ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : คัพธัพวดี
ตอนที่ 3 คัพธัพวดี
บดินทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บข้าวของที่ตกเกลื่อนพื้นใส่ถุงตามเดิม ก่อนที่จะมานั่งลงบนเตียงข้างๆ เพื่อนอย่างหมดแรง
ท่ามกลางความเงียบ จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น
"พวกแกว่า ยายเขาพูดจริงเปล่า" พยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ
อีกสามคนมองหน้ากัน
ฐานิดานั่งคิดอะไรสักอย่างอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดออกมาว่า
"ใจเย็นๆ ก่อนเอก เราว่ายายแกโม้นะ อย่าลืมว่าแกเป็นคนขายดอกไม้ไหว้พระ แกอาจจะแกล้งพูดให้เรากลัวเพื่อที่จะให้ไปซื้อดอกไม้ร้านแกไปไหว้พระทำบุญน่ะสิ ไม่จริงหรอก" เธอทำท่ามั่นอกมั่นใจ
บดินทร์เหลือบตามองเพื่อนสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาสบตานภดลกับสินีราวกับจะขอความคิดเห็น
หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้อง พลางส่ายศีรษะไปมา
"ไม่รู้สิ เราไม่รู้หรอก แต่ยายแกก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันกับเรานี่นา แล้วแกจะมาโกหกเราไปทำไม แต่ก็ใช่ว่าเราจะเชื่อนะ แต่ว่า โอ๊ย ไม่รู้สิ" เธอลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งอย่างหวาดผวา
"โอ๊ย งมงาย ไม่มีหรอก สงสัยจะฟังพี่อุทยานคนนั้นพูดเรื่องน่ากลัวๆ ที่ถ้ำนั่นแล้วเอามาหลอนเองน่ะสิ" ฐานิดาว่า สินีไม่ตอบอะไรเพราะขี้เกียจเถียง
"ฟ้าว่าไง" เพื่อนชายหันมาถาม
"เราว่าไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก ยายแกอาจจะตาฝาดก็ได้ หรือถ้าแกเห็นอะไรแบบนั้นจริง ก็ต่างคนต่างอยู่สิ จริงไหม"
"ย้ายบ้านที่พักดีไหมฟ้า" สินีถามความคิดเห็น
"บ้าเหรอ ฟรีก็ฟรี ไหนจะทำความสะอาดแทบตาย กับแค่คำพูดเลื่อนลอยของยายแก่ๆ ก็เอามาคิดเป็นตุเป็นตะ ฉันนอนก่อนละกัน ปิดไฟด้วยล่ะ" ฐานิดาพูด หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเอาไปนอนเล่นบนชั้นสอง
"ไม่มีอะไรหรอกเอก ไปอาบน้ำเถอะ ทำใจให้สบายๆ สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ" นภดลปลอบเพื่อนหนุ่ม อีกฝ่ายพยักหน้าและลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ
สินีมองหน้านภดลอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อไม่พบอะไรผิดปกติก็เดินขึ้นบันไดตามเพื่อนหญิงไป
นภดลเข้าห้องนอนคนที่สาม เขาเดินไปปิดไฟหลักของห้อง เปิดแต่โคมไฟที่โต๊ะและเดินไปนั่งอ่านหนังสือต่อ สักพักบดินทร์ก็เข้ามาในห้องแล้วเดินไปนอนที่เตียงข้างๆ อีกเตียงหนึ่ง นภดลอ่านหนังสือไม่มีสมาธิเลย อ่านทวนบรรทัดเดียวกันอยู่สองสามรอบ ใจเอาแต่คิดถึงคำพูดของยายขายดอกไม้ เมื่อสัปหงกไปประมาณสามสี่ครั้ง ชายหนุ่มก็ปิดโคมไฟจนในห้องมืดสนิท ต้องใช้ไฟจากมือถือส่องแสงจนมาถึงเตียงและล้มตัวลงนอน
เขาพลิกตัวไปมาอยู่สักพัก รู้สึกหงุดหงิดที่เมื่อครู่ง่วงแต่พอมานอนดันไม่ยอมหลับ สายตาเริ่มชินกับความมืดในห้อง เริ่มเห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่าง ไม่รู้ว่าแสงอะไรที่ส่องออกมาจากหน้าต่าง คงจะเป็นแสงไฟจากบ้านหลังอื่นๆ กระมัง
ชายหนุ่มนอนมองรอบๆ ห้องอย่างนึกขำ ดูสิ ความมืดในห้องมันสามารถชวนจินตนาการให้เราเห็นสิ่งหลอกตาได้ เช่น ผ้าถักที่แขวนอยู่ตรงประตู พอเห็นในความมืดสลัวๆ แบบนี้ ชวนจินตนาการว่าตะขาบกำลังไต่ยุ่บยั่บบนนั้น เสื้อผ้าที่ยัดไว้ลวกๆ ที่ตู้เสื้อผ้าในความมืดแบบนี้ก็ชวนจินตนาการเหมือนใครโผล่แต่แขนออกมาจากตู้ ทั้งๆ ที่ความจริงคือแขนเสื้อ และนั่นบนเตียงนอน เงาในความมืดแบบนี้ก็ชวนจินตนาการให้มองเห็นเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรำอยู่
เขาเบิกตาโพลง สะดุ้งเฮือก
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรำอยู่งั้นหรือ…
ชายหนุ่มทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นจากเตียง ทันใดตัวเขาก็โดนดึงกลับลงไปนอนอีกเหมือนถูกรั้งเอาไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็น เขามั่นใจว่าไม่ได้หลับหรือฝัน พยายามกำมือเข้าออกขยับแขนขา อวัยวะทุกส่วนยังใช้การได้ปกติ แต่ทว่าอย่างเดียวที่ทำไม่ได้คือลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มเคยได้ยินเรื่องผีอำ แต่นี่มันไม่ใช่อาการของผีอำเลยสักนิด
"หึๆ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นเหมือนเสียงหัวเราะ เสียงของเธอฟังแล้วเย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง
นภดลหยุดดิ้น ค่อยๆ หันแค่ใบหน้าไปมองที่เตียงของพวกผู้หญิง
ด้วยแสงที่ส่องออกมาจากนอกห้องผ่านหน้าต่าง ปรากฏร่างหญิงสาวใส่ชุดสีดำสนิท ยืนอยู่บนเตียงของพวกผู้หญิง เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนตัวฐานิดา เท้าอีกข้างเหยียบอยู่บนตัวสินี ผู้หญิงคนนั้นกำลังร่ายรำอยู่บนตัวของเพื่อนทั้งสอง โดยที่ทั้งคู่ต่างหลับไม่รู้เรื่องเลย
ชายหนุ่มตัวชาหนึบตั้งแต่หัวจรดเท้า ความหวาดกลัวไหลหลั่งท่วมท้นหัวใจ ได้แต่คิดในใจว่าสติๆ และถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่านี่เรากำลังจะเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอย่างนั้นหรือ
นภดลหลับตาแน่นและลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง
เธอยังคงอยู่!
"กลัวรึ" เสียงดังออกมาจากร่างนั้น
ชายหนุ่มสะดุ้ง ตาเบิกโพลง คิดว่าหูฝาดไป
"กลัวรึ" เสียงดังออกมาอีกครั้ง
เขาอ้าปากจะตอบ แต่ก็ไม่มีเสียงดังออกไปแม้แต่นิดเดียว
ร่างของหญิงสาวปริศนาหยุดร่ายรำ ค่อยๆ หันหน้ามาเผชิญกับนภดล เขาคิดว่าจะต้องเห็นอะไรน่ากลัวๆ เป็นแน่ แต่ทว่าใบหน้าที่หันมาเป็นแค่หญิงสาวที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป เว้นเพียงแต่สวย… สวยมากเกินคนธรรมดาทีเดียว
ชายหนุ่มเริ่มขยับตัวได้ อาการชาจากความตกใจค่อยๆ เลือนหาย ตนเองจึงเอาศอกข้างๆ ไปกระทุ้งตัวบดินทร์เพื่อให้ตื่น แต่กระทุ้งแรงเท่าใดเพื่อนก็ไม่ยอมรู้สึกตัว
"สหายเจ้าไม่ตื่นหรอก อย่าพยายามเลย" เสียงหญิงนิรนามดังขึ้นอีกครั้ง
เขาสะดุ้งหันมามองสตรีชุดดำด้วยความตกใจ รีบผุดลุกขึ้นนั่งทันที
หญิงสาวชุดดำเพ่งพิศใบหน้านภดลอยู่นานเหมือนกระหายใคร่รู้สนใจในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้าจริงรึนี่ เจ้าจริงๆ หรือ ข้าไม่อยากจะเชื่อ" เธอถามออกมา
ชายหนุ่มไม่กล้าสบตาหญิงตรงหน้า ไม่เข้าใจในคำถามนั้นและไม่กล้าตอบอะไรออกไป แต่ในที่สุดก็พยายามรวบรวมความกล้า ถามออกไปได้ในที่สุด
"ท... ทะ... ท่านเป็นใครกัน" เขาถามออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก
"ไม่จำเป็นต้องเรียกเราว่าท่านหรอก" หญิงงามเกินมนุษย์เอื้อนเอ่ยมา
อีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคอ ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่สิ่งร้าย ไม่ใช่สิ่งอันตรายใดๆ จึงสูดลมหายใจลึกๆ พูดต่อไป
"คุณทำอะไรเพื่อนๆ ของผมงั้นหรือ ทำไมพวกเขาถึงไม่ตื่น"
เธอมองหน้าชายหนุ่มอยู่ชั่วครู่ เอียงคอมองดูอย่างสงสัย
"เรามิได้ทำอันตรายใดๆ แก่สหายของพวกเจ้า พวกเขาแค่หลับใหลด้วยอำนาจของเรา แม้ในใจเราก็อยากทำมากกว่านี้อยู่ด้วยเหตุที่พวกเจ้ารุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเราเมื่อก่อนตะวันตกดิน"
ชายหนุ่มตกใจในคำพูดของหญิงชุดดำตรงหน้า รีบพนมมือยกขึ้นไหว้
"พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในเขตแดนของคุณเลย ตอนนั้นเป็นเหตุสุดวิสัยที่เราต้องไปในบริเวณนั้น ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย" นภดลพูดละล่ำละลัก
สตรีผู้นั้นมองมนุษย์หนุ่มที่ยกมือขึ้นไหว้ยิ้มๆ
"มนุษย์นี่นะ เอะอะก็ยกมือไหว้ หวาดกลัวก็ยกมือไหว้ ดีใจก็ยกมือไหว้ ตกใจก็ยกมือไหว้ ขอพรก็ยกมือไหว้ สมพรที่ขอก็ยกมือไหว้ โดยที่หารู้ไม่เลยว่าสิ่งที่ยกมือไหว้นั้นคืออะไร ควรค่าแก่การยกสิบนิ้วขึ้นประนมหรือไม่ ภพภูมิของสิ่งที่ไหว้นั้นสูงหรือต่ำกว่าก็มิได้ใส่ใจ ทุกวันนี้ข้าล่ะขบขันนัก เมื่อเห็นมนุษย์โง่เขลาบางจำพวกยกมือไหว้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ที่น่าขันที่สุดคือยกมือไหว้ในสิ่งที่ต่ำภูมิกว่า หลงละเมอเพ้อพกไปว่ามีอำนาจปาฏิหาริย์"
"แล้วคุณล่ะ ผมจำเป็นต้องยกมือไหว้ไหม คุณเป็นผีงั้นหรือ" ชายหนุ่มย้อนถาม
สตรีปริศนาตาวาวขึ้นวาบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
"อย่ามาเรียกเราแบบนั้น เราไม่ใช่สัตว์ในอบายภูมิ อย่าเอาชื่อสัมภเวสีแบบนั้นมาแปดเปื้อนสร้างราคีให้แก่ตัวเรา เรามิใช่ผีที่เจ้าว่า เราอยู่ในเทวภูมิ แม้จะอยู่ในเทวภูมิแต่ก็มิได้สูงไปกว่ามนุษย์อย่างเจ้ามากมายนัก ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไหว้เรา"
ชายหนุ่มค่อยๆ ลดมือลงวางไว้บนตักตามเดิม
“ผมจะเรียกคุณว่าอย่างไรดีครับ" คราวนี้เขาถามด้วยความระมัดระวัง
"นามเราคือคัพธัพวดี" เธอตอบ
เขาชะงัก คัพธัพวดี นางไม้คนธรรพ์ชั้นล่างงั้นหรือ ชายหนุ่มคิดในใจ ความรู้ที่เคยอ่านแวบเข้าในสมอง
"สมแล้วที่เป็นเจ้า ใช่สิ เจ้าต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร ถ้าไม่รู้ก็คงไม่ใช่เจ้า" คัพธัพวดียิ้ม มองหน้าอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ
นภดลตกใจ ทำไมเธอคนนี้ได้ยินความคิดเรา แถมพูดอะไรไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว
"ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรับรู้หรอก" คัพธัพวดีพูด
"แล้วคุณต้องการอะไรล่ะครับ ทำไมถึงตามพวกเรามา ถ้าเราทำอะไรผิดไปก็ขออภัย อย่าได้ลงโทษหรือทำร้ายพวกเราคนใดคนหนึ่งเลย" ชายหนุ่มขอร้อง
คัพธัพวดีผู้งามเลิศหัวเราะดังกึกก้องจนชายหนุ่มสะดุ้ง หันมองเพื่อนแต่ละคนอย่างเลิ่กลั่กกลัวว่าจะมีใครตกใจตื่นขึ้นบ้างแต่ก็ไม่มีเลย
คัพธัพวดีหัวเราะจบก็หันมาสบตามนุษย์หนุ่มเต็มตา ดวงเนตรฉายแววกราดเกรี้ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ ยกมือที่ขาวผุดผ่องขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย เสียงที่อ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดจนคนฟังแทบหงายหลัง
"นี่เป็นการดูถูกกันอย่างมาก มนุษย์! ความเข้าใจผิดของเหล่ามนุษย์ ตกทอดกันมาสืบชั่วลูกชั่วหลาน มนุษย์มากมายเข้าใจผิดในตัวเรามานับร้อยๆ พันๆ ปี บางคนกล่าวหาว่าเราบันดาลเรื่องร้ายๆ ให้แก่มนุษย์ บางคนว่าเราชอบรังควานหลอกหลอน บ้างว่าถ้าตัดไม้ที่เป็นที่พักเราไปทำที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก็จะถูกเราทำร้าย ทำให้บังเกิดความเจ็บไข้ แต่ความจริงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย ได้โปรด อย่าใส่ร้ายเรา เราอยู่อย่างสันโดษมาตลอด ภูมิของเราสูงกว่าพวกเจ้าก็จริงแต่มิได้คิดจะสร้างกรรมกับพวกเจ้า เรากับเจ้าต่างคนต่างอยู่กันมาตลอด เรื่องเหลวไหลทั้งปวงที่ว่าเราเป็นเทวดาใจร้ายนั่นเป็นเพียงแค่เรื่องบันเทิงที่มนุษย์ชอบเล่าขานกันในมนุสสภูมิแค่นั้น เจ้าก็เช่นกัน เรามิได้จะมาทำร้ายทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น"
นภดลนั่งฟังด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด คัพธัพวดีเหมือนจะโกรธเกรี้ยวมาก
"ผมขอโทษถ้าพูดอะไรที่ไม่ถูกต้องไป แล้วคุณต้องการอะไรล่ะครับ ถึงติดตามเรามา" ชายหนุ่มพูดละล่ำละลัก
"ต้องการสมาลาโทษจากพวกเจ้าทั้งหมด" คัพธัพวดีกล่าว เสียงอ่อนลง
"ผมขออภัย ขอสมาลาโทษแทนพวกเพื่อนๆ ของผมด้วยครับ" นภดลก้มหัวให้เธอ
"ไม่ได้!" คัพธัพวดีเสียงแข็งขึ้นอีกครั้ง
"พวกเจ้าทั้งสี่คนต้องมาขอขมาเราในที่ที่พวกเจ้าล้ำเข้าไป"
"คุณหมายความว่าให้เราขอขมาคุณที่ถ้ำบริจินดางั้นเหรอครับ" นภดลสงสัย
"ไม่ใช่! แต่เป็นในถ้ำ" คัพธัพวดียิ้ม
"ในถ้ำนั่นถ้าลึกมากก็เข้าไปไม่ได้หรอกนะครับ เขาห้ามเข้า ข้างในมีเหวรึเปล่าก็ไม่รู้" ชายหนุ่มบอกด้วยความตกใจ
"พวกเจ้าทั้งสี่เข้าไปได้แน่นอนและก็ไม่ต้องกลัวหุบเหว เราไม่ได้ชักนำพวกเจ้าไปสู่หายนะดอก"
"เอ่อ ผม… ต้องถามเพื่อนๆ ดูก่อน"
"ไม่จำเป็นต้องถามสหายเจ้า เมื่อตะวันแตะขอบฟ้า สหายของเจ้าจะตื่นมาขอให้เจ้าพาไปเอง ตอนนี้เราขอลาก่อน" คัพธัพวดีกล่าว
ทันทีที่อีกฝ่ายกะพริบตาวับเดียว ร่างของสตรีปริศนาก็หายไปทันที ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืน ตบหน้าตัวเองเรียกสติ ก่อนจะเปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง และวิ่งลงไปห้องน้ำชั้นล่างก่อนจะก้มลงเปิดน้ำที่อ่างมาลูบใบหน้า
"เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม" เขาถามตัวเองในกระจก
*****
6 นาฬิกา 10 นาที ชายหนุ่มถูกปลุกด้วยอะไรสักอย่างที่กำลังเขย่าๆ ตัวเขาอยู่ เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่ากำลังถูกจับเขย่าด้วยฝีมือของเพื่อนทั้งสามคน
"ตื่นเร็วฟ้า คนขี้เซา วันนี้เราจะไปถ้ำบริจินดากัน" สินีพูดเสียงใส
"ใช่ เราจะไปถ้ำบริจินดากัน ที่ต่ายเจองูปลอม" ฐานิดาเอ่ยตามมา
"นี่ งูจริงย่ะ ฉันเห็นกับตา"
"ใช่แล้ว ฟ้า วันนี้เราจะไปกัน เมื่อวานยังดูไม่ทั่วเลย วันนี้ไปแต่เช้าคงจะสวยกว่าเดิม" บดินทร์พูดชวนอีกคน
ชายหนุ่มแปลกใจ
"ทำไมถึงอยากไปกันอีกล่ะ ไหนเมื่อวานบอกกลัวกัน"
"ก็เมื่อวานมันเจอแต่เรื่องซวยไง ไหนจะงู ไหนจะเรื่องเล่าพิศดาร วันนี้ไปแต่เช้า คนก็น่าจะมีบ้าง แถวนั้นคงไม่เปลี่ยวอะไรมากหรอก" สินีว่าพลางดึงแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้นเสียที
"เดี๋ยวสิ เมื่อคืนทุกคนนอนหลับสนิทกันหมด ไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือ"
ทั้งสามคนหันมามองนภดลเป็นตาเดียว
"ใช่ นอนหลับสนิททั้งคืน ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่ฝันด้วย" บดินทร์ตอบ ส่วนอีกสองสาวก็พยักหน้าสนับสนุน
ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เป็นไปได้อย่างไรกัน หรือว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะเป็นความจริง เพราะการที่ทั้งสามคนอยากจะไปถ้ำนั่นอีกครั้งก็เป็นไปตามที่คัพธัพวดีกล่าวไว้ทุกประการ
"เป็นอะไรรึเปล่าฟ้า โอเคไหม เธอดูแปลกๆ ---แล้วอยู่ๆ ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ" สินีทักขึ้นด้วยความตกใจ
เขาหันหน้าหนี ก่อนจะพูดกลบเกลื่อน
"ไม่ๆ เราโอเค เดี๋ยวขออาบน้ำแป๊บนะ" พูดจบชายหนุ่มก็เดินเลี่ยงเพื่อนๆ ไปห้องน้ำที่ชั้นล่าง ทิ้งให้เพื่อนที่เหลือแอบมองตามไปด้วยความสงสัย
*****
"มีคนจริงๆ ด้วยแฮะ ข้างในก็มี ดูสิ" ฐานิดาชี้ให้ดูคนที่เดินถ่ายรูปภายในถ้ำบริจินดา
"แปลกจังเลยนะ เมื่อวานไม่มีใครมาสักคน" บดินทร์ตั้งข้อสงสัย
"พวกเราก็รีบเข้าไปสิ มัวโอ้เอ้อะไรกันล่ะ" สินีคว้าแขนเพื่อนๆ ในมือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูป
ทั้งสี่พากันเดินออกจากบริเวณหน้าถ้ำบริจินดาเข้าไปด้านใน ก็พบกับโถงถ้ำหินปูนรออยู่เบื้องหน้า
วัยรุ่นทั้งสี่เดินตรงไปตามทางหลักของถ้ำเหมือนมุ่งไปหาอะไรบางอย่าง ไม่มีใครวอกแวกกับช่องหรือหลืบทางเดินอื่นๆ เลย
"นั่นไง ช่องหินที่ฉันเจองู" สินีชี้นิ้วไปที่มุมถ้ำอันเป็นจุดที่พาไปสู่หลืบผาแคบๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไป นภดลงงเป็นไก่ตาแตก นี่เพื่อนของเขาโดนอำนาจอะไรดลจิตดลใจเช่นนั้นหรือ ถึงกลับมาที่นี่อย่างไม่มีความหวาดกลัวแบบเมื่อวานหลงเหลืออยู่เลย โดยเฉพาะสินีที่ดูจะขวัญเสียมากที่สุดกับเหตุการณ์เมื่อวาน ทว่าวันนี้กลับเปลี่ยนไปราวคนละคน
ฐานิดากับบดินทร์วิ่งกรูตามมาจนถึงหน้าปากทาง
"ตรวจดูก่อนว่ามีงูเงี้ยวเขี้ยวขออีกไหม" สินีพูดหวาดๆ เดินเขย่งเท้าหลบตามช่องตามมุมอับต่างๆ
"ไม่มีงูหรอกน่า เรามากันสี่คน ทำเสียงอึกทึกครึกโครมแบบนี้ งูเตลิดไปหมดแล้ว อย่าลืมว่าบางทีงูก็กลัวคนเหมือนกัน" บดินทร์ปลอบเพื่อน
"แล้วถ้าสิ่งที่เราเห็นเมื่อวานมันไม่ใช่งูล่ะ"
ฐานิดาเอียงคอมองเพื่อนแล้วเอ่ยว่า
"เธอหมายถึงงูเจ้าที่อะไรแบบนั้นหรือ"
"ใช่" อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ
ฐานิดากลอกตาถอนหายใจ เบื่อหน่ายกับความขี้กลัวอันไม่มีเหตุผลของเพื่อนสาวแล้วตั้งหน้าตั้งตาสำรวจปากถ้ำต่อ
"เข้าไปข้างในกันไหม" นภดลตัดสินใจถามเพื่อนๆ
"เข้าไม่ได้ครับ!" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
ทั้งหมดหันกลับมามอง และจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหน้าที่อุทยานหนุ่มใหญ่คนเดิม
"พวกคุณเป็นเด็กที่สอนไม่รู้จักจำจริงๆ เมื่อวานผมทั้งเตือนทั้งดุ คุณยังจะกล้าอีกเหรอ อีกอย่างตั้งแต่บริเวณนี้เป็นต้นไปห้ามสำรวจนะครับ หลืบถ้ำเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่เคยให้ใครเข้าเพราะอันตรายเกินไป ช่วยกลับไปที่ทางเดินหลักด้วยครับ" เจ้าหน้าที่พูดเสียงดังเพราะเหนื่อยหน่ายเต็มทน
"เราแค่เข้ามาดูข้างใน ถ่ายรูป แล้วเราก็จะไปแล้วครับ" นภดลขออนุญาต
"ไม่ได้ครับ ไม่ได้จริงๆ เสียใจด้วย เราต้องรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคนครับ มันคือมาตรการของเรา เชิญครับ เชิญออกไปจากบริเวณนี้ด้วย" เจ้าหน้าที่พูดเสียงหนักแน่น
"เราไม่ได้มาเที่ยวนะคะ เรามาทำสารคดี เป็นงานกลุ่มที่ต้องส่งอาจารย์ ได้โปรดเถอะค่ะ เห็นใจเราหน่อยนะคะ ไม่ถึงสิบนาทีจริงๆ ค่ะ" ฐานิดาอ้อนวอนอีกแรง
เจ้าหน้าที่อึกอัก ทำหน้าไม่พอใจ และเมื่อเขาทำท่าเหมือนจะปฏิเสธอีกครั้ง นภดลเลยรีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า
"งั้นถ้าผมให้พี่เข้าไปคุมข้างในถ้ำด้วย พี่จะอนุญาตไหมครับ"
เจ้าหน้าที่ยืนนิ่งไตร่ตรอง สักพักก็พยักหน้า
"ได้ครับ แต่ต้องสิบนาทีจริงๆ นะครับ" เขาย้ำ
ทั้งสี่ร้องขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะแหวกทางหลบให้พี่เขาเดินนำเข้าไปก่อน
"ช่วยตามผมมาตลอดทางด้วยนะครับ อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาดนะครับ" เจ้าหน้าที่กำชับ
"ครับ / ค่ะ" ทั้งสี่รับคำ
บดินทร์ ฐานิดาและสินีค่อยๆ ก้มตัวให้พ้นเพดานถ้ำ เพื่อจะลอดตัวเข้าไปด้านใน นภดลเป็นห่วงสินีเลยจัดการเดินรั้งท้ายเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
เมื่อทั้งสามเดินแทรกเข้าไปในถ้ำเรียบร้อยแล้ว นภดลก็ยืนมองหน้าปากถ้ำอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้
ทันใด เสียงของคัพธัพวดีที่พูดกับเขาไว้เมื่อราตรีที่ผ่านมาก็แว่วเข้ามาในโสตประสาท
“มนุษย์นี่นะ เอะอะก็ยกมือไหว้ หวาดกลัวก็ยกมือไหว้...”
ชายหนุ่มนึกถึงก็รู้สึกขำในใจ ก่อนจะเอามือลงแล้วก้มศีรษะลอดปากถ้ำตามเพื่อนๆ เข้าไป
"ตอนเห็นถ้ำนี่ครั้งแรกไม่คิดว่าจะเข้ามาได้นะ เพราะปากถ้ำมันคับแคบ ไม่น่าจะแทรกตัวเข้าได้ พอมาวันนี้เข้าได้เฉยเลย" ฐานิดาพูดพลางสำรวจไปรอบๆ
"ในนี้เย็นยะเยือกเลยแฮะ" สินีพูดขึ้น
"แน่สิ ตรงนี้เป็นโซนถ้ำลึกแล้วนี่นา" เพื่อนสาวร้องตอบมา
“แต่เมื่อวานไม่เย็นขนาดนี้นะ” บดินทร์พูดชึ้นบ้าง
"ได้ยินเสียงหยดน้ำแน่ะ ได้ยินกันเปล่า" นภดลกระซิบพลางเงี่ยหูฟัง
"ได้ยินเหมือนกัน" ทั้งสามคนตอบ
"ฟ้า เธอจ้องอะไรน่ะ" ฐานิดาเดินเข้ามาถามเสียงดังจนเสียงเธอดังก้องไปมา
"เปล่านี่" เขารีบบอก
"อย่ามาโกหก เราเห็นเธอจ้องผนังถ้ำนี่เอาเป็นเอาตาย เห็นอะไรหรือ” หญิงสาวพยายามซักไซ้
"จะขอหวยรึไงฟ้า" เพื่อนชายถามล้อๆ
"เปล่า เราเห็นเป็นผนังถ้ำธรรมดานี่แหละ แต่ถ้าเพ่งมองดีๆ เหมือนหินเหล่านี้จะเปล่งแสงระยิบระยับออกมาเองได้ แต่พอเรากะพริบตา ก็กลับกลายเป็นหินผนังถ้ำตามเดิม" นภดลตอบทุกคน
อีกสามคนชะงักไป
"เธอเห็นจริงๆ เหรอฟ้า เห็นแบบที่เราเห็นเมื่อวานใช่ไหม" สินีถามเสียงกระซิบ
"ใช่" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ
ทั้งสามมองผนังถ้ำตรงนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้เพราะไม่เห็นอะไรเลย จึงแยกไปถ่ายรูปหินย้อยจากเพดานถ้ำรูปร่างแปลกประหลาดแทน บางก้อนนั้นรูปร่างคล้ายต้นไม้เหลือเกิน
"น้องครับ ช่วยเดินเข้ามารวมกลุ่มใกล้ๆ กันด้วยครับ อย่าทิ้งห่างกัน" เจ้าหน้าที่เตือนเมื่อเห็นฐานิดาแยกตัวออกไปไกลสุด
"อ๋อค่ะๆ ขอโทษค่ะ" เธอรีบวิ่งปรู๊ดเข้ามารวมกลุ่ม
"แล้วนี่จะมาทำสารคดีอะไรกันล่ะครับ เกี่ยวกับอะไร พี่ช่วยแนะนำได้นะ" เจ้าหน้าที่ถาม
เงียบ ไม่มีใครตอบ
"บนดอยอินทนนท์มีที่สวยงามเยอะแยะ ทำไมต้องเลือกมาที่นี่ล่ะ" เจ้าหน้าที่ถามอีกครั้ง
เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมา
เจ้าหน้าที่ชักเอะใจ หันไปมองด้านหลัง
ภาพที่เห็นทำเอาใจตกวูบไปยังตาตุ่ม...
ข้างหลังเขาไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ทั้งสี่คนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว และจุดนั้นก็ไม่มีทางที่จะทะลุไปทางอื่นในถ้ำ ราวกับทั้งสี่คนจะละลายหายไปกับอากาศธาตุฉะนั้น
เจ้าหน้าที่ขนลุกซู่ เขาตั้งสติก่อนจะร้องเรียกออกไป
"น้อง อยู่ไหนกัน อย่าเล่นแบบนี้ ไม่เอา"
ทันใดเสียงของเจ้าหน้าที่ก็ก้องสะท้อนกลับมาในถ้ำคล้ายระบบเอคโค่
"เอา เอา เอา..."
เจ้าหน้าที่อุทยานมองเลิ่กลั่กไปรอบตัว เขามั่นใจว่าเดินนำหน้าวัยรุ่นทั้งสี่อย่างใกล้ชิดมาตลอด ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เดินนำหน้าเขาไปแน่นอน
หรือทั้งสี่คนจะวิ่งกลับไปที่ปากถ้ำ นึกเช่นนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับมาดูทางที่เดินเข้ามา ก็ไม่พบร่องรอยของพวกเขาเลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย
เขาทั้งสี่คน หายตัวหรือเดินทะลุผนังถ้ำไปงั้นหรือ…
เจ้าหน้าที่อุทยานเริ่มอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าอากาศในถ้ำเริ่มเหลือน้อยลงทุกที ชายหนุ่มเลยตัดสินใจออกไปด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
พอออกมาจากปากถ้ำได้ เขาก็รีบหยิบวอขึ้นมาพูดทันที
"ทราบแล้วเปลี่ยน มีคนหาย มีคนหายในถ้ำสี่คน แจ้งหน่วยและเรียกกำลังเสริมมาที" เขาพูดรัวเร็วกรอกลงไป
"เฮ้ย หายไปได้ยังไงวะ เอ็งไม่ได้คอยดูแลนักท่องเที่ยวรึไง" เจ้าหน้าที่อีกคนพูดตอบมา
"ดูน่ะดู ดูตลอด เดินตามมาติดๆ เลย แต่อยู่ดีๆ ก็หายไปทั้งหมดเลย" เขาพูดหอบๆ
"ฮึ้ย! เอ็งหมายถึง โดนผีป่าผีเขาบังตา ซ่อนแอบรึไง"
"อย่าทักแบบนั้นสิ รีบแจ้งหน่วยไปด้วย แล้วส่งคนขึ้นมา เร็ว"
"ซ่าๆ" เสียงสัญญาณขาดหายไป
"อ้าว ได้ยินไหม ได้ยินไหม" เจ้าหน้าที่เรียกย้ำลงไปในวอ
จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงเย็นเยียบหัวเราะกังวานออกมาจากวอ
"เฮ้ย!" เจ้าหน้าที่อุทานด้วยความตกใจ เกือบจะเขวี้ยงวอทิ้ง เขาเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดผวา
"อะ... อะไรวะนั่น" เจ้าหน้าที่ก้มลงมองวอด้วยความสยอง หันมองรอบๆ ตัวอีกครั้งด้วยอาการไม่สู้ดี พอตั้งสติได้ เจ้าหน้าที่ก็ตัดสินใจรีบวิ่งลงเนินไปเรียกกำลังเสริมด้วยตัวเองทันที
ไม่มีใครเห็นงูตัวใหญ่ที่เลื้อยผ่านหน้าปากถ้ำไปอย่างช้าๆ...
*****
กรุงเทพมหานคร
"อะไรกันเนี่ย รถตำรวจมาทำอะไรหน้าบ้านแม่เฟื่องเนี่ย" มุกดายืนชะเง้อคอมองเข้ามาในบ้านเพื่อนสนิทก็เห็นมีคนเดินกันอยู่ขวักไขว่
"คุณคะๆ ในบ้านนี้มีอะไรเหรอคะ ทำไมมีรถตำรวจจอดอยู่หน้าบ้าน" เธอถามเพื่อนบ้านใกล้ๆ
"ไม่รู้สิคะ เห็นมาจอดเกือบชั่วโมงแล้ว"
มุกดาเริ่มใจไม่ดี ห่วงเพื่อนรักของตนขึ้นมาทันใด เธอรีบกระวีกระวาดวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อน เห็นตำรวจสองนายยืนคุยกันอยู่ และเห็นเฟื่องเพื่อนของตนนั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา
"ยัยเฟื่อง !" มุกดาร้อง วิ่งเข้าไปหา "เกิดอะไรขึ้น เฟื่อง เป็นอะไรไป มีคนเป็นอะไรในบ้านเหรอ" เธอถามรัวเร็วด้วยความเป็นห่วง จับแขนเพื่อนวัยเดียวกันไว้
"ตาฟ้า มุก ตาฟ้าของฉัน" เฟื่องพูดเสียงปนสะอื้น น้ำตาไหลเป็นทาง
"ตาฟ้าทำไม ตาฟ้าเป็นอะไร ฟ้าไม่ได้อยู่ที่มหาลัยหรอกเหรอ" มุกดางุนงง
"ตาฟ้าแอบไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อน ไปดอยอินทนนท์แล้วหายสาบสูญ เจ้าหน้าที่ตามหาตัวไม่เจอมา 24 ชั่วโมงแล้ว ตำรวจจึงมาแจ้งฉัน" เฟื่องพูดพลางร้องไห้โฮ เอามือปิดหน้า
"อะไรกัน! ตาฟ้า ทำไมถึง…. หายสาบสูญงั้นหรือ" อีกฝ่ายพูดเสียงแผ่วเบา ใจหายไม่แพ้เพื่อนรักเมื่อนึกถึงลูกชายของหล่อน
"ตำรวจยังไม่พบศพ ฉันไม่รู้ว่าตาฟ้าคิดบ้าคิดบออะไรถึงไปเที่ยวไกลแบบนั้น จะบอกฉันสักคำก็ไม่มี นี่ดูสิ ตัวเองหายไป ฉันจะทำยังไงดีมุก ฉันจะทำยังไงดี" เฟื่องร่ำร้องตีอกชกหัว
"ใจเย็นๆ ก่อนเฟื่อง ฟ้าน่ะดวงแข็งไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก เดี๋ยวก็เจอตัว" มุกดาปลอบพลางเอามือลูบหลัง อีกฝ่ายชะงัก เงยหน้ามองผู้พูดช้าๆ ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
"มุกว่าอะไรนะ ดวง... ดวงแข็งเหรอ" เฟื่องหยุดสะอื้นนั่งตัวตรง
"ใช่ ฟ้าน่ะดวงแข็ง ยังไงก็..." มุกดาพูดไม่ทันจบ เจ้าของบ้านก็พูดแทรกขึ้นมา
"ดวง ดวงไงมุก จำได้ไหมตอนที่ฟ้าเกิดไม่กี่ปี เราไปดูดวงกับหลวงพ่อที่วัด จำได้ไหม ชื่อวัดฉันก็จำไม่ได้แล้ว แต่ฉันจำคำทำนายหลวงพ่อได้ดี" เฟื่องพูด แววตาเปล่งประกายนึกถึงความหลัง
มุกดานิ่งอยู่ชั่วครู่ พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน แล้วก็นึกขึ้นได้
"ใช่ๆ ฉันจำได้แล้ว ที่หลวงพ่อท่านทักเรื่องลูกชายเธอ แต่ฉันจำไม่ได้นะว่าหลวงพ่อทักว่ายังไงบ้าง" เพื่อนรักบอก
"ฉันจำได้ ฉันจำได้ หลวงพ่อท่านบอกว่าให้ระวังอย่าให้ตาฟ้ายุ่งกับเรื่องอจินไตย เมื่ออายุครบเบญจเพส" เฟื่องพูดพยายามทวนความจำ
"เธอกำลังคิดว่า เรื่องที่ฟ้าหายตัวไปครั้งนี้จะเกี่ยวกับเรื่องที่หลวงพ่อท่านทักหรือ" มุกดาถามช้า ๆ
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันมุก ฉันเดาอะไรไม่ถูกแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกด้วย ฉันตงิด ๆ ในใจว่าไอ้การที่อยู่ดีๆ ตาฟ้าไปเชียงใหม่มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ นี่" อีกฝ่ายร่ำร้องพลางหลับตาสะอื้นไห้
"แต่เบญจเพสคือ 25 ปีไม่ใช่เหรอ ตาฟ้ายังไม่น่าจะถึงนี่นา อยู่ปีสองเอง" มุกดาตั้งข้อสงสัย ขมวดคิ้ว
เฟื่องไม่ตอบ ยกมือขึ้นกุมหัวพยายามนึก แล้วจู่ๆ เธอก็สะดุ้งลุกพรวดขึ้น
"อะไร เป็นอะไร เฟื่อง" อีกฝ่ายตกใจ
"ฉัน... ฉันจดคำทำนายของท่านไว้ เดี๋ยวนะ" เจ้าของบ้านวิ่งพรวดเข้าไปในห้องนอนอยู่สักครู่ แล้วออกมาพร้อมกับกระดาษใบเล็กๆ ในมือ เธอค่อยๆ กางกระดาษเก่าคร่ำคร่าใบนั้นออกแล้วอ่านข้อความในกระดาษให้มุกดาฟังเสียงสั่นเครือ
"ดูลูกชายไว้ดีๆ ต่อไปเมื่อเขาเข้าสู่ปัญจก่อนเบญจเพสจะหมกมุ่นในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ห้ามปรามเขาเอาไว้บ้าง อย่าให้ถลำลึก ไม่งั้นอนาคตจะเผชิญเรื่องที่มนุษย์รับไม่ไหว"
"อะไรกัน ปัญจก่อนเบญจเพส ตอนแรกฉันจำผิดนึกว่าเบญจเพสเฉยๆ ปัญจก่อนเบญจเพสคืออะไร" เฟื่องหรี่ตา ทำหน้าไม่เข้าใจ
"ปัญจก่อนเบญจเพสงั้นหรือ" มุกดาทำหน้าครุ่นคิด
"ปัญจ ก็คืออีกคำของเบญจา เบญจาแปลว่าห้า ปัญจก็คือ 5 เหมือนกัน ส่วนเบญจเพสคือ 25 ถ้างั้นปัญจก่อนเบญจเพสก็คือ 5 ก่อน 25 น่ะเหรอ เดี๋ยวนะ... ยัยเฟื่อง! ตอนนี้ตาฟ้าอายุเท่าไร" มุกดาถามเสียงดัง ลุกขึ้นยืนตามเพื่อน
เฟื่องหน้าซีด น้ำตาไหลพราก ปากค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา
"ย... ยะ... ยี่สิบปี" เฟื่องพูดจบก็เป็นลม ร่างของเธอทรุดลงกับพื้น
"ว้าย! ยัยเฟื่อง ยัยเฟื่อง มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง มาช่วยที ขอยาดมหน่อย ช่วยด้วย" มุกดารีบประคองเฟื่องที่เป็นลมหมดสติไว้ในอ้อมแขน
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น