งหน้ามายังตำแหน่งที่ตัวเองอยู่
ปัง!! ปัง!!
“อย่าออกมานะโว้ย! ไม่งั้นหลวงพี่ยิงหัวกระจุย!!”
เจ้าหัวหยิกยิงปืนใส่ใต้อาคารพร้อมตะโกนดังลั่นสู้เสียงผู้คน เสียงอื้ออึงดังระงมมาจากอาคารอย่างสยดสยองน่าขนลุกขนพอง
“พวกมึงรีบๆดอดเข้าไปอยู่ในห้องสโลปกันให้หมด ....เร็วๆ!!”
ป้อมตะโกนสั่งนักศึกษาที่ลนลานวิ่งไปวิ่งมาหน้าห้องสโลปเพื่อต้อนเหล่ามนุษย์หน้าโง่ให้เข้าคอกของตน บางคนก็ถึงกับร้องให้ออกมาทีเดียว เพราะไม่น้อยที่เห็นว่าคนที่ยืนตรงหน้าเขาพึ่งโดนอะไรระเบิดใส้พุงจนกระจุยเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย
เมื่อคนสุดท้ายเดินผ่านประตูห้อง ป้อมจัดแจงล๊อกประตูเข้าออกซึ่งมีอยู่แค่ทางเดียวอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครออกมาขวางแผนการอันสุดหรูของเขา
“ฮึๆ กูนี่มันเก่งจริงๆ!”
ว่าแล้วก็จัดแจงวางเพาเวอร์เจลที่ส่วนโครงสร้างสำคัญต่างๆของอาคาร แต่แล้ว สิ่งไม่คาดฝันเกินจินตนาการเด็กวัดก็อุบัติขึ้น เสียงไซเรนดังขึ้นเป็นจังหวะจังหวะ บ่งบอกว่าตำรวจแห่มากันแล้ว
“มายุ่งกันจนได้สิวะ! ช่างเหอะมึงมาช้าไปแล้วโว้ย”
เจ้าหัวหยิกรีบต่อสายไฟกับแบตเตอรี่และตัวควบคุมก็พร้อมใช้งาน เพียงกดปุ่มหอดูดาวอันเป็นที่ภาคภูมิใจของคณะและมหาวิทยาลัยก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปทันที
รุจน์ ขมวดคิ้วเข้าหากันขณะฟังความจากวิทยุสื่อสาร มืออีกข้างก็ยึดกับพนักเก้าอี้เพื่อทรงตัวให้มั่นคงบนเฮลิคอปเตอร์ลำยักษ์
“อืม..ยั่งงี้เองเหรอ....ได้ ได้ เราจะจัดการมันให้........ครับๆพร้อมกับตัวประกัน พวกเขาจะปลอดภัยครับ”
ผู้พันหนุ่มผู้ควบคุมสถานการณ์ฟังรายงานที่ส่งคนไปเก็บข้อมูลของกลุ่มผู้ก่อการร้าย และได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยว่าพวกนั้น มีแปดคน เขาอ่านข้อมูลที่ได้จากหน่วยข่าวสรุปให้คนที่เหลือบนเฮลิคอปเตอร์ฟัง
“เอาหละ มีรายงานจากตำรวจว่ามีไอ้สันขวานตัวนึงมันจับตัวประกันเป็นนักศึกษาเอาไว้ในอาคารหอดูดาว หลายคนด้วย”
พันรุจน์กล่าวถึงสถานการณ์อีกด้านให้เหล่า SAAT ฟังขณะฟังวิทยุรายงานอยู่ในเฮลิคอปเตอร์
“จากข้อมูลที่ได้มา มันระเบิดอาคารสูงสิบกว่าชั้นมาแล้วเมื่อครู่ มันคงวางระเบิดไว้ที่หอดูดาวแล้วแน่ ผมอยากให้คุณสองคนหาตำแหน่งซุ่มยิง ผมมีข้อมูลไอ่เด็กคนนี้พอควร และ จะให้ตำรวจล่อมันออกมา”
รุจน์พูดขณะจ้องตาคู่สนทนาอันเป็นหัวหน้าหน่วยอย่างดุดันและทิ้งช่วงให้คิดทบทวนคำสั่งตามนิสัยของคนเป็นผู้นำ
“จัดการมันในนัดเดียวอย่าให้มันมีโอกาสกดปุ่ม ผมอนุญาตให้คุณใช้ PSG 1 ได้เลย ส่วนผมจะขอลงไปทักทายไอ้คนที่อยู่ในตึกโรงอาหารกลางซะหน่อย พวกคุณที่เหลือแบ่งกันล่าไอ้กล้ามใหญ่กับไอ้ซามูไรผีนั่นซะ ผมอนุญาตให้คุณใช้ได้ทุกอย่างแค่จัดการกับมันให้ได้... รับทราบ?!”
“ครับ!!”
หน่วยจู่โจมพิเศษรับคำแข็งขันและ พอถึงที่หมายแต่ละจุด พวกเขาก็โรยตัวลงจากเฮลิคอปเตอร์แยกย้ายกันไปตามคำสั่งทันที แมงปอยักษ์ลงจอดเทียบที่ถนนส่วนหนึ่งกลางตัวมหาวิทยาลัยเพื่อส่งหัวหน้าใหญ่ลงสู่พื้น รุจน์สบตาพลแม่นปืนประจำหน่วยเหมือนกดดันให้เร่งงานจนนายทหารแม่นปืนทนอยู่เฉยไม่ได้
“เอา PSG มาเลยครับ แล้วขอบินสูงขึ้นอีกหน่อยก็พอ ไม่ต้องไปหาที่ซุ่มไกลๆหรอกผู้พัน ผมจะส่องมันบนนี้แหละ”
พลแม่นปืนแห่งหน่วย SAAT บอกแก่ผู้บังคับบัญชาอย่างมั่นใจ ขณะที่เครื่องเพิ่มระดับขึ้นเขามองเห็นเป้าหมายอยู่ห่างออกไปประมาณกิโลครึ่ง
“ได้ทั้งนั้น จำไว้ว่าอย่าให้มันกดปุ่ม”
รุจน์ลงจากเครื่อง ในมือยังคงถือเครื่องสื่อสารขนาดเล็กไว้เพื่อสั่งการ พอทุกอย่างได้ที่ เฮลิคอปเตอร์วนไปถึงตำแหน่งเหนือหอดูดาวขึ้นไปได้ประมาณ 500 เมตร PSG ประทับบ่าอย่างมั่นคง ตาจับจ้องผ่านลำกล้องเล็งระยะไกล...
“เอาหละ!! ผู้พันครับบรรเลงได้เลย ขอแค่มันโผล่หัวออกมาก็พอ”
ผู้พันมาดเข้มมีสีหน้าพึงพอใจเริ่มดำเนินการต่อสายถึงตำรวจทันที
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
ทางหน้าหอดูดาวก็ยังคงหวาดหวั่นและควบคุมสถาการณ์ได้ไม่ดีนัก
“เราได้แค่ล้อมเอาไว้ครับ...มันบอกมันวางระเบิดไว้หมดแล้ว ถ้าเราไม่ออกไปห่างๆ มันจะระเบิดตึกครับ”
“เอาหละครับงานนี้ต้องขอแรงหมวดช่วยทำอะไรให้ผมอย่างนึง
”
นายตำรวจหนุ่มฟังรุจน์จนจบก็ต้องประหลาดใจทำสีหน้าเหยเกไม่น่าเชื่อ
“นี่ออกจะ
มัน..........ด้วยความเคารพมันไม่น่าเป็นไปได้นะครับ”
“เชื่อผมซักครั้งนะครับ ตรงนี้เป็นจุดจี้ใจของมันแน่นอนเลยล่ะ ถ้าไม่สำเร็จผมจะรับผิดชอบเอง”
หมวดหนุ่มถอนใจยาวๆตบหน้าตัวเองเรียกความพร้อม
“ทราบแล้วครับผมจะทำ..”
“เปิดวิทยุไว้นะครับ
”
นายตำรวจปลดปืนออกจากอกเสื้อวางทิ้งไว้ในรถของตน เขาออกเดินเข้าไปที่หน้าแนวป้องกันของอาคารสั่งให้รถตำรวจที่คุมเชิงอยู่ถอนออกจากบริเวณไป และตัวเขาเองเดินไปที่หน้าตึกพร้อมตะโกนว่า
“เฮ้!! แกน่ะ ได้ยินมาว่ามีของดี เจ๋งรึไงวะ! ถึงได้กล้าเย้ยกฏหมายแบบนี้!!”
ป้อมตะโกนตอบออกมาจากตึก
“แน่นอนสิวะ!! ของกูไม่แน่จริงกูไม่รอดมาขนาดนี้หรอก!”
หมวดหนุ่มถึงกับสะดุ้งเมื่อคำที่เขาพูดไปมีผลกับเจ้าป้อมจริงๆ
“เห็นมั้ยหมวด ไม่เกินมือคุณหรอก”
เสียงตอบของรุจน์ผ่านเครื่องมือสื่อสารมาช่วยเพิ่มความมั่นใจชายผู้เหงื่อตกมือสั่น หมวดหนุ่มตะโกนออกไปต่อ
“เหรอ
แล้วห้อยอะไรบ้างล่ะวะหา”
เขาเว้นช่วงเหมือนจะเยาะเย้ย แต่จริงๆแล้วกำลังทำใจ
“ไม่จริงหรอกมั้ง ของเก๊รึเปล่าอยู่ๆก็บอกมีของดี มันต้องพิสูจน์กันหน่อยซี่ ”
ป้อมตะโกนมาอีกครั้ง
“กูมีหมดจตุคามฯ พระรอด พระร่วง กำแพง สมเด็จ แถมพระเกจิยังเสกเกราะเพชรให้กูอีก ต่อให้มึงเอารถถังมายิงกู ปืนมันยังไม่แตกเล้ย แต่กูรู้มึงจะเข้ามาช่วยไอ้ห่าพวกนี้ล่ะสิ กูไม่หลงกลหรอกโว้ย!!”
“เฮ้ย!! อะไรกันเล่า กูสั่งพวกลูกน้องกลับไปหมดแล้วมึงก็ดูเอาสิ... ที่กูยังอยู่นี่แค่อยากดูว่าของดีจริงรึเปล่า
”
เสียงในวิทยุพลแม่นปืนดังขึ้น
“นับหนี่งล่ะ!!”
เจ้าเด็กวัดเหลือบดูนอกหน้าต่างไม่เห็นรถตำรวจแล้วจริงๆ...
“จะกลัวอะไรวะ ถ้าของมันดีจริงก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่หว่า ของเก๊ชัดๆไอ่โม้ ถุ๊ย!”
เจ้าป้อมเดือดดาลสุดขีดพระเครื่องแสนรักของมันที่กว่าจะหามาได้ต้องโดนเหยียบย่ำด้วยคำพูดเช่นนี้มันยอมไม่ได้
“กูจะออกไปยิงมึงทิ้งไอ้ห่า! มึงดูหมิ่นบารมีองค์พ่อของกู!!!”
วิทยุดังอีกครั้งหนึ่ง
“สอง!!”
“กูกลัวมึงตายห่าล่ะ แน่จริงออกมาสิวะ กูขอพิสูจน์!!”
การโต้วาทีด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเริ่มขึ้นกลางความเงียบงัน หน้าหอดูดาวไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากหมวดหนุ่มเหงื่อชุ่มกายยืนจังก้าอยู่คนเดียว ป้อมตะโกนออกมาจากหอดูดาวดังลั่น
“มึงอยากดูมากใช่มั้ย! ได้ด้ด้ด้ด้!! กูจะให้มึงดูขอค่าดูเป็นชีวิตมึงละกัน ไอ่สัด!!!”
“สาม!!”
เจ้าป้อมกำพระไหว้ทูนหัวแล้วโผล่พรวดออกมาจากระเบียงพร้อมปืนคู่กายเล็งใส่ตำรวจหนุ่ม...
เปรี้ยงงง!!!!!!
PSG -1 ระเบิดเสียงจากระยะ 1500เมตรกลางอากาศส่งหัวกระสุนผ่านผมหยิกหยอยผ่ากะโหลกศีรษะของมันแบะออกเป็นสองซีกสมองพ่นออกมาตามแรงปะทะอย่างน่าสยดสยอง
“เฮ้ย!! ในมือมัน!!”
หมวดหนุ่มอุทานด้วยน้ำเสียงขาดหายเพราะคอแห้งผาก มือที่ไร้วิญญาณของเจ้าป้อมกำสวิตช์ระเบิดเอาไว้และมันกำลังจะถูกกดลง!!
เปรี้ยงงง!!!!!!
กระสุนนัดที่สองระเบิดสวิตซ์กระจุยไปพร้อมๆกับมือซ้ายของมันอย่างจับวาง
ทันใดนั้นเสียงในวิทยุก็ดังขึ้นต่อว่า
“ผมบอกว่าให้นัดเดียวไม่ใช่เหรอ...คุณเสียสถิติไปแล้วหรือไง”
รุจน์ส่งคำด่าไปเพราะได้ยินเสียงปืนสองครั้งจนเกิดความไม่สบายใจว่าแผนการของเขาจะผิดพลาด หนุ่มไฟแรงพ่นบุหรี่นอกที่คาบอยู่ลงพื้นอย่างเสียอารมณ์ขณะเดินตรงดิ่งเข้าไปยังอาคารโรงอาหารกลาง
“ขอประทานอภัยเถอะครับผู้พัน ไอ้บ้านี่ผมต้องยิงนัดที่สองจนได้
”
“หะ
.ให้
.ให้ตายเถอะวะ!!!”
กลับมาที่หมวดหนุ่มหน้าหอดูดาวซึ่งยืนงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้านักแม่นปืนนั่นพลาดเขาคงโดนเจ้าป้อมสอยไปแล้ว พวกตัวประกันและอาคารหอดูดาวก็คงไม่รอดแน่ๆ
“ยังไม่บุกเข้าไปช่วยตัวประกันอีกเหรอครับ?”
น้ำเสียงเหมือนครูดุนักเรียนดังเจ้ากี้เจ้าการมาจากวิทยุสื่อสาร นายตำรวจตื่นจากภวังค์รีบวิทยุสั่งการตำรวจบุกเข้าไปทันที
“เราเจอตัวประกันแล้วครับ ทุกคนปลอดภัย” สิบตำรวจนายหนึ่งรายงานกับเขา
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หมวดหนุ่มจึงทิ้งตัวลงข้างรถอย่างหมดเรี่ยวแรง...
“ตื่นเต้นดีใช่มั้ยครับผู้หมวด บอกแล้วจะติดใจ
”
เสียงวิทยุของรุจน์ทิ้งทายโดยเล่นกับความรู้สึกหวิดตายของผู้หมวดอย่างหยาบคาย
ชิปหายแล้วไง คำพูดสุดหวานคำนี้ผุดขึ้นในหัวสุดหล่อกล้ามโตทันทีเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าไอ่ที่กำลังลอยอยู่ตรงหน้าเขานั้น มันไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์นักข่าวแต่อย่างใด หากแต่เป็นอะไรซักอย่างที่มันจะต้องยิงใส่เขาได้แน่ๆ
ปังๆๆๆๆ
เอกทิ้งกระเป๋าอาวุธใบโตไว้ที่เดิม ฉวยมาแต่ปืน ปตอ. กระบอกใหญ่ แล้วจึงออกวิ่งซิกแซ็กหนีห่ากระสุนได้อย่างหวุดหวิด เจ้ากล้ามโตโฉบผ่านแนวกำแพงไปโผล่อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับงัดปืนขึ้นประทับบ่าเพื่อตอบโต้ ขณะที่สุดหล่อตั้งใจเล็งอย่างปรานีทนั้น เหมือนกับคนขับเองก็จะรู้ทัน ฉลามยักษ์ติดใบพัดลอยฉากเข้าหาแนวเสาไฟฟ้าเหล็กบนดาดฟ้าทันที ในลำกล้องที่ส่องไปหานั้น ถูกแนวเหล็กมากมายบังไว้อย่างระเกะระกะ เอกจำเป็นต้องรอให้เจ้าฉลามยักษ์นี้ลอยพ้นแนวเสาไฟฟ้าเหล็กไปก่อนจึงจะสามารถยิงได้
“รำคาญจิงโว้ยยยยยย ขยับดิวะ!”
แต่ทันทีที่เอกเห็นนายทหารคอมมานโดคนหนึ่งเตรียมตัวจะโรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เจ้ากล้ามโตขี้โมโหก็สุดจะทนรอต่อไป เอกเหนี่ยวไกเข้าให้ทันทีอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะความใจร้อน จึงทำให้กระสุนขนาดใหญ่วิ่งฉิวปล่อยควันยาวเป็นทางโค้งตรงไปหาเจ้าฉลามยักษ์ แต่ก็พลาดอย่างหน้าเสียดายเพราะกระสุนปืน ปตอ ไม่สามารถจะผ่านแนวเหล็กมากมายไปได้ มันระเบิดก่อนที่จะไปถึงตัวเฮลิคอปเตอร์ ทันที ที่เกิดการระเบิดนั้นเอง เจ้าฉลามยักษ์ก็โฉบฉากหนีออกไปทันทีเพราะตกใจในความบ้าบิ่นของเจ้าปีศาจกล้ามโต
ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เอกกระสุนหมด เขาทิ้งกระเป๋าปืนไว้ไกลเกินไป แม้ว่าเฮลิคอปเตอร์สงครามลำยักษ์นั่นจะหนีไปนอกระยะยิงแล้วก็เถอะ แต่บนดาดฟ้าตอนนี้มีไอ้บ้าพกอาวุธครบมือกำลังดักซุ่มอยู่ที่ไหนไม่รู้ คอยจะล่าหัวสุดหล่อกล้ามโตอยู่ เอกย่อตัวหลบหลังกำแพงอย่างระมัดระวัง สายตาสอดส่องตามมุมที่หน้าสงสัย หูคอยฟังเสียงอะไรก็ตามที่น่าจะเกิดจากการเคลื่อนไหวของนักล่าที่ทางการส่งมาเก็บเขา รอบตัวก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นอาวุธได้เลย ที่พึ่งของเขาก็คงต้องเป็นกระเป๋าใบนั้นแน่ เอกค่อยๆย่องไปตามแนวกำแพง ก้มหัวให้ต่ำกว่าความสูงของแนวกำแพงอันเป็นใบพัดระบายอากาศของตึก ย่ำเท้าลงไปให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะจนถึงบัดนี้เขายังไม่รู้และไม่ได้ยินเสียงอะไรของเจ้านักล่าคนนี้เลย เฮลิคอปเตอร์ลำยักษ์ก็ดูเหมือนจะวนกลับมาหาเขาอย่างลวดเร็ว นั่นยิ่งกดดันเขาจนสติแทบแตก
แต่แล้ว สุดหล่อก็นึกขึ้นได้ บางที ... บางที คนขับหรือใครก็ตามที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์นั่น มันต้องมีวิทยุสื่อสารแน่ๆ และแน่นอน มันต้องรายงานเจ้านักล่าบนดาดฟ้าถึงตำแหนงของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นึกได้ดังนั้นเอกตัดสินใจพุ่งออกจากที่ซ่อนให้เร็วที่สุด วิ่งตรงไปยังกระเป๋า เขาเองรู้สึกได้ทันทีว่ามีปืนเล็งมาที่เขาอย่างแม่นยำ อีกกว่าสิบเมตรเขาจะไปถึงกระเป๋า ขาสองข้างยิ่งซอยถี่ขึ้นด้วยความตกใจกลัว สุดหล่อคว้ากระเป๋าเปิดออกจนอาวุธมากมายข้างในกระจายออกมาเต็มพื้น เอกตัดสินใจคว้า Dragunov Sniper Rifle และปืนพกเล็กๆอีกหนึ่งกระบอก ก่อนจะออกวิ่งไปยังขอบตึกที่เชื่อมกับอีกตึกหนึ่ง ด้วยความกลัวตายนั่นเองทำให้เขาพุ่งตรงและกระโดดข้ามไปยังตึกข้างๆซึ่งมีช่องว่างห่างกันถึงสองเมตรได้สำเร็จ สุดหล่อปลดเซฟปื้นพกและหันกลับไปเล็งข้างหลังทันทีเมื่อเข้าถึงที่มั่น แต่ที่นั่นกลับไม่พบใครเลย ไอ่ความรู้สึกที่ถูกเล็งปืนใส่นั่นเขาคิดไปเองหรอกหรือ เอกหอบหายใจอย่างเอน็ดอนาถ สายตาสอดส่องรอบตัวอย่างระมัดระวัง จุดที่เขายืนอยู่ตอนนี้ก็ค่อนข้างจะถูกกำบังจากหลายๆมุมแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นคนบ้าสงครามมาก่อน จึงค่อนข้างมีความรู้ทางการรบอยู่บ้าง เขาตัดสินใจหลบอยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นทางข้ามตึกจุดเดียวที่ช่วงระหว่างตึกแคบที่สุด เขาส่องสไนเปอร์ในมือเพื่อตามหาเจ้านักล่าตัวดีอย่างระมัดระวัง เจ้าฉลามยักษ์บนฟากฟ้าก็ไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้แน่นอนเพราะเขาหลบอยู่ในมุมอับ
แคร็ก
เสียงขึ้นลำปืนดังมาจากเหนือหัวทางด้านหลัง เอกหันไปพบกับความจริงอันโหดร้ายทันที
ปัง!!!
นายทหารผู้รอบเข้าด้านหลังวางกระสุนเข้าที่แก้มซ้ายของสุดหล่ออย่างแม่นยำ กระสุนถากดึงเอาแก้มเขาออกไปทั้งแผ่นพร้อมกับกระชากหูซ้ายของเขาขาดติดไปด้วย ด้วยสัญชาติยานสงครามของสุดหล่อ เขางัดปืนพกซัดเข้ากลางอกไอ้เจ้านักล่าไปสี่นัดก่อนที่ตัวเขาจะเสียหลักล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดวิ่งพล่าน เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเปื้อนทั่วไปหมด สุดหล่อยังพอมีสติ เขารีบจัดแจงถอดเสื้อออกพันหน้าห้ามเลือดไว้ แม้จะเจ็บแต่ความแค้นของเขาต่อคนยิงยังไม่หมดสิ้น เขายังไม่ยอมตายง่ายๆแน่
เสียงใบพัดดังเตือนประสาทเขาเป็นพักๆ เอกขยับมืออันสั่นเทาไปควานหาปืนสไนเปอร์ข้างตัว ยกมันขึ้นประทับบ่า เขาจึงแน่ใจว่าไม่สามารถประคองปืนให้นิ่งได้อย่างแน่นอน สุดหล่อยิงกระสุนไปทีละนัดอย่างใจเย็นทั้งๆที่เจ็บเจียนตาย กระสุนแค่สร้างรอยขีดข่วนให้แก่ฉลามยักษ์สีดำ แต่มันกลับได้ผลอย่างดี เพราะคนขับเองก็หลอนกลัวว่าจะยิงโดนและทะลุกระจกเข้ามาใส่ตัว จึงหักฉากออกไปยังตัวตึกข้างๆ
เขาต้องย้ายที่หนี หาตำแหน่งที่ดีกว่า เขายันตัวขึ้นมองหาประตูเพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร ห่างออกไปไม่มากนัก ประตูเปิดอ้าอยู่ นั่นเอง เจ้านักล่ามันอ้อมมาหาเขาจากในตัวอาคารนั่นเอง นี่มันบ่าชัดๆ เขาไม่น่าพลาดเรื่องง่ายๆอย่างนี้เลย สุดหล่อหันกลับไปสำรวจร่างไร้วิญญาณของเจ้านักล่า แต่ก่อนที่จะทันตั้งตัวนั่นเอง เขาก็พึ่งจะได้รู้ตัวว่าเขาพลาดเป็นครั้งที่สอง ที่ไม่ยอมระวังหลัง
มีดปักเข้าใต้ชายโครงของเขาจนมิดด้าม เจ้านักล่าดึกมันออกและถอยไปรักษาระยะ สุดหล่อโซเซเพราะเจ็บปวดจนรามขึ้นไปถึงส่วนหัว มันใส่เสื้อกันกระสุนนั่นเอง เอกพยายามประคองตัวเองไม่ให้ขาพับเข้าหากันอย่างสุดชีวิต เจ้านักล่าไม่รอช้า มันอาศัยโอกาสนี้พุ่งเข้าวาดคมมีดเข้าที่คอของสุดหล่อทันที
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงจะหมดสติไปกับความเจ็บปวดแสนจะบรรยายนี้เสียแน่นอน แม้จะรำบากยากเข็น แต่เอกก็ใช้มือซ้ายขวาปัดป้อมมีดไว้ไม่ให้โดนส่วนสำคัญ มีดบาดเข้าเนื้อเจ็บแสบเลือดกระฉูดไปทั่ว แต่เขาก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว มนุษย์ทุกคนย่อมดิ้นรนโดยสัญชาติยานเพื่อเอาตัวรอด สุดหล่อพุ่งเข้าแท็กเหมือนนักอเมริกันฟุตบอลมืออาชีพ ไอ่นักล่าชาติชั่วไม่ทันตั้งตัวเพราะมัวประหลาดใจกับความอึดของเจ้าปีศาจกล้ามโต ทั้งสองล้มลงกระแทกพื้นกลิ้งไปสองสามตลบ เอกพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้เร็วกว่าเจ้านักล่าในชุดคอมมันโด มันอ้อมเข้าด้านหลัง ล็อกสุดหล่อไว้ในท่าที่ยากเกินจะแก้ได้ คมมีดปักเข้าที่ท้องน้อยอย่างนิ่มนวลเพื่อทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆในช่องท้อง มีดที่สอง เข้าที่ใต้รักแร้เฉียงขึ้นมาแถวคอหอย และซ้ำอีกนับไม่ถ้วนแถวๆปอด กระเพาะ ปัสวะ และตับ สุดหล่อตาเหลือกน้ำลายฟูมปากด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่มีใครคาดฝัน มือที่กำแน่นอยู่ตลอดคลายหลวมหมดเรี่ยวแรง โสดประสาทเริ่มทำงานผิดพลาดเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลมากมายทั่วร่าง เสียงกระซิบดังชัดเจนข้างหูเขาเบาๆ แต่ตัวเขาเองแทบไม่ได้ยินมันเลยด้วยซ้ำไป
“ไหนมึงเก่งนักไงอีสัด”
เจ้านักล่าเริ่มลากสุดหล่อที่ยังพอมีสติไปจนสุดขอบตัวอาคาร จับหน้าของเขายื่นออกไปนอกตัวตึก
“หน้าตัวเมียนักนะมึง เมื่อกี้กูเห็นหมดแหละ ผู้หญิง หรือเด็ก มึงก็เล่นเค้าหมด”
มีดปักเข้ากลางหัวใจสุดแรงไม่ต่างจากถูกชกใส่กลางอก เอกตาโต้ด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ซึ่งเขาภาวนาขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายเสียทีเถอะ
“ไม่มีใครมาช่วยมึงหล่อ ไอ่ตุ๊ดเอ๊ย”
และแล้วร่างของเขาก็ถูกปล่อยให้ตกลงมาจากตึกสูง และ สำหรับเอกนั้น แทบจะสาบานได้เลยว่าตลอดเวลาที่ตัวเขาลอยละลิ่วลงมาก่อนจนกระทั่งกระแทกกับพื้นนั้น เขามีสติอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดที่หัวกระแทกลงกับพื้นคอนกรีตแข็งดั่งหินผานั้นเขาก็รับรู้ถึงมันอย่างชัดเจนด้วย
“เวลาคนโดดตึกตาย ซึ่งถ้าตึกสูงกว่าสามชั้น คนๆนั้นจะหมดสติก่อนตกกระแทกพื้น”
เขาพูดได้เต็มปาก ว่ามันเป็นเรื่อง “ตอแหล”
ณ เวลาไล่เลี่ยกัน ที่คอนโดสุดหรูของสุดสวยเชื้อสายเกาหลีนั่นเอง หน้าต่างเปิดกว้างทิ้งไว้ให้สายลมโบกพัดผ้าม่านลายลูกไม้ไหวปลิวเป็นริ้วๆ อาหารบนโต๊ะก็ยังคาในลักษณะเดิม ส่วนตัวเธอนั่นยืนอยู่ชิดระเบียงร่ำไห้อยู่เงียบๆไม่ส่งเสียงใดๆหรือไหวติงไปไหน เธอมองเข้าไปในตัวมหาวิทยาลัย มองไล่ตามเฮลิคอปเตอร์ลำจิ๋วเพราะระยะอันห่างไกล เจ้าแมงปอตัวน้อยบินห่างออกจากอาคารวิทยาศาสตร์ไปเสียเฉยๆเหมือนเสร็จกิจธุระแล้ว น้ำตาไหลรินลงอาบแก้มขาวชมพูและเริ่มสะอึกสะอื้น เธอหันหลังก้มหน้ามองกลับมาในห้องอย่างหมดอะไรตายอยาก แล้วจึงตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกจากระเบียง เพียงแต่ไม่ใช้ทางประตูระเบียงเข้าห้อง แต่เป็นอีกทาง ซึ่งมีรั่วระเบียงกั้นไว้ไม่ให้คนพลัดตกออกจากระเบียง
ในช่องสัญญาณสื่อสารวิทยุตำรวจช่องหนึ่ง
“จ่าย้อยครับ ใจเย็นๆก่อนนะ ค...”
“เย็นโคตรพ่อมึงดิ กูไม่เอาโว้ย”
“คระ ครับๆ..แต แต่นั่นคำสั่งท่านพันรุจน์นะครับ ถ้าท่านดื่อกับพันรุจน์ นั่นแปลเป็นไทยว่าท่านได้กลับไปเข็นรถขายเต้าฮวยหน้าปากซอย...”
“เต้าฮวยควยพ่อมึงดิ ไอ่เปรต ถ้ามันใช้ให้มึงไประเบิดหัวพ่อ แม่งจะทำไม๊วะไอ่กะโหลกว่าง”
“กรุณาใจเย็นๆ..อะ อ่าว! จ่าย้อย...จ่าย้อยครับ...ได้ยินไม๊ จ่าย้อย...”
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ในสัญญาณวิทยุอีกช่องหนึ่ง
“เอ่อๆ เบิ้ม เบิ้ม..เฮ้ยไอ่เบิ๊ม”
“สอง พี่ สอง” (พูดว่า “สอง” ในวิทยุสื่อสารหมายถึงการตอบรับ)
“มึงอยู่ไหนวะ”
“คณะเกษตรครับ พี่ย้อย”
“ที่คณะเกษตร มีเหี้ยไรรึปล่าว”
“ไม่มีพี่”
เสียงวอเงียบไปครู่หนึ่ง
“มีไรรึป่าวครับพี่”
“ก็คำสั่งเบื้องบงเบื้องบนห่าเหวอะไรนั่นน่ะดิ แม่ง...เอ๊ย”
“เขาว่าไงละครับ”
“ไอ่บ้าพลังนั่น ... เอ่อ มึงคงรู้นะว่ากูหมายถึงใคร”
“ค...ครับพี่”
“มันบอกว่าถ้ามีตัวประกัน ให้เก็บให้หมด ไม่สนแม่งผู้หญิงเด็กคนแก่”
“นรกแดกกะบานเอาดิพี่ เวรแล้วไง”
“ก็นั่นแหละว้า... กูเลยมีเรื่องให้มึงช่วยกูหน่อยไอ่เบิ๊ม”
“พี่พูดมาเถอะ ต่อให้พี่ใช้ให้ผมขนยาส่งออกพม่า ผมก็ไม่เถียงพี่ซักคำ”
“สัดนี่ แม่งปากเสียนะมึง คืองี้... ตอนนี้แม่งกรมเราโดนล้างสมองกันหมดแล้ว ไม่มีหมาไหนมันเอียงหูฟังกูซักคน คำก็ “พันรุจน์” สองคำก็ “พันรุจน์” กูก็มีแต่มึงนี่แหละ”
“ก็รีบๆพูดมาซะทีสิพี่”
“.......เออๆ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนโรงเรียนอนุบาลสวนดอยแจ้งเข้ามาว่า มีน้องๆหนูๆอนุบาล 3/2 ทั้งชั้นกว่าสี่สิบคนไปทัศนศึกษาในมอนรกนี่...กูเลยตามเรื่องได้ความว่ามีคนพอเด็กๆเข้าแถวสนามเทนนิสเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มึงช่วยกูทีเถอะเบิ๊ม”
“แต่พันรุจน์ท่านสั่งหน่วยผมให้รีบควบคุมสถาณการณ์ ตัวประกันให้ปล่อยเป็นหน้าที่เขา...”
“ก็กูพูดอยู่แม็บๆ เอ๊...ไอ่เย็ดนี่! กูถึงดอดมากราบตีนขอความกรุณาจากมึงนี่ไง”
“สองแปดพี่ วางใจได้ ผมจะไปรับเด็กๆเอง แค่นี้นะพี่ แข่งกับเวลา”
(พูดว่า “สอง” ในวิทยุสื่อสารหมายถึงการรับทราบ)
การสนทนาจบลงแค่นี้ ฝนกดปุ่มปิดเครื่องมือสอดแนมการสื่อสารทางวิทยุ และ ขว้างมันกระทบกำแพงห้องเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความหัวเสีย นุ่นเองก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าอ่างล้างมือ
“มันไม่ปล่อยเธอออกไปเป็นๆแน่”
พระเอกหนุ่มซัดหมัดขวาเข้าใส่กำแพงด้วยความเจ็บใจ
“ขอโทษนะ”
เสียงเล็กๆ แต่กระแทกโสดประสาทฝนสุดแรง ยิ่งมือเล็กๆเรียวงามของหล่อนวางลงบนบ่าเขา ยิ่งเพิ่มความรู้สึกผิดที่ฝนมีต่อเธอ
“นาย...บอกทีได้ไม๊..อะไรกันที่ทำให้คนดีๆอย่างนายต้องทำเรื่องโหดร้ายอย่างนี้”
ตาของหนุ่มสาวสบกัน แต่ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เราไม่ใช่คนดงคนดีไรหรอก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราสองคนก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี...ก็จะเล่าให้ฟังละกัน”
เธอกระพริบตาปริบๆ แม้จะกลัวต่อสถานการณ์ แต่สัญชาติญาณของเพศแม่ก็บอกเธอว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดี แต่เพราะมีปมด้อยคอยทำร้ายเขาอยู่ตลอดเวลาแน่ๆจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“บางที โลกหลังความตาย อาจจะมีจริงก็ได้นะ”
“ทำไมถึงเชื่ออย่างนั้นล่ะคะ”
ฝนหลบตาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ห้าปีก่อนน้องสาวของเรา...เธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซตกคลอง”
“และนายเป็นคนขับใช่ไหมล่ะ”
การเดาที่ถูกต้องจนดูหน้ากลัวนี้เองดึงให้ฝนหันมาสบตานุ่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“อื่อ...”
เขาตอบไปสั้นๆ
“นั่นเลยทำให้นายโทษตัวเองอยู่เสมอๆว่า มันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของนาย น้องของนายเลยต้องกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย”
“ใช่...”
“นายเลยมีความรู้สึกอยากที่จะตาย และ ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ”
นุ่นหยุดพูดและมองฝนอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าขาวเนียนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อช่างบีบคั้นอารมณ์เสียเหลือเกิน แต่เพราะเธอยังคงตั้งใจฟังอยู่ เขาจึงไม่ลังเลที่จะเล่าต่อ
“ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เราหลับลงได้อย่างยากลำบาก น้องของเราจะมาหาเราในฝัน...ใหม่ๆ เราก็คิดว่าเราเป็นบ้า หรือมีอาการทางจิตหลอน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ”
น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มชายหนุ่ม เพราะความรู้สึกที่ฟูฟ่องอยู่ในอก
“น้องเรา...เค้าพูด...พูดถึงสถานที่แห่งหนึ่ง..เล่าให้เราฟังว่า มันน่ากลัวและโหดร้ายขนาดไหน และ และ...”
อีกครั้งที่มือน้อยๆคู่เดิมวางลงบนบ่าเพื่อปลอบใจฝนที่เริ่มฟูมฟาย นั่นเองทำให้ชายหนุ่มดึงอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง มือซ้ายขวาปาดน้ำตาออกจากหน้าและพูดต่อ
“และ น้องบอกชื่อสถานที่แห่งนั้น เราก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน หลังจากนั้น เราจึงเริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับที่ที่น้องพูดถึงมาตลอดสองปี นั่นเองทำให้เราแน่ใจ ว่าที่แห่งนั้น มันมีอยู่จริง”
หญิงสาวเช็ดเหงื่ออกมาจากหน้าตัวเองบ้างเมื่อรู้สึกแสบเพราะไหลเข้าตา
“อย่าว่ากันเลยนะ แต่เราสงสัย สงสัยว่าบางทีนายอาจจะเคยได้ยินชื่อหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่ๆนายได้ยินน้องบอก แต่บางที นายอาจจะเข้าใจผิด แต่งเรื่องไปเองโดยไม่รู้ตัวรึปล่าว”
ฝนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เธอคนนี้พยายามจะปฏิเสธเค้า ก็เพื่อให้เค้าเลิกสู้และยอมมอบตัว หรือเธอถามเพราะเป็นห่วงเขาจริงๆ
“เรานะ เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นบ้า แต่หลายๆเรื่องน่ะมันบ่งชี้ไปยังข้อเท็จจริง”
“ข้อเท็จจริง???”
“อื่อ เงื่อนไขที่จะพาเราไปยังสถานที่ดังกล่าวได้ นั่นคือเราจะต้องตายเสียก่อน ต้องตายในลักษณะที่ไม่ได้ตายตามธรรมชาติ และ ตายในพื้นที่ๆมีคนตายเยอะๆด้วย ถึงจะไปยังที่แห่งนั้นได้”
“แต่ว่าถ้างั้น....”
“รถมอเตอร์ไซของเราถูกรถเมล์ชนจนทั้งเราและรถเมล์ซึ่งเสียหลักตกออกข้างทางลงดอยไปหลายร้อยเมตร”
อะไรก็ตามที่นุ่นพยายามจะค้านต่อถูกขัดด้วยเหตุการณ์ในอดีตของฝน เธอเงียบสงบลงทันทีเพื่อที่จะคิดตามเหตุการณ์ซึ่งผ่านไปนานแล้วต่อ
“แล้วคนบนรถเมล์ก็เสียชีวิตหมด เรื่องนี้เราเคยได้ยินมาก่อน”
“อื่อ ทั้งหมด”
“เหลือแต่นายคนเดียวที่เป็นคนแบกร่างไร้วิญญาณของน้องลงเขามาขอความช่วยเหลือ”
“อือ”
“นายเป็นคนแจ้งทั้งเวลาและสถานที่เกิดเหตุ”
“ใช่ ตอนนั้นเราแค่คิดเป็นห่วงน้อง ถึงได้มีแรงวิ่งฝ่าป่าฝ่าดอยลงไปได้ แต่มันก็สายเกินไปซะแล้วล่ะ”
“แล้วคนบนรถเมล์มีกันกี่คนล่ะ”
“ห้าสิบสี่คน”
แม้จะเป็นจำนวนที่มาก แต่หญิงสาวก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจำนวนคนตายเพียงแค่นี้เอง หากชายหนุ่มคนนี้อยากจะได้สถานที่ที่มีคนตายพร้อมกันห้าสิบสี่คน ทำไมไม่ไปตายที่โรงพยาบาลหรือชายแดนที่เขารบกัน
“แค่ห้าสิบสี่คนจริงๆเหรอ”
“ก็ไม่เชิง ทำไมหรอ?”
“ไม่เชิง???ไม่เชิงยังไงล่ะ”
ฝนเองก็สังเกตเห็นเธอสงสัย จริงบอกความจริงไป
“รถเมล์คันนั้นบรรทุกนักศึกษาและคณะแพทย์ขนยารักษาโรคไปให้ชาวดอยกลางเขาน่ะ เพราะอุบัติเหตุคราวนั้น ทำให้ยาและเลือดบริจาคไปไม่ถึงมือผู้ป่วย”
“ทำให้มีคนตายมากมายใช่ไม๊”
เธอหัวไวมากจนน่าตกใจ มักจะตามเขาทันเสมอๆ ฝนตัดสินใจบอกความจริง
“ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านกว่าหนึ่งพันสองร้อยชีวิต ตายเพราะโรคระบาดกลางป่าอย่างไม่ได้รับความช่วยเหลือ”
หลังจากฟังเรื่องและปะติดปะต่อได้เธอก็เริ่มเข้าใจ
“นายเลยรวบรวมสมัครพรรคพวกร่วมอุดมการณ์ที่ต้องการไปยังโลกหลังความตาย วางแผนฆ่าสังหารหมู่บ้าๆนี้ขึ้นใช่ไม๊”
ฝนหลบตาอีกครั้งด้วย รู้อยู่เต็มอกว่ามันน่าละอายและเลวมากๆที่ทำเช่นนี้
“นายมีสิทธิอะไรล่ะ มาทำแบบนี้ ไม่มีใครเขาอยากจะตายกับเธอหรอก”
เธอคงมีอะไรจะต่อว่าอีกมากมาย และฝนก็ยินดีฝังด้วย หากแต่ไม่เกิดเหตุการณ์อันตรายต่อชีวิตของหญิงสาวร่วมชะตากรรมขึ้นเสียก่อน เสียงฝีเท้ามากมายกรูกันเข้ามายังบริเวณสระว่ายน้ำ ฝนตัดสินใจได้ในทันที เพราะนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะลองพยายามได้เพื่อเพื่อนผู้หญิงคนนี้
“เอาล่ะ เธอชื่ออะไร”
“ห๊ะ?”
“ชื่อเธอน่ะ”
“นุ่น”
“โอเค นุ่น เธอฟังให้ดีนะ เราจะพาเธอออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะยิงปืนใส่ใคร เธอจำไว้ให้ดีว่าจงวิ่งสุดชีวิต ตรงข้ามถนนไปยังคณะศึกษาของเธอ”
“ห๊ะ????อะไรนะ”
“ถ้าเธอไม่อยากตาย อย่าถามมาก นี่เป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำให้เธอได้”
ฝนจ้องตาใส่ๆและสั่นไปมาด้วยความกลัวของหญิงสาวไว้อย่างมุ่งมั่น
“นาย...จะสู้กับตำรวจ พวกนี้”
“อือ เราจะออกไปก่อน แล้วเธอค่อยออกไป จำไว้ วิ่ง อย่างเดียว ไม่ต้องสนเรา”
พูดจบปุ๊บฝนก็ฉากออกจากแนวกำแพงห้องน้ำไปทันที นุ่นแทบไม่ทันตั้งตัวแต่ด้วยไหวพริบอันดี เธอทำตามที่พระเอกหนุ่มบอกทุกคำ
เจ้าซามูไรปีศาจหลังจากได้เห็นชีวิตน้อยๆนับสิบกอดกันขดเป็นวงอยู่ใต้ผ้าห่มมันบรรจงลากดาบญี่ปุ่นด้ามยาวออกจากฝักมาถือไว้ มันเดินช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มอันผิดมนุษย์มนาตรงเข้าไปยังกลุ่มเด็กน้อย
“ฮึๆ ดาบในตำนานนี่เข้มขลังสมชื่อจริงๆอาถันมันแรงจนจะได้ดื่มเลือดเด็กเลยเชียวเรอะ โหดร้ายจริงๆเลยนะแกนี่
”
ซานาดะยิ้มแย้มพูดกับดาบแสนรักของตนที่วันนี้สะบัดคมดื่มเลือดเชือดชีวิตมาแทบจะนับไม่ถ้วน
“ขอโทษด้วยนะ
.หนูๆ”
มันยังคงเดินมุ่งหน้ามายังพวกเด็กๆ ใกล้เข้าไป ทุกทีๆ เหล่าเด็กน้อยทั้งหลายเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็เริ่มส่งเสียงร้องให้กระจองอแงดังระงม
ขณะที่มฤตยูกำลังจะกลืนกินชีวิตน้อยๆนั้น ซานาดะกลับเห็นสิ่งหนึ่งโดยบังเอิญ...
“ki~sama(หนอยแก)!!...”
เจ้ายุ่นอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ซามูไรหนุ่มพุ่งตัวหลบกระสุนสี่นัดเข้าหาแนวต้นไม้ไกล้ตัวได้อย่างฉิวเฉียด เมื่อสังเกตที่เกิดเหตุดีๆ ก็พบกับทหารคนหนึ่งเล็งปืนมาที่เขา ที่แท้ทหารหน่วย SAAT ดักรออยู่แล้วและรอให้เขาเข้ามาใกล้พอระยะหวังผล แต่ด้วยสัญชาติยานของผู้ถือซามูไรในตำนานราวกับมีเสียงกระซิบทำให้เขายังรอดพ้นจากการถูกเจาะกระโหลก
“ชิ!! ไวฉิบเป๋ง”
ทหารนั้นสบถแล้วเริ่มประทับปืนยิงใส่ซานาดะเป็นชุดที่สองทันที แต่เพียงแค่เล็งซานาดะก็เคลื่อนย้ายตำแหน่งตัวเองอย่างว่องไวไปตามแนวแมกไม้ริมสนามเทนนิสจนหน่วย SAAT ที่ชาญสงครามยังต้องฉงน
“ขอหัวแกเถอะ!!”
ซานาดะพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วดาบในมือตวัดออกหมายปลิดศีรษะทหารผู้นี้แต่หน่วย SAAT ใช่จะหยามกันได้ง่ายนัก เขาใช้ดามปืนกลรับดาบทางด้านข้าง โดยไม่ให้โดนคมดาบและผลักออกไปทันทีเพราะรู้ว่าเมื่อดาบนั่นกระทบปืนของเขาตรงๆ ปืนนั้นย่อมขาดกลายเป็นชิ้นท่อเหล็กแน่นอน
โครม!!
ทหารหนุ่มเสยรองเท้าบูทคอมแบทหัวเหล็กเข้าที่ชายโครงของซานาดะ ร่างบางของซามูไรหนุ่มลูกครึ่งถูกกระแทกเข้ากับรั้วคอร์ดเทนนิส หนุ่มยุ่นลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ชายในชุดพรางไม่ให้โอกาสแม้แต่วินาทีเดียว เขาโถมเข้ามาพร้อมกับสปาต้าในมือจ้วงแทงหมายกลางกระหม่อม ซานาดะสะบัดดาบกระแทกมีดสั้นนั้นหลุดมือไปอย่างชำนาญ
“ย่าห์!!”
ซานาดะเสือกดาบเล็งที่ชายโครงทหารนั่นอย่างแม่นยำ แต่จอมสงครามซึ่งมาถึงสมอภูมิก่อนเพื่อนฝูงกลับหลบได้ฉิวเฉียดเตะเข่าเข้าที่ซอกรักแร้เจ้าซามุไรดังพลั่ก หนุ่มยุ่นหน้าขาวกระเด็นไปตามแรงกระแทก
กรอด
.เขาขบกรามแน่นทั้งตัวรู้สึกปวดแปลบไปหมด อาการหงุดหงิดเมื่อถูกลูกคมกำเริมขึ้นบรรดารโทษะให้นักรบบ้าเลือดแห่งแดนอาทิตอุทัยยิ่งเอาจริงขึ้นอีก
“แกว่งดาบได้นิดหน่อยมาทำซ่า เจอของจริงหน่อยก็จอด ไปจ๋อยในนรกแล้วกันนะมึง!!”
ชายในชุดพรางปลดปืนพกออกจากเอวเล็งมาที่ซานาดะ
ปัง!!
พริบตานั้นซานาดะพลันก้มตัวลงพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวลูกตะกั่วที่พุ่งมาเลยแม้แต่นิด นักศึกษาหนุ่มจากแดนปลาดิบพุ่งเข้าหาเป้าหมายทั้งๆที่กระสุนนั้นพึ่งโฉบผ่านลูกตาขวาไปห่างกันไม่ถึงเซนติเมตร มือขวาส่งดาบคู่กายเหวี่ยงสุดแรงไปที่ตัวทหารหนุ่ม
ย้ากกกก!!!
เฮ้ยยย!!!
ฉั่ว!!
ทหารหนุ่มผู้ชะล่าใจพยายามใช้ปืนปัดป้องแต่เปล่าประโยชน์คมดาบผ่านเอวขวาทะลุขึ้นมายังหัวไหล่ซ้าย ทหารกองกำลังหน่วย SAAT ถูกผ่าออกเป็นสองซีกอย่างง่ายดายคล้ายหั่นเต้าหู้ด้วยคมดาบปีศาจแสนรักของซานาดะนั่นเอง
ฮ่าๆๆๆๆ ฮะฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!!!!
ซานาดะหัวเราะกึกก้องยาวนานราวปีศาจร้ายที่ได้เหยื่อสังเวยมาอีกตัวหนึ่ง
“ไอ่สถุน!! ไหนว่ามึงเก่งนักเก่งหนาไง!!”
ซานาดะควงดาบกระหายเลือดของเขาไปมาก่อนเข้าฝัก และหันไปที่มุมขวาของคอร์ดเทนนิส
“แง้!!!!!!!!!”
เด็กคนหนึ่งทนภาพตรงหน้าไม่ไหวปล่อยโฮร้องให้ออกมา เด็กสาวคนที่แก่กว่ารีบเอามืออุดปากเพราะกลัวเจ้าปีศาจร้ายจะได้ยินเข้า
“โอ๊ะโอ๋ ใจเย็นๆสิ....อีกเดี๋ยวข้าจะพาไปหาที่แสนสบายเองไงล่ะ...”
ซานาดะพูดเสียงเย็นเยียบค่อยย่างสามขุมเข้าหากลุ่มพวกเด็กๆที่เริ่มจะร้องให้ตามกันจนดังระงมไปทั่ว เสียงรองเท้าดังก๊อกแก๊ก ใกล้เข้าไปยิ่งทำให้พวกเด็กๆเริ่มออกอาการทางจิตประสาท บางคนถึงกับฉี่แตกบางคนเริ่มมีอาการล้มลงชักกระตุก ซามูไรในมือค่อยๆเปลือยคมช้าๆออกจากฝักเป็นประกายขาววับ
อีกไม่กี่อึดใจเหตุการณ์น่าสยองพองเกล้าเกินกว่าปุถุชนคนทั่วไปจะรับได้กำลังจะบังเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้นเอง
โครมม!! บรืนนน!!!!
รถตู้ตำรวจที่บรรดาขาโจ๋ทั้งหลายคุ้นเคยในชื่อ‘ฉลามดำ’พุ่งทะยานแหกรั้วคอร์ทเทนนิสพุ่งเข้าหมายชนซานาดะจังๆ แต่ด้วยความว่องไวซานาดะเพียงถูกเฉี่ยวกระเด็นล้มลงด้านข้างเท่านั้น รถตู้คันโตเบรกลงที่หน้ากลุ่มเด็กๆประตูรถเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงของบุรุษร่างท้วมใหญ่
“รีบขึ้นมาเร็วเข้าลูก!! ไอ้เบิ้มมึงลงไปเอาเด็กๆขึ้นมาซะทีซิวะ!!”
เด็กพากันวิ่งกรูขึ้นรถพร้อมกับจ่าเบิ้มที่อุ้มเด็กเป็นลมขึ้นรถมาสองคน
“ไปล่ะโว้ย!!!”
จ่าย้อยเหยียบคันเร่งจมมิดรถฉลามดำพุ่งออกจากคอร์ทเทนนิสอย่างรวดเร็ว
“หนีเรอะ!!!!”
ซานาดะลุกขึ้น คว้าอินแกรมที่ตกอยู่ยิงตามหลังรถฉลามดำทันทีแต่ก็ไม่เป็นผลฉลามดำกันกระสุนอยู่แล้ว เมื่อคิดดังนั้นปีศาจหนุ่มวิ่งข้ามสวนหย่อมไปดักอีกฟากของถนนทันที
“เฮ้ยพี่ มันมาโน่นแล้ว” เบิ้มกระตุ้นอย่างเร้าใจ
“ฉิบหาย!!”
จ่าย้อยหักรถให้ด้านข้างที่ติดเกราะหนาแน่นไถลรับกระสุนที่สาดมาเป็นห่าแล้วหักรถกลับทิศออกไปอย่างรวดเร็ว ซานาดะพลาดไปอีกครั้งหนึ่ง
“ฮ่าๆ เห็นยั่งงี้กูน่ะระดับเทพเจ้าซิ่งสายฟ้ามาก่อนนะโว้ย!!” จ่าย้อยคุยโวขณะที่เบิ้มมองเห็นความซวยต่อเนื่องด้านหน้า
“จ่า!! โน่นมัน...ด่านของพวกผู้พันนี่จ่า!! แถมไอ้เปรตนั่นมัน...มันตามมาแล้วจ่า!!”
“ช่วยไม่ได้แล้วว่ะไอ้เบิ้ม”
“อย่าบอกนะว่าจ่าจะ...”
“แหกกกกก!!!”
จ่าย้อยหันรถทิศทางพุ่งเข้าไส่ด่านของทหารถนัดถนี่..
“เฮ้ย!! ไอ้คันนั้นมันยังไงมันน่ะ..”
ผู้พันหนุ่มคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมา...
“เฮ้ย!! ไอ้คนที่อยู่ในรถตำรวจเอ็งเป็นใคร จอดเดี๋ยวนี้นะ”
จ่าร่างท้วมกระแทกเสียงตอบคืนไป
“ไม่ต้องมาสั่งกูแล้วไอ้สัด!! ไอ้จัญไร!! มึงมันไอ้ฆาตกร”
แค่ได้ยินเสียงเท่านั้นรุจน์ก็จำได้ทันที
“ไอ้ย้อย ไอ้เบิ้มมึงจะจอด!! รึมึงสองตัวจะออกไปขายเต้าฮวย!!”
จ่าฮีโร่ของเราตบเกียร์ห้าเหยียบมิดทันที...
ย้าาาาาา!!!!!!!!! เต้าฮวยก็เต้าฮวยสิวะ!!!!!
“เฮ้ย! ไอ้...!!” ผู้พันหนุ่มอุทานขึ้น เขาและทหารอีกสองสามคนแยกย้ายกระโดดลงจากรถจิ๊ฟอย่างรวดเร็ว...
โครม!!!
รถฉลามดำพุ่งทะยานไปด้วยกำลังกว่าห้าร้อยแรงม้าชนแผงกั้นของทหารกระจุยกระจาย จ่าย้อยสุดยอดฮีโร่ของเราพาชีวิตน้อยๆรอดออกจากนรกได้สำเร็จ
“จ่าครับ แล้วเราจะไปทำไรกินล่ะครับจ่า...” เบิ้มถามขึ้นมาเสียงเรียบๆ
จ่าย้อยเหม่อมองไปยังหนทางข้างหน้า หันไปมองเด็กๆ
“กลับบ้านกันนะลูก เดี๋ยวลุงไปส่ง”
“เย้ๆๆ” เด็กๆส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงม จ่าอ้วนท้วนในตอนนี้ไม่มียศใดๆอีกแล้วพลางคิดถึงภรรยาที่รัก..
‘ศรีจ๋า...อ้ายยะหื้อศรีผิดหวังแหมแหล่ว...ยกโทษหื้ออ้ายโตยเน่อ...ต่อไปอ้ายจะบ่ออกไปเสี่ยงหื้อศรีเป๋นห่วงแหมแล้ว...’
และแล้วลุงย้อยฮีโร่ของหนูๆก็หันไปทางเบิ้มและตอบว่า
“มันสั่งกูไปขายเต้าฮวย ก็ขายเต้าฮวยสิวะ!!”
พอได้ฟังดังนั้นเบิ้มถอนหายใจหนึ่งทีตอบกลับด้วยสีหน้าหดหู่..
“ก็...ก็ดีพี่....งั้น...ผม...ผมจะไปขายผัดไท....”
***************************
“หนอย!! ไอ้ย้อยยยยยย!!!!”
รุจน์ทุบฝากระโปรงรถด้วยแรงแค้นแสนสาหัส ตั้งแต่เขารับตำแหน่งมายังไม่เคยถูกหยามน้ำหน้าถึงเพียงนี้
“รอก่อนเถอะมึง กูทำให้ประเทศไทยไม่มีที่ให้มึงอยู่แน่ ไอ่ย้อย”
แต่ความสนใจของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อวิทยุสื่อสารของนายร้อยผู้ติดตามของเขาดังขึ้น...
“ท่านครับ เราเจอไอ้หน้าขาวนั่น มันฆ่าพวกเราได้คนนึงครับ”
ได้ยินดังงั้นเขายิ่งโทสะพลุ่งพล่านตะคอกกลับไป
“พวกมึงเป็นหน่วยพิเศษห่า’ไรกัน แค่ไอ้หน้าขาวคนนึงจนเดี๋ยวนี้ยังฆ่ามันไม่ได้อีกรึไงห๊ะ กูไม่ฟังห่าอะไรทั้งนั้นนอกจากรายงานมาว่ามันเป็นศพไปแล้ว!!”
เขาตัดการสื่อสารแล้วถลึงตาโตบอกกับเหล่าทหารที่ยังยืนอยู่กับเขา...
“มึงจะทำไงกันก็เชิญ แต่กูขอเห็นศพไอ้เปรตนั่นในสิบนาที!!”
“ครับ!!”
เมื่อรับคำสั่งแล้วหน่วย SAAT ก็แยกย้ายเข้าพื้นที่ทันที...
ฝ่ายซานาดะหลังจากตามรถจ่าย้อยไม่ทัน แถมซี่โครงที่ถูกทหารคนที่แล้วเตะจนหักไปก็เริ่มสร้างความเจ็บปวดให้เขา แต่เขาต้องลืมความเจ็บปวดนั่นไปชั่วคราวเมื่อเห็นหน่วย SAAT อีกคนหนึ่งโรยตัวจากคอปเตอร์ลงมาห่างคอร์ทเทนนิสไปประมาณร้อยเมตร
“เหยื่อ...อีกตัวนึง....เรอะ”
ซามูไรหนุ่มคว้าปีนพกที่เอวยิงใส่ทหารคนนั้นกลางอากาศจนหมดแมกกาซีน เขาเห็นทหารนั่นเอนตัวหลบเพียงเล็กน้อยก็หลบกระสุนพ้นแต่ด้วยปีศาจร้ายที่ดูเหมือนจะสิงซานาดะอยู่ในตอนนี้ กระสุนพลันตัดเส้นเชือกขาดผึง ทหารคนนั้นร่วงลงมาทันที
“น่าสมเพช...”
ซานาดะเห็นเฮลิคอปเตอร์ทหารลำนั้นบินจากไป เขาแค่นหัวเรอะทีหนึ่งเมื่อเดินตรงไปสำรวจร่างซึ่งตกมากระแทกพื้นก่อนจะหันหลังกลับสอดปืนพกไว้ที่เอว แต่แล้ว พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา...
สมเพชตัวเองเรอะไอ้หน้าขาว!!
เสียงใหญ่ๆนั่นทำให้ซานาดะหันกลับมามอง และก็ต้องตกตะลึงไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เจ้าของเสียงนั่นเป็นทหารฉกรรจ์ร่างยักษ์มหึมาสูงเกือบสองเมตรเมื่อมองจากระยะไกลนั้นไม่เห็นความต่างจากหน่วย SAAT คนอื่นๆนัก แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้ามัดกล้ามอันใหญ่โตแข็งแรงปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วร่าง สีหน้าของมันนั้นฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิตแม้เทพแห่งความตายผู้ไร้ปราณีก็ยังต้องครั่นคร้าม..
“รับมือได้!!”
ร่างยักษ์นั่นทะยานชาร์ทหมัดลงมาใส่ซานาดะทันที
โครม!!
หมัดที่ฟาดลงนั้นผ่านแก้มหนุ่มยุ่นไปเพียงนิดเดียว แต่กลับเกิดแรงอัดอากาศไม่ต่างจากนักมวยอาชีพ ซานาดะเพียงพุ่งตัวหลบได้ว่องไวกว่ามิฉะนั้นหัวกะโหลกของเขาคงได้แหลกกระจุยเป็นผุยผงเป็นแน่
“เร็วใช้ได้ ต่อไปก็...!!”
เจ้ายักษ์โหมโจมตีเร็วขึ้นแต่ซานาดะก็ยังคงหลบได้พริ้วไหวเมื่อได้โอกาสซามูไรในมือก็พลันฟาดออกไปหมายที่คอเจ้ายักษ์
เคร้ง!!
นึกไม่ถึงเจ้ายักษ์นั่นคว้ามีดสั้นขึ้นปัดป้องได้ง่ายดายและมีดที่ใช้ก็ไม่ใช่ขี้ๆมันทำจากไทเทเนียมอัลลอยสังเคราะห์เสริมคาร์บอนจนมีคุณสมทั้งแข็งและเหนียวอย่างเหมาะสม แม้ร่างจะใหญ่ยักษ์แต่ความเร็วกลับน่าทึ่ง ซามูไรหนุ่มถีบตัวออกห่างแล้วพุ่งแทงกลับเข้าไปหมายท้องน้อย เจ้ายักษ์เงื้อเท้าจะเตะดาบออกจากมือของซานาดะ แต่ซานาดะเพียงยกดาบขึ้นนิดหนึ่งเสียบเข้าที่ไหล่อวบๆของมันถนัดถนี่
“อื้มมม!! ดีมาก”
เจ้ายักษ์ดูไม่สะทกสะท้านกับการโจมตี มันกลับกุมดาบของซานาดะไว้แน่นด้วยมือเพียงข้างเดียว...
“เสร็จล่ะไอ้หนู!!”
ทหารยักษ์ดึงดาบออกจากไหล่ แล้วจึงกระชากหนุ่มยุ่นซึ่งกำดาบไว้แน่นเข้าหาตัว ซานาดะปลิวหวือมาเป็นเป้าของหมัดอัพเปอร์คัทที่หนักหน่วงราวค้อนปอนด์ กระแทกใส่ทรวงอกจังๆ
พลั่กก!!
อึ้กกก!!
ซานาดะปลิวไปตามแรงชกรู้สึกเหมือนกระดูกไหปลาร้ากระดูกซี่โครงมันเหลวละเอียดอยู่ในอก เขากระอักเลือดออกมาคำนึง มองไปข้างหน้าดาบคู่มือหรือก็ไปอยู่ในมือของเจ้ายักษ์นั่น
“ดาบแกนี่สวยจริงๆ.....แต่ท่าทาง...มันคงไม่อยากอยู่กับแกซะแล้วว่ะ!!”
ทหารยักษ์ยกดาบขึ้นต้องแสงเป็นประกายวับวาบ มองอย่างชื่นชม ซานาดะในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขาหรือว่ามันคือความกลัว ตอนนี้ทั้งตัวเขารู้สึกเย็นยะเยือก สายตามองไปทางใดก็มืดมน ราวกับว่าวิญญาณปีศาจอักโหดเหี้ยมได้หายไปจากตัวเขาพร้อมๆกับดาบเล่มนั้น
“เอาดาบข้าคืนมา!!!”
ซานาดะรวบรวมกำลังสุดท้ายกระชากดาบสั้นที่เอวพุ่งเข้าใส่ทหารยักษ์นั่นอีกครั้ง เจ้ายักษ์เพียงหันมาและวาดดาบออกไปกระทบกับดาบเล่มน้อยของซานาดะ ด้วยพลังที่กล้าแข็งและความเข้มขลังของดาบปีศาจ เขาฟาดซานาดะกระเด็นลอยละลิ่วไป ดาบสั้นของเขาหักสะบั้นไปพร้อมกับนิ้วมืออีกสามสี่นิ้ว แผลที่โดนตีนมาสามสี่บูทพึ่งจะรู้ว่ามันเจ็บถึงกระดูกดำก็ตอนนี้เอง
“มึงคงใช้มันฆ่าคนมามากสิ...กูจะให้มึงได้ตาย...เพราะมันนี่แหละ!!”
ซานาดะยังไม่ยอมแพ้เขากระโดดเข้าสวนกับเจ้ายักษ์ ด้วยหมัดแต่ไร้ผล เจ้ายักษ์ผลักเขาล้มลงกระแทกพื้น ท้ายทอยกระทบพื้นสุดแรงจนตัวหนุ่มยุ่นมึนไปชั่วเวลาหนึ่ง นั่นเอง เจ้ายักษ์ยืนค่อมอยู่บนร่างน้อยๆนั้นอย่างถนัดถนี่ก่อนจะเล็กดาบในตำนานให้เข้าเป้า
“ย้ากก!!”
ซานาดะใช้มือทั้งสองหนีบดาบเอาไว้ก่อนที่มันจะทะลุเข้าไปในช่องปากของเขา
“ยังอึดอยู่....เรอะ!!”
ทหารร่างยักษ์มองนาฬิกาข้อมือแล้วพลันบิดดาบหั่นนิ้วมือที่เหลือของเขาเป็นชิ้นๆ ดาบปีศาจมุราซาเมะ ปักลงเข้าปากของซานาดะ
“สิบนาที...พอดี”
..
.
แคว่กก!!
เจ้าทหารยักษ์โยกดาบหั่นกะโหลกศีรษะของเขาออกเป็นส่วน...
หนวดคว้างระเบิดลงบันไดกะให้มันกลิ้งไปตกชั้นหนึ่งเพื่อถ่วงเวลาไอ่พวกทหารจอมจุ้นไว้ ส่วนตัวเขาก็แจ้นไปยังช่องแคบซึ่งเป็นทางเดินไปยังชมรมต่างๆ หนุ่มหัวหน้าแก๊งจอมโฉดจัดแจงถอดเสื้อนอกและกางเกงของตัวเองออกสวมให้ศพชายคนหนึ่งอย่างลวดเร็ว แล้วจึงคว่ำหน้าร่างไร้วิญญาณลงกับพื้น หลังจากนั้นจึงตรวจสอบกระสุนในแมกกาซีนเพื่อเตรียมตัวฉะกันเป็นยกสุดท้าย
ห่างออกมาไม่ไกลนัก ณ ชั้นหนึ่ง
“พันรุจน์ครับ ผมว่ามันหนีไปแล้วแน่ๆครับ เกือบจะห้านาทีแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย”
ชายหน้าเข้มจอมไวไฟดีดก้นบุหรี่ทิ้งอย่างใจเย็น ก่อนจะตอกเอาบุหรี่มวนที่สี่สิบเอ็ดสำหรับวันนี้มาคาบในปาก
“ใจเย็นน่าคุณ ไอ่ตึกโรงอาหารเนี่ยทางออกมันมีแค่สองทาง มันไม่ออกมาทางเราก็ต้องไปออกอีกประตู ซึ่งผมส่งคนไปเฝ้าไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”
รุจน์พูดตอบเนิบๆขณะจุดบุหรี่ในปาก
“หมวดพาคนขึ้นไปดูมันหน่อยป๊ะ สี่คนพอ เจอก็เก็บเลย เดี๋ยวผมวอไปบอกอีกด้านให้ซุ่มรอมัน เผื่อคิดหนีจริงๆจะได้จัดการมันได้ทัน”
“ครับ!”
ไม่มีการรอช้าลังเลแต่อย่างใด สัญญาณมือถูกส่งต่อไปยังลูกหมู่อีกสี่คน หน่วยย่อยซึ่งรุจน์พึ่งจัดตั้งเคลื่อนพลไปอย่างระมัดระวัง ปืนประทับบ่าอยู่ตลอดเวลา ต่างคนต่างทำหน้าที่ระวังหน้าระวังหลังให้กันอย่างรู้การรู้งาน ผู้หมวดหัวหน้ากองนำลูกน้องขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ และไม่นานนัก ทั้งหน่วยก็เข้ายึดพื้นที่ชั้นบนบริเวณหน้าบันไดได้อย่างรวดเร็ว
หัวหน้าหน่วยส่งสัญญาณให้ลูกน้องสองคนประจำตำแหน่ง คอยคุ้มกันตัวเขาและอีกสองคนซึ่งจะเข้าไปสำรวจตามทางเดินแคบๆอันเป็นทางเดินไปยังห้องชมรมต่างๆ พอเดินกันได้ซักพัก ลูกน้องคนหนึ่งก็ส่งสัญญาณให้หัวหน้าหน่วยได้รับทราบ ว่าตอนที่เขาโรยตัวลงมาปะทะกับผู้ก่อการร้ายเมื่อครู่นั้นเขาจำมันได้จากเครื่องแต่งกาย ซึ่งบัดนี้มันนอนก้มอยู่บนพื้นตรงหน้านี้เอง
ปังๆๆ!!
หัวหน้าหมวดทำหน้าทีของเขาทันที สองนัดที่ตำแหน่งหัวใจ และ อีกนัดที่หัว เสร็จกิจเขาก็สั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งไปพลิกศพขึ้นดูว่าตายสนิทหรือยัง ลูกน้องคนหน้าเมื่อได้รับสัญญาณก็ย่องเข้าไปเอาเท้าเขี่ยศพให้หงายหน้าขึ้นตามคำสั่ง
บึ้ม!!
ผลไม้พื้นเมืองซึ่งหนวดถอดสลักออกและเอาหนีบไว้ใต้แขนศพก็ทำงานทันที ผลจากกับดักทำให้ทหารหน่วยย่อยห้าคนเหลือเพียงแค่ลูกน้องสองคนซึ่งกำลังมึนงงและเล็งปืนตรงไปยังกลุ่มควันอันกระจายออกมาจากช่องแคบหน้าชมรมต่างๆ เขาทั้งสองแน่ใจได้ทันทีว่าทั้งสาม ตายสนิทแน่นอน
ขณะที่ทหารทั้งสองกำลังใจจดใจจ่อรอยิงคนที่จะโผล่พรวดออกมาจากกลุ่มควัน ฝ้าเพดานบนหัวก็แตกออกอย่างไม่ให้ตั้งตัว หนวดทะลวงฝ้าลงมากระทืบใส่ร่างของนายทหารคนหนึ่งล้มลงกระแทกพื้นและคาดว่ากระดูกซักที่คงหักเพราะเขาไม่สามารถจะยันตัวลุกขึ้นได้ ส่วนอีกคนที่กำลังร้องว่า “อ่าว” ก็โดนหัวหน้าแก๊งจอมบู๊ยัดลูกซองเข้ากลางหน้าไปหนึ่งนัดเต็มๆ ชายกระดูกหักกระเสือกกระสนพยายามควานหาปืนซึ่งตกอยู่ใกล้ๆ แต่หัวหน้าหนวดก็ไม่พลาดที่จะเอาเท้าเขี่ยออกไปให้พ้นมือเจ้าทหารผู้หน้าสงสาร
“อาดิออส อามีโก้!!”
โป้ง!!
ทหารส่วนใหญ่ที่ชั้นหนึ่งงงเป็นไก่ตาแตก และอยากจะรู้สถานการณ์ข้างบนใจจะขาด แต่พันรุจน์นั้นแค่ฟังเสียงและลำดับสถานการณ์ดูคล่าวๆก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น บุหรี่นอกราคาแพงยังไม่ทันจะหมดมวน ก็ถูกดีดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย หนุ่มไวไฟดึงเครื่องมือสื่อสารออกจากเอวลูกน้องข้างๆอย่าหัวเสีย
“รายงานด่วน”
เขาพูดสั้นๆและรอฟังคำตอบอยู่กับที่
“ตายหมดแล้วครับ”
เสียงหนวดดังขึ้นอย่างกวนประสาท
“พอมีฝีมือนี่ น้องชาย”
พันรุจน์เล่นลิ้นด้วยเพื่อหยั่งเชิง
“แน่นอนอยู่แล้ว ฮะฮ่า”
หนวดเองก็ไม่ได้แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ กลับพูดเล่นทำน้ำเสียงเยาะเย้ยกลับมาอีก
“พอจะว่างคุยกันมั้ย น้องชาย”
“ชัวว์ จัดมาเลยพี่ชาย”
“ผมรุจน์ น้องชายล่ะ ชื่อว่าอะไร”
“จอห์น แม็คเคลน”
หมวดรุจน์อดยิ้มไม้ได้ แต่ก็ไม่รอช้ารีบสร้างรูปประโยคโต้ตอบต่อทันที
“อ่า...มีสเตอร์จอห์น ผมเดานะ นายคงไม่ใช่หัวหน้าหรือคนวางแผนก่อเหตุฆ่าคนครั้งนี้แน่ๆ”
“ทำไมคิดงั้นล่ะครับพี่รุด”
“ก็คนวางแผนเขาฉลาดน่ะสิ คิดวางแผนไว้ดีจนพวกผมเสียเวร่ำเวลานานกว่าจะเข้ายึดสถานการณ์ได้”
“แล้วพี่จะบอกว่าผมโง่หรอ”
“แน่นอน แกขังตัวเองไว้นี่ ถ้าเป็นเขาคงคิดหาทางหนีทีไล่ไว้แน่ๆ”
รุจน์พยายามยั่วโมโหให้หนวดหมดความอดทนเหมือนกับคราของป้อม แต่นั้นไม่งายหรอก จะเล่นกับหัวหน้าแก๊งหัวแหลมจอมเจ้าเล่ห์
“พี่รุดคงมั่วผิดแล้วล่ะ”
“ผมพูดอะไรผิดล่ะ???”
“ก็พี่ว่าคนวางแผนของผมเขาจะหาทางหนีทีไล่ไว้น่ะสิ หึหึ”
เสียงหนวดที่ผ่านกลับมาทางวิทยุสื่อสารสร้างความงงให้รุจน์ได้อย่างดี ซึ่งรุจน์ก็ไม่หลงโง่นานนัก
“ก็หมายความว่าพวกน้องๆเตรียมตัวมาตายกันแล้วนะสิ ใช่ไหม?”
“ถูกต้องนะคร๊าบ”
“จริงๆผมก็อยากรู้นะ ว่าพวกน้องๆคิดอะไรกัน แต่ช่างเถอะเดี๋ยวผมจะจัดให้ละกัน อยากตายแบบไหนล่ะ”
“เรื่องของกู มึงไม่ต้องมาเปลืองสมองคิดหรอกเว้ย”
การสนนาเริ่มจะรุนแรงด้วยคำหยาบคายที่หนวดใช้
“เริ่มหงุดหงิดแล้วอะดิ ไอ่กระจอก เอ็งมีอะไรอยากจะบอกโคตรพ่อโคตรแม่ก่อนตายมั้ย”
“กูขอแค่นี่ละกัน ยิปปี้คาเย่ ”
“ผมละเสียดายจริงๆ ผมนึกว่าถ้ามาที่นี่ผมจะได้พบกับคนที่วางแผนการครั้งนี้เสียอีก”
“อือ สมน้ำหน้ามึง”
“ก็นะ แต่อย่างน้อยๆคนหัวเราะทีหลังก็ดังกว่าแหละ มีสเตอร์จอห์น”
“ไม่หรอกม้าง”
“!”
“มึงคิดว่ามึงฉลาดกว่าฝนจริงๆอะดิ”
“อ้อ คนวางแผนชื่อ น้องฝนสินะ เป็นผู้หญิงซะด้วย”
“ผู้ชายโว้ยไอ่มั่วชอบพูดเข้าข้างตัวเอง”
โดนกวนเข้ามากๆ คนที่หงุดหงิดกลับเป็นรุจน์ ทหารทุกคนไม่ไหวติงไปไหน ต่างก็รอคำสั่งจากพันรุจน์อย่างใจจดใจจ่อ
“กูจะบอกให้เอาบุญนะไอ่ขี้โม้อวดดีมีแม่เป็นกะหรี่ มึงน่ะมันแค่คนทำตัวมองโลกกว้างแต่แม่งจริงๆไม่ยอมออกมาจากกะลา”
หนวดได้ทีพูดใส่มาเป็นชุด และดูเหมือนการโต้วาทีครั้งนี้ ชายหนุ่มหัวหน้าแก๊งจะได้เปรียบ เพราะพันรุจน์เริ่มหลุดการควบคุมตัวเองแล้ว
“มึงคิดว่ามึงฉลาดกว่าไอ่ฝนเพื่อนกูล่ะผิดถนัด”
“ทำไมละวะ ไอ่ห่านั่นมันฉลาดมากเลยเหรอ มึงก็ชวยอธิบายทีเถอะ อีกซักพักกูก็จะส่งคนไปสอนให้มึงรู้จักโลกหลังความตายแล้ว”
เสียงวิทยุสื่อสารเงียบไปพักใหญ่
“ถ้าเป็นไอ่ฝน มันจะไม่มายืนเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆกับคนร้ายที่มีระเบิดอยู่เต็มสองมือหรอก ไอ่หน้าโง่!”
เพราะประโยคนี่เอง ทหารทุกคนจึงถึงกับสะดุ๊งตกใจ หนวดกระโดดออกมาจากระเบียงชั้นบนในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบ๊อกเซอร์ในมือทั้งสองข้างกำละเปิดปลดสลักเรียบร้อยไว้แน่น ทั้งตัวพันไว้ด้วยสายกระสุนปืนกลกว่าร้อยนัด
“ถอยโว้ยยยยยยยยย”
นายทหารคนหนึ่งตกใจกลัวและแก้สถานการณ์ทันทีโดยไม่รอคำสั่งพันรุจน์
“ถอยทำบ้าอะไรยิงมันสิวะ”
คำสั่งที่สับสนทำให้ทุกคนกระสับกระส่ายหนีตายกันไปคนละทิศละทาง จะมีก็แต่พันรุจน์นี่แหละชักปืนพกออกมาซัดเข้ากลางหัวใจของหนวดซึงกำลังลอยลงมาหาเขา หัวหน้าแก๊งยิ้มล่าอย่างโรคจิตข่มขวัญจนพันรุจน์ยิ้มไม่ออก
บรึมม!!!
หนวดพลีชีพระเบิดใส่พันรุจน์จนเศษเนื้อกระจุยไปรอบทิศ เลือดสาดกระเซ็นยาวเป็นทาง กระสุนที่พาดอยู่เต็มตัวหนวดเมื่อโดนระเบิดเข้าให้ก็ลันออกทุกทิศทุกทาง ทหารที่กำลังวิ่งหนีถูกกระสุนเข้ากลางหลังบาดเจ็บและตายเกือบห้าสิบนาย ที่เหลือที่รอดอย่างหวุดหวิดก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกจากที่เกิดเหตุ
ในใจของหัวหน้าแก๊งคนจริงก็สะใจและยิ้มอย่างประสบความสำเร็จ
เจ้าหน้าที่พนักงานของรัฐสามคนกำปืนลูกโม่ย่องดุ่มๆเข้ามายังห้องน้ำของสระว่ายน้ำอย่างใจเย็น แต่พอพระเอกหนุ่มหน้าใสโผล่พลวดออกมากจากห้องน้ำ ทั้งสามก็ยกปืนขึ้นเล็งใส่เขาทันที แต่ทักษะและสติอันดีกว่า ฝนกราดรัวกระสุนปืน MP5 ในมือเข้าใส่ตำรวจทั้งสามอย่างทันท่วงทีก่อนที่ลูกโม่ในมือจะลั่นใส่เขา อะไรบางอย่างบอกให้เขาสังหรณ์ใจว่ายังมีพวกตำรวจรอเขาอีกหลายคนตรงประตูหน้า ฝนสาดกระสุนไปที่นั่นทันที แม้จะไม่มีใครซักคนแต่นั่นก็ขู่ขวัญตำรวจที่ออกันอยู่ด้านหน้าได้เป็นอย่างดี
“ปืนกลโว้ย หาที่กำบังก่อน”
ตำรวจสูงอายุคนหนึ่งตะโกนบอกพวกพ้องขณะที่ตัวเองหลบอยู่ชิดกำแพงทางเข้ากับลูกน้องอีกสี่คน แต่แล้วลูกเหล็กกลมๆก็กระเด็นมากระแทกรองเท้าบู๊ตของเขาอย่างไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว
“อะ อ่าว”
บรึ๊ม!!
ตำรวจด้านนอกซึ่งไม่โดนลูกหลงอีกยี่สิบกว่าคนพากันหมอบตัวสั่นกลัวเสียงระเบิด ควันยังไม่ทันจาง ร่างของพระเอกหนุ่มก็ฝ่าม่านควันออกมาอย่ารวดเร็วพร้อมกับขว้างลูกระเบิดไปยังกลุ่มรถตำรวจที่จอดอกกันสามคันหน้าประตู ขณะที่ระเบิดยังไม่ทำงานฝนก็รัวกระสุนปืนกลในมือเข้าใส่ด้านที่มีตำรวจมากที่สุด เขาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เป็นการยากที่จะถูกสอยด้วยปืนลูกโม่หลายกระบอก
บรึ๊ม!!
กลุ่มควันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากระเบิดลูกที่สอง ตำรวจคนสุดท้ายที่ยังยืนได้อยู่เล็งปืนอย่างแม่นยำเข้าไปที่หัวของฝน ขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไกนั่นเองเป็นเวลาเดียวกับที่พระเอกหนุ่มสังเกตเห็น
ปัง!!
ลูกปืนวิ่งเฉี่ยวกะโหลกของเขาไปไม่กี่เซนติเมตร เพราะการตัดสินใจกระโดดม้วนตัวกลิ้งหลบไปกับพื้นนั่นเองทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ฝนม้วนหน้าไปกับพื้นและลุกขึ้นยืนทรงตัวได้อย่างฉับพลันเพราะทักษะทางการกีฬาที่ดีของเขานั่นเอง
แชะ!!
เสียงรังเพลิงที่ว่างเปล่าดังขึ้นพร้อมกันจากปืนสองกระบอก กระบอกแรกเป็นของฝนซึ่งเล็งไปยังเจ้าตำรวจแม่นปืนคนนั้น ส่วนกระบอกที่สองก็ปืนของเจ้าตำรวจแม่นปืนคนนั้นนั่นเอง มันรีบกุลีกุจอใส่กระสุนลูกโม้ด้วยมือไม้สั่นเทา แต่ก็ไม่เร็วได้เท่าฝนซึ่งมีปืนSIG Sauer P239 ซ่อนสำรองไว้ที่เข็มขัดแน่นอน
“นุ่น!”
ชายหนุ่มตะโกนหาหญิงสาว สายตาคอยสอดส่องตามหมู่ควันอย่างระมัดระวัง เขาตะโกนอีกครั้งเพื่อตามหาหล่อน ตลอดเวลาตั้งแต่ที่วิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว เขาไม่มีเวลาจะสนใจนุ่นเลยเพราะลำพังตัวเขาก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเสียด้วยซ้ำ
ทันไดนั่นเอง พระเอกหนุ่มในชุดนักศึกษาก็ถูกรวบเข้าที่แขนขวาจากด้านหลัง เขาสะบัดสุดแรง แต่ก่อนที่จะทันได้หันปืนไปเหนี่ยวไก เสียงร้องของหญิงสาวนั่นเองหยุดเขาไว้ ฝนคว้าแขนคุณครูฝึกหัดและเริ่มวิ่งพาออกไปให้พ้นบริเวณสระว่ายน้ำ
ชายหนุ่มผู้วิ่งนำหันกลับมาสำรวจอาการของหญิงสาวเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง วินาทีนี่เองที่เขากำลังหายใจอยู่นี่ ฝนเริ่มลังเลที่จะตายตามความตั้งใจเดิม ชายหนุ่มไม่สามารถทิ้งหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายไว้ที่นี้ได้ เขาต้องพาเธอหนีออกไปให้ได้ แม้ว่าเขาอาจจะต้องเสียโอกาสที่จะไปหาน้องสาวของตัวเองก็ตาม เขาต้องพาเธอหนี ต้องรอดไปให้ได้
แต่แล้ว ณ หน้าประตูบานใหญ่นั่นเอง บนถนนซึ่งขั้นระหว่างสระว่ายน้ำและคณะศึกษา หนุ่มสาวถูกรัวกระสุนไล่หลังมาติดๆ มันไม่ใช่เสียงปืนลูกโม่แน่นอน ฝนไม่หยุดคิด เขาฉุดหญิงสาวซึ่งขาสั่นจนแทบวิ่งไม่ออกไปในลักษณะลากเสียด้วยซ้ำ ทั้งสองวิ่งหลบเข้าตัวอาคารได้อย่างหวุดหวิด
หน่วยรบพิเศษสิบสองคนได้รับคำสั่งหยุดยิงจากหัวหน้าหน่วย
“ไม่ต้องกลัว ตึกนั่นมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว พวกมันเจอทางตันแล้ว”
ทางด้านฝน เขาพาอ่อมวิ่งหนีขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นดาดฟ้าของอาคาร แต่ที่นั่นเองพวกเขาทั้งสองก็ต้องพบกับสภาพแวดล้อมที่เรียกได้ว่า “ทางตัน” ดาดฟ้าสูงจากพื้นเกินกว่ายี่สิบเมตร กระโดดลงไปไม่ได้แน่นอน พอเห็นว่าไม่มีทางหนีแล้วเขาจึงปล่อยมือจากเธอ เจ้าหล่อนผู้หน้าสงสารก้มหน้าลงหอบแทบสำลัก
“ก็บอกแล้วไงว่า ให้วิ่งไป วิ่งไป ที่สระว่ายน้ำเธอจะมามัวรอเราทำไม.....โธ่โว้ย ยัยโง่!!”
อีกครั้งที่เขาตะคอกหญิงสาวอย่างหัวเสีย ไม่ได้เพราะหงุดหงิดที่จนตรอกหรือเป็นห่วงชีวิตตัวเองแต่อย่างใด แต่มาคิดดูให้ดีๆ เธอเป็นคนเดียวที่อยู่กับเขาตอนนี้ ตอนที่ชีวิตของเขากำลังจะจบลง และคิดในทางกลับกัน เขาก็เป็นคนเดียวที่อยู่กับเธอ ณ เวลาที่ชีวิตของเธอก็กำลังจะจบลงเช่นกัน
“ถามจริงๆเถอะ เพราะเราแท้ๆ คนถึงต้องตายมากมาย แต่ทำไม...เธอยังลังเลและรอเรา”
หญิงสาวยังหอบอยู่แต่ก็เงยหน้าขึ้นมองตาเขานิ่งๆและไม่ได้ตอบอะไร น้ำตาของชายหนุ่มไหลอาบแก้มอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เธอกลับยิ้มและเช็ดมันออก
“ขี้แยจริงๆนะนายเนี่ย”
ตอนนั้นเอง ที่ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งสิบสองคนและหัวหน้าหน่วยขึ้นมาถึงดาดฟ้า พร้อมกับเล็งปืนมายังคนทั้งสองที่จนตรอกอยู่มุมตึก เธอกอดฝนไว้แน่น ซบหน้าลงที่อกของเขาและเริ่มสะอึกสะอื้น “ถ้าน้องรู้ว่าพี่ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไปหาหนู หนูจะโกรธพี่ไม๊” คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวเป็นครั้งแรก บางทีตลอดมาเขาอาจไม่ได้ใส่ใจนึกถึงมันเลยว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเพื่อแลกกับการไปหาน้องสาว เป็นเรื่องเลวร้ายมากๆ เพราะภาพหญิงสาวที่ซบอกเขาอยู่นั่นเองเตือนให้เขาคิดหรอกหรือ หญิงสาวคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ความทุกของเขา รอและไม่ทอดทิ้งเขา แต่เขากลับเป็นคนที่ทำให้หล่อนต้องตาย
“ถ้าโลกหลังความตายมีจริง เมื่อเราไปถึงที่นั่นกันแล้ว
.”
นุ่นเงยหน้าขึ้นมองริมฝีปากของฝน
“ฉันจะปกป้องเธอเอง”
ครั้งสุดทายที่สบตากัน ลมหายใจที่กลั้นกันไว้ เสียงสุดท้ายของผู้ชายแปลกหน้า
“เราขอโทษเธอ...จากใจจริง ขอโทษนะ”
นายทหารโบกมือไปข้างหน้าเป็นสัญญาณ...
“ยิง!”
*************************************
ปล.พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น