คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : การกลับมาของนางไม้
ตอนที่ 11 การกลับมาของนางไม้
ย้อนเวลาไปเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว
ทันทีที่มือฐานิดาเลื่อนหลุดจากมือสินี ร่างของเธอก็ลอยเคว้งคว้างห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ตัวเธอหมุนติ้วอยู่ท่ามกลางกระแสของมหาวาตะ[1]เสียงครื้นครั่นดังสนั่นหวั่นไหวไปรอบตัว หญิงสาวคิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้ว แต่เธอคิดผิด
ฐานิดาค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าตัวเองติดอยู่กับคาคบไม้ใหญ่บนต้นไม้รูปทรงแปลกประหลาดไม่ทราบชนิด ลักษณะใบคล้ายใบของต้นหูกวางแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ตามลำต้นตะปุ่มตะป่ำดูคล้ายใบหน้าของคนที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรก
ชั่ววูบแรกเธอตกตะลึงพรึงเพริดกับสภาพรอบด้าน มันเป็นป่าที่แปลก แปลกมากจนดูรู้ว่าไม่มีทางปรากฏอยู่บนภูมิศาสตร์ที่จับต้องได้บนโลกเป็นแน่ นับตั้งแต่แสงแดดที่มีสีขาว พื้นดินที่มีลักษณะพิเศษ ต้นไม้ พืชพรรณ รวมถึงท้องฟ้าพิลึกพิสดารที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ความคิดหาเหตุผลของเธอค่อย ๆ ไตร่ตรอง หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองถูกพายุใหญ่พัดจนแยกจากเพื่อน ๆ พายุนั่นรุนแรงพอสมควร การที่เธอจะถูกพัดมาติดกับยอดไม้แบบนี้กระดูกกระเดี้ยวหรืออวัยวะบางส่วนของเธอคงต้องแหลกเหลวไปแล้วแน่ ๆ แต่ที่เธอรู้สึกก็คือ ร่างกายของเธอปกติดีทุกอย่าง ไม่บอบช้ำหรือบุบสลายแม้แต่นิด
พระเทวีผู้น่าเกรงขามพระองค์นั้น ผู้มีดวงตาราวกับไฟบรรลัยกัลป์... ลักษณ์นารา พระองค์ต้องการอะไรกันแน่ เหตุใดจึงส่งตัวเธอและเพื่อน ๆ เข้ามาในป่านี้ ป่าที่พระนางเรียกว่า ป่าหิมพานต์
ก่อนอื่นต้องตามหาเพื่อน หญิงสาวไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะพลัดพรากกระจัดกระจายไปแบบไหน จะพลัดกันไปเป็นกลุ่ม เป็นคู่อย่างไร สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือหาใครให้เจอสักคนก่อน
ถ้าพวกเขาตายหมดล่ะ เธอคิดในใจอย่างหวาดหวั่น เธอจะต้องติดอยู่กับสถานที่แห่งนี้ไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ
ฐานิดาไล่ความคิดบ้า ๆ นั้นออกไปจากหัว พวกเขาต้องยังอยู่สิ… ต้องยังอยู่ เธอคิดให้กำลังใจตัวเองก่อนที่จะค่อย ๆ หาทางไต่ลงมาจากต้นไม้ประหลาดที่ลำต้นคล้ายใบหน้าของคน
เมื่อลงมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง เธอก็เริ่มเห็นชัดขึ้นว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวมันผิดประหลาดจากป่าในโลกที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง เธอจับทิศจับทางไม่ถูก ความคิดที่จะตะโกนเรียกชื่อเพื่อนนั้นหายวับไปเมื่อเห็นป่าที่รกครึ้มเขียวหนาทึบรอบกาย เธอจินตนาการไปว่าถ้าเธอตะโกนเรียกชื่อใครไปดัง ๆ มังกรหรืองูยักษ์อาจจะชูคออกมาจากพุ่มไม้ใบบังนั่นออกมาเขมือบเธอก็เป็นได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเหลวไหล ถ้ามีใครมาเล่าให้ฟังก็คงจะหัวเราะเยาะใส่ด้วยความขบขัน แต่มาปัจจุบันนี้เธอเจอสิ่งเหนือโลกเหล่านี้กับตัว เห็นทุกอย่างกับตา ทำให้ความเชื่อของหญิงสาวแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยทันที
เธอเชื่อหมดแล้ว เชื่ออย่างสนิทใจ เชื่อว่ามิติซ้อนทับมีอยู่จริง สิ่งเหนือธรรมชาติมีอยู่จริง ฐานิดาคิดอย่างยอมแพ้ ค่อย ๆ ก้มตัวคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือประนมขึ้นกับอกแล้วกราบลงไปแทบพื้นดิน เธอไม่มีที่พึ่งใดอีกต่อไปแล้ว เห็นทีจะมีที่พึ่งนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยเธอได้ในยามนี้
"ท่านลักษณ์นารา ได้โปรดกรุณาช่วยหนูด้วย หนูไม่มีทางไปอีกแล้ว หนูอับจนหนทางมืดแปดด้าน ทั้งหลงกับเพื่อน ๆ อีกทั้งอนาคตของตัวหนูก็ไม่รู้จะเป็นยังไง กรุณาด้วยนะคะท่าน" ฐานิดากราบวิงวอนขอร้อง
"หึ หึ" เสียงคล้าย ๆ เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบื้องหน้าเธอออกไปไม่ไกลนัก
หญิงสาวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นมอง
ทันเห็นเค้าร่างที่เหมือนสตรีผู้หนึ่ง เดินแวบกายเร้นหายเข้าไปในด่านสัตว์ใหญ่ทางขวามือ ฐานิดาผุดลุกขึ้น เธอไม่ได้ตาฝาดแน่นอน ที่เห็นเมื่อครู่คือของจริงแน่
"เดี๋ยว เดี๋ยวค่ะ" หล่อนวิ่งตามไปด้วยความรีบร้อนจนเกือบสะดุดรากไม้ล้ม สายตามองไปท่ามกลางทางด่าน ทันเห็นร่างนั้นเดินด้วยอาการปกติ ไม่รีบร้อนแต่ว่องไวราวกับไถลลื่นไปบนอากาศ
ฐานิดาเร่งฝีเท้า จากเดินเร็วเป็นวิ่งไล่ตาม ร่างสตรีปริศนายังคงเคลื่อนที่ผลุบโผล่ไปมาเหมือนเล่นกล เดี๋ยวก็แวบมาทางนี้ เดี๋ยวก็แวบไปทางโน้น หญิงสาวพยายามเดินตามเส้นทางของหญิงลึกลับคนนั้นให้มากที่สุดเพราะกลัวว่าจะเดินหนีหายไป ไม่ว่าจะลอดไม้หนาม แทรกตัวผ่านช่องหิน เดินซิกแซ็ก ถึงจะหอบ เหงื่อไหลเป็นน้ำเพียงใด ฐานิดาก็ติดตามไปอย่างไม่ยอมทิ้งระยะห่าง สายตาจดจ้องแต่สตรีผู้นั้นจนไม่สนใจว่าภูมิประเทศที่เดินผ่านมานั้นเป็นอย่างไร จนในที่สุดร่างลึกลับนั้นก็อันตรธานหายไป ฐานิดาเมื่อมองไม่เห็นหญิงปริศนาคนนั้นอีก ความอดทนของเธอก็หมดลงเช่นกัน
หญิงสาวนั่งลงหอบกับพื้นอย่างสิ้นหวัง มือปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อน ความกระหายน้ำเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น มองไปรอบตัวก็ไม่เห็นร่างใด ๆ อีก
ผีป่าผีไพร มันคงมาหลอกเรา เห็นเราสิ้นหวังก็มาแกล้งเพื่อให้เราตายเร็วขึ้น เธอคิดอย่างประชดชีวิต
แต่แถวนี้ไม่มีน้ำบ้างเลยหรือไงกัน ฐานิดาบ่นกับตัวเอง เธอจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จะไม่ยอมตายโดยไม่ดิ้นรนต่อสู้ หญิงสาวค่อย ๆ ฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วตั้งสติเหลียวมองไปรอบ ๆ ทันทีที่หันมามองข้างหลัง หญิงสาวก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
"อะ... อะไรกันเนี่ย"
เบื้องหลังของเธอเป็นพื้นดินชื้นแฉะ สลับไปกับบ่อโคลนเลนหลายสิบบ่อ แต่ละบ่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ปรากฏอยู่ทั่วไปโดยรอบบริเวณ
ฐานิดาเอื้อมมือทำท่าจะแตะโคลนในบ่อที่ใกล้ที่สุด แต่ก็รีบหดมือกลับ มองหารอบตัวเจอกิ่งไม้ยาวแท่งหนึ่งจึงทดลองโยนมันลงไปกลางบ่อ
เสียงกิ่งไม้กระทบกับผิวโคลนดังปุ กิ่งไม้ดูจะอยู่นิ่งเช่นนั้นราวกับจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉับพลันโคลนก็กระเพื่อมและดูดเอากิ่งไม้นั้นลงไปใต้บ่ออย่างรวดเร็ว
"พระเจ้าช่วย บ่อโคลนดูด!” ฐานิดาร้องลั่นถอยกรูดออกมาด้วยความตกใจกลัว รีบมองไปรอบตัวอย่างหวาด ๆ ว่าจะมีตามพื้นอีกไหมแต่ก็ไม่พบ
แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อครู่ เธอก็เดินมาตามทางนี้ไม่ใช่หรือ ทำไมจึงไม่เหยียบลงไปบนบ่อโคลนแม้แต่นิดเดียวเลย ทั้ง ๆ ที่บ่อก็มีตั้งมากมาย
ฉับพลับเธอก็นึกออก ตลอดเส้นทางที่หญิงสาวเดินตามสตรีปริศนามา ตัวเองไม่ได้ก้มมองพื้นดิน หรือหนทางที่ก้าวผ่านไปแม้แต่นิดเดียว เพราะใจจดใจจ่ออยู่แต่ว่าต้องตามให้ทัน นี่แสดงว่าที่ร่างลึกลับนั้นนำทางให้เธอเลี้ยวไปมา ผ่านช่องหินต่าง ๆ หมายถึงจงใจช่วยเหลือเธอให้พ้นบ่อโคลนมรณะเหล่านี้น่ะหรือ ฐานิดาคิดแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวรีบเหลียวกลับไปมองด้านหลังทันที
สตรีงามผุดผาดในชุดสีดำยืนยิ้มอยู่บนโขดหินรูปหลังเต่า ไม่ใช่ลักษณ์นารา แต่เป็นคัพธัพวดี!
ฐานิดาชะงักมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาด้วยความปีติดีใจราวกับเจอเพื่อนรักในหนทางอันแสนวิบาก
"คัพธัพวดี" เธอร้องเรียก
สตรีในโลกทิพย์ไม่ตอบความใด ๆ ได้แต่ยืนยิ้มอยู่เช่นนั้น
ฐานิดาก้าวเดินเข้าไปหา ฉับพลัน คัพธัพวดีก็ถอยลงจากโขดหินรูปหลังเต่า เดินก้าวเท้าถอยหลังแต่ใบหน้ายังคงยิ้ม มือของเธอชี้ตรงไปที่ใต้โขดหิน
หญิงสาวเอะใจก่อนจะค่อย ๆ ก้มมองใต้โขดหินนั้น
"น้ำ" เธอร้องออกมาอย่างดีใจ ใช่ ในนั้นมีบ่อน้ำซึมแอ่งเล็ก ๆ อยู่ใจกลางใต้เนินหินรูปหลังเต่า หญิงสาวไม่สนใจว่ามันจะสกปรกหรือไม่ ความต้องการเอาตัวรอดตอนนี้อยู่เหนือการมาห่วงเรื่องสุขอนามัย
เธอก้มลงใช้สองมือวักน้ำดื่มกินอย่างเต็มอิ่ม รสชาติมันหวานประหลาดคล้ายน้ำมะพร้าว พอดื่มจนอิ่มเธอก็วักน้ำมาลูบหน้าลูบแขนตัวเองต่อ ความอ่อนเพลียทั้งหลายแทบจะทำให้เธอนอนฟุบลงกับพื้น
"อย่ามัวรีรออันใดอยู่เลย มนุษย์ผู้เจริญ มิตรสหายของท่านยังรอท่านไปสมทบ ท่านจงเร่งรีบเดินทางเร็วเข้าเถิด" คัพธัพวดีพูดขึ้น "ทางที่จะไปได้เร็วที่สุดคือผ่านป่ามืดช่วงนี้ไป ตอนช่วงต้นท่านจะประสบอันตรายจากบ่อโคลนดูด แต่ข้าช่วยนำทางท่านจนพ้นมาได้แล้ว ฉะนั้นจากนี้จงมุ่งไปทางทิศอุดร[2]และเร่งฝีเท้าของท่านให้เร็วขึ้นเถิด"
ฐานิดาแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงเพียงใด แต่ใจของเธอยังมีไฟเสมอ หญิงสาวค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คัพธัพวดีเดินล่วงหน้าออกไปแล้ว เธอกัดฟันแข็งใจเดินตามไป
สภาพป่ารอบด้านไม่ถึงกับทึบเกินไปนัก หญิงสาวเดินตามหลังคัพธัพวดีไปตลอดทาง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคัพธัพวดีถึงเรียกที่นี่ว่าป่ามืด มันไม่มืดสักนิด ออกจะสว่างและโปร่งโล่งเสียด้วยซ้ำ
"คัพธัพวดีคะ หนูอยากรู้ว่าเพื่อนของหนูตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ" ฐานิดาถามออกไป
"แล้วท่านก็จะรู้เองเมื่อได้พบกัน แต่อย่าได้กังวล องค์ลักษณ์นาราได้คอยปกป้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ สิ่งร้าย ๆ ในป่านี้แทบจะไม่สามารถกล้ำกรายสหายท่านได้ถ้ามีพระนางคอยปกปักรักษา" นางไม้ตอบออกมาทันทีราวกับจะล่วงรู้จิตใจหญิงสาว แล้วพูดต่อว่า
"จากนี้เราขอลาก่อน จงจำในสิ่งที่เราจักบอกท่าน 2 ข้อ ข้อแรก จงมุ่งแต่ทิศอุดรเท่านั้น ข้อ 2 อย่าได้ไว้ใจในสิ่งที่ตาเนื้อแลเห็น"
คัพธัพวดีเดินหายเข้าไปในไพรมืดอย่างรวดเร็ว ฐานิดารู้สึกถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอีกครั้ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคัพธัพวดีจึงไม่นำทางเธอให้ตลอดรอดฝั่งหนอ
ฐานิดามุ่งแต่เฉพาะทิศเหนือตามที่คัพธัพวดีชี้บอก เธอค่อย ๆ ฝ่าป่าหนามไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ทันทีที่ร่างของนักศึกษาสาวลับหายไป คัพธัพวดีก็เผยตัวออกมาจากแมกไม้หนาทึบพลางมองตามด้วยความเป็นห่วง
"ข้าต้องขอโทษเจ้าจริง ๆ ที่ข้าไม่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางกับเจ้าได้โดยตลอด ลักษณ์นารามีพระบัญชาลงมาให้ทดสอบเจ้า เหมือนกับที่ทดสอบสหายของเจ้าสองคนไปก่อนหน้านี้แล้ว"
*****
ฐานิดาเดินมาถึงที่ราบโล่งกลางหมู่ต้นไม้นับสิบต้นที่ขึ้นเรียงราย แต่แล้วหญิงสาวก็ชะงักกึก ฆานประสาทสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมประหลาดคล้ายผลไม้สุกงอมลอยมาแตะจมูก กลิ่นหอมของมันทวีมากขึ้นจนเผลอกลืนน้ำลาย
ความหิวค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา ฐานิดามองหาต้นตอของกลิ่นไปเรื่อย ๆ จนค้นพบว่ามันมาจากต้นไม้ที่ขึ้นรอบ ๆ บริเวณนี้นี่เอง ต้นไม้ที่เรียงรายรอบด้านถ้าสังเกตดี ๆ จะมีผลของมันแฝงอยู่ในกลุ่มใบ บดบังมิให้ใครเห็นและเก็บเอาไปกินได้โดยง่าย ผลของมันคล้าย ๆ แก้วมังกรแต่ขนาดใหญ่กว่ามากและเป็นสีทองวาววับมันปลาบเหลืองอร่ามทั้งผล
ฐานิดายืนจ้องมองด้วยความตกตะลึง ยิ่งเห็นผลของมันเต็ม ๆ ตาจากโคนต้นแบบนี้กลิ่นหอมน่าลิ้มรสของมันก็ยิ่งฟุ้งกระจายตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
หญิงสาวไม่สามารถทนกับความหิวและความยั่วยวนของผลไม้ชนิดนี้ได้อีกต่อไป เธอค่อย ๆ ใช้มือเหนี่ยวกิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดห้อยโหนตัวขึ้นไป เมื่อทรงตัวบนกิ่งที่แข็งแรงได้ที่แล้ว หญิงสาวค่อย ๆ เอื้อมมือไปปลิดผลไม้สีทองที่ใกล้มือที่สุดมาอย่างเบามือ มันเด็ดง่ายกว่าที่คิด เธอเก็บมันมาแค่สามผลเพื่อเอาแค่พออิ่ม ก่อนจะไต่กลับลงมาที่พื้นดินโคนต้นอีกครั้ง ขาไต่ลงทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะมีผลไม้เต็มมือไปหมด แต่ก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย
หญิงสาวก้มมองผลไม้กลิ่นหอมประหลาดด้วยความพิศวง มันจะกินได้ไหมหนอ มันต้องกินได้สิ กลิ่นหอมแบบนี้ แถมรูปลักษณะมันก็น่ากินเป็นอย่างยิ่ง เธอค่อย ๆ สูดดมกลิ่นของมันเข้าไปเต็มปอด
ราวกับไม่มีอะไรในโลกจะสุขใจมากไปกว่าได้กินผลไม้ลูกนี้อีกต่อไป กลิ่นของมันชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหล เหมือนกับเชิญให้เธอลิ้มรสมัน ฐานิดาค่อย ๆ อ้าปากเพื่อจะกัดให้เต็มคำ
ฉับพลัน ราวกับมีเสียงของคัพธัพวดีแว่วเข้าในหัว
“ข้อ 2 จงอย่าได้ไว้ใจในสิ่งที่ตาเนื้อแลเห็น”
ฐานิดาชะงัก ก้มลงมองผลไม้สีทองในมือ อนุสติในหัวบอกเธอว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบสัมผัสในสถานที่แห่งนี้เป็นอันขาด เพราะนั่นมันคือหนทางแห่งหายนะ
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ พลางคิดว่าถ้าผลไม้บนต้นนี้กินไม่ได้หรือมีพิษเพื่อหลอกให้ผู้โง่เขลามาเก็บกินจริง เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้ เพราะเธอก็ต้องการอาหารให้ร่างกายเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ เธอจะทดสอบมันได้อย่างไร
"เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก" เสียงร้องสัตว์ชนิดหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฐานิดาสะดุ้งหันหน้ามองไปมาเลิ่กลั่กด้วยความตกใจ และเธอก็เห็นมัน
วานรขนปุกปุยสีขาวคล้ายตัวเยติแต่ขนาดเล็กกว่ามากวิ่งไต่ห้อยโหนโจนทะยานกันขวักไขว่อยู่บนยอดไม้ มันกรูเข้ามาเป็นฝูงเกือบ 20 ตัว กระโจนวิ่งไล่กันส่งเสียงเกรียวกราวไปทั่ว ปล่อยเสียงขู่คำรามครอก ๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา
หลายตัวชะโงกหน้าเข้ามามองหญิงสาวด้วยความสนใจ หญิงสาวแอบคิดอย่างหวาด ๆ ว่าพวกมันจะทำร้ายเธอไหม แต่เหล่าวานรสีหิมะหาได้สนใจเธอต่อไปไม่ หลังจากชูคอมองเธออยู่อึดใจ พวกมันก็กลับไปวิ่งไล่กันในฝูงตามเดิม
วานรพันธุ์ประหลาดต่างพากระโดดไปรุมอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวในบรรดาหลาย ๆ ต้น เขย่ากิ่งก้านจนใบไม้ร่วงพรู ร้องเจี๊ยก ๆ แย่งชิงผลไม้สีทองบนต้นกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
จะแย่งกันอยู่ทำไมต้นเดียว ต้นอื่นมีตั้งเยอะแยะ หล่อนคิดในใจขำ ๆ
ฉับพลัน ความคิดอะไรบางอย่างฉายวาบเข้ามาในสมองของเธอ ฐานิดาค่อย ๆ เงยหน้ามองต้นไม้ที่วานรไปรุมแย่งผลของมันต้นเดียวอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเลื่อนสายตามองเลยไปที่ต้นอื่น ๆ ไม่มีวานรสักตัวไปเก็บผลบนต้นเหล่านั้นเลย ทั้ง ๆ ที่มันก็มีผลสีทองอร่ามส่งกลิ่นหอมเต็มต้น
หญิงสาวเคยอ่านวรรณคดีเรื่องพระสุธน มโนราห์ เธอจำได้ว่า คราวที่พระสุธนเดินทางเพื่อไปหามโนราห์ที่เขาไกรลาส พระสุธนต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ หนึ่งในนั้นคือผ่านป่าที่ผลไม้มีพิษและไม่มีพิษ พระสุธนไม่สามารถแยกด้วยพระองค์เอง ดังนั้นพระสุธนจึงจับลิงตัวหนึ่งมา เวลาพระสุธนจะเสวยผลไม้ก็จะเอามาวางกองให้ลิงเลือกกินก่อน ถ้าลิงหยิบผลไม้ใด พระสุธนก็จะหยิบสิ่งนั้นเสวยตามลิง
วานรที่ฐานิดากำลังดูพฤติกรรมของมันอยู่นี่ก็เช่นกัน มันคงมีสัญชาตญาณหรือประสาทสัมผัสที่รู้ได้ว่า ต้นไหนมีพิษ ต้นไหนไม่มีพิษ
หญิงสาวยิ้มให้บรรดาวานรอย่างขอบคุณ มันมาช่วยชีวิตเธอจริง ๆ ถ้ามันไม่โผล่มา เธอก็คงยังไม่สามารถแยกออกได้ และเลวร้ายที่สุดคือเธออาจจะกินผลที่มีพิษเข้าไปก็ได้
ผลไม้สีทองหลายลูกตกมาอยู่โคนต้นที่วานรตัวขาวกำลังยื้อแย่งกันอยู่ เธอค่อย ๆ เดินไปก้มลงเก็บ และกัดเข้าปากด้วยความหิวโหย
รสชาติของมันเหมือนลูกท้อที่งอมมาก ๆ มีความหวานแต่ไม่หวานแหลม เนื้อแห้งไม่มีน้ำแต่นุ่มนิ่มละมุนลิ้น ยิ่งกินก็ยิ่งหอม หญิงสาวนั่งกินเข้าไปถึงสี่ลูก เพราะไม่คิดว่ามันจะรสชาติดีขนาดนี้ เธอนั่งกินไป มองดูเหล่าวานรเล่นปีนป่ายกันไปอย่างมีความสุข พวกมันก็น่ารักดีไปอีกแบบเหมือนกัน ในยามที่เธออ้างว้างไร้ที่พึ่งในป่าเปลี่ยวเช่นนี้
ฉับพลัน พวกวานรก็หยุดเคลื่อนไหว หยุดส่งเสียงราวกับถูกสาปให้เป็นหิน หลายตัวเอียงคอเหมือนเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง บางตัวหยุดแทะผลไม้ สายตาส่อแววหวาดหวั่นมองไปรอบป่า
ฐานิดาขมวดคิ้วมองการกระทำของพวกมันอย่างไม่เข้าใจ
โดยมิได้นัดหมาย ฝูงวานรทั้งฝูงก็วิ่งร้องเจี๊ยกจ๊ากลั่น วิ่งกรูกระโดดข้ามยอดไม้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เคลื่อนตัวอพยพหายไปทั้งฝูงอย่างรวดเร็ว เหมือนพวกมันจะกลัวกับการมาของอะไรบางอย่าง
"อย่าเพิ่งไปสิ อะไรกัน" หญิงสาวร้อง เธอมองตามฝูงวานรที่หายลับไปอย่างเสียดาย แม้มันจะไม่ใช่คน แต่มันก็เหมือนเพื่อนเธอในยามนี้ หญิงสาวคิดแบบนั้นจริง ๆ
"วี๊ด!" เสียงแหลมบาดแก้วหูดังสะท้านไปทั่วทั้งราวป่า ฐานิดาก้มลงหมอบกับพื้นด้วยความตกใจ ยกมือปิดหูสองข้างเอาไว้เพราะเสียงกรีดร้องนั้นแหลมรุนแรงราวกับจะชอนไชเข้าไป สำเนียงประหลาดโหยหวนจนกระดูกในหูสั่นสะเทือน
จู่ ๆ ราวกับจะเกิดสุริยคราสทั้ง ๆ ที่ไม่มีดวงอาทิตย์ แสงแดดถูกบดบังด้วยอะไรสักอย่างที่มีขนาดมหึมา ความมืดปกคลุมทาบทับไปทั่วทั้งราวป่า เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง รอบด้านมีแต่ความมืด บนนภาครึ้มมืดฟ้ามัวดิน พยับ[3]โพยม[4]บนปั่นป่วนไปด้วยอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่พายุ แต่ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่ว
ป่ามืด! นี่เองคือที่มาของคำว่าป่ามืดที่คัพธัพวดีใช้เรียกป่าแถบนี้ ฐานิดาคิดอย่างตื่นกลัว
เสียงพึ่บพั่บเหมือนสัตว์ปีกขนาดใหญ่ยักษ์ตีปีกไปมาเหนือเหล่ายอดไม้ทั้งปวง ลมพัดอู้ ผงคลีปลิวตลบไปทั่วทั้งบริเวณ หญิงสาวค่อย ๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง
ดวงตาสีอำพันโตสุกใสกำลังจ้องมองลงมาที่เธอ รอบดวงตาเหมือนมีขนปกคลุมไปทั่ว ถัดลงมาจากดวงตาขนาดใหญ่ยักษ์ คือจะงอยปากที่คล้ายนก แต่ฐานิดาสาบานได้ว่า นี่ไม่ใช่จะงอยปากนกยักษ์ธรรมดา แต่ทว่านี่มันคือ…
"พะ... พญาครุฑ"
ทันทีที่หญิงสาวได้สติก็รวบรวมกำลังทั้งหมดในตัวที่มี ลุกขึ้นวิ่งออกไปทางด่านที่ใกล้ที่สุด เธอไม่สนใจจะเหลียวไปมองว่าสิ่งนั้นจะตามเธอมาหรือไม่ วินาทีสำคัญตอนนี้คือ หนี… หนีเอาชีวิตรอด หัวใจเต้นโครมครามแทบกระดอนออกมาจากปาก ความเหนื่อยหอบไม่สามารถหยุดเธอได้อีกแล้วในขณะนี้ ภาพที่หล่อนเพิ่งเห็นทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น ขาแข้งจะโดนหนามไม้เกี่ยวอย่างไรก็ไม่รู้สึกอิขังขอบอะไรแล้ว ตอนนี้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดอยู่เหนือความเจ็บปวดทางกายทั้งมวล
ฐานิดาวิ่งล้มลุกคลุกคลานอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ เธอไม่รู้แล้วว่าห่างจากป่ามืดนั้นมาไกลแค่ไหน เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะถึงขีดจำกัด ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้อีกแล้ว เผอิญที่หญิงสาวเหลือบไปเห็นพุ่มกอไม้หนาทึบเบื้องหน้าพอดิบพอดี หล่อนจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในซ่อนตัวข้างในทันที แม้กิ่งใบจะทิ่มแทงไปตามร่างกายก็ไม่หวั่น เธอยืนอยู่สักพัก หายใจหอบ หัวใจเต้นรัวเร็ว เมื่อรอบด้านเริ่มเงียบสงบ เธอก็ค่อย ๆ โผล่ศีรษะออกมาเล็กน้อย ตอนนี้ทุกสิ่งดูเหมือนจะกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง เสียงที่เหมือนมหาวาตะอันปั่นป่วนตอนนี้ห่างไกลออกไปและค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ป่ากลับมาสว่างไสวด้วยแดดสีขาวอีกครั้ง
นักศึกษาสาวเป่าลมออกจากปากเมื่อมั่นใจว่าตอนนี้ตนเองรอดชีวิตจากสิ่งน่ากลัวที่เห็นในป่ามืด มันคืออะไรกันแน่ นกยักษ์นั่น... ที่นี่ต้องไม่ใชาสถานที่ธรรมดาแน่แล้ว
"เจ้า เจ้าช่วยข้าด้วย" จู่ ๆ เสียงผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
ฐานิดาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันเหลียวมองหาเจ้าของเสียง สิ่งที่หล่อนเห็นคือบุรุษกายสีส้มในชุดหนังสัตว์ถูกรากไม้ขนาดเขื่องๆ มัดติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ เธอถอยกรูดทันทีที่เห็น
"อย่า อย่าได้กลัวข้า ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่ทำอันตรายอันใดเจ้าดอก ข้าคือวิทยาธร ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าจะให้ในทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา ได้โปรดเถิด" เสียงบุรุษผู้นั้นร้องออกมาอีก
หญิงสาวที่อยู่ในดงไม้ยืนนิ่ง "คุณพูดว่าอะไรนะ... วิทยาธร คืออะไรกัน แล้วทำไมตัวคุณถึงมีสีแบบนั้น"
"ข้าคือวิทยาธร เผ่าพันธ์ุหนึ่งในสี่ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นเทพระดับล่าง รูปกายที่เจ้าเห็นคือสิ่งปกติในดินแดนนี้"
ปกติก็บ้าแล้ว ฐานิดาร้องในใจแต่ปากพูดออกไปว่า "แล้วทำไมคุณถึงถูกมัดอยู่ยังงั้นล่ะคะ"
"ข้าเจอกับอุบัติเหตุบางอย่าง ข้าติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าคงต้องตายเป็นแน่แท้" ชายผู้มีกายสีส้มพูดรัวเร็วก่อนจะรีบพูดต่อว่า "แค่หยิบแส้ริมบ่อน้ำนั่นมาให้ข้า แค่นั้นเท่านั้นแล้วข้าจะจัดการเอง ช่วยข้าทีเถิด แล้วข้าจะให้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าสัญญา"
หล่อนมองไปที่ริมบ่อน้ำ ก็ปรากฏแส้สีทองเส้นหนึ่งวางอยู่จริง ๆ เธอคิดใคร่ครวญก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกมาจากหมู่ไม้ช้า ๆ พลางมองซ้ายมองขวาระแวดระวังรอบด้านเต็มที่ จากนั้นหญิงสาวก็เดินลัดเลาะไปตามโขดหินจนไปหยุดที่ริมบ่อน้ำ
ถ้าเราช่วยเขา เขาอาจช่วยนำทางให้เราไปเจอเพื่อนก็ได้ เธอนึกในใจหล่อนค่อย ๆ ก้มลงหยิบแส้สีทองขึ้นมาไว้ในมือ มันรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาดที่สัมผัสแต่ไม่ถึงกับร้อน
"แส้นี่ใช่ไหมคะ ที่คุณให้ฉันเก็บให้" ฐานิดาหันหน้ามาถาม
ความคิดเห็น