ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #2 : ล่วงแดน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 913
      39
      28 ธ.ค. 66

     ตอนที่ 2 ล่วงแดน


         "คาบหน้ามีควิซนะครับ นักศึกษาอย่าลืมอ่านหนังสือมาด้วย" อาจารย์พูดใส่ไมโครโฟนหน้าชั้นเรียนพลางเก็บของบนโต๊ะ

         "ต่าย ๆ ฟ้าแชทมาบอกว่าอยู่หอสมุดน่ะ" ฐานิดาหรือแป๋ว หญิงสาวผมดำยาว ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าเรียวได้รูปสวยคล้ายสตรีสมัยก่อนหันไปบอกกับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ กัน

         "โอเคแป๋ว เดี๋ยวไปหามันที่นั่นแล้วกัน บอกเอกด้วยว่าไปเจอกันที่หอสมุด" สินีหรือต่ายในชื่อเล่น นักศึกษาหญิงร่วมชั้นปีที่ 2 ซึ่งมีใบหน้ากลมน่ารัก ยิ้มตลอดเวลา ผมสั้นสีน้ำตาลชวนมองพูดตอบเพื่อน

         เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้ว นักศึกษาสาวสองคนเดินลงมาจากตึกเรียนรวม แดดในตอนเที่ยงส่องลงมาแผดเผา ฐานิดายกหนังสือขึ้นบังแดด 

        "ทำไมนัดแถวคณะไม่ได้ ต้องไปที่หอสมุด ไกลก็ไกล แดดก็ร้อน" หล่อนบ่น

        "ฟ้าบอกว่าจะคุยเรื่องทำรายงาน งานกลุ่มของอาจารย์สุวรรณไง"

        "หืม งานกลุ่ม? งานกลุ่มอะไร ทำไมเราไม่รู้" ฐานิดาหยุดเดินหันมามองหน้าสินี

        "นี่แสดงว่าแกลืมน่ะสิแป๋ว อาจารย์สุวรรณสั่งงานกลุ่มเรามาตั้งสามเดือนแล้ว เรื่องทำสารคดีท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สำคัญในต่างจังหวัด นี่อีก 2 อาทิตย์จะถึงเดตไลน์ อย่าลืมสิ" สินียกนิ้วชี้หน้าฐานิดาล้อเลียนคนความจำสั้น

        "ตายจริง เราลืมไปสนิทเลยอะ ดีนะ ฟ้าจำได้ ไม่งั้นมีหวังติดเอฟ" เพื่อนสาวร้องออกมา

        "ได้ยินว่าฟ้าคิดออกแล้วว่าจะไปจังหวัดไหนน่ะ งานกลุ่มคงจะทำได้แล้วแหละ" คู่สนทนาบอกพลางก้มอ่านข้อความที่เด้งเตือนขึ้นมาในแชทกลุ่ม "รีบไปเถอะ"

      




    ณ หอสมุดประจำมหาวิทยาลัย

         "เราว่าเราจะไปเชียงใหม่ ทุกคนเห็นว่าอย่างไรบ้าง" นภดลเฉลยสถานที่ที่จะไปกันเมื่อทุกคนมาพร้อมกันที่หอสมุด

         "ทำไมไปไกลจังเลยฟ้า" บดินทร์หรือเอกเพื่อนผู้ชายอีกคนในกลุ่มถามขึ้น

         "แหม ไม่อยากไปไกลล่ะสิ พ่อรูปหล่อ เดี๋ยวสาว ๆ ที่กรุงเทพฯ คิดถึงใช่ไหม" ฐานิดาแซวเพื่อนชาย ด้วยเพราะบดินทร์เป็นนักศึกษาหนุ่มใบหน้าคมสัน หุ่นนักกีฬา ผิวคล้ำ อีกทั้งยังสูงสมาร์ททำให้สาว ๆ มากมายต่างสนใจไม่น้อย

         "เราคิดว่าการไปรอบนี้ไม่ใช่แค่ไปทำงานกลุ่มแล้วกลับ แต่ถือว่าไปออกทริปเที่ยวกันด้วยเลย พวกเราไม่เคยเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ ทั้งสี่คนมาก่อนเลยนะ เราคิดว่าควรใช้โอกาสนี้นี่แหละ เดี๋ยวปีสามปีสี่งานยุ่งจะไม่มีเวลาไปเอา ซัมเมอร์ก็มีลงเรียน ปุบปับแป๊บเดียวก็เรียนจบแยกย้ายไปกันหมดแล้ว" นภดลชี้แจงเหตุผล 

         คราวนี้เพื่อนอีกทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา

         "เราเห็นด้วยกับเอกที่ว่ามันไกลไปนะ เดินทางลำบาก ค่าใช้จ่ายเยอะ เอาแบบไปเช้าเย็นกลับได้ไหมฟ้า" ฐานิดาถาม

         "เราว่าเชียงใหม่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ" สินีเห็นด้วยกับนภดล "แต่เธอคิดรึยังว่าจะไปที่ไหนของเชียงใหม่"

         "ดอยอินทนนท์ตอบโจทย์งานอาจารย์สุวรรณที่สุดแล้ว" ชายหนุ่มตอบโดยไม่คิดอย่างคนที่เตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว 

         "อืม ก็จริง ดอยอินทนนท์น่าสนใจอยู่ ทำสารคดีทั้งที อีกอย่างเราก็มีรถยนต์ ขับไปให้ได้ แต่ทำไมฟ้าต้องไปไกลขนาดนั้นล่ะ รอบๆ กรุงเทพก็มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเยอะแยะ" สินีถามนภดลด้วยความสงสัย เจ้าหล่อนเป็นเพื่อนที่สนิทกับชายหนุ่มมากที่สุด และเธอเองรู้สึกว่าการจัดแจงไปต่างจังหวัดของเพื่อนชายในครั้งนี้ดูมีอะไรพิกลอยู่

          นภดลพยักหน้า เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนกังวลและสงสัย จึงอธิบายออกไปว่า

         "คือเราศึกษาเรื่องดอยอินทนนท์มาพอสมควรแล้วน่ะ วางแผนการเดินทาง ที่พักเราก็พักที่บ้านน้าของต่ายได้ ทริปท่องเที่ยวตามลิสต์ ที่ทำสารคดีเรียบร้อย อีกเหตุผลคือเราอยากไปที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พวกเราก็ถือว่าไปเที่ยวกันในตัวก็ได้นี่นา จุดสูงสุดในสยามเชียวนะ"  

         "อืม ก็แล้วแต่ แต่ไปหน้าฝนแบบนี้จะดีเหรอ" ฐานิดาเตือน

         "ยิ่งดีใหญ่ คนไม่เยอะ ทำงานง่าย เราไปทำสารคดี คนยิ่งน้อยยิ่งดี" ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ

         "ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา ไปไหนไปกัน" สินีพูดพลางอมยิ้ม

        "ไปก็ไป นาน ๆ ทีได้เดินทางไกล ๆ นี่เห็นแก่ฟ้านะที่วางแผนไปดอยอินทนนท์ไว้พร้อมแล้ว ไม่งั้นไม่ไปหรอก" บดินทร์ตอบตกลงในที่สุด

        "ฟ้า! นั่นแกอ่านหนังสืออะไรน่ะ" ฐานิดาร้องออกมาดังลั่นจนนักศึกษาโต๊ะข้าง ๆ หันมามองด้วยความตกใจ

         ชายหนุ่มพยายามจะปิดหนังสือเก็บแต่เพื่อนสาวไวกว่า เธอเอื้อมมือมาคว้าหนังสือที่อีกฝ่ายพยายามจะซ่อนออกมากางหน้าปกแล้วอ่านชื่อหนังสือให้เพื่อนคนอื่นฟัง

         "ป่าหิมพานต์กับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา หนังสืออะไรของแกเนี่ยฟ้า อ่านอะไรพวกนี้ด้วยเหรอ" ฐานิดาถามขำๆ

         "ฮ่า ๆ เราเห็นมันอ่านหนังสือประเภทนี้นานแล้ว สงสัยอยากไปป่าหิมพานต์" เพื่อนชายอีกคนแซว

         นภดลไม่ตอบอะไร เขาทำปากขมุบขมิบบ่นเพื่อนที่แกล้งหยอกเขาก่อนจะดึงหนังสือกลับคืนมาอ่านต่อและหายไปจากวงสนทนาเพราะกำลังมีสมาธิกับสิ่งที่อ่าน ปล่อยให้เพื่อนทั้งสามคนวางแผนคุยเรื่องการไปเชียงใหม่ต่อไป

       
    *****


          เมื่อถึงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์อันเป็นวันที่ทั้งหมดตกลงกันว่าจะไปทำงานกลุ่ม ทุกคนก็มารวมตัวที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้ามืด สินีนั้นเป็นผู้รับผิดชอบขับรถยนต์ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยแวะพักระหว่างทางเสมอ ๆ ซึ่งพอพักก็จะมีการผลัดเปลี่ยนให้บดินทร์มาขับแทนบ้างหากเธอง่วงหรืออ่อนเพลีย และชายหนุ่มก็ขับรถได้ดีพอสมควร เสียอยู่อย่างเดียวคือเขาไม่ชอบให้ทุกคนหลับตอนกำลังขับ จึงวุ่นวายต้องคอยปลุกใครสักคนให้ตื่นมานั่งคุยกันตลอดระยะทาง ซึ่งก็คงไม่พ้นคนที่ขับรถไม่เป็นอย่างนภดลและฐานิดา

         พอตกกลางคืนก็จะแวะปั๊มพักสักชั่วโมงแล้วค่อยเดินทางต่อ ทั้งสี่ตกลงกันว่าจะยังไม่ทานอะไรลงท้องมากนักเพราะกะจะหิ้วท้องไปกินที่ตัวเมืองเชียงใหม่เลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ขับรถมุ่งสู่จุดหมายปลายทางโดยไม่แวะอีก จะมีเรื่องนิดหนึ่งก็ตอนผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งเป็นทางเปลี่ยวไม่มีแสงไฟ เพราะอยู่ๆ ฐานิดาก็ร้องเพลงแม่นาคขึ้นมาสั่นประสาททุกคนเสียอย่างนั้น สินีถึงกับงอนเพื่อนสาวเข้าให้เพราะเธอกลัวผีเอามากๆ

        เมื่อลุเข้าถึงจุดหมาย สี่เกลอก็จัดแจงแวะหาอะไรกินกลางเมืองเชียงใหม่ทันที แต่ละคนตื่นตาตื่นใจกับอาหารเมืองเหนือมากเพราะส่วนใหญ่มาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ละคนน้ำลายสอทันทีกับเมนูครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมจีนน้ำเงี้ยว น้ำพริกหนุ่ม ข้าวแต๋น  ลาบหมูคั่วและข้าวซอย ด้านสองสาวนั้นก็ดูจะชอบเมนูที่ชื่อไข่ป่ามเป็นพิเศษด้วยจนถึงขนาดขอวิธีทำจากร้านเพื่อนำไปทำเองที่บ้าน ทำเอาเจ้าของค้อนขวับเพราะร้านเขาคงจะมีสูตรลับ แล้วใครจะให้สูตรลับกันได้ง่ายๆ เล่า เมื่อตบท้ายด้วยขนมหวานจนพุงกาง สินีชวนทั้งหมดไปเดินย่อยอาหารในกระเพาะที่คูเมืองเชียงใหม่ แต่ความจริงเหมือนจะไปถ่ายรูปมากกว่าเดินกันเสียอีก และเมื่อเวลาล่วงเข้าสู่บ่ายคล้อย สี่สหายก็เดินทางมุ่งหาไปยังที่พักต่อทันที 

         ก่อนจะเดินทางสินีได้ติดต่อไปหาน้าสาวที่เธอรู้จักในเชียงใหม่เพื่อความแน่นอนว่ามาพักได้จริงๆ และพบว่าบ้านของน้าตอนนี้ว่างและไม่มีคนอยู่เพราะเธอไปทำงานต่างประเทศ น้าบอกว่าบ้านน่าจะอยู่กันได้สี่คนแต่ต้องทำความสะอาดหน่อย ส่วนกุญแจให้ไปเอาที่สามีเธอซึ่งอาศัยอยู่อีกบ้านหนึ่งนอกเมือง เมื่อเจรจากันเสร็จเรียบร้อย เพื่อนอีกสามคนเห็นว่าไม่ต้องเสียเงินนอนโรงแรมจึงตัดสินใจไปพักบ้านน้าของสินีทันที 

         “อยู่ฟรี น้ำไฟฟรี ห้ามบ่นนะยะ” สินีดักคอเมื่อทุกคนมาถึงยังหน้าบ้านของน้าตนเอง

         “คุณพระ ไม่ได้ทำความสะอาดมากี่เดือนแล้วเนี่ย” ฐานิดาย่นจมูกพลางมองเข้าไปในตัวบ้าน

         “อย่าเว่อร์วังยัยแป๋ว เอ้าสองหนุ่มเข้ามาสักทีสิ”

         ตัวบ้านนั้นกว้างขวางพอสมควร มีที่จอดรถและสนามหญ้าเล็กๆ มุมบ้าน ชั้นล่างจะเป็นโถง ห้องครัวและห้องน้ำ ส่วนด้านบนจะมีแต่ห้องนอน ทั้งสี่คุยกันว่าจะนอนห้องเดียวกันแต่แยกโซนชายหญิง พอเก็บข้าวของสัมภาระส่วนตัวกันเรียบร้อยก็จัดการทำความสะอาดบ้านทันที ตัวเรือนและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว สินีจัดการดึงผ้าออกและรวบรวมไปซัก ฐานิดาเริ่มต้นกวาดเศษขยะและหยากไย่ หลายหนที่เธอทำจมูกฟุดฟิดเวลาเจอฝุ่น และในที่สุดก็จามออกมาหลายหน

         “เธอแพ้ฝุ่นแน่แป๋ว” สินีมองหน้าเพื่อนอย่างพิจารณา “ไปพักก่อนก็ได้"

         “ไม่ๆ ฉันทำได้ ฉันไม่อยากกินแรงพวกเธอ” ฐานิดาตอบพร้อมทำท่าแข็งแรง

         พอถึงการถูก็เป็นหน้าที่ของนภดล ชายหนุ่มต้องเปลี่ยนน้ำถึงห้ารอบเพราะพื้นสกปรกมาก ดีที่เพื่อนสาวอีกสองคนช่วยเช็ดบันไดกับกระจก จึงไม่ต้องหนื่อยเท่าที่ควร ส่วนบดินทร์ได้ตรวจระบบไฟระบบน้ำว่าใช้ได้ทุกส่วนหรือไม่ ซึ่งก็ใช้ได้หมด จากนั้นเขาก็รับหน้าที่ทำความสะอาดห้องน้ำต่อ ระหว่างนั้นมีเรื่องตื่นเต้นนิดหนึ่งคือสองสาวไปเจอตุ๊กแกตัวเบ้อเริ่มหลังห้องเก็บของ เสียงวิ่งบวกกับเสียงกรี๊ดของทั้งคู่ยังกับเจอฆาตกรโรคจิตฉะนั้น

         ทุกคนช่วยกันทำงานจนตกเย็น พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็จัดแจงอาบน้ำรับประทานอาหารกัน โดยนภดลบอกกับทุกคนว่าวันนี้ให้นอนไวกันหน่อยเพราะพรุ่งนี้ต้องไปดอยอิทนนท์แต่เช้า ทุกคนก็รับคำเป็นอย่างดี

    *****

         เมื่อรุ่งเช้ามาถึง ทุกคนจัดแจงแต่งตัวให้ทะมัดทะแมง พกกล้อง สมุดปากกา แผนที่รวมถึงขนมขบเคี้ยวและน้ำดื่มครบครัน จากนั้นก็ขึ้นรถแวะเติมน้ำมันก่อนจะมาถึง ณ หน้าประตูเชียงใหม่ที่มีรถฟ้าคอยรับคน สินีขับตามแผนที่ไปจนถึงหน้าวัดพระธาตุจอมทอง และมองหาคิวรถสองแถว ซึ่งเป็นบริเวณทางขึ้นดอยอินทนนท์

         รถยนต์ส่วนตัวตะบึงขับขึ้นไปบนดอยตามรถคันอื่นๆ ขึ้นไป ดีที่ไม่ได้มาช่วงหน้าหนาวหรือปีใหม่ เพราะรถจะไม่มีทางขยับแน่นอน เมื่อขึ้นมาได้สักพัก สินีก็วกรถเข้าจอดยังที่จอดเรียบร้อย จากนั้นสี่เกลอก็ทยอยออกมาจากรถ

         "ทำไมมันหนาวจังเลยล่ะ" สินีพูดพลางย่นคอ     

         "ต้องโทษฟ้าคนเดียวเลยเนี่ย มาทำไมหน้าฝน" ฐานิดาบ่นกระปอดกระแปด แต่นภดลไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนเลย ได้แต่มองไปรอบ ๆ อย่างสนใจในธรรมชาติ

         "น้ำตกวชิรธาร จุดสูงสุดแดนสยาม กราบไหว้พระธาตุคู่ ตลาดชาวเขา สถานีเกษตรโครงการหลวง" บดินทร์เอ่ยชื่อจุดท่องเที่ยวทั้งหลาย “จะไปไหนก่อนดี”

         "เราไปทำสารคดีงานกลุ่มที่กิ่วแม่ปานดีไหม" ฐานิดาถามเพื่อนเสียงสดใส เพราะเคยเห็นในหนังสือท่องเที่ยว บริเวณนั้นน่าตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามมาก
       
         "ไม่ได้หรอก ตะกี้ถามเจ้าหน้าที่แล้วเขาบอกหน้าฝนกิ่วแม่ปานปิดน่ะ" สินีตอบ

         "อ้าวเหรอ เสียดายจัง" หญิงสาวผิดหวัง

         "เราไปที่ชัวญ่าก็ได้นะ มีแปลงดอกไม้ วิวน้ำตกก็สวย" บดินทร์แนะนำเพื่อน ๆ

         "ก็ได้อยู่นะ ฟ้า ว่าไงล่ะ---ฟ้ามองอะไรน่ะ" สินีหันไปถามเพื่อนเพราะเห็นเขากำลังเหม่อมองออกไปยังดงทึบของป่าอันไกลโพ้น

         "อ้อ เปล่าน่ะ แค่มองไปเรื่อย ๆ ว่าจะถ่ายรูป" นภดลตอบเสียงเบา

         "ตั้งแต่มาฟ้าดูแปลก ๆ นะ เป็นอะไรรึเปล่า" ฐานิดาตั้งข้อสงสัย เพ่งมองหน้าเพื่อนชายอย่างพินิจพิเคราะห์ 

         "เปล่านี่ เราก็ปกติดี" นภดลกล่าวอย่างรำคาญใจเพลางหลบตาหญิงสาว

         "เอาล่ะ งั้นไปชัวญ่าก่อน ท่านทั้งหลาย โปรดตามดิฉันมา" สินีเอ่ยเสียงเข้ม ทำท่าราวกับเป็นผู้นำทัวร์

         "ไม่อยากไปถ้ำบริจินดากันก่อนเหรอ" จู่ๆ นภดลก็พูดขึ้น

         "ถ้ำอะไรนะ" สองสาวถามพร้อมกัน ส่วนบดินทร์หันมามอง

         "ถ้ำบริจินดา อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง น่าไปนะ" 

         "ถ้ำอะไรไม่เคยได้ยิน" ฐานิดาขมวดคิ้ว

         "ไปเถอะน่า อุตส่าห์มาถึงดอยอินทนนท์แล้วนะ" นภดลพยายามเกลี้ยกล่อมทุกคน

         "ไม่ล่ะ ขี้เกียจไปอะ" สินีตัดบท เพราะถ้ำอะไรนี่ก็ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมแต่แรก จะเพิ่มมาให้เหนื่อยมากขึ้นทำไมก็ไม่รู้

         ความคิดของชายหนุ่มที่จะไปถ้ำบริจินดานั้นดูจะเป็นหมัน แต่ทว่าหลังจากที่เขาประกาศว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นคนที่จะไปถ้ำบริจินดากับตนเอง อีกสามคนก็รีบเปลี่ยนท่าทีจากที่ไม่อยากไปก็เป็นแย่งกันไปในทันที

        “ไปกันซะตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ชายหนุ่มว่าเมื่อเห็นทุกคนรีบกุลีกุจอไปนั่งในรถ คราวนี้บดินทร์เป็นคนขับบ้าง เมื่อออกจากที่จอดก็ย้อนถอยหลังลงไปยังถนนที่ผ่านมาจากพื้นที่บนดอยที่คดเคี้ยวและโค้งไปมาอย่างน่าเสียวไส้ แต่ทั้งหมดก็ลงมาสู่พื้นราบเรียบอีกครั้ง

        แต่สี่เกลอหายใจหายคอได้ไม่นาน รถยนต์ก็ต้องไต่ขึ้นที่สูงอีกครั้งเมื่อเลี้ยวขวาผ่านหลักกิโลเมตรที่ 58 เข้าสู่ถนนจอมทอง-อินทนนท์ นภดลที่นั่งอยู่ในรถพยายามจดจำทิศทางทุกอย่างให้มั่นและอ่านป้ายทุกป้ายที่ผ่านไป จนในที่สุดก็เจอป้ายทางหลวงหมายเลข 1009 บริเวณใกล้เคียงกับน้ำตกแม่กลาง ถึงตอนนั้นรถก็หยุดพอดี

         “เอก หยุดรถทำไม” ฐานิดาถามก่อนจะทำหน้าเลิ่กลั่กมองไปนอกตัวรถ

         “เห็นด่านไหมล่ะยัยแป๋ว” เพื่อนหนุ่มชี้ให้ดูด่านหยุดรถข้างหน้าซึ่งมีผู้ชายในชุดเจ้าหน้าที่อุทยานยืนกันอยู่หลายคน ทั้งสามคนอ่านป้ายที่ด่านได้ใจความว่า “ด่านเก็บค่าธรรมเนียมที่ 1 อช.อินทนนท์”

        “ทำไมต้องมีด่านด้วย” คนหนึ่งในรถถามขึ้น

        “ด่านปกติแหละ เป็นของอุทยานแห่งชาติ เพราะบริเวณนี้เป็นส่วนของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ทั้งหมด แม้แต่ถ้ำบริจินตนาการอะไรของฟ้านั่นด้วย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเหมือนกัน” บดินทร์กล่าวพลางกลั้วหัวเราะเพราะจงใจพูดชื่อถ้ำให้ผิด

        “บริจินดาต่างหาก” นภดลต่อยเข้าที่ต้นแขนเพื่อยชายเบาๆ

         บดินทร์ลงไปจัดการจ่ายค่าธรรมเนียมและถามทางจนเรียบร้อย เมื่อกลับมาในรถก็รีบขับตะบึงต่อไปโดยบอกเพื่อนว่าให้คอยดูป้ายทางขวาเอาไว้ดีๆ 

        ผ่านไปสักระยะ

        “นั่นไง ป้ายถ้ำบริจินดา” สินีร้องบอกเพื่อนๆ บดินทร์ชะลอรถก่อนจะหยุดตรงป้ายนั้น คนในรถทั้งหมดมีสีหน้างงงวย

        ตามป้าย บอกให้เลี้ยวขวา แต่ทว่าทางขวามือทั้งแนวนั้นไม่มีทางเข้าเลย มีแต่ป่าและหญ้าสูงปิดทางไว้

        “อะไรกันนี่ เขาห้ามเข้าเหรอ” สินีสงสัย

        “ไม่ใช่แน่ ตะกี้เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเปิดให้เที่ยวได้ แต่พอถึงตัวถ้ำ ต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่อุทยานพาเข้าไปเท่านั้น อย่าเข้าไปส่งเดช” บดินทร์ตอบ

        “ลองขับวนดูอีกรอบไหมเผื่อเจอทางเข้า” ฐานิดาออกความเห็น

        “ไม่มีหรอก เว้นแต่จะฝ่าเข้าไป”

        “อย่านะเอก มันอันตราย ลองตรวจดูอีกรอบเถอะน่า”

        ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ส่วนนภดลก็เริ่มรู้สึกผิดที่พาเพื่อนๆ มาเสียเวลาเช่นนี้ เขาไม่น่าเอาแต่ใจตัวเองเลย ถ้าจะมาควรมาตัวคนเดียวเสียดีกว่า

        รถขับไปข้างหน้าอีกประมาณสามร้อยเมตร ยิ่งขับไปก็ยิ่งพบว่าป่ายิ่งทึบขึ้นตามลำดับ บดินทร์จึงกลับรถและขับลงมาตามทางเดิม

         “กลับไปถามเจ้าหน้าที่อุทยานที่ด่านอีกรอบดีไหม” ฐานิดาหารือ

         “ไม่ล่ะ เสียเวลา” บดินทร์ตอบเมื่อรถขับมาถึงจุดเดิมที่มีป้ายบอกทางว่าถ้ำบริจินดาไปทางขวา “ถ้าลงไปอีกไม่เจอก็กลับเลย อยู่ตรงนี้ไม่มีผู้คน เปลี่ยวจะตายอยู่แล้---” จู่ๆ ชายหนุ่มก็หยุดพูดกะทันหันก่อนจะเบรกรถตัวโก่งจนเกิดเสียงเอี๊ยดดังสนั่น ทุกคนในรถดีที่คาดเข็มขัดกันแต่ก็มีอาการตัวโยนบ้าง สองสาวถึงกับร้องออกมาลั่น

         “อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก!”

         “เอก! เบรกทำไม หมาตัดหน้ารึไง”

         บดินทร์ไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่ป้ายถ้ำบริจินดาช้าๆ ทุกคนมองตาม

         ตรงนั้นมีทางเรียบให้เข้าได้ และไม่มีหญ้าหรือต้นไม้ขวางทางเลย อีกทั้งมันกว้างพอที่รถยนต์จะเข้าไปได้สบายๆ

         “อะไรกัน…” สินีกระซิบแผ่ว “ตะกี้ที่เราจอดทีแรก ตรงนี้ไม่มีทางเข้าเลยนะ”

         “นั่นสิ เราก็ว่ามันเป็นทางตันนะ” เพื่อนสาวอีกคนสนับสนุน ส่วนนภดลไม่ตอบ เขามั่นใจว่าตาไม่ฝาด ทว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้มันเหมือนมีอะไรมาเล่นตลกต่อหน้าเขาและเพื่อนๆ เป็นแน่

         “จะเข้าไปไหม” ฐานิดาถามท่ามกลางความเงียบ ความจริงคำถามนี้ก็ก่อตัวอยู่ในใจของทุกคนในรถอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครกล้าตอบ

         “เข้าก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้ว” บดินทร์ตัดสินใจและค่อยๆ เคลื่อนรถเข้าไปตามทางด้านใน พื้นดินส่วนมากเป็นลูกรัง ชายหนุ่มสังเกตว่าตรงนี้มีรอยล้อรถเก่าๆ อยู่จึงน่าจะพอสัญจรได้

         “แต่ทำไมเมื่อกี้เราไม่เห็นล่ะ” สินีไม่วายสงสัย

         “เราอาจมองไม่ทั่วก็ได้”

         “สี่คนเลยนะที่ช่วยกันมอง”

         “ช่างเถอะต่าย สุมทุมพุ่มไม้แถวนี้มันอาจหลอกตาเราก็ได้” นภดลพูดตัดบท สินีเงียบไป ทว่าตั้งแต่นั้นเธอดูจะนั่งเงียบๆ ขบคิดอะไรตลอดทาง

         เมื่อขับมาเกือบครึ่งกิโลเมตรก็เจอป้ายบอกทางไปถ้ำบริจินดาอีกครั้ง โดยให้เลี้ยวขวา แต่ถ้าตรงไปจะเจอหมู่บ้านคนและสวนผลไม้ ถึงตรงนี้ทุกคนก็เจอปัญหาใหญ่คือเส้นทางเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ทางลูกรังอีกแล้ว แต่เป็นทางที่เป็นดินเนินสูงต่ำและปรากฏป่าหินเต็มไปหมด หินที่ว่าไม่ใช่หินทั่วไป แต่เป็นแท่งหินที่โผล่ขึ้นมา บางแท่งยาวเกือบเมตรก็มี นั่นทำให้รถเก๋งพื้นเตี้ยอย่างรถยนต์ของสินีไม่สามารถขับผ่านไปได้เลย

         “มีวิธีเดียว… คือเดิน” นภดลเอ่ยและเปิดประตูรถออกไป

         “เดินเหรอ” ฐานิดาทำเสียงขมขื่น “อีกไกลไหมอะ”

         "กลับดีไหมเราว่า" สินีที่ปอดแหกที่สุดในกลุ่มแนะนำขึ้น "ตาฟ้านี่ก็กล้าเดินออกไปนอกรถเนอะ" 

         นภดลเหลียวซ้ายแลขวา บรรยากาศแถบนี้มันให้ความรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาเดินย้อนไปที่ป้อมเล็กๆ ซึ่งรถขับเลยจากตรงนั้นมาประมาณเกือบร้อยเมตร สักพักชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ เขาสวมเสื้อแขนยาวสีเขียวขี้ม้าคอกลมและกางเกงลายพรางคล้ายทหาร

         “ถ้ำอยู่อีกไม่ไกล พอจะเดินไปได้ ส่วนพี่คนนี้จะพาพวกเราเข้าไปดูในถ้ำเอง” นภดลแจ้งทุกคน

         เมื่อจอดรถเรียบร้อย ทุกคนก็ออกมายืนเตรียมพร้อมด้านนอกและตรวจตราเช็กข้าวของว่าเอาติดตัวมาครบรึไม่

         “เอายาดมไปดีไหมนะ” สินีชั่งใจ

         “เอาไปอะดีแล้ว กันไว้ดีกว่าแก้” ฐานิดาบอกเพื่อน

         “ขอให้เข้าใจตรงกันนะครับ” เจ้าหน้าที่อุทยานพูดด้วยเสียงอันดัง “พื้นที่นี้ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามทิ้งขยะไม่ว่าชิ้นจะเล็กแค่ไหน ห้ามจุดไฟหรือสูบบุหรี่เด็ดขาด กรุณาอย่ามือบอนเด็ดทำลายต้นไม้ดอกไม้และสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นทุกชนิด จะถ่ายรูปถ่ายคลิปอะไรก็ตามสบาย แต่จงเคารพสถานที่ที่นี่เหมือนเคารพบ้านตนเอง ที่สำคัญอยู่รวมกลุ่มกันเสมอ อย่าแตกแถวหรือแยกกลุ่ม”

         สี่เกลอรับคำทันที

        เอาเข้าจริงการเดินเท้าบนพื้นที่แบบนี้ค่อนข้างลำบากมาก ผู้ชายอย่างนภดลกับบดินทร์ไม่ค่อยเท่าไร แต่ผู้หญิงอย่างสินีและฐานิดาบ่นว่าคนที่ริเริ่มจะให้มาที่นี่ตลอดทาง ทำให้ทั้งสองหนุ่มพากันหัวเราะกับสภาพสองสาว

         "โอ๊ยเหนื่อย พักก่อนได้ไหม เหงื่อไหลเป็นน้ำแล้ว” สินีบ่นออกมา ทุกคนจึงหยุดโดยอัตโนมัติ
     
         “อีกนิดเดียวครับ ไม่ไกลแล้ว” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น

         “หนูไม่ไหวจริงๆ ค่ะพี่” หญิงสาวก้มลงเอามือยันกับหัวเข่าพลางหอบฮัก ส่วนฐานิดาแม้จะยังดูไหว แต่ก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากหลายหนแล้ว

         “แถวนี้เงียบจังนะคะ” เธอพูดขึ้นพลางมองไปรอบๆ

         “เพราะว่าคนไม่ค่อยเข้ามาน่ะครับ อีกอย่างชาวบ้านแถวนี้ค่อนข้างเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ลี้ลับ” เจ้าหน้าที่ตอบ

         “พื้นที่ลี้ลับ? หมายถึงอะไรครับ” นภดลถามทันที

         “ก็เรื่องเล่าตำนานต่างๆ ของชาวบ้านแถบนี้น่ะครับ พวกเขาเชื่อว่าเจ้าที่ตรงนี้แรงมาก สภาพสิ่งแวดล้อมเงียบงันน่าขนลุก ชาวบ้านบางคนก็ถึงกับยืนยันว่าเส้นทางในป่านี้มักจะเปลี่ยนไปเองด้วยอาถรรพ์บางอย่าง”

         บดินทร์หยุดเดินทันที ส่วนสองสาวถึงกับกลั้นหายใจเมื่อฟังจบ 

         “แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า คนมาเที่ยวถ้ำนี้ก็ไม่เคยเจออะไรแปลกๆ นะครับ”  เจ้าหน้าพูดจบก็เดินนำต่อไป ทั้งสี่มองหน้ากัน บดินทร์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะออกเดินต่อ

         เมื่อรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าเรื่อยๆ ก็รู้สึกถึงความรกชัฏมากขึ้น หินตามพื้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้น เสียงนกไม่ทราบชนิดร้องแว่วมาไกลๆ ชวนวังเวงพิกล อากาศรอบตัวก็เริ่มเย็นขึ้นทั้งๆ ที่ตอนอยู่บนถนนจอมทอง-อินทนนท์นั้นร้อนแทบตาย

         “นี่ผ้าอะไรอะคะ เห็นผูกไว้หลายจุดแล้ว" ฐานิดาถามพลางชี้ไปที่ผ้าสี ๆ ที่ผูกเอาไว้กับกิ่งไม้ เจ้าหน้าที่อุทยานหันมามอง

         "ผูกเอาไว้กันหลงน่ะครับ” เขาตอบกลับมา หญิงสาวเมื่อได้ยินคำตอบก็ถึงกับสะดุ้งและรีบเข้ามายืนใกล้ ๆ เพื่อนชายทันทีด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก

         "เคยมีคนหลงป่าแถวนี้ด้วยเหรอ" เธอพูดเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดหวั่น

         "อย่ากลัวไปเลยน่า มากันตั้งห้าคน" บดินทร์พูดปลอบ

         "นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมง แต่ทำไมสภาพเหมือนตะวันใกล้ตกดินเลยล่ะ ไม่รู้สิ เราว่ากลับเถอะ" สินีมองไปตามยอดไม้พลางพูดชวนเพื่อน ๆ อีกครั้งด้วยความกังวล

         "อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วต่าย มาดูไม่นานหรอก รับรองแสงตะวันยังไม่หมด" นภดลกล่าวกับเพื่อนผู้ซึ่งกำลังจิตตกก่อนจะหันไปชวนพี่เจ้าหน้าที่พูดคุย

         "ที่นี่เขาว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยใช่ไหมครับ" 

         "มีครับ อยู่ในตัวถ้ำบริจินดาเลย”
         
         สินีชำเลืองมองนภดลด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง เธอทำสีหน้าครุ่นคิดพลางจับจ้องไปที่เพื่อนชาย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา...

         "ระวัง!” บดินทร์ร้องดังลั่น มืข้างหนึ่งดึงแขนฐานิดาออกมาจากพืชพรรณบางชนิดที่อยู่บนดิน

         "ว้าย อะไรเอก ตัวอะไรเหรอ" เธอกระโดดโหยงไปมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน สายตามองปราดไปตามพื้น

         "เปล่า ต้นสาวหลงน่ะระวังไปเหยียบ" ชายหนุ่มบอกเบา ๆ ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง

         "ตาบ้า ตกใจหมด นึกว่างู ---แต่ตะกี้ว่าต้นอะไรนะ" 

         "ต้นสาวหลงน่ะครับ บ้างเรียกเถาวัลย์หลง อย่าไปเหยียบ เขาว่าเหยียบแล้วจะหลงป่า" คราวนี้เจ้าหน้าที่เป็นคนอธิบายเอง

         "จริงเหรอ!” ฐานิดาทำหน้าตื่นเต้น

         "แปลกจริง แถวนี้มีแต่เรื่องประหลาดๆ" สินีมองไปรอบ ๆ พลางห่อไหล่อย่างเสียวสันหลัง

          ในที่สุด...

         "ถึงแล้วครับ" เจ้าหน้าที่อุทยานร้องบอกทุกคนพลางชี้มือไปที่ปากถ้ำเบื้องหน้า

         ถ้ำหินปูนปากทางเป็นลักษณะคล้ายโพรงค่อนข้างกว้างและสูงเท่ากับตึกหลายชั้นตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าวัยรุ่นทั้งสี่ มองลอดเข้าไปในถ้ำด้วยสายตาจะสามารถเห็นทางเดินต่างๆ ทะลุออกไปได้ค่อนข้างไกล ราวกับในถ้ำจะกว้างกว่าที่ตาเห็นและมีทางเดินสลับซับซ้อนอีกมากมาย  

         "นี่เหรอถ้ำบริจินดา ฟ้าแน่ใจนะว่าเข้าไปได้ เหมือนเขายังไม่ได้เปิดให้เข้าอย่างเป็นทางการรึเปล่า" ฐานิดาสงสัย

         "นี่ไงป้ายประวัติการค้นพบถ้ำ คงไม่ใช่ถ้ำลึกลับอะไรมากนักหรอก" บดินทร์ชี้มือไปที่ป้ายขนาดใหญ่หน้าถ้ำซึ่งระบุรายละเอียดสภาพของถ้ำ การค้นพบ และความเป็นมาต่างๆ “อีกอย่างเรามากับเจ้าหน้าที่ ถ้าเข้าไม่ได้พี่เขาคงเตือนแต่แรกแล้ว”

         "เข้าไปด้วยกันเถอะ ไหนๆ มาถึงแล้ว” นภดลชวนทุกคน

         "ไม่ล่ะ" ฐานิดากับสินีปฏิเสธอย่างไม่ค่อยไว้ใจในสภาพแวดล้อม

        “เฮ้ย สาวๆ อย่างอแงกันสิ รู้ว่าเหนื่อยแต่เราอุตส่าห์มาถึงแล้วนะ ข้างในถ้ำก็ไม่ได้อึดอัดคับแคบเลย แสงส่องถึงอยู่เห็นไหมนั่น อากาศก็เพียงพอ” บดินทร์พยายามชักจูงเพื่อน

        “เห็นแค่ปากถ้ำก็บุญตาแล้วย่ะหนุ่มๆ แล้วก็ไม่ได้งอแงอะไรด้วย แต่เราไม่ค่อยชอบถ้ำเท่าไร พวกเธอไปเถอะ” สินีบอกตรงๆ ก่อนจะก้มลงหยิบขวดน้ำออกมาเปิดฝาดื่ม

         สองหนุ่มเมื่อรู้ว่าคงจะชักจูงสองสาวไม่ได้จึงพากันเดินตามเจ้าหน้าที่ไปกันแค่สองคน ทั้งคู่ค่อนข้างระมัดระวังตัวเป็นพิเศษตรงทางเข้าเพราะหินมันชันและลื่น บางจุดก็เทลาดลงราวกับเป็นสไลเดอร์ การเดินทางเข้าครั้งนี้จึงต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา

         "รีบไปรีบมาล่ะ อยู่แถวนี้นานๆ แล้วขนลุกซู่" ฐานิดาตะโกนเมื่อสองหนุ่มเข้าไปในถ้ำบริจินดาเรียบร้อย

        เมื่อผ่านเข้าปากถ้ำมาก็พลันรู้สึกว่าในตัวถ้ำให้ความเย็นชื้นทันทีอย่างน่าประหลาด แสงทิวากาลเริ่มหม่นมัวสลัวลง ทั้งคู่มองเข้าไปด้านในตามทางเดินและโพรงถ้ำอันลึกล้ำหวังจะพบนักท่องเที่ยวคนอื่นบ้างแต่ก็ไม่พบใครเลย มีเพียงพวกเขาเท่านั้น เสียงฝีเท้าดังก้องสะท้อนไปมาทุกครั้งที่ก้าวขาเดิน

         เมื่อถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บดินทร์ก็ก้มตัวลงเพื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด ใบหน้าฉายแววพิศวง “อะเมซิ่ง น้ำสะอาดมากเลยนะ” 

         “ระวังอย่าทำให้บ่อน้ำปนเปื้อนนะครับ” เจ้าหน้าที่เตือน

         “ที่นี่เคยมีพระธุดงค์มาพักด้วยเหรอครับ” นภดลถามพลางมองไปที่มุมหลืบของถ้ำซึ่งมักจะปรากฏเสื่อ หมอน จีวร กรดที่ยังไม่ได้ปักและหิ้งพระเล็กๆบางจุดซ้อนเป็นชั้นดูสวยงาม ตามพื้นมีก้านธูปและน้ำตาเทียนเต็มไปหมด

         “ครับ เคยมี ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่” เจ้าหน้าที่ตอบ
     
         นภดลเริ่มสำรวจถ้ำลึกเข้าไปเรื่อยๆ คราวนี้เขาเริ่มเจอพระพุทธรูปโบราณอายุหลายร้อยปีองค์ใหญ่กว่าตัวคนเล็กน้อยตั้งอยู่เป็นระยะ สลับกับหินงอกหินย้อยสวยงามตระการตา หินบางแท่งใหญ่มากราวกับเดินหลงเข้าไปในซุ้มประตูของอาณาจักรโบราณ และที่เด่นจริงๆ ก็คงจะเป็นหินที่ปรากฏสีแปลกตา ชายหนุ่มเดาว่าคงจะเป็นปฏิกิริยาทางเคมีอะไรบางอย่างยามมันสะท้อนแสง

         “ภายในถ้ำมีความลึกมาก ยิ่งลึก ยิ่งมืด ยิ่งสวย ชาวบ้านเล่าขานว่าถ้ำบริจินดาสามารถทะลุออกไปยังถ้ำเชียงดาวได้ แต่ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าเดินสำรวจจนสุดเส้นทางในถ้ำแสดงว่ามีพื้นที่หลายจุดที่ยังไม่ได้บุกเบิก ผมจึงนำมาได้ถึงแค่นี้” เจ้าหน้าที่อุทยานกล่าวขึ้น “ถ้าอยากจะสำรวจต่อก็ขอให้เดินแค่ที่ผ่านมานะครับ ห้ามเดินเลยจากจุดนี้”

         สองหนุ่มตัดสินใจหยุดเดินตามคำเตือนและหันมาถ่ายรูปเก็บไว้แทนเพื่อจะเอาไปอวดเพื่อนหญิงข้างนอก และเมื่อถ่ายจนเต็มที่แล้วก็พากันเดินย้อนออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะถึงปากทาง ก็เห็นฐานิดาเดินออกมาจากหลืบถ้ำมุมหนึ่ง หล่อนมีสีหน้าตื่นเต้นมาก

         "อ้าว ไหนว่าไม่อยากเข้า ไหงแอบเข้ามาเองแบบนี้ล่ะ" บดินทร์เอ่ยทักทันที

         "ก็ตอนนั้นมันเหนื่อยนี่ ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วก็เลยเดินตามเข้ามา---เอ่อ ที่แยกกันเพราะเดินตามไม่ทันหรอกนะ ไม่ได้จงใจเดินแยกไป ถ้าตามทันก็คงจะไปด้วยกันแหละ" ฐานิดารีบพูดเมื่อเห็นสายตาตำหนิของเจ้าหน้าที่อุทยานมองมาเพราะจำได้ว่าเขาเคยสั่งไว้ว่าอย่าเดินแตกกลุ่มข้างในถ้ำ

         "แล้วข้างในด้านนั้นเป็นไงมั่งล่ะ ดูตื่นเต้นนะเรา" นภดลถามยิ้มๆ
       
         "ข้างในอย่างสวยอะฟ้า มีธารหินด้วยนะ พอเวลาโดนแสงแดดจะส่องประกายระยิบระยับเหมือนกากเพชรเชียว---เออ แล้วนี่เราเจอนมผาด้วย" ฐานิดาพูดพลางหัวเราะคิกคัก

         "อะไรกันนมผา คืออะไรหรือ" บดินทร์ถามพลางขมวดคิ้ว

         "ชาวเหนือเขาเรียกกัน หมายถึงหินงอกหินย้อยน่ะ" เจ้าหน้าที่ตอบแทนหญิงสาวที่ยังหัวเราะอยู่

         "อ๋อ…" ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองฐานิดาเต็มตา "แล้วนี่ต่ายอยู่ข้างนอกคนเดียวเหรอแป๋ว"

         "เปล่า ต่ายเข้ามากับเราด้วย แต่เอ๊ะ ทำไมนางยังไม่เดินตามออกมาสักทีนะ" 

         "อะไรนะ! นี่เพื่อนหนูเข้ามาด้วยแล้วอยู่ในโพรงถ้ำที่หนูเพิ่งเดินออกมาคนเดียวหรือ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าแยกจากลุ่มไปตามลำพังแบบนี้" เจ้าหน้าที่พูดเสียงดัง
       
         "หนูขอโทษค่ะ" ฐานิดาตกใจ "แต่เมื่อกี้เพื่อนหนูเขาเดินตามมาจริงๆ นะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะแยกไปคนเดียว"

         "ผมบอกไว้แล้วว่า---" เจ้าหน้าที่ยังพูดไม่ทันจบ ก็บังเกิดมีเสียงกรีดร้องดังลั่นถ้ำ มันสนั่นหวั่นไหวจนทั้งสี่สะดุ้งโหยง จากนั้นเสียงก็สะท้อนไปมา มันดังก้องไปทั้งตัวถ้ำ

         "ต่าย!" ทั้งสามร้องขึ้นพร้อมกัน เจ้าหน้าที่เคลื่อนตัวออกไปยังต้นเสียงที่ได้ยินนั้นทันที ฐานิดาที่ได้สติก็ผลุนผลันวิ่งตามพี่เขาไปอย่างรวดเร็ว สองหนุ่มรีบตามไปเช่นกันอย่างรีบด่วน

         พ้นโพรงถ้ำที่คดเคี้ยวไปไม่มาก ทั้งสี่คนก็เห็นสินีกำลังคลานถอยหลังออกช่องหลืบถ้ำเล็กๆ เธอดูตระหนกตกใจจนกลิ้งล้มลุกคลุกคลานกับพื้นหินและถูกเถาไม้แห้งพันตัวรุงรังยุ่งเหยิงจนแก้ออกมาไม่ได้

         ทั้งสี่คนรีบถลันเข้าไปช่วยทันที และกว่าจะแก้เถาไม้ที่พันอยู่ก็ตั้งนานเพราะหญิงสาวดิ้นไปมาไม่หยุด พอหลุดออกมาได้เธอก็รีบลุกขึ้นก่อนจะผวาเข้าหาเพื่อนๆ ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ตัวนั้นสั่นงันงก มือไม้ปัดหูปัดหัวปัดตัวไปมา

         "ต่าย เป็นอะไร" ฐานิดาจับแขนเพื่อนเขย่าเรียกสติ

         "งู… งูตัวใหญ่มาก แผ่แม่เบี้ยอยู่ในหลืบถ้ำนั้น" อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นเครือ ชี้มือไปยังจุดที่คลานถอยหลังออกมา

         ทั้งสามคนหันไปมองหน้าปากทางแคบนั้น แต่ก็ไม่พบงูหรือสัตว์ชนิดใดอยู่ตรงนั้นเลย

         "งูอะไรกันต่าย ไม่เห็นมีเลย" บดินทร์ว่าบ้าง พยายามสอดส่ายสายตามองไปทั่วๆ

         "มีจริงๆ นะ เราเห็นจริงๆ งูตัวใหญ่มาก จงอางแน่ ๆ ชูคอทีสูงเท่าอก แล้ว… แล้วเวลามันแผ่แม่เบี้ยนี่เกือบเท่ากระทะใบใหญ่ๆ เลย" สินียืนยันเสียงสั่น 

         "บ้าแล้วต่าย ยืดตัวสูงเท่าอก แผ่แม่เบี้ยเท่ากระทะเลยเหรอ ถ้าตัวใหญ่ขนาดนั้นเราต้องเห็นบ้างสิ นี่เราไม่เห็นร่องรอยมันเลยนะ" เพื่อนสาวชี้แจงเหตุผล ก่อนจะมองสินีอย่างไม่แน่ใจ

         "แล้วต่ายไปทำอะไรข้างในถ้ำเล็กๆ นั่นล่ะ ไม่ได้เดินตามแป๋วออกมาเหรอ" นภดลถามด้วยความสงสัย

         "เราจำได้ว่าเดินตามแป๋วมาตลอดนะ ใกล้กันขนาดมือเอื้อมถึงได้ด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ เราก็เห็น เอ่อ..." เธออึกอัก 

         "เห็นอะไรครับ" เจ้าหน้าที่อุทยานซักไซ้ขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบไปนาน

         "คือเหมือนหนูเห็นผนังถ้ำจุดหนึ่ง มีแสงสวยๆ เหมือนพวกพลอยสีๆ ติดฝังอยู่ทั่วไปน่ะค่ะ ส่องไฟฉายเข้าไปนี่สะท้อนแสงระยิบระยับมาก หนูกะว่าจะเข้าไปถ่ายรูป แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็เจองูนั่นเข้า" หญิงสาวเล่าออกมาโดยดี

         "ไม่เห็นจะมีอะไรเลย" บดินทร์แย้ง เพ่งตามองผนังถ้ำด้านใน

         "ไม่มีทั้งหินสีทั้งงูแหละ เธอคงกลัวที่จะมาที่นี่แต่แรกเลยสร้างภาพหลอนรึเปล่าต่าย" ฐานิดาพูดทันที สินีสั่นหัวไปมา

         "เปล่านะ เราเห็นจริงๆ ไม่เชื่อก็เข้าไปดูใกล้ๆ สิ จะเห็นว่า---" อีกฝ่ายกล่าวยังไม่ทันจบ ทั้งหมดก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเพราะเสียงเจ้าหน้าที่ตวาด

         "น้องครับ! ผมบอกว่าไงเรื่องอย่าแยกออกนอกเส้นทางไปคนเดียว"

         ฐานิดากับสินีรีบขอโทษขอโพยก่อนจะรีบกุลีกุจอเดินเข้ามารวมกลุ่มเพื่อให้ห่างจากปากทางลึกลับตรงนั้น 

         "คลาดสายตานิดเดียวก็แหกกฎเสียแล้ว แบบนี้ถึงไม่อยากเปิดถ้ำบริเวณนี้ให้ท่องเที่ยว ก็เพราะคนอย่างพวกคุณนั่นแหละ" เขาตำหนิต่อไป เพ่งมองดูแต่ละคน

         "พวกเราไม่ได้แหกกฎเสียหน่อย หนูกะจะเดินตามเพื่อนชายสองคนเข้ามาแค่นั้นเอง แต่เดินไปผิดทาง ไม่ได้มีเจตนาจะแหกกฎแต่แรกนะคะ" ฐานิดาเริ่มรู้สึกฉุนน้อยๆ ที่โดนว่า หล่อนจึงโต้กลับไป

         "ก็ควรจะให้ผมออกจากถ้ำไปก่อน แล้วจะเข้ามารอบใหม่ก็ได้ แต่นี่เข้ามาเองโดยพละการ แล้วเพื่อนอีกคนก็ไม่รู้จักเตือนเพื่อน เดี๋ยวเจออะไรเข้าจะหาว่าผมไม่เตือน" เจ้าหน้าที่พูดเสียงเข้ม

         ฐานิดาดูจะโกรธขึ้นมาจริงจัง ดีที่นภดลคว้าแขนเพื่อนหญิงไว้เป็นความหมายอย่าเพิ่งเถียง

          "เอ่อ ผมกับเพื่อนต้องขอโทษเป็นอย่างสูงด้วยนะครับ” บดินทร์ยกมือขึ้นขอโทษ

          "เดี๋ยวเจออะไรเข้าจะหาว่าผมไม่เตือน อันนี้ที่พี่พูดหมายถึงอะไรเหรอครับ" นภดลถามขึ้นอย่างสงสัย

          เจ้าหน้าที่ไม่ตอบ เขามองหน้าชายหนุ่มนิ่งๆ แล้วเดินหันหลังไป นภดลรีบตามไปทันทีด้วยความอยากรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายนั้นพูดหมายถึงอะไร อีกสามคนยืนมองหน้ากันไปมา

          "ฟ้าไม่น่าห้ามฉันไว้เลย เกือบจะได้มีดราม่าแล้วไหมล่ะ" ฐานิดาโพล่งขึ้นมาตามประสาคนใจร้อน

          "นี่ อย่าเพิ่งมาแรงอะไรกันตรงนี้เลย ที่พี่เจ้าหน้าที่เขาพูดมันก็ถูกนะ" บดินทร์กล่าวอย่างไม่เข้าข้างใคร

          "ฮึ!" ฐานิดายกมือขึ้นกอดอกส่อแววปั้นปึ่ง สายตาจับไปที่นภดล "แล้วฟ้าเดินไปคุยอะไรซุบซิบกับพี่เขาล่ะนั่น" 

          ทั้งสามคนหันมองก่อนจะเดินตามเข้าไปหา พอเจ้าหน้าที่เห็นทั้งสามเข้ามาใกล้ก็หยุดพูดกับนภดลกลางคันและเดินนำออกไปยังปากถ้ำบริจินดาทันที

          "ฟ้า คุยอะไรกับพี่เขาเหรอ" ฐานิดาถามออกมา 

          "พี่เขาเล่าว่าเคยมีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพนี่ล่ะ มาเที่ยวที่ถ้ำบริจินดา แล้วแหกกฎ เดินแยกกันไป พอโดนว่าก็พูดจาไม่ดี หยาบคาย ไม่เคารพสถานที่ แถมยังทิ้งขยะ ทิ้งก้นบุหรี่กันส่งเดช"

         "แล้วยังไงต่อ" บดินทร์รีบถาม

         "จากนั้นเขาว่าตอนพวกนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เดินอยู่ในถ้ำช่วงหนึ่ง ลึกกว่านี้เข้าไปมาก จู่ๆ ก็เห็นผู้ชายตัวใหญ่ ใหญ่มาก สูงจรดเพดานถ้ำ ร่างกำยำ ทั้งตัวหัวจรดเท้านี่ดำทั้งตัวเลยนะ ดำมิดหมีเลย ตาพองถลึง ยืนชี้หน้าพวกนักท่องเที่ยว" นภดลอธิบายสิ่งที่ได้ยินมา "นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นวิ่งป่าราบหนีกลับไปทางปากถ้ำแทบไม่ทัน พอถึงที่พักก็จับไข้หัวโกร๋นกันทุกราย"

         อีกสามคนมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ฐานิดาตาเบิกกว้าง ส่วนสินีเผลอกัดริมฝีปากตัวเองเงียบๆ ด้านบดินทร์ก็ยืนนิ่งขึงราวถูกสาป

         ลมหนาวยะเยือกพัดเข้ามาวูบหนึ่ง... ทั้งสี่ชะงักทันที

         "โอ๊ย พอที ขวัญฝ่อกันทั้งหมด" ฐานิดาเอ่ยทำลายความเงียบ "รีบตามพี่เจ้าหน้าที่ไปเถอะ ขี้เกียจโดนดุอีกรอบ"

         ทั้งหมดเดินตามเจ้าหน้าที่ลงมาจนออกมาจากปากถ้ำบริจินดา ซึ่งตลอดเวลาที่กลับออกมานั้น พี่เจ้าหน้าที่เงียบกริบไม่พูดอะไรสักคำ สี่เกลอซึ่งเดินตามแอบสบตากัน ลักษณะการเดินของเขาก็เร่งรีบแปลกๆ ทำเอาทุกคนต้องรีบเดินเร็วขึ้นด้วย

         เมื่อทุกคนกลับมาถึงยังที่จอดรถก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ออกมาจากบริเวณนั้นได้ แม้แต่นภดลที่เป็นตัวต้นเหตุพาทุกคนมาก็อดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้เช่นกัน กับเหตุการณ์ที่ประสบและเรื่องเล่าที่ได้ยินมา
     
        
    *****

         เมื่อรถยนต์ขับออกมาจนถึงถนนจอมทอง-อินทนนท์อีกครั้ง สินีก็กล่าวทำลายความเงียบในตัวรถที่อ้อยอิ่งอยู่นานตั้งแต่ขับออกมาจากป่าข้างในอุทยาน

         "พี่เขาเล่าอะไรไม่รู้หลอนจริง" เธอว่าพลางเอามือลูบแขนไปมาทำท่าขนลุกขนพอง

         "คิดว่าจริงไหมที่เขาเล่า" บดินทร์ถามขึ้น

         "เราว่าจริงนะ เรายังเห็นงูใหญ่กับหินสีประหลาดเลย" สินีตอบอย่างรวดเร็ว

         "เราว่าเธอน่ะหลอนไปเองรึเปล่าต่าย" ฐานิดาถามเสียงคลางแคลง

         "ถ้าเธอไม่เชื่อ ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เรื่องแบบนี้ต้องเจอเอง" สินีพูดโดยไม่หันไปมองหน้า แต่ก็รู้อยู่ว่าเพื่นสาวกลอกตาไปมาอย่างไม่เชื่อ

         แล้วในรถก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก

         ทั้งหมดแวะทานอาหารพร้อมกันก่อนกลับเข้าบ้านพักซึ่งมีนภดลเป็นเจ้ามือเลี้ยงตามที่ได้สัญญาไว้ แต่ทุกคนดันกินได้น้อยกว่าปกติ คงจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งได้พบและเรื่องเล่าที่เพิ่งได้ยิน จึงทำให้ความอยากอาหารลดลงไป
     
        สินีรวบช้อนส้อมเป็นคนแรกอันหมายถึงอิ่มแล้ว

        “กินน้อยจังต่าย” บดินทร์ขมวดคิ้วถาม

         “พอดีไม่ค่อยหิวน่ะ” เธอตอบก่อนจะมองไปยังร้านรวงรอบๆ และไปหยุดสายตาที่ร้านร้านหนึ่ง "ซื้อดอกไม้ไหว้พระไหมฟ้า ตั้งแต่มาเชียงใหม่ยังไม่ได้ไหว้พระทำบุญเลย" หญิงสาวหันมาพูดกับนภดล พยักพเยิดไปยังร้านขายดอกไม้ไหว้พระที่มียายอายุมากคนหนึ่งนั่งขายอยู่

         "พรุ่งนี้ค่อยซื้อก็ได้ เดี๋ยวเหี่ยวหมด" ชายหนุ่มตอบ อีกมือยกน้ำเปล่าในแก้วขึ้นดื่ม 

        “นั่นสินะ” อีกฝ่ายลืมคิดไป

         "แต่ยายเขาดูแปลกๆ นะ จ้องหน้าพวกเราอยู่ได้" ฐานิดามองยายคนขายดอกไม้ถวายพระ

         อีกสามคนหันมามองตามที่เพื่อนว่า

         "เขามองอย่างอื่นมั้งแป๋ว" บดินทร์กล่าว แล้วทั้งหมดก็ไม่สนใจอะไรอีกนอกจากอาหารตรงหน้า

    *****

         "ขออาบน้ำก่อนนะแก ร้อนมาก ทำไมเมืองไทยร้อนแบบนี้ สมัยอยู่อียิปต์ไม่เห็นร้อนแบบนี้เลย" ฐานิดาพูดเสียงหนีบๆ สะบัดผมไปมา

         "ยัยบ้า อียิปต์เขาร้อนกว่าเราอีก" สินีว่าเสียงดังพลางหยิบกระป๋องแป้งเขวี้ยงใส่ด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายกระโดดหลบขวดแป้งพลางขำพรืดๆ ในลำคอแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ

        "ใครจะซื้ออะไรไหม ว่าจะออกไปซื้อเบียร์สักหน่อย” บดินทร์ถามเพื่อนพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา

        "ไม่ล่ะ" นภดลส่ายหน้า

         พอเพื่อนชายออกไปจากห้องแล้ว สินีหันไปมองหน้าห้องน้ำได้ยินเสียงเพื่อนสาวเปิดน้ำเสียงดังแถมยังร้องเพลงลั่นห้องน้ำ

         "ฟ้า เราต้องคุยกัน" สินีพูดเสียงเบาอย่างเป็นการเป็นงาน

         "คุยอะไร" ชายหนุ่มขมวดคิ้ว มองหน้าเพื่อนหญิงงง ๆ

         "บอกความจริงมา อย่าคิดว่าเราไม่รู้ ทำไมงานกลุ่มต้องมาทำไกลถึงที่เชียงใหม่ มันแปลก แล้วอีกอย่างทำไมต้องมาดอยอินทนนท์" หญิงสาวเริ่มต้นถาม

         "ไม่มีอะไรเลยนี่ เราก็แค่เห็นว่ามันน่าสนใจเลยมา แล้วทำสารคดีเชิงธรรมชาติที่ดอยอินทนนท์มันแปลกตรงไหน" ชายหนุ่มตอบเลี่ยง ๆ

         "อย่าโกหกเลยฟ้า เราดูออก เธอจงใจจะมาที่นี่ ทำไมเราดูออกรู้ไหม หน้าฝนไม่มีใครเขามากันหรอก แต่เธอยังยืนยันที่จะไป เธอเหมือนวางแผนจะมาที่นี่ก่อนจะถามพวกเราเสียอีก อีกอย่าง เธอดูเหมือนจะอยากไปถ้ำบริจินดาอะไรนั่นเป็นอันดับแรก ถึงกับลงทุนเลี้ยงข้าวพวกเรา ซึ่งไม่ได้อยู่ในทริปการเดินทาง แล้ววันนี้เราก็เจออะไรแปลกๆ แถวนั้น พี่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันอีกคนว่าที่ตรงนั้นมันดูพิกล แม้แต่เธอก็รู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่หรือ บอกความจริงมาเถอะฟ้า อย่าปิดบังเราแบบนี้" สินีกล่าวพลางจับแขนเพื่อนไว้

         ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอยู่สักพักแล้วบอกว่า

         "ถ้าเราบอก อย่าบอกเอกกับแป๋วนะ กลัวสองคนนั่นจะว่าเรา" เขาบอกเสียงอ่อน

         "ได้ๆ เราสัญญา" เธอรับคำ

         นภดลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า

         "เธอรู้ใช่ไหมว่าเราชอบอ่านเรื่องราวตำนาน ความลี้ลับ ทั้งความเชื่อพื้นถิ่นและศาสนาพุทธ"

         "อ่าฮะ"

         "ที่เราสนใจอ่านที่สุดคือหนังสือเกี่ยวกับป่าหิมพานต์ เราอาจจะดูเพ้อเจ้อ แต่หลายตำราบอกว่าถ้ำทางตอนเหนือของไทยอาจมีร่องรอยของตำนานนี้" นภดลพูดเบาๆ หลบตาเพื่อนสาว

         "อะไรนะฟ้า นี่เธอเชื่อเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ มันไม่มีจริง เธออ่านแล้วก็มโนว่ามี เธอจะรู้ได้ไงว่ามีจริง แล้วไอ้ความเชื่อบ้าๆ ของเธอต้องพาเราอีกสามคนถ่อมาที่เชียงใหม่เนี่ยนะ มันไม่คุ้มเลย ฟังดูไร้สาระอะ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ" สินีร้องออกมา ดูอารมณ์เสียสุด ๆ

         "เราก็ไม่ได้มั่นใจว่ามันจะมีต่าย เราแค่สงสัย อีกอย่างที่เรามาก็สามารถทำงานกลุ่มได้นี่จริงไหม นั่นเป็นเรื่องหลัก ส่วนเรื่องความเชื่อของเราก็แค่อาจจะมาดูๆ คล้ายตามรอยตำนาน เป็นเรื่องรอง คิดซะว่ามาทัศนศึกษาแล้วกัน" ชายหนุ่มพยายามแก้ตัว

         "ฟังไม่ขึ้นเลยฟ้า ที่เธอทำน่ะมันไม่มีเหตุผลเลยนะ บ้าจริง นี่แสดงว่าพวกเราโดนหลอกมางั้นสิ ถ้ารู้งี้แต่แรกไม่มาด้วยหรอก แล้วก็พาเราไปเจออะไรหลอนๆ ด้วยก็ไม่รู้" เธอบ่น จับหมอนทุ่มใส่หัวเพื่อนจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมา

         "ไม่ต้องมาทำเป็นขำ" หญิงสาวสะบัดหน้าหนี แต่แล้วก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดต่อว่า

         "แต่เราเคยอ่านเรื่องป่าหิมพานต์มาบ้างตอนเรียนวิชาวรรณคดี เขาบอกว่าร่องรอยความเชื่อนี้อยู่แถบเทือกเขาหิมาลัยไม่ใช่เหรอ แถบประเทศอินเดีย เนปาล ทิเบตอะไรแถวนั้น นี่ฟ้ามาหาที่เชียงใหม่คงมีหรอกนะ" 

         "ใช่ ตามความเชื่อป่าหิมพานต์น่ะอาจอยู่ที่นั่นจริง แต่ความจริงป่านี้ครอบคลุมหลายประเทศในสุวรรณภูมิเลยนะ มีมาถึงไทยด้วย และเขาบอกว่า ปากทางเข้าอยู่ที่ดอยอินทนนท์นี่แหละ และที่เราอ่านมีเรื่องราวปากทางเข้าเกี่ยวกับจุดเข้าแดนก็คือจะเป็นถ้ำเสมอ เราเลยค้นหาถ้ำที่ใกล้เคียงดูก็เจอถ้ำบริจินดาที่อยู่ใกล้ๆ ดอยอินทนนท์จริงๆ ก็เลยชวนพวกเธอไปเที่ยวดู" ชายหนุ่มอธิบาย

        "ไร้สาระ ไร้สาระมาก มโนเก่งสุด เรื่องบังเอิญทั้งนั้น ไม่มีอยู่จริงหรอก เป็นแค่เรื่องหลอกเด็กชัดๆ” สินีส่ายหน้า เริ่มจะขำกับความเชื่อแปลกๆ ของเพื่อนขึ้นมาบ้าง

         "แต่เธอก็เจออะไรแปลกๆ ในถ้ำถ้ำบริจินดาเหมือนกันนี่นา เธอบอกเห็นพลอยสีๆ แล้วก็เจองูใหญ่ พี่คนนั้นเขาก็เล่าเรื่องพิลึกบริเวณนั้นให้ฟังด้วย เขาจะโกหกไปทำไม เราเองก็ไม่อยากบอกหรอกนะว่ารู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลาตอนอยู่ที่นั่น เรื่องพวกนี้เธอจะปฏิเสธเหรอต่าย" ชายหนุ่มพูดเสียงจริงจัง มองหน้าเพื่อนหญิงตรงๆ

         อีกฝ่ายชะงักไป หยุดขำ ในใจคิดใคร่ครวญ

        ฐานิดาอาบน้ำเสร็จแล้ว เดินออกมาร้องเพลงเสียงลั่นจนเพื่อนอีกสองคนตกใจ 

         "เสียงพินาศมาก" เพื่อนสาวร้องเสียงดัง ฐานิดาเชิ่ดใส่ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดผม ส่วนนภดลนั่งยิ้ม

         "ปัง!" บดินทร์เปิดประตูห้องโถงเข้ามาเสียงดังสนั่นจนอีกสามคนสะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ข้าวของที่ซื้อมาจากร้านค้าตกกระจัดกระจาย ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ดวงตาฉายแววหวาดกลัว ทุกคนในห้องหยุดขำและมองมาที่ชายหนุ่มเป็นตาเดียว

         "อะไร เป็นอะไรเอก" ฐานิดาถามด้วยความตกใจ

         ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นห้องอย่างหมดแรง เมื่อผ่านไปสักพักก็พูดขึ้นว่า

         "ตะกี้เรา… เราไปซื้อของที่ร้าน เจอยายที่นั่งขายดอกไม้ไหว้พระที่อยู่ข้างตลาดก่อนจะถึงปากซอยเข้าบ้านน่ะ จำได้ไหม ยายแกทักเราว่าตอนที่พวกเราสี่คนเดินออกจากร้านอาหาร แกไม่กล้าเรียกเพราะอยู่กันหลายคน แต่พอตอนหลังเห็นเราลงไปซื้อของคนเดียว แกเลยกล้าคุย ยายแกถามว่าไปทำอะไรกันมา แกบอกเห็นผู้หญิงชุดดำลอยตามพวกเรามาด้วย เท้าของผู้หญิงไม่ติดพื้น ใบหน้าเลือนๆ ลอยตามพวกเราตลอดทางจนเข้าไปในซอยบ้าน"

          "อะ... อะไรนะ!" อีกสามคนถามเสียงดังลั่นคับห้อง



    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×